เนี่ยชิงหลินคิดออกแค่คำนี้เท่านั้น สิ่งที่ราชครูเว่ยพูดส่อนัยบางอย่าง เมื่อวันก่อนราชครูเว่ยค้างคืนอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งฉู ขณะกำลังทายาตรงบาดแผลที่ขาของเขาอยู่ นางมองดูบาดแผลที่ยังไม่สมานดีแล้วก็อดที่จะเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ที่ค้างคาอยู่ในใจไม่ได้ว่า ‘บาดแผลของท่านราชครูที่ถูกตะปูเหล็กข่วนเข้าที่ใบหน้าจนเป็นรอยลึกเมื่อคราวก่อน พอวันรุ่งขึ้นถูกองค์หญิงฉี่เคอเลียเข้าให้ บาดแผลนั่นก็หายสนิทเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าอัศจรรย์ใจ แต่เหตุใดคราวนี้ถึงไม่ได้ผลเหมือนเดิมเล่า’
ไม่ถามก็ดีหรอก พอเจอคำถามนี้ราชครูเว่ยก็หน้าหมองไปถนัดตา นึกถึงตอนที่อยู่ในป่าลึกนั่นขึ้นมาทันทีที่เขาถ่างขาออกมองดูแม่ทัพคนสนิทของตนคลานเข้ามาอย่างงุ่มง่ามเงอะงะ รู้สึกถึงขนเคราหนาๆ ที่เสียดสีกับผิวที่อ่อนโยนที่สุดตรงโคนขาทีละนิดๆ…
ทำอย่างไรถึงจะขจัดฝันร้ายพรรค์นี้ออกไปได้นะ แน่นอนว่าย่อมต้องอาศัยริมฝีปากอันสูงส่งของฮ่องเต้ช่วยขจัดปัดเป่าสักหน่อยแล้ว
เนี่ยชิงหลินจะยินยอมได้อย่างไรเล่า นางเพียงเขินอายจนไม่พูดกับราชครูเว่ยเลยทั้งคืน สุดท้ายก็เป็นราชครูเว่ยที่เป็นฝ่ายทำให้ดูเป็นตัวอย่างเสียเอง โดยแสดงความสามารถในการใช้ปากและลิ้นของเขาเล้าโลมเรียวขางดงามราวกับหยกสลักของนาง หญิงงามที่แง่งอนไม่พูดไม่จาจึงถูกเล้าโลมจนร้องไห้ครวญครางด้วยความอึดอัดทรมาน หายใจหอบกระเส่าพร่ำวอนขอความเมตตาไม่หยุด…
เมื่อเห็นฮ่องเต้น้อยซ่านกระสันจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด ราชครูเว่ยก็รู้ว่านางซึมซาบความหมายที่แท้จริงในคำพูดของเขาแล้ว จึงยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนจะทาบทับลงไปรั้งตัวฮ่องเต้ไว้ในอ้อมแขน ก่อนลิ้มรสเนื้อนวลตักตวงความสุขจนพอใจ จนริมฝีปากนุ่มนวลหอมละมุนนั้นถูกจูบจนแดงก่ำร้อนเร่าไปทั้งตัวแล้วนั้น ราชครูเว่ยก็เตรียมอุ้มฮ่องเต้ไปที่ห้องบรรทมชั้นใน กดตัวลงบนเตียงนุ่มแล้วปลดเสื้อคลุมมังกรออก แนบชิดนางตอนกลางวันแสกๆ นี้เลย…
ในเวลานี้เองขันทีที่อยู่หน้าประตูก็ส่งเสียงรายงานว่า “ใต้เท้าชิวขอเข้าพบราชครูเว่ยขอรับ!”
เนี่ยชิงหลินรู้สึกโล่งอกอย่างมากราวกับได้รับการปลดปล่อย อัครมหาเสนาบดีชิวมาได้จังหวะดีจริงๆ เหมือนฝนที่ตกลงมาในช่วงแล้ง ช่วยนางเอาไว้ได้ทันเวลาพอดี นางจึงถือโอกาสลุกขึ้นผละไปเสียเลย จากนั้นก็เตรียมกลับไปยังตำหนักเฟิ่งฉูเพื่อค้นดูที่ก้นหีบว่ามีสิ่งของใดเหมาะที่จะให้ซั่นหมัวมัวนำออกไปจำนำนอกวังได้บ้างหรือไม่ อย่างน้อยก็ควรเตรียมของขวัญที่เหมาะสมไว้สักชิ้นหนึ่งถึงจะดูเข้าทีหน่อย!
