เก๋ออวิ๋นเอ๋อร์รู้สึกเพียงความเคียดแค้นชิงชังในใจนาง
ชายหนุ่มที่อยู่บนหลังม้าอีกตัวไม่ได้มองผู้เป็นน้องสาว แต่กลับมองไปยังเส้นทางบนภูเขาที่เงียบสงบไกลออกไปและพูดอย่างเนิบนาบว่า “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าสับสนว้าวุ่นใจไปใหญ่แล้ว ความเร่งรีบนำไปสู่ความสูญเปล่า ยิ่งช่วงเวลาสำคัญยิ่งต้องใจเย็นเท่านั้น ที่ผิดพลาดครั้งนี้เป็นเพราะเร่งรีบเกินไป พวกเราอยู่ในช่วงยากลำบาก ผู้อื่นจะมาใส่ใจให้ความสำคัญกับพวกเราได้อย่างไร พวกเรามาถึงหนานเจียง ไม่ว่าคนหรือสถานที่ล้วนไม่คุ้นเคยทั้งสิ้น ต่อให้มีกลอุบายอันชาญฉลาดต่างๆ นานาก็ยากที่จะสำแดงฝีมือได้ หลายวันก่อนหน้านี้หนานเจียงอ๋องทำศึกชี้ชะตากับราชครูเว่ย ข้ามองออกแต่แรกแล้วว่าราชครูเว่ยมีกลลวง หากข้าสามารถบัญชาการกองทัพหนานเจียงได้ล่ะก็ แม้จะไม่กล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าชนะ แต่อย่างน้อยก็ไม่มีทางให้ราชครูเว่ยได้เปรียบมากเกินไปนัก น่าเสียดาย หนานเจียงอ๋องที่หัวแข็งดื้อรั้นผู้นั้นสุดท้ายแล้วก็เป็นพวก ‘อาโต่วที่หนุนไม่ขึ้น’ ไปเสียนี่…
ตอนนี้หนานเจียงก็มาพ่ายแพ้ไปอีก พวกเราเหลือเป่ยเจียงเพียงเส้นทางเดียวแล้ว หากไม่วางแผนเตรียมการให้เหมาะสมรอบคอบเต็มที่ พอไปถึงก็เป็นได้เพียงที่ปรึกษาให้กับพวกซยงหนูเท่านั้นเอง ต่อให้เป่ยเจียงเรืองอำนาจขึ้นมาแล้วจะไปมีประโยชน์อะไรต่อพวกเราทั้งคู่เล่า ดังนั้นครั้งนี้…พวกเราต้องหาวิธีปักหลักในเป่ยเจียงให้จงได้ จะว่าไปแล้วตอนนี้ข้ากลับอยากให้สงครามชายแดนปะทุขึ้นอีกครั้ง ปล่อยให้เจ้าโจรเว่ยเอาชนะพวกซยงหนูสักสองสามครั้งก่อน ให้เป่ยเจียงวุ่นวายสักหน พวกเราถึงจะสบโอกาสที่ดีขึ้น”
เก๋ออวิ๋นเอ๋อร์รู้ว่าที่พี่ชายพูดมานั้นสมเหตุสมผล แต่เมื่อคิดถึงรูปโฉมอันหล่อเหลางดงามปานเทพเซียนของราชครูเว่ยกับองค์หญิงหย่งอันที่ทั้งคู่ร่วมอภิรมย์กันในห้องขึ้นมาทีไร ความเคียดแค้นชิงชังก็ยังคงกัดกินใจของนางอยู่มิรู้วาย ทำเอาเจ็บปวดเจียนตายอึดอัดหายใจแทบไม่ออกเลยทีเดียว คนที่ทำให้นางต้องประสบชะตากรรมตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มิใช่คู่รักที่เทพเซียนอุ้มสมสองคนนั้นหรอกหรือ ช่างน่าแค้นใจจนนางอยากบั่นศีรษะของสองคนนั่นมาไว้ข้างเตียงเพื่อที่ทุกวันยามที่นางลืมตาตื่นขึ้นมาจะได้เห็นเป็นคนแรกให้สะใจเสียจริง…
คนที่ขี่ม้าตามมาด้านหลังสิบกว่าคนคือคนสนิทของเก๋อชิงหย่วน พวกเขาล้วนได้รับการช่วยเหลือจากเก๋อชิงหย่วนในช่วงเวลาที่ตกทุกข์ได้ยาก ทุกคนผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวด มีฝีมือการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมและซื่อสัตย์ภักดีต่อเขาอย่างยิ่ง พวกเขาติดตามอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ส่วนในรถม้ามีแท่งเหล็กชั้นดีและทองคำอัญมณีล้ำค่าที่เก๋อชิงหย่วนสะสมไว้อย่างลับๆ มาตั้งนานแล้ว
