ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก
บทที่หนึ่ง
โอรสสวรรค์สุนัข
ภายในตำหนักกลางของวังปี้เซียว (เมฆมรกต) ขันทีน้อยในชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่งวางกรงทองในมือลงแล้วถวายบังคมเต๋อเฟย* ซึ่งนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน
พื้นของตำหนักปูด้วยศิลาทองคำอันหรูหรา แต่ถึงแม้จะเรียกว่าศิลาทองคำ ทว่าในความเป็นจริงมันกลับมีสีดำ พื้นผิวเรียบลื่นเกลี้ยงเกลา เปล่งประกายวาววับราวกับสายธาร ขันทีน้อยอดหรี่ตาลงไม่ได้ ราวกับว่าแสงเจิดจ้าของศิลาทองคำสว่างละลานตาเกินไป เขาเงยหน้าขึ้นน้อยๆ มองไปทางรองเท้าปักลายของเต๋อเฟยที่อยู่เบื้องหน้า
นี่คือรองเท้าปักดิ้นเงินดิ้นทองลายวิหค ด้านบนประดับตกแต่งด้วยอัญมณีเม็ดเล็กสีแดงสีเขียวเรียงต่อไปตามปีกและหางของตัวนกเป็นแนวคล้ายกระแสน้ำวนวาววับพร่างพราย สีสันแพรวพราวสดใส สวยงามน่ามองยิ่งนัก
เขาเคยได้ยินว่าแบบของรองเท้าคู่นี้เต๋อเฟยวาดขึ้นในยามว่าง เมื่อฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นก็ตรัสชมเชยเป็นการใหญ่ ทั้งยังมีรับสั่งเป็นพิเศษให้ช่างฝีมือจากแดนสยามเร่งเย็บปักทั้งวันทั้งคืนเพื่อพระราชทานให้ในวันคล้ายวันเกิดของเต๋อเฟย ทำให้เหล่าบรรดาสนมชายาทั้งหลายต่างอิจฉาตาร้อน เพราะแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ อย่างเช่นเสื้อผ้าอาภรณ์ ชีวิตความเป็นอยู่ก็ยังได้รับความสนพระทัยจากฝ่าบาทถึงเพียงนี้ เต๋อเฟยเป็นที่โปรดปรานมากน้อยเพียงไรก็เห็นได้จากเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้ มิน่าเล่าแม้แต่หลี่กุ้ยเฟยผู้ปกครองหกวัง ยังต้องหลบรัศมีของนาง
เมื่อคิดถึงตรงนี้สีหน้าของขันทีน้อยก็ยิ่งทวีความเคารพนอบน้อมมากยิ่งขึ้น
เต๋อเฟยสวมใส่เครื่องแต่งกายแบบชาววังสีน้ำเงินสด บนอาภรณ์ปักลายนกยูงอันสลับซับซ้อนด้วยเส้นไหมสลับสีเงินทอง พาให้ทุกอากัปกิริยาของนางเปล่งประกายเจิดจ้า รัศมีขจรขจาย ทำให้ผู้คนไม่กล้าจ้องมองตรงๆ ถึงแม้นางจะมีอายุเพียงแค่สิบเจ็ดสิบแปดปี ยังถือว่าอยู่ในวัยอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาอย่างที่สุด แต่บุคลิกสูงส่งน่าเกรงขามกลับลบเลือนความเยาว์วัยของนางไปจนสิ้น นัยน์ตาดำตัดขาวอย่างชัดเจน หางตาของดวงตาหงส์คู่นั้นยกขึ้นน้อยๆ เนื่องจากใช้ดินสอถ่านวาดขอบให้หนาขึ้น แววตาจึงแลดูคมปลาบยิ่งกว่าเดิม แม้ไม่แสดงอาการบันดาลโทสะก็ทำให้ผู้คนหวั่นเกรงได้
ขันทีน้อยเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วไม่กล้ามองอีก ในใจลอบหวาดหวั่น เป็นบุคคลที่เทียบเทียมได้กับเทพเซียนเช่นนี้ มิน่านางเข้าวังมาเพียงแค่สามปีก็ไต่เต้าจากตำแหน่งกุ้ยเหรินเล็กๆ โผทะยานขึ้นสู่อันดับหนึ่งของตำแหน่งราชชายาชั้นเฟยทั้งสี่ แม้แต่ฮองเฮาก็ต่อสู้แย่งชิงกับนางจนตัวตาย จะนับประสาอะไรกับหลี่กุ้ยเฟยผู้ถวายงานมาตั้งแต่ยังอยู่วังรัชทายาทจนรูปโฉมโรยราไม่เป็นที่โปรดปราดเช่นเดิมคนนั้น เมื่อรอให้แม่ทัพใหญ่เจี้ยนเวยบิดาของเต๋อเฟยปราบปรามกองทัพชาวหมาน แล้วนำชัยชนะกลับมาสู่ราชสำนักได้คราวนี้ ตำหนักในแห่งนี้ยังจะมิใช่อยู่ใต้กำมือของเต๋อเฟยอีกหรือ ไม่แน่ว่าฝ่าบาทอาจจะทรงดีพระทัยจนแต่งตั้งเต๋อเฟยเป็นฮองเฮาก็เป็นได้