ขณะออกจากประตูห้องตำราก็บังเอิญเจอใต้เท้าชิวเข้าพอดี พอเนี่ยชิงหลินเงยหน้าขึ้นก็ตกใจเล็กน้อย ไม่ได้มองใต้เท้าชิวอย่างจริงจังมานานพอควร เหตุใดใบหน้าที่นับว่าหล่อเหลาของเขาถึงได้มีรอยคล้ำใต้ดวงตาทั้งสองข้างไปได้ล่ะนี่ หรือมีการก่อกบฏวุ่นวายเกิดขึ้นที่ใดอย่างนั้นหรือ จึงทำให้ใต้เท้าชิววิตกกังวลถึงเพียงนี้ได้
ส่วนใต้เท้าชิวที่ก้มศีรษะถวายบังคมฮ่องเต้แล้วเงยหน้าขึ้นมาก็เพียงรู้สึกถึงเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับม้าที่สวมเกือกเหล็กหลายหมื่นตัวควบทะยานอื้ออึงอยู่ในหู ขณะที่ฮ่องเต้มองมาทางเขานั้นยังคงยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน เพียงแต่…ริมฝีปากบางเนียนละเอียดนั่นกลับแดงและบวมเจ่อหน่อยๆ มองดูก็รู้ทันทีว่าเพิ่งถูกจูบมาอย่างหนักหน่วง…
ใต้เท้าชิวเดินตัวเกร็งแข็งทื่อเข้าไปในห้องด้านใน เห็นราชครูเว่ยนั่งอยู่ในท่าทางที่เคร่งขรึม แต่ริมฝีปากของท่านราชครูนั้นดูเหมือนว่า…มีรอยฟันขบอย่างชัดเจน
ราชครูเว่ยกำลังก้มหน้าอ่านฎีกาอยู่ แต่ขุนพลคนสนิทของเขาเข้ามาในห้องตำราแล้วกลับนิ่งเฉยไม่พูดไม่จาอยู่เป็นนาน เขาจึงอดเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจไม่ได้ กลับพบว่าไฝแดงบนหน้าผากของชิวหมิงเยี่ยนสดเข้มเสียจนเหมือนจะคั้นน้ำออกมาได้ สายตาทั้งคู่มองมาที่เขาอย่างอึ้งงัน
“เยี่ยนชิง* ไม่ได้เจอข้ามานาน วันนี้เลยตั้งใจแวะมามองข้าให้เต็มตาเลยหรือไร” ราชครูเว่ยหรี่นัยน์ตาหงส์พร้อมโพล่งถามขึ้น
‘เยี่ยนชิง’ เป็นชื่อที่ราชครูเว่ยตั้งให้ชิวหมิงเยี่ยน ตอนที่ชิวหมิงเยี่ยนเผชิญการเปลี่ยนแปลงในครอบครัวและได้เปลี่ยนมาใช้แซ่เว่ยนั้น ราชครูเว่ยได้พูดไว้ว่า ‘นับจากนี้ไปเจ้าก็ใช้ชื่อว่า ‘เว่ยเยี่ยนชิง’ เถอะ ต้องมีสักวันที่น้ำหมึกในแท่นฝนหมึกต้องหมดลง เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าย่อมทวงคืนศักดิ์ศรีและความบริสุทธิ์ของสกุลชิวคืนกลับมาได้อย่างแน่นอน’
ชิวหมิงเยี่ยนในเวลานั้นอาศัยคำพูดของท่านราชครูเป็นแรงผลักดันในการฟันฝ่าช่วงเวลาที่ยากลำบากช่วยให้ตนเองก้าวผ่านความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียครอบครัวมาได้โดยแท้จริง ถึงแม้ในเวลาต่อมาเขาจะเปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อเดิม แต่ชื่อที่ท่านราชครูตั้งให้นี้เขายังคงระลึกถึงอยู่มิรู้วายเพื่อเตือนตนเองว่าห้ามลืมบุญคุณของติ้งกั๋วโหวเป็นอันขาด