ในวันนี้เก๋อชิงหย่วนและน้องสาวพร้อมกับผู้ติดตามสิบกว่าคนเดินทางมาจนถึงทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งที่สดเขียวขจีทอดยาวออกไปไกลจนสุดสายตา เพิ่งเหยียบย่างเข้ามาถึงดินแดนแห่งทุ่งหญ้าได้เพียงครึ่งวัน จู่ๆ ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “นายท่านขอรับ มีพวกชาวหมานอี๋ของเป่ยเจียงอยู่ไกลออกไปขอรับ”
เก๋อชิงหย่วนหยุดม้าและเงยหน้าเพ่งมองออกไปไกลๆ แต่นอกจากหญ้าเขียวแล้วก็ไม่เห็นมีสิ่งอื่นใด
เก๋ออวิ๋นเอ๋อร์เอ่ยขึ้นว่า “ไม่เห็นมีใครเลยนี่” นางหันกลับไปมองผู้ติดตามคนสนิทผู้นั้นด้วยสายตาสงสัยปราดหนึ่ง ผู้ติดตามผู้นั้นชื่อเก๋อจง ดวงตาของเขาราวกับคบเพลิง ส่องแสงทอประกายออกมา นั่งลำตัวตรงอยู่บนหลังม้า สายตาเพียงจดจ้องไปยังสถานที่ที่ไกลโพ้นออกไปหลายหลี่โดยไม่ตอบคำพูดของเก๋ออวิ๋นเอ๋อร์
เก๋อชิงหย่วนเองก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองไปยังเส้นขอบฟ้าอันห่างไกลอยู่ตลอด
ผ่านไปสักพักก็เห็นจุดดำเล็กๆ ปรากฏขึ้นแต่ไกลจนได้ เก๋อชิงหย่วนหันกลับมาถามว่า “บอกได้หรือไม่ว่าพวกนั้นเป็นพวกใด”
เก๋อจงเขม้นตามองอีกครั้ง ก่อนจะตอบอย่างนอบน้อม “มีเจ็ดคนขี่ม้าสะพายธนูไว้ที่หลังถือดาบโค้ง น่าจะเป็นทหารหมานอี๋ของเป่ยเจียงที่ซุ่มปลอมตัวเป็นโจรตามในรายงานของทางการต้าเว่ย มักออกปล้นผู้คนขอรับ”
เก๋อชิงหย่วนคิดๆ แล้วก็ปรบมือพลางพูดระคนยิ้ม “เพิ่งมาถึงเป่ยเจียงโอกาสก็มาเยือนเองแล้ว ดูเหมือนในที่สุดคราวเคราะห์ของข้าก็หมดลงเสียที ตอนนี้โชคดีมาเยือนข้าแล้ว” พูดจบก็หันไปกำชับว่า “ประเดี๋ยวตอนประมือกันให้จับเป็นพวกเขาไว้ ห้ามทำร้ายพวกเขาจนถึงแก่ชีวิตเป็นอันขาด”
เงาร่างที่อยู่ไกลออกไปก็มองเห็นพวกเขาแล้วเช่นกัน ความเร็วพลันเพิ่มขึ้นทันที ในไม่ช้าก็เข้ามาใกล้ พวก ‘โจร’ เหล่านี้แต่ละคนสวมเสื้อคลุมหนังหมาป่าเฉียงพาดบ่าข้างหนึ่งเปลือยบ่าข้างหนึ่ง พวกเขาคงมองอีกฝ่ายว่าเป็นแกะอ้วนพี จึงทั้งร้องตะโกนเสียงดังพลางพุ่งเข้ามา ผู้ติดตามของเก๋อชิงหย่วนเจ็ดคนรีบกระโจนออกไปปะทะสกัดพวกเขาไว้แล้วแบ่งสู้กันตัวต่อตัว ผู้ติดตามเหล่านี้เก๋อชิงหย่วนล้วนเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี เชี่ยวชาญทั้งการใช้ธนูและขี่ม้า ไหนเลยที่โจรเถื่อนไม่กี่คนพวกนี้จะเป็นคู่ต่อกรด้วยได้ เพียงไม่กี่กระบวนท่าพวกโจรก็ถูกโจมตีจนร่วงตกจากหลังม้าจุกจนลุกไม่ขึ้น