ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก – หน้า 10 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก

บทที่สิบ

ท้องฟ้ามีเรื่องประหลาด

 เพราะฝ่าบาททรงพิโรธ เรื่องการแต่งตั้งฮองเฮาและรัชทายาทจึงต้องพักเอาไว้ก่อน ตำหนักในและราชสำนักจึงเงียบสงบไประยะหนึ่ง ครั้นผ่านไปครึ่งเดือนก็ถึงวันบวงสรวงอดีตฮ่องเต้ สนมชายาขั้นสี่ขึ้นไปและเหล่าองค์ชายองค์หญิงต่างต้องสวมชุดไว้ทุกข์แล้วไปสุสานของราชวงศ์เพื่อประกอบพิธีบวงสรวง ไทเฮามิได้เสด็จมาเหมือนเช่นเคย เพียงแค่ทรงส่งฉลองพระองค์กันหนาวที่ปักเย็บด้วยพระองค์เองมาให้ฮ่องเต้ทรงเผาส่งไปให้ฮ่องเต้องค์ก่อนเพียงเท่านั้น

ในพระราชพิธี องค์ชายใหญ่มีท่าทีสงบเงียบเหมือนดังที่ผ่านมา แต่องค์ชายรองกลับโดดเด่นอย่างเหนือความคาดหมาย หลังจากถูกฮ่องเต้ตำหนิเขาก็ดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก กิริยาสุภาพมีมารยาท การพูดการกระทำเหมาะสมถูกกาลเทศะ ยิ่งกว่านั้นยังเขียนบทสรรเสริญอันซาบซึ้งตรึงใจ ถ้อยคำสำนวนสละสลวย ทำเอาขุนนางเก่าแก่หลายคนซาบซึ้งจนน้ำตาไหลอาบแก้ม

หลังจากพิธีบวงสรวงผ่านพ้นไป ขุนนางใหญ่หลายคนก็ยกย่องชื่นชมในความกตัญญูรู้คุณและความสามารถขององค์ชายรองเป็นเท่าทวี ฮ่องเต้เองก็ตรัสชมเชยหลายคำ ทำให้เรื่องวุ่นวายที่องค์ชายรองถูกตำหนิว่าโง่เขลา ไม่อาจแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ได้ผ่านพ้นไปในที่สุด

เมิ่งซังอวี๋ย้อนนึกถึงการแสดงความสามารถขององค์ชายรองในพิธีบวงสรวงก็ต้องทอดถอนใจพลางกล่าว “ในวังแห่งนี้ แม้แต่เด็กน้อยอายุสิบขวบก็ไม่ธรรมดาเลย! การแสดงยิ่งใหญ่ขนาดนั้นก็สามารถเอาอยู่ ไม่เสียทีที่เป็นราชสกุล ดูท่าแล้วหลี่กุ้ยเฟยคงจะลงมือเร็วๆ นี้เป็นแน่” ถึงแม้จะพูดกันว่าองค์ชายรองอายุสิบสองปีแล้ว แต่นั่นไม่เป็นความจริง องค์ชายรองเพิ่งจะสิบปีเท่านั้น

“เต๋อเฟยทรงรู้ได้อย่างไรเพคะว่าหลี่กุ้ยเฟยจะลงมือ” ปี้สุ่ยชินกับคำพูดแปลกๆ ที่ผู้เป็นนายพูดออกมาเป็นครั้งคราวแล้ว จึงเลือกถามแต่ในส่วนที่ฟังเข้าใจเท่านั้น

“พอรู้เรื่องโป๊ะแตกของฝ่าบาทกับเหลียงเฟยแล้ว หากนางไม่รีบฉกฉวยเวลาให้ตัวเองแล้วจะต้องรอไปถึงเมื่อไรกันเล่า หรือว่าต้องรอให้เหลียงเฟยตั้งครรภ์และคลอดบุตรก่อนอย่างนั้นหรือ” เมิ่งซังอวี๋พูดพลางยืดแขนทั้งสองข้างออกมา เดินไปหาอิ๋นชุ่ยที่กำลังอุ้มอาเป่า “ให้ข้าดูอาเป่าหน่อยซิ วันนี้ดีขึ้นบ้างหรือไม่”

เรื่องโป๊ะแตกคืออันใด ปากเล็กๆ ของเมิ่งซังอวี๋ช่างพาให้คนทั้งรักทั้งชังจริงๆ กู่เซ่าเจ๋อร้องหงิงๆ ใช้ดวงตาใสแป๋วจ้องมองนางอย่างน่าสงสารเวทนา ทำท่าทางเหมือนว่าอยากให้ลูบอยากให้กอด แค่แยกจากเมิ่งซังอวี๋แค่สองชั่วยามเขาก็รู้สึกผิดปกติไปทั้งร่าง จิตใจกระสับกระส่ายว้าวุ่น