บนใบหน้าของขันทีน้อยเผยรอยยิ้มประจบประแจง หลังจากเต๋อเฟยเรียกให้ลุกขึ้นก็ถือกรงทองเดินเข้าไป ก่อนจะชี้ลูกสุนัขสองสามตัวที่อยู่ในกรงพลางแนะนำอย่างกระตือรือร้น
นี่คือสุนัขซีซือสีขาว ขนเรียบนุ่มเป็นประกายมันวาวด้วยเพราะใช้แปรงหวีอย่างพิถีพิถัน เพราะเพิ่งเกิดได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน สุนัขจึงมีรูปร่างเล็กยิ่ง เมื่อเบียดอยู่รวมกันก็ราวกับเป็นก้อนหิมะก็ไม่ปาน ดูแล้วชวนให้คนรักใคร่สงสารเหลือเกิน
ดวงตาหงส์ของเมิ่งซังอวี๋หรี่ลงน้อยๆ แววตาพลันสว่างวาบ หลังที่ตั้งตรงโน้มไปด้านหน้า มองไปยังกรงสัตว์
“นี่คือ…” คิ้วงามของนางขมวดเล็กน้อย นิ้วชี้ไปยังร่างสีน้ำตาลสองก้อนตรงมุมสุดของกรง แล้วเอ่ยถามด้วยความลังเล
“ทูลเต๋อเฟย สุนัขพันธุ์นี้ชนชาติต่างแดนที่มีชื่อเรียกว่า ‘เกาหลู’ ได้มอบเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่ราชวงศ์ต้าโจวเราเมื่อครึ่งปีก่อนพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าเป็นสุนัขประจำราชสำนักของพวกเขา เป็นสายพันธุ์ที่มีค่าเลื่องชื่อ บังเอิญสุนัขพันธุ์นี้ออกลูกพอดี กระหม่อมคิดว่าอาจจะมีเจ้านายท่านใดชื่นชอบ จึงนำเข้ามาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยตอบอย่างพินอบพิเทา
เมื่อเทียบกับสุนัขพันธุ์จิงปาและพันธุ์ซีซือ ขนของสุนัขต่างแดนพันธุ์นี้ค่อนข้างหยิกและกระเซอะกระเซิง มองดูรกรุงรังยิ่งนัก ทั้งขนยังเป็นสีน้ำตาลเข้มราวกับดินโคลนก็ไม่ปาน ช่างไม่เข้ากับมุมมองด้านความงามของราชวงศ์ต้าโจว ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่งดงามน่ามอง แต่ดีร้ายอย่างไรก็ถือกำเนิดจากสายพันธุ์มีชื่อ บางคราบรรดาสนมชั้นล่างที่ไม่ได้รับความโปรดปรานเพราะมิได้รับเลือกให้ถวายงานก็จะมีความสุขกับการรับสุนัขไปเลี้ยง เมื่อใคร่ครวญถึงสภาพการณ์เช่นนี้แล้ว ก่อนออกเดินทางมาขันทีน้อยจึงเลือกลูกสุนัขพันธุ์นี้มาด้วยอีกสองตัว
เกาหลู? ใช่ประเทศฝรั่งเศสหรือไม่ แววตาของเมิ่งซังอวี๋เป็นประกายเล็กน้อย ริมฝีปากแดงขยับเอ่ยเบาๆ “ยกกรงเข้ามา ให้ข้าดูอย่างละเอียด”
ขันทีน้อยขานรับเสียงเบา แล้วอุ้มกรงพลางเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหยุดยืนนิ่งอย่างเชื่อฟังคำสั่ง
เมิ่งซังอวี๋จดจ้องไปยังก้อนกลมๆ สีน้ำตาลสองตัวในกรงเขม็ง นี่เป็นสุนัขพันธุ์กุ้ยปินของฝรั่งเศสจริงดังคาด ขนปุยหยิกฟูสีเฉี่ยวเค่อลี่ ดูน่ากินได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีจึงเปล่งประกายเป็นมันวาว แลดูมีสุขภาพแข็งแรงยิ่ง ลูกตาสีดำขลับฉ่ำน้ำ จะมองอย่างไรก็พาให้รักให้หลง
นางทะลุมิติมาสู่ราชวงศ์ต้าโจวเพราะอุบัติเหตุ และเข้ามาอยู่ในร่างของเมิ่งซังอวี๋ที่เพิ่งลืมตาดูโลก ในชาติก่อนนางเคยเห็นสุนัขพันธุ์ต่างๆ มามากมาย จึงไม่รู้สึกว่าลูกสุนัขสองตัวนี้อัปลักษณ์แม้แต่น้อย กลับชื่นชอบมากเสียด้วยซ้ำไป
จากที่เมิ่งซังอวี๋ใช้สายตาตรวจสอบ เจ้าก้อนกลมสีน้ำตาลที่มีรูปร่างผอมกว่าเล็กน้อยดูเหมือนไม่ใคร่จะสบายใจนัก มันขยับกายเข้าไปที่มุมกรง ยกก้นที่มีขนปุกปุยให้นางได้ชื่นชม แผ่นหลังที่ขดเป็นรูปทรงกลมนั้นเหมือนจะเผยให้เห็นถึงความสับสนมึนงง พี่น้องข้างกายมันคล้ายกับรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจ จึงเหยียดขาหน้าออกมาหมายจะโอบกอดมัน แต่กลับถูกมันใช้อุ้งเท้าตะปบเข้าให้ ท่าทางโอหังเฉียบคมอย่างบอกไม่ถูก ทว่าเมื่อประกอบเข้ากับร่างกลมตัวเล็กๆ และอุ้งเท้าเล็กป้อมแล้วกลับน่าขบขันยิ่งนัก
