ชิวหมิงเยี่ยนหันมองไปตามสายตาของราชครูเว่ยก็พบว่าฮ่องเต้น้อยกลับนั่งหลับลึกอย่างไม่รู้สึกรู้สา ในวันที่คนทั้งแคว้นพากันชื่นมื่นยินดี เจ้าเด็กหนุ่มโง่งมผู้นี้จะยโสโอหังไปถึงขั้นใดกัน! ตนยังพออดทนต่อฮ่องเต้น้อยนี่ได้บ้าง แต่สำหรับท่านราชครูนั้นไม่ได้มีนิสัยอดทนมากกว่าเขาหรอกนะ ในพิธีสำคัญเช่นนี้กลับไม่ไว้หน้าท่านราชครูเลย ช่างไม่สนใจความสูงของท้องฟ้าความหนาของผืนดินเลยจริงๆ!
เป็นดังคาด พอราชครูเว่ยเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่นทันทีแล้วเดินไปตรงหน้าฮ่องเต้น้อย พร้อมเอ่ยตำหนิด้วยเสียงต่ำว่า “หยวนกงกง เจ้าช่างทำงานสะเพร่ายิ่งนัก ไม่เห็นหรือว่าบนหอคอยลมพัดแรง! ปล่อยให้ฝ่าบาทประทับตากลมเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ไปเอาผ้าคลุมมาคลุมบังลมเสียสิ!”
หยวนกงกงหน้าเจื่อนทันที “ท่านราชครู บ่าวเอาผ้าคลุมมาถวายฝ่าบาทตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ฝ่าบาททรงปฏิเสธ ตรัสว่าฉลองพระองค์ในวันนี้เป็นฉลองพระองค์ลายมังกรที่เป็นงานแบบซูโจวที่ปักประณีตแบบฝีเข็มคู่ด้วยด้ายสีทองสองสี พอแดดส่องแล้วลวดลายมังกรจะเปลี่ยนสีได้ หากมีอะไรมาบังเกรงว่าเสื้อคลุมจะดูไม่งาม…เอ่อ ผู้น้อยก็จนปัญญาจริงๆ นะขอรับ!”
ราชครูเว่ยได้ฟังเช่นนี้ก็พอจะคาดเดาน้ำเสียงเอาแต่ใจของฮ่องเต้ผู้รักสวยรักงามพระองค์นี้ได้ จึงไม่ได้ตำหนิหยวนกงกงต่ออีก เพียงขมวดคิ้วและพูดว่า “เหลวไหล!”
เนี่ยชิงหลินที่เดิมทีก็ไม่ได้หลับเต็มอิ่มนัก พอได้ยินเสียงของราชครูเว่ยก็ลืมตาปรือพูดขึ้นว่า “ท่านราชครูขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร เราควรจะลงไปดื่มสุราต้อนรับเหล่าทหารแล้วหรือยัง”
แววตาของราชครูเว่ยอ่อนลง รู้อยู่แก่ใจดีว่านางเหนื่อยอ่อนจากความรักที่เขาปรนเปรอให้อย่างมิว่างเว้นในช่วงสองวันที่ผ่านมา เช้านี้ที่เขาตื่นมา กั่วเอ๋อร์ยังอยู่ในอาการง่วงงุน ตื่นไม่เต็มตามากนักตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกทั้งช่วงสองวันที่ผ่านมานี้นางยังถูกกดร่างอยู่บนเตียงจนแทบไม่ได้ลุกออกไปที่ใดเลย สีหน้าจึงดูหงุดหงิดเหมือนเด็กเพิ่งตื่นนอน และเพราะนางต้องตัดเล็บที่อุตส่าห์ไว้มาเสียยาว จึงหน้ามุ่ยเบ้ปากโยกโย้งอแงราวกับเด็กสามขวบ ยากนักที่กั่วเอ๋อร์น้อยผู้นี้จะอารมณ์เสีย ซึ่งราชครูเว่ยเห็นความแปลกใหม่นี้แล้วก็ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
