บทที่ 83
ไข่มุกมังกรถูกจูบจนแทบหายใจไม่ออก แต่ถึงจะมึนงงนางก็ไม่อาจผลักไสชายหนุ่มผู้กอดรัดนางอย่างแน่นหนาผู้นี้ออกไปได้ ไออุ่นที่แผ่ซ่านมาจากแผ่นอกของเขาทั้งคุ้นเคยและแฝงด้วยความแปลกใหม่ ล้วนยืนยันว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เว่ยเหลิ่งเหยาได้กลับมาจากสนามรบแล้วจริงๆ
หลังจากการตะโบมจูบอย่างโหยหาดูดดื่มลึกซึ้งผ่านไป ชายหนุ่มก็จุดโคมไฟข้างเตียงให้สว่างขึ้น มองความงามที่ไม่ได้เห็นมานานอย่างตะกละตะกลาม แสงจากโคมไฟไหวระริกทอดเงานุ่มนวลบนผิวเนียนละมุนของดรุณีน้อย ยิ่งขับเน้นความงดงามของคิ้วเรียวงามได้รูปและดวงตากลมโตของนางให้งดงามเจิดจ้าขึ้นไปอีก ผู้คนล้วนกล่าวกันว่า ‘หญิงสาวในวัยกำดัดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก’ กั่วเอ๋อร์ของเขาช่างงดงามจับตาหาใดเปรียบจริงๆ เรือนผมดำขลับขับให้ใบหน้าเล็กของนางน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก แม้แต่ติ่งหูกลมมนที่ซ่อนอยู่ในเรือนผมก็ยังดูราวกับไข่มุกที่เพิ่งหลุดออกจากเปลือกหอย ชวนให้คนเห็นแล้วอยากขบเม้มไว้ในปากไม่อยากคายออกมาเลยทีเดียว
ราชครูเว่ยคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เขาปลดชุดทหารที่สวมอยู่ออกในเสี้ยวอึดใจแล้วโยนลงไปกองที่พื้นพลางเอ่ย “กระหม่อมเร่งเดินทางมาทั้งวันทั้งคืนเพื่อที่จะได้มาพบองค์หญิงให้เร็วขึ้น ขอองค์หญิงทรงปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ออกเพื่อปลอบประโลมกระหม่อมให้คลายทุกข์จากความคะนึงหาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เนี่ยชิงหลินรู้สึกประหม่าไปทั้งตัวจากสายตาร้อนแรงแผดเผาของเขาที่จ้องมองมา คำพูดรวมถึงการกระทำต่อจากนั้นของท่านราชครูยิ่งทำให้นางเขินอายมากจนใบหูร้อนผ่าวไปหมด จึงเปิดริมฝีปากแดงสดขึ้นน้อยๆ พูดอย่างขวยเขินว่า “ท่านราชครูไยถึงได้อุกอาจรุ่มร่ามลอบเข้ามาในตำหนักเช่นนี้ นี่คือมาทวงรางวัลความดีความชอบอย่างนั้นหรือ”
ราชครูเว่ยกลับมาที่เตียงอีกครั้งแล้วเอื้อมมือไปที่ชุดขององค์หญิง “ไม่ใช่มารับรางวัลความดีความชอบพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นกระหม่อมมาขอรับโทษที่ทำศึกไม่ราบรื่นล่าช้า ทำให้ยืดเยื้อเสียเวลาไปพอควร ทำให้พระแท่นบรรทมขององค์หญิงเหน็บหนาวอ้างว้าง วันนี้ก็เลยจะทำให้มันอุ่นขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ…”
เป็นดังคำกล่าวที่ว่า ‘ห่างกันบ้างยิ่งทำให้ความรักหวานชื่น’ หลังจากเก็บกดมานานราชครูเว่ยประหนึ่งหวนกลับไปสู่วัยหนุ่มเลือดร้อนอีกครั้ง การไร้พ่ายในสมรภูมิรบอย่างต่อเนื่องย่อมทำให้เขาฮึกเหิมสะใจอย่างแน่นอน แต่เมื่อเทียบกับการได้อิงแอบไออุ่นภายใต้ม่านไหมบนเตียงเชยชมนวลเนื้อให้สมอุราในยามนี้แล้ว การไร้พ่ายนั่นกลับดูไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
เจ้ากั่วเอ๋อร์น้อยผู้นี้ดูไม่มีความก้าวหน้าขึ้นเลยสักนิด หลังจากที่ห่างกันไปนานหลายเดือนนางก็กลับมาขี้อายและไร้เดียงสาเหมือนเพิ่งเคยเข้าหอครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าเล็กแดงก่ำ หลับตาปี๋ เอาแต่ขบเม้มปลายนิ้วเรียวของตนเองด้วยความลนลาน ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจโดยไม่ขัดขืน
แต่ความไร้เดียงสานี้กลับมีเสน่ห์น่าหลงใหลยิ่งกว่ายาปลุกกำหนัดเย้ายวนที่มีฤทธิ์รุนแรงเสียอีก ทำให้ท่านราชครูเว่ยถึงกับหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว!