เมิ่งซังอวี๋กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ มือหนึ่งหยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายมาปิดบังรอยยิ้มที่มุมปาก อีกมือหนึ่งก็ชี้ไปยังก้อนกลมตัวน้อยในกรงพลางเอ่ย “ตัวนี้ฉลาดแสนรู้ยิ่ง เอาไว้ที่นี่”
ขันทีน้อยขานรับ เขาจับก้อนกลมสีน้ำตาลก้อนนั้นออกมาจากกรง มอบให้ปี้สุ่ยนางกำนัลซึ่งอยู่ด้านข้าง พร้อมทั้งกำชับเรื่องควรระวังในการเลี้ยงดูมากมาย สุดท้ายก็รับถุงเงินหนักๆ ใบหนึ่งจากมือปี้สุ่ยใส่แขนเสื้อ แล้วออกจากวังปี้เซียวไปด้วยความยินดีปรีดา
รอจนขันทีน้อยเดินจากไปไกลแล้ว เมิ่งซังอวี๋ซึ่งนั่งตัวตรงที่ตำแหน่งประธานก็ผ่อนคลายอิริยาบถทันที นางเอียงตัวพิงเก้าอี้กุ้ยเฟย* แล้วดึงปลอกเล็บสีทองอร่ามบนนิ้วทิ้ง ก่อนจะยื่นมือไปหาปี้สุ่ย เอ่ยปากอย่างเร่งร้อน “รีบนำมาให้ข้าอุ้มเร็วเข้า!” กลิ่นอายสูงส่งน่าครั่นคร้ามบนกายนางราวกับถูกลมพัดปลิวหายไปในพริบตา มลายสิ้นไปอย่างไร้ร่องรอย
“เต๋อเฟยทรงระวังหน่อยนะเพคะ สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ดุร้ายอยู่บ้าง อุ้มยากยิ่งนัก” ปี้สุ่ยจับเจ้าสุนัขตัวน้อยที่ดิ้นไม่หยุดเอาไว้ จากนั้นจึงส่งให้ผู้เป็นนาย แต่นางกลับไม่ทันสังเกตว่ายามที่เอ่ยคำว่า ‘สัตว์เดรัจฉาน’ ลูกสุนัขในมือก็ชะงักนิ่งไปชั่วครู่
กระทั่งเจ้าลูกสุนัขได้สติกลับคืนมา มันก็ถูกย้ายไปอยู่ในอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋เสียแล้ว ปลายนิ้วเรียวยาวขาวนวลเนียนของเมิ่งซังอวี๋ไล้ผ่านแผ่นหลังของมันอย่างเชื่องช้าและอ่อนโยน นำพาความรู้สึกชาหนึบและสั่นเทิ้มมาด้วย ทำให้มันร้องครางหงิงๆ อย่างกลั้นไม่อยู่
“มันกำลังอ้อนอยู่ด้วย น่ารักเสียจริง!” น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนน่าหลงใหลของเมิ่งซังอวี๋เจือด้วยความขบขันอย่างเข้มข้น
เจ้าลูกสุนัขหลับตาพริ้ม เคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ แต่ชั่วครู่ร่างกายก็พลันแข็งชะงัก สลัดดิ้นขึ้นมาอย่างรุนแรง
“เจ้าตัวน้อย อย่าขยับมั่วซั่วสิ เดี๋ยวจะตกไปบาดเจ็บเอานะ!” เมื่อเห็นเจ้าลูกสุนัขกระโจนออกจากอ้อมกอดของตน เมิ่งซังอวี๋ก็ตื่นตระหนก ยื่นมือออกไปคว้าอย่างร้อนรน
ทว่านางยังช้าไปหนึ่งก้าว พอเจ้าลูกสุนัขทะยานออกจากอ้อมแขนของนางก็ตกลงไปด้านล่าง ถึงแม้จะมีพรมขนแกะหนานุ่มเป็นสิ่งผ่อนแรงปะทะ แต่อย่างไรมันก็เพิ่งเกิดได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ร่างกายยังคงอ่อนแอบอบบางมาก ครานี้ตกลงไปไม่เบานัก จึงนอนคว่ำอยู่บนพรมลุกไม่ขึ้น ปากเล็กๆ ที่แม้แต่ฟันน้ำนมก็ยังขึ้นไม่ครบอ้าออกน้อยๆ หอบหายใจดังฟืดฟาด แลดูน่าสงสารยิ่งนัก
เมิ่งซังอวี๋รีบยอบตัวอุ้มมันเข้าสู่อ้อมอก ตรวจดูร่างกายและขาทั้งสี่อย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเรียกให้ปี้สุ่ยกับอิ๋นชุ่ยไปเชิญหมอหลวงมาอย่างเร่งร้อน
กระทั่งหมอหลวงมาและจากไปแล้ว เจ้าลูกสุนัขก็ปล่อยให้คนจับไปจับมาอย่างสงบ ไม่ดิ้นหนีอีก
