ชั่วขณะนั้นเองห้องชั้นในพลันสว่างไสวไปด้วยโคมไฟที่ข้ารับใช้ถือเข้ามา
เห็นเพียง ‘เจ้าโจรบ้ากาม’ ผู้หนึ่งในชุดทหารถูกจับได้ขณะกระทำความผิดฐานบังคับขืนใจคาหนังคาเขาบนเตียงขององค์หญิง ทั้งที่ใบหน้าอันหล่อเหลาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ จากการรบราฆ่าฟันในการสู้รบที่หนานเจียงแล้วแท้ๆ แต่ต้องมาได้รับบาดเจ็บอีกครั้งบนเตียงของสาวงามจนมองเห็นรอยข่วนที่มีเลือดซิบหลายรอยได้อย่างชัดเจนเสียนี่
นัยน์ตาหงส์ทรงเสน่ห์คู่หนึ่งเต็มไปด้วยความโกรธอย่างเหลือเชื่อ เมื่อมองดูข้ารับใช้ในวังที่บุกเข้ามาก็ตวาดด้วยเสียงต่ำเย็นชาออกมา “ออกไปจากที่นี่ให้หมด!”
ซั่นหมัวมัวเหลือบมองใบหน้าอันหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยของราชครูเว่ยอย่างเห็นอกเห็นใจ สลับกับมององค์หญิงตัวน้อยที่ดูเหมือนจะตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกอยู่สักหน่อยอีกครั้ง ก่อนจะนำข้ารับใช้ถอยกรูดออกไปราวกับกระแสน้ำที่ไหลย้อนกลับ พร้อมกับปิดประตูตำหนักอย่างแน่นหนา
หากนับดูแล้วก็เป็นเวลาหลายเดือนที่ไม่ได้พบหน้ากัน ราชครูเว่ยมิใช่คนที่จะเสียเวลาละเมอเพ้อพกกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มาแต่ไหนแต่ไร แต่เขากลับจินตนาการถึงฉากที่พวกเขาทั้งสองได้พบกันนับครั้งไม่ถ้วนขณะที่อยู่บนหลังม้าเร่งรุดเดินทางกลับมาทั้งวันทั้งคืน
เมื่อคิดถึงช่วงเวลาแห่งความหวานชื่นทีไร ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทั้งปวงก็หายไปในทันที สุดท้ายจึงตัดสินใจลอบออกจากกองทัพใหญ่นำคนสนิทของเขาเดินทางกลับเมืองหลวงก่อนล่วงหน้าสองวันเสียเลย
เพราะก่อนหน้านี้เขาได้ส่งสารบอกกั่วเอ๋อร์ไว้แล้วว่าจะล่วงหน้ากลับมาก่อน ขอให้นางโปรดอดใจรอเพื่อใช้เวลาร่วมกันบรรเทาความคิดถึงที่อัดแน่นอยู่ในอก แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากว่าจะมาถึงตำหนักเฟิ่งฉูได้ก็ลำบากยากเย็น กั่วเอ๋อร์น้อยกลับยกมือขึ้นข่วนหน้าเขาอย่างแรงเสียนี่
หรือว่า…นางไม่คิดถึงเขาเลยสักนิดใช่หรือไม่
เนี่ยชิงหลินมองดูแววตาของราชครูเว่ยที่น่ากลัวยิ่งกว่าเสือร้ายก็รู้สึกงุนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง พอมองที่ปลายนิ้วของตนเองก็พบว่าไม่จำเป็นต้องทาโค่วตัน* แล้วเพราะมันมีสีแดงเรื่อๆ เป็นจุดเล็กๆ กระจายอยู่ นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าที่วางอยู่ข้างหมอนขึ้นมา แล้วเดินไปเช็ดเลือดบนใบหน้าของราชครูเว่ยพร้อมบ่นอุบว่า “ท่านราชครูชอบทำให้ตกใจอยู่เรื่อยเลย มาถึงเตียงกลางดึกเช่นนี้จะไม่ให้ข้าเข้าใจผิดได้อย่างไรเล่า”
เว่ยเหลิ่งเหยาแค่นเสียงฮึเสียงหนึ่งแล้วจับแขนนางเบาๆ ก่อนดึงคนร่างเล็กอรชรอ้อนแอ้นที่คิดถึงมาตลอดหลายวันหลายคืนเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก “นอกจากกระหม่อมแล้วจะมีผู้ใดสามารถขึ้นเตียงขององค์หญิงได้อีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้เจอตั้งหลายเดือน พระหัตถ์เรียวขององค์หญิงช่างร้ายกาจถึงเพียงนี้ นี่ไปเรียนวิชาป้องกันตัวมาจากแม่ทัพซั่นหรือ ประเดี๋ยวต้องใช้เชือกมัดไว้ให้แน่นๆ สักหน่อยเสียแล้ว…”
เนี่ยชิงหลินถูกรั้งตัวเข้าไปแนบชิดกับแผ่นอกกว้างแข็งแกร่งของชายหนุ่ม ในใจนางพลันรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองดูบุรุษผู้เก่งกาจสง่างามผู้นี้ซึ่งไม่ได้เจอมานาน นอกจากรอยแผลสดใหม่สองสามรอยแล้ว ใบหน้าของเขายังคงงดงามดุจภาพวาดเช่นเคย ดวงตาหงส์ของเขาทอประกายวาววามเร่าร้อนอย่างบอกไม่ถูก ปลายจมูกที่โด่งเป็นสันและริมฝีปากบางที่เม้มแน่นกลับเชิญชวนให้คนอยากทำอะไรบางอย่างกับมัน
ยังไม่ทันได้คิดอะไรให้กระจ่าง ริมฝีปากบางนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว ค่อยๆ ทาบทับลงบนริมฝีปากของนางอย่างแผ่วเบาราวกับทะนุถนอมของล้ำค่าที่เปราะบางก็ไม่ปาน หลังจากจูบเบาๆ ไปไม่กี่ทีก็กลายเป็นการจูบอย่างดูดดื่มถวิลหาลึกซึ้ง เนี่ยชิงหลินถูกรุกเร้าอย่างหนักหน่วงจนต้องเปิดริมฝีปากรับแขกที่มาโดยไม่ได้รับเชิญผู้นี้ในยามค่ำคืน ริมฝีปากและเรียวลิ้นอันร้อนระอุดุจอสรพิษที่โผล่ออกมาจากถ้ำ ฉกกระหวัดรัดรึงลิ้นของนางไว้แน่นหนา เกิดการต่อสู้และแลกสัมผัสที่เร่าร้อนระหว่างกัน จนเนี่ยชิงหลินรู้สึกเพียงว่าเลือดในกายพลุ่งพล่านไปตามการหยอกเย้าของปลายลิ้นที่พัวพันกันอย่างรุกเร้าเร่าร้อน
กลิ่นชะมดเชียงอันเข้มข้นของบุรุษขับไล่กลิ่นไม้กฤษณาที่ชวนง่วงนอนในห้องให้ปลาสนาการไปสิ้น กระตุ้นเร้าความปรารถนาที่ถูกกดไว้อย่างเนิ่นนานของกันและกันออกมา