กั่วเอ๋อร์น้อยผู้นี้มิได้ต้องลมฝนหยาดวสันต์มาเป็นเวลานาน จึงอ่อนไหวต่อการรุกเร้าเป็นพิเศษ หลังจากบทรักอันเร่าร้อนผ่านไปฉากหนึ่ง เตียงนอนก็ไม่เหมาะแก่การนอนอีกต่อไป ตอนที่ซั่นหมัวมัวถูกเรียกให้เข้ามาเก็บกวาดทำความสะอาดเตียงนั้น องค์หญิงก็ถูกราชครูเว่ยอุ้มไปที่ตั่งนุ่มในห้องตำราที่อยู่ติดกันแล้ว
เตียงใหญ่ที่เห็นนั้นราวกับสนามรบที่เพิ่งผ่านศึกหนักมา มันยุ่งเหยิงไปหมด แม้แต่ม่านข้างเตียงก็ถูกดึงทึ้งจนเหมือนแหจับปลาที่ขาด ผ้าปูเตียงก็เปียกแฉะไปทั้งแถบ
ซั่นหมัวมัวเห็นแล้วไม่แปลกใจเลยสักนิด ไม่เหมือนกับนางกำนัลน้อยสองคนที่อยู่ด้านหลังนั่นที่เห็นแล้วหน้าแดงก่ำใจเต้นรัว นางแค่ขมวดคิ้วและคิดในใจว่า พรุ่งนี้ต้องให้ห้องเครื่องเตรียมอาหารบำรุงและให้ความอบอุ่นต่อร่างกายสำหรับองค์หญิงให้มากหน่อยแล้ว ท่านราชครูโลดโผนถึงเพียงนั้น พระวรกายขององค์หญิงที่บอบบางอ่อนแอเช่นนั้นจะทนได้อย่างไรกันล่ะนี่
ราชครูเว่ยที่อยู่ในห้องตำราหารู้ไม่ว่าแม่ทัพหญิงค่อนขอดเขาอยู่ในใจ เขากำลังเพลิดเพลินกับการมองมือเล็กๆ คู่นั้นที่ข่วนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาจนเป็นรอยอยู่
เล็บขาวกระจ่างนั้นได้รับการดูแลรักษาอย่างงดงามจริงๆ ถึงแม้ไม่ได้ทาโค่วตัน แต่ก็ประดับด้วยพลอยเนื้ออ่อนชั้นดีอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความรักในความงามขององค์หญิงน้อยไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ เมื่อครู่เขาได้มองหน้าตนเองในคันฉ่อง รอยข่วนบนใบหน้าเริ่มแดงและบวมขึ้นมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าพอถึงวันพิธีมอบรางวัลแก่ทหารจะหายทันหรือไม่ หากเป็นคนอื่นที่ก่อเหตุรุนแรงเช่นนี้คงจะโดนโทษหนักให้ตัดมือทิ้งไปแล้ว! แต่พอเห็นนิ้วมือขาวราวกับหยกเนียนละเอียดนี้ทีไร เขากลับอยากยกขึ้นมาแตะริมฝีปากและจุมพิตเบาๆ ด้วยความทะนุถนอมทุกทีไป