“เด็กดี” เมื่อแน่ใจว่าเจ้าลูกสุนัขไม่ได้บาดเจ็บอันใด ใบหน้าเรียวที่เคร่งขึงของเมิ่งซังอวี๋จึงผลิยิ้มออกมา นางใช้ปลายนิ้วขยี้ศีรษะลูกสุนัข พูดสั่งอย่างเข้มงวดจริงจัง “ตอนนี้เจ้ายังเล็กอยู่ หากอยากจะออกไปดูโลกภายนอกก็ยังไม่ต้องรีบ รอให้เจ้าโตกว่านี้อีกหน่อย เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว เจ้าอยากจะไปที่ใดล้วนได้ทั้งนั้น”
เจ้าลูกสุนัขเงยหน้าขึ้นมา ลูกตาดำขลับจ้องนางเขม็ง แววตาสลับซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูกแฝงไว้ด้วยความรู้สึกมากมายราวกับมนุษย์ไม่มีผิด แลดูฉลาดเฉลียวเป็นที่สุด เมิ่งซังอวี๋รู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจ แต่ครั้นจะมองดูให้ละเอียดอีกทีเจ้าลูกสุนัขก็ก้มหน้าลงและนอนซบอยู่ในอ้อมกอดของนางแล้ว ร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้สิ้นเรี่ยวแรง ให้ความรู้สึกเหมือนมันจนใจกระทั่งปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต
เมิ่งซังอวี๋รู้สึกว่าตนคิดมากเกินไป นางลูบแผ่นหลังของเจ้าลูกสุนัขพลางสั่งให้แม่นมเฝิงไปต้มโจ๊กหมูมาให้ถ้วยหนึ่ง
โจ๊กหมูหอมกรุ่นต้มเสร็จในเวลาไม่นาน แม่นมเฝิงรอให้โจ๊กเย็นลงก่อนแล้วจึงยกมายังวังปี้เซียว จากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะแปดเซียน ซึ่งทำจากไม้มะเกลือตัวหนึ่ง
เมิ่งซังอวี๋เดินเข้าไป วางเจ้าลูกสุนัขลงบนโต๊ะ แล้วชี้ไปยังโจ๊กพลางเอ่ยเสียงนุ่ม “เจ้าตัวน้อย รีบกินเสีย”
เจ้าลูกสุนัขเดินเข้าไปราวกับอดใจไม่ไหว จากนั้นก็นั่งมองโจ๊กหมูแวบหนึ่ง มองพวกเมิ่งซังอวี๋อีกแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาอันใดอีก
เมิ่งซังอวี๋ยื่นมือไปดันก้นของเจ้าลูกสุนัขเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนละมุน “เจ้าตัวน้อย เมื่อครู่ยังท้องร้องอยู่เลย ไฉนตอนนี้ถึงไม่กินเล่า”
เจ้าลูกสุนัขขยับตัว แต่ยังคงนั่งนิ่งต่อไป ไม่ชำเลืองหางตามองโจ๊กหมูเลยด้วยซ้ำ
ดวงตาคู่งามของเมิ่งซังอวี๋ทอประกายน้อยๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ยกมือออกคำสั่งกับนางกำนัล “ฝ่าบาททรงบาดเจ็บสาหัส รักษาพระวรกายอยู่ที่วังเฉียนชิง (ฟ้ากระจ่าง) ยาในแต่ละวันไม่อาจขาดตกบกพร่อง ไป จงตามเราไปเลือกโอสถที่จะถวายที่คลังเก็บของ”
บรรดานางกำนัลขานรับอย่างพร้อมเพรียง เดินตามหลังเมิ่งซังอวี๋ออกไปจากตำหนักกลาง ภายในตำหนักจึงเงียบสงัดลงอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งเค่อ โจ๊กหมูเย็นชืดเสียแล้ว แต่กลิ่นหอมหวนยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ กระตุ้นประสาทรับกลิ่นของเจ้าลูกสุนัขอย่างไม่หยุดหย่อน มันกลืนน้ำลาย ก่อนจะหันหน้ามองไปรอบๆ เมื่อมั่นใจว่าไร้ผู้คนจึงยกอุ้งเท้าอวบอ้วนขึ้น เดินเตาะแตะไปข้างถ้วย จมูกเล็กๆ ดมฟุดฟิดก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงแลบลิ้นสีชมพูเลียชิมไปหนึ่งคำ ครั้นพบว่ารสชาติดีกว่าที่จินตนาการไว้ มันก็ส่งเสียงครางหงิง แล้วก้มหน้าก้มตากิน
“คิกๆ ที่แท้เจ้าตัวน้อยก็อายนี่เอง” เมิ่งซังอวี๋ซึ่งแอบมองอยู่หลังประตูหัวเราะจนเกือบจะล้มคะมำ บรรดาข้ารับใช้ประจำตัวนางก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหวเช่นกัน