เขาจึงต้องทั้งจูบทั้งปลอบนางอยู่พักหนึ่ง ท่าทางออดอ้อนของนางนั้นน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งยวด หากวันนี้นางไม่ต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย เขาคงไม่อาจหักใจตัดเล็บที่ได้บำรุงรักษาไว้อย่างดีไปง่ายๆ จริงๆ สุดท้ายเขาก็อุ้มเจ้าแมวน้อยขี้เซานี้ไว้ในอ้อมอก และใช้กรรไกรเงินเล่มเล็กตัดเล็บบนนิ้วมือเรียวทั้งสิบนั้นให้ด้วยมือของเขาเอง
แต่เพราะมัวพิรี้พิไรอยู่เช่นนี้จึงทำให้ตื่นสายไปหน่อย พอมองดูดวงอาทิตย์ก็เห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว ฮ่องเต้น้อยเองก็ดูท่าทางเหนื่อยล้ามากด้วย เขาจึงพูดขึ้นว่า “เหล่าทหารหาญทั้งหลายห่างครอบครัวมานาน ตอนนี้ภรรยาและบุตรของพวกเขาส่วนใหญ่มารอพบสามีและบิดาในเมืองหลวง พิธีมอบรางวัลแก่ทหารไม่จำเป็นต้องยืดยาวเกินไปนัก รีบปล่อยให้พวกเขากลับไปหาครอบครัว อยู่รวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตากับบิดามารดา ภรรยาและบุตรถึงจะเข้าทีที่สุด! ฝ่าบาทพระวรกายไม่ค่อยแข็งแรง ไม่ต้องลงไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ประเดี๋ยวกระหม่อมจะส่งฝ่าบาทกลับตำหนักเอง พรุ่งนี้ตอนงานเลี้ยงในวังค่อยดื่มสุราฉลองชัยชนะแก่พวกแม่ทัพและทหารทั้งหลายทีเดียวเลยแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”
พูดพลางเขาก็ยื่นมือออกไปประคองฮ่องเต้ขึ้นมา และบอกให้หยวนกงกงเตรียมรถม้าพระที่นั่งเพื่อส่งเสด็จฮ่องเต้กลับวัง บรรดาขุนนางอาวุโสในหอคอยเห็นดังนั้นต่างก็เข้าใจว่าราชครูเว่ยยังคงแสร้งแสดงความห่วงใยในสุขภาพของฮ่องเต้ ดูท่าว่ายังไม่มีความคิดที่จะปลดฮ่องเต้ในทันที จึงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่อัครมหาเสนาบดีชิวหมิงเยี่ยนกลับเหมือนถูกฟ้าผ่าจนยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม คนที่พูดจาด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนเมื่อครู่นี้คือท่านราชครูที่เขาชื่นชมศรัทธาจริงๆ หรือนี่ ฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้ใช้คาถาอาคมอะไรกันถึงทำให้ติ้งกั๋วโหวผู้หยิ่งผยองปฏิบัติด้วยอย่างปรานีอ่อนโยนถึงเพียงนี้ได้
คืนนั้นเจ้าหน้าที่ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊นอนหลับอย่างสงบสุขยิ่งโดยมีภรรยาและอนุอยู่ในอ้อมแขน มีเพียงใต้เท้าชิวเท่านั้นที่นอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างไม่อาจข่มตาหลับได้ เขานึกถึงความนุ่มนวลในมือที่ได้สัมผัสในวันนี้ และนึกถึงความอ่อนโยนของราชครูเว่ยที่สนทนากับฮ่องเต้น้อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในจิตใจ ความคิดมากมายกวนใจเขาจนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
พอวันรุ่งขึ้นขอบตาของเขาก็คล้ำอยู่บ้าง เหมือนกับฮ่องเต้น้อยก็ไม่ปาน