พอเจ้าลูกสุนัขได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นเป็นระลอกร่างกายก็พลันชะงักนิ่งไป ศีรษะซึ่งฝังลงในถ้วยไม่ขยับเขยื้อน กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ อาจจะเป็นเพราะทำใจได้แล้วมันจึงขยับไปอีกทางหนึ่ง หันก้นให้พวกเมิ่งซังอวี๋ แล้วก้มหน้าผลุบๆ โผล่ๆ กินต่อไป วางท่าทีไม่แยแสสนใจ
เมิ่งซังอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ไม่แอบซ่อนอีกต่อไป เดินหัวเราะคิกคักออกมาจากหลังประตู นั่งลงหน้าโต๊ะ เอียงศีรษะ แล้วใช้มือหนึ่งเท้าคาง มองชื่นชมท่าทางยามกินอันน่ารักน่าชังของเจ้าลูกสุนัขอย่างออกรสออกชาติ
แรกเริ่มเดิมทีเจ้าลูกสุนัขยังเหลือบมองนางเป็นระยะๆ แต่พอเห็นนางนั่งอยู่เงียบๆ นิ่งๆ อีกด้านจึงลดความระแวงลง ตั้งอกตั้งใจกินอาหาร
ครั้นเจ้าลูกสุนัขกินโจ๊กหมูจนหมด เมิ่งซังอวี๋จึงอุ้มมันลงจากโต๊ะ แล้วพาไปเดินย่อยอาหารรอบๆ วังปี้เซียว ครึ่งชั่วยาม ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ท้องนภาค่อยๆ มืดลง เมิ่งซังอวี๋รีบกำชับให้นางกำนัลตระเตรียมน้ำอุ่นและกระถางไฟ จากนั้นก็เช็ดตัวให้เจ้าลูกสุนัขด้วยตัวเอง
ลูกสุนัขที่เพิ่งเกิดไม่สามารถอาบน้ำได้ ต้องหลังจากอายุสี่เดือนขึ้นไปถึงจะลงน้ำได้ แต่เจ้าลูกสุนัขนี้ถูกเลี้ยงในโรงเลี้ยงสัตว์ บรรดาข้าหลวงมิได้ตั้งใจดูแลเป็นพิเศษ บนตัวจึงมีกลิ่นเหม็นคาว ครั้นเมิ่งซังอวี๋ดมๆ ดูก็ตัดสินใจนำผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดทำความสะอาดให้เจ้าลูกสุนัขครั้งหนึ่ง
มันไม่ขยับตัวดิ้นเหมือนลูกสุนัขตัวอื่นๆ และยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีตลอดทุกกระบวนการ ทำให้นางประหลาดใจยิ่งนัก
“ข้าดูไม่ผิดจริงๆ เจ้าตัวน้อยตัวนี้แสนรู้ ซ้ำยังเฉลียวฉลาดอีกด้วย!” เมิ่งซังอวี๋เช็ดอุ้งเท้าของมัน น้ำเสียงมีแววภาคภูมิใจอยู่บ้าง ทั้งยังเจือแววรักใคร่ การเลี้ยงสัตว์ต้องดูพรหมลิขิต นางรู้สึกว่าตัวเองกับเจ้าตัวน้อยตัวนี้ต้องมีวาสนาต่อกันเป็นแน่ มิฉะนั้นเหตุใดนางจึงหลงรักในชั่วพริบตาเช่นนี้ได้เล่า
“เต๋อเฟย พวกเราจะเอาแต่เรียกเจ้าตัวน้อยๆ ไม่ได้นะเพคะ ตั้งชื่อให้มันสักชื่อเถิด” อิ๋นชุ่ยแนะนำพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“อืม” ดวงตาหงส์ของเมิ่งซังอวี๋หรี่ลงเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้น “เรียกอาเป่าก็แล้วกัน แก้วตาดวงใจ ของข้า”
อาเป่า? ร่างของเจ้าลูกสุนัขแข็งทื่อทันที เพียงแต่เมิ่งซังอวี๋มิได้รู้สึกถึงเลยแม้แต่น้อย นางยื่นมันที่ตัวเปียกหมาดๆ ส่งให้ปี้สุ่ยซึ่งยืนถือผ้าแห้งอยู่อีกด้าน
กระถางไฟใบใหญ่ๆ สองใบที่มีไฟแผดเผาลุกโชนช่วยขับไล่ความหนาวเย็นของช่วงต้นสารทฤดู อาเป่าซึ่งเช็ดตัวจนสะอาดเกลี้ยงเกลาแล้วถูกห่อหุ้มด้วยผ้าแห้ง นอนหมอบอยู่บนหัวเข่าของเมิ่งซังอวี๋ ด้านหนึ่งกำลังฟังบทสนทนาของนางกับนางกำนัลอย่างเงียบๆ อีกด้านก็จดจ้องกระถางไฟจนเหม่อลอย ผ่านไปไม่นานก็เปิดเปลือกตาไม่ขึ้น
“อาเป่าหลับไปแล้ว ยกที่นอนของมันเข้ามา นำมาไว้ในตำหนักบรรทมของข้านั่นแหละ” เมื่อเห็นสองตาของเจ้าลูกสุนัขปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ ขนก็แห้งสนิทเช่นเดียวกัน เมิ่งซังอวี๋จึงหยุดพูดคุยและออกคำสั่งเสียงเบา
แม่นมเฝิงรีบยกตะกร้าใบเล็กซึ่งสานขึ้นจากกิ่งหลิว ภายในตะกร้าปูด้วยผ้าฝ้ายอ่อนนุ่มเข้ามาวางไว้ที่มุมของตำหนักบรรทม จากนั้นเมิ่งซังอวี๋ก็วางอาเป่าลงไปอย่างระมัดระวัง ทั้งยังดึงผ้าฝ้ายผืนหนึ่งขึ้นปิดท้องเล็กๆ ของมันไว้อย่างเอาใจใส่
จนกระทั่งนางจากไปอย่างเงียบเชียบแผ่วเบา อาเป่าซึ่งเดิมทีหลับตาสนิทก็พลันลืมตาขึ้นในทันใด แววตาสว่างวาบและคมกริบเปี่ยมไปด้วยพลังในการมองทุกสิ่งออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อประกอบกับร่างอวบกลมเล็กๆ จึงแลดูแปลกพิกล
ในความเป็นจริง ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้อาเป่าก็มิใช่อาเป่าตัวเดิมอีกแล้ว ร่างเล็กๆ ของมันมีวิญญาณของกู่เซ่าเจ๋อ ฮ่องเต้ในรัชกาลปัจจุบันเข้ามาสิงสถิต ถึงแม้จะมีวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรถึงเพียงนี้ แต่อาเป่าก็ยังเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่ง ทั้งยังเป็นลูกสุนัขต่างแดนที่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาด
นี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘พยัคฆ์ตกที่ราบถูกสุนัขรังแก มังกรเกยหาดตื้นถูกกุ้งกลั่นแกล้ง’ กระมัง
ครึ่งเดือนก่อนกู่เซ่าเจ๋อเดินทางไปยังเขาเชียนฝอ (สหัสพุทธ) เพื่อเยี่ยมเยือนไทเฮา (พระพันปี) ระหว่างทางกลับวังไม่ทันระวัง ม้าจึงตกใจจนสลัดเขาร่วงลงมา พอฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นลูกสุนัขตัวหนึ่งในโรงเลี้ยงสัตว์เสียแล้ว
เมื่อคิดถึงว่าครึ่งเดือนมานี้เขาถูกขังอยู่ในกรง ร่วมกินร่วมอยู่กับเหล่าสัตว์เดรัจฉาน ทั้งยังถูกบังคับให้ดื่มน้ำนมจากแม่สุนัขตัวหนึ่ง ใบหน้าของกู่เซ่าเจ๋อก็เขียวคล้ำเล็กน้อย โชคดีที่เป็นสุนัขขนดกหนา ต่อให้แสดงสีหน้าเหยเกแปลกพิลึกออกมาพวกข้าหลวงในโรงเลี้ยงสัตว์ก็ไม่รู้ มิเช่นนั้นเขาคงถูกมองว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายแล้วโดนนำไปเผาตั้งนานแล้ว
ผู้เป็นฮ่องเต้ย่อมมีสติปัญญาและความเด็ดเดี่ยวสูงส่งเหนือคนทั่วไป หลังจากผ่านความตื่นตระหนก หวาดกลัว ลังเล และสับสนในตอนแรกมาได้ กู่เซ่าเจ๋อก็ปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งไม่ปล่อยให้ตนหิวตายและมิได้ปลิดชีพตัวเองในทันที เพียงแต่เพราะไม่ยอมดื่มนมและไม่ชอบกินอาหารสุนัขบดละเอียด ร่างกายจึงผ่ายผอมกว่าลูกสุนัขทั่วไปเล็กน้อย
โรงเลี้ยงสัตว์ตั้งอยู่ในวังหลวง ขันทีน้อยในโรงเลี้ยงสัตว์จะสนทนาเรื่องราวในวังหลวงบ้างเป็นครั้งคราว หลังจากคอยแอบฟังมาครึ่งเดือน เขาก็ได้รู้ว่าตนยังไม่ตาย ทว่าบาดเจ็บสาหัสไม่ได้สติ แต่สิบวันก่อนได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว และยามนี้กำลังพักรักษาตัวอยู่ที่วังเฉียนชิง แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นเพียงแค่ข่าวลือ เบื้องลึกเบื้องหลังที่แท้จริงเป็นเช่นไรไม่มีผู้ใดทราบได้
เขาฟื้นแล้วจริงหรือไม่ หรือว่าจะมีสภาพเดียวกับอาเป่า ร่างกายถูกวิญญาณภายนอกเข้ายึดครอง? แล้ววิญญาณที่ยึดครองร่างกายของเขาเป็นคนหรือเป็นมาร? จะเป็นภัยต่อแว่นแคว้นหรือไม่ คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในใจของกู่เซ่าเจ๋อ ทำให้เขาจะกินจะนอนก็ไม่สงบใจ หากมิใช่เพราะร่างกายอ่อนแอบอบบาง อีกทั้งถูกขังเอาไว้ในกรง ป่านนี้เขาคงจะวิ่งไปสืบเสาะหาความจริงที่วังเฉียนชิงตั้งนานแล้ว
จนกระทั่งเมื่อเช้านี้ขันทีน้อยตั้งอกตั้งใจคัดเลือกลูกสุนัข ทั้งยังเอาแต่พูดว่าจะมอบให้พระสนมในวังต่างๆ เขาก็รู้ว่าโอกาสที่ตนจะได้เดินออกจากกรงมาถึงแล้ว จึงเปลี่ยนท่าทีจากสงบเสงี่ยมเป็นร่าเริงและน่าเอ็นดู วิ่งเข้าหาขันทีน้อยอย่างไม่ลดละ กอปรกับมีดวงตาฉ่ำน้ำที่มีแววแสนรู้เต็มเปี่ยมคู่นั้น พอขันทีน้อยเห็นก็ถูกใจทันทีดังคาด พาเขาไปยังตำหนักในด้วย
เขาถดตัวไปอยู่ในมุมหนึ่งของกรง มองดูทางเดินใต้เท้าซึ่งทอดยาวไปไม่หยุด ผ่านขั้นบันไดขั้นแล้วขั้นเล่าที่แต่ก่อนไม่เคยรู้สึกว่าสูงชัน แต่มาบัดนี้กลับแลดูสูงเสียเหลือเกิน จิตใจของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นสับสนอย่างยิ่ง
หลังจากก้าวข้ามธรณีประตูสูงตระหง่านและสามารถมองเห็นศิลาทองคำสีดำที่ส่องแสงวาววับรางๆ กู่เซ่าเจ๋อจึงรู้ว่าตนได้มาถึงตำหนักในแล้ว แต่เพราะมองไม่เห็นทัศนียภาพทั้งหมด และมองไม่เห็นป้ายที่แขวนไว้บนประตู เขาจึงไม่รู้แน่ชัดว่าที่นี่คือที่ใดกันแน่ ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมาและเผชิญหน้ากับสตรีในชุดแต่งกายเต็มยศซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานผู้นั้น เขาก็รู้ว่าที่นี่คือวังปี้เซียว วังของเต๋อเฟยผู้เป็นอันดับหนึ่งในราชชายาชั้นเฟยทั้งสี่
เมิ่งซังอวี๋เป็นชายาที่เขา ‘โปรดปราน’ ที่สุด ในวังหลวงที่ผู้คนพากันเหยียบย่ำผู้อื่นเพื่อให้ก้าวขึ้นสู่ที่สูงแห่งนี้ ขันทีน้อยให้นางได้เลือกก่อนก็ดูสมเหตุสมผล
ดวงตาของสุนัขมองไม่เห็นสีสันใด ในสายตาของพวกมันโลกทั้งใบมีเพียงสีขาวกับดำเท่านั้น หากมิใช่เพราะประสบเคราะห์กรรมคราวนี้ กู่เซ่าเจ๋อก็คงไม่มีวันได้รู้เรื่องนี้ เขาดิ้นรนเอาชีวิตรอดในโลกอันสลัวรางไร้ที่สิ้นสุดมาครึ่งเดือน ครั้นได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยก็ตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก เผลอเหม่อมองดวงหน้าของสตรีบนที่นั่งอย่างลืมตัว
หญิงสาวในชุดแต่งกายเต็มยศโน้มกายลงเล็กน้อยพลางมองมาทางเขา เส้นผมสีดำสนิทราวกับจุ่มหมึกนั้น ผิวพรรณใสกระจ่างราวกับหิมะนั้น ดวงตาหงส์ที่เป็นสีขาวดำตัดกันอย่างชัดเจนนั้น ท่วงท่าสูงส่งเยียบเย็นนั้น ทั้งหมดมีแค่คำคำเดียวที่สามารถใช้บรรยายได้ นั่นก็คือคำว่างดงาม เป็นความงามที่เหนือกว่าปกติสามัญ งดงามเสียยิ่งกว่ายามที่ตัวนางมีสีสัน อาจจะเป็นเพราะมุมมองแตกต่างออกไป อาจจะเป็นเพราะสภาพจิตใจไม่เหมือนเดิม ชั่วพริบตานั้นเขาจึงสับสนงงงวยอยู่บ้าง
สาวงามตรงหน้าที่ดุจดั่งเดินออกมาจากภาพวาดผู้นี้เป็นสนมของเขา แต่เขากลับพบหน้านางในสภาพของสุนัข เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ เขาก็ฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็ว หันกายขดเป็นก้อนกลมๆ ในทันใด อยากจะหายตัวไปใจจะขาด
ทว่าเทวดาฟ้าดินไม่ได้ยินคำขอ เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้หายตัวไป แต่ยังถูกนางเลือกอีกด้วย ขันทีน้อยหิ้วคอยกเขาออกมา ส่งไปยังมือของนางกำนัลผู้หนึ่ง นางกำนัลผู้นั้นเอาแต่เรียกเขาว่าสัตว์เดรัจฉาน เขาตัวแข็งไปทั้งร่าง อยากจะพ่นไฟแต่ก็ไม่อาจทำได้
ในชั่วขณะที่จิตใจล่องลอยเขาถูกเมิ่งซังอวี๋อุ้มไว้ อ้อมกอดของนางอบอุ่นนุ่มละมุน ส่งกลิ่นหอมกรุ่นจางๆ แตกต่างจากกรงขังที่หนาวเหน็บและมีกลิ่นประหลาดอย่างสุดขั้ว ทำให้เขาเคลิบเคลิ้มอย่างอดไม่อยู่ เกือบจะหลับสนิทภายใต้สัมผัสลูบไล้อันอ่อนโยนของนาง แต่ทันใดนั้นพอนึกขึ้นได้ว่าตนเป็นถึงเจ้าแผ่นดินผู้สูงส่งน่าเกรงขามแต่กลับถูกสนมของตนอุ้มเล่นอยู่บนตักก็รู้สึกโกรธเคืองและอับอายเต็มหัวใจ เขาจึงเริ่มสะบัดหนีอย่างรุนแรงทันที
เมื่อหลุดออกจากอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋แล้วตกลงบนพื้นอย่างแรง เขาถึงตระหนักได้ว่าตอนนี้ตนมิใช่ฮ่องเต้ แต่เป็นแค่ลูกสุนัขที่เพิ่งเกิดได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ความเจ็บปวดรุนแรงทั่วร่างกำลังเตือนสติเขาว่าหากหลีกหนีจากการปกป้องของสตรีผู้นี้ เขาก็ไม่อาจมีชีวิตรอดอยู่ในวังหลวงได้อย่างแน่นอน ในยามที่ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ฮ่องเต้ในวังเป็นคนหรือเป็นผีและจะเป็นภัยต่อแว่นแคว้นหรือไม่เขาก็ไม่อาจตายได้
ดังนั้นเขาจึงละทิ้งความไม่พอใจและหยุดดิ้นรนขัดขืน สะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวและอับอายในใจไว้ ปล่อยให้คนจับเล่นตามใจชอบ ในช่วงเวลานี้การเปลี่ยนแปลงของเมิ่งซังอวี๋ทำให้เขาประหลาดใจ
สตรีผู้นี้ตระเตรียมโจ๊กหมูหอมกรุ่นให้เขาอย่างเอาใจใส่ ทำให้เขาซึ่งกินอาหารสุนัขมาครึ่งเดือนแทบจะหลั่งน้ำตา นางถึงกับยอมให้เขากินอาหารบนโต๊ะ หาใช่ขับไล่ไปยังมุมมืด สตรีผู้นี้อาบน้ำให้เขาด้วยตัวเอง ซ้ำอากัปกิริยายังอ่อนโยนแผ่วเบา ไม่เหมือนกับความหยาบกระด้างและน่ารำคาญใจของเหล่าข้าหลวงในโรงเลี้ยงสัตว์พวกนั้นเลยแม้แต่น้อย สตรีผู้นี้พูดคุยกับเขาด้วยเสียงอ่อนหวาน ท่าทีอ่อนโยนเป็นมิตรราวกับปฏิบัติต่อคนคนหนึ่ง หากพูดให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นก็คือราวกับปฏิบัติต่อเด็กคนหนึ่ง
กู่เซ่าเจ๋อมองดวงตาซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยความอ่อนโยนของเมิ่งซังอวี๋เขม็ง จิตใจเขาสับสนถึงขีดสุด นี่ใช่เมิ่งซังอวี๋ที่พูดแค่คำสองคำก็บังคับขู่เข็ญฮองเฮาจนตาย กดหัวกุ้ยเฟยจนกระทั่งได้รับความโปรดปรานที่สุดในหกวัง นิสัยแข็งกร้าวชอบทำตามอำเภอใจผู้นั้นหรือ? นางที่แย้มยิ้มอย่างงดงามเพริศพริ้ง สดใสมีชีวิตชีวาเช่นนี้ เขาแทบจะไม่รู้จักเลยสักนิด
ทว่าหลังจากผ่านความทรมานมาทั้งวันเขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปสืบเสาะ ภายใต้ความร้อนของกระถางไฟที่อุ่นสบาย ภายใต้สัมผัสลูบไล้อันอ่อนโยนแผ่วเบาของเมิ่งซังอวี๋ เขาก็หลับไปอย่างรวดเร็วด้วยสติอันรางเลือน หลับลึกและหลับสนิทเป็นครั้งแรกในรอบครึ่งเดือนที่ผ่านมา
ทว่ายามที่เมิ่งซังอวี๋วางเขาลงในตะกร้าอย่างระมัดระวัง เขาซึ่งมีความตื่นตัวสูงกว่าคนปกติก็ตื่นขึ้นมาทันที จนกระทั่งนางค่อยๆ ย่องออกไป เขาถึงได้ลืมดวงตาสีดำสนิทขึ้น ใช้แววตาอันสลับซับซ้อนจ้องมองเงาร่างของนางเนิ่นนาน
เขาปัดผ้าฝ้ายบนท้องออก รำพึงว่าตนครั้นกลายเป็นสุนัขก็มีชื่อน่าสังเวชเสียแล้ว เขาทั้งรู้สึกจนใจ โกรธเกรี้ยว และไม่สบายใจอยู่ไม่น้อย
อาเป่า แก้วตาดวงใจ? นี่มันชื่ออะไรกัน สมกับที่เป็นพยัคฆ์สาวสกุลขุนศึกจริงๆ ไม่มีศิลป์ในการตั้งชื่อเลยแม้แต่น้อย! เขาอยากจะหัวเราะสักครา ทว่าหลังจากพบว่าเสียงที่ตนเปล่งออกมาเป็นเสียงครางหงิงที่ทั้งอ่อนนุ่มและน่าเอ็นดู ใบหน้าของกู่เซ่าเจ๋อก็พลันซีดในชั่วพริบตา เขาใช้อุ้งเท้าตบผ้าฝ้ายผืนเล็กๆ ด้วยความโมโห จากนั้นจึงค่อยๆ หลับตาลง