วันนี้อาเป่าสวมชุดกระต่าย ใบหน้าถูกหมวกคลุมลายกระต่ายอันนุ่มนิ่มปุกปุยห่อหุ้มเอาไว้ บนหัวมีหูกระต่ายยาวๆ สองข้าง เมื่อประกอบเข้ากับเปลือกตาที่มีรอยแผลของมัน…

แลดูเหมือนกระต่ายแหกคุกไม่ผิดเพี้ยน เมิ่งซังอวี๋รู้สึกชอบใจในความน่ารักจนมึนศีรษะ นางออกแรงนวดมือ จนกระทั่งมือที่เย็นเฉียบเริ่มอุ่นขึ้นถึงได้รับอาเป่ามาด้วยความระมัดระวัง

“วันนี้ดีขึ้นมากเพคะ รอยแผลเล็กๆ ตกสะเก็ดหมดแล้ว ส่วนแผลใหญ่ๆ ยังต้องพักรักษาอีกหกเจ็ดวัน ตอนที่พระองค์ไม่อยู่หม่อมฉันได้ป้อนโจ๊กให้อาเป่ากินหนึ่งชาม แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเพคะ ยาก็ไม่ยอมดื่ม เกรงว่าเป็นเพราะคิดถึงพระองค์แน่ๆ เมื่อครู่พอได้ยินเสียงขบวนของพระองค์เดินทางกลับมาก็เริ่มดิ้นทันที อยากจะออกมาต้อนรับ” อิ๋นชุ่ยแตะอุ้งเท้าที่ถูกห่อเป็นขนมจ้างของอาเป่าด้วยความขบขัน

กู่เซ่าเจ๋อเอาแต่ซึมซาบกับกลิ่นหอมกรุ่นและไออุ่นของอ้อมกอดเมิ่งซังอวี๋อย่างเงียบๆ พอกลายเป็นสุนัขนานวันเข้า โรคติดเจ้านายของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น รู้สึกแต่ว่าที่ใดก็ไม่ปลอดภัยเท่าอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋

“เช่นนั้นก็รีบยกยาเข้ามา ข้าจะป้อนให้มันก่อนแล้วค่อยกินอาหาร” เมิ่งซังอวี๋จิ้มจมูกอาเป่า รับผ้ากันเปื้อนผืนเล็กจากมือแม่นมเฝิงมาผูกคอให้มัน

ชุดกระต่าย ผ้าพันคอ ใบหน้าสุนัขที่ถูกตัดขนเกลี้ยง…ภาพนี้ช่างตลกอย่างไม่น่าเชื่อ บรรดานางกำนัลในตำหนักค่อยๆ พากันก้มหน้าก้มตา ไหล่สั่นไหวไม่หยุด ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยต่างก็กลั้นขำจนหน้าแดง แต่เพื่อศักดิ์ศรีของอาเป่าพวกนางจึงจำต้องถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

ยาต้มเสร็จในเวลาไม่นาน จากนั้นก็ถูกยกเข้ามาวางไว้ตรงหน้าเมิ่งซังอวี๋ มือซ้ายของนางเกี่ยวเอวอาเป่าไว้ มือขวาจับช้อนคันเล็กค่อยๆ ป้อนทีละช้อนๆ อาเป่าเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี กินทีละคำๆ โดยที่ไม่ขัดขืนแม้แต่นิดเดียว ยิ่งกว่านั้นยังมิได้พ่นออกมาเพราะว่ายาขม กล้าหาญยิ่งกว่าคนส่วนใหญ่เสียอีก

“เต๋อเฟยทรงรู้สึกหรือไม่เพคะว่าอาเป่าเฉลียวฉลาดมากเป็นพิเศษ เหมือนกับว่าฟังพวกเราคุยกันรู้เรื่องอย่างไรอย่างนั้น” อิ๋นชุ่ยถามเสียงต่ำ

อาเป่าพ่นยาที่เพิ่งจะกินลงไปออกมา ทำให้ผ้ากันเปื้อนเปียกเป็นแถบใหญ่

เมิ่งซังอวี๋หัวเราะพลางช่วยมันเช็ดปากให้สะอาด ถามอย่างไม่ใคร่สนใจเท่าใดนัก “ฉลาดแล้วไม่ดีหรือ”

“ไม่มีอันใดไม่ดีเพคะ” เพียงแต่บางครั้งรู้สึกแปลกประหลาดยิ่ง คำพูดครึ่งหลังอิ๋นชุ่ยไม่ได้พูดออกมา

“ต่อให้มันฉลาดแค่ไหนก็ยังเป็นอาเป่าของข้าอยู่ดี ข้ายังอยากให้มันฉลาดกว่านี้อีกหน่อยด้วยซ้ำ” เมิ่งซังอวี๋จิ้มจมูกอันเปียกชื้นของอาเป่าอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู

กู่เซ่าเจ๋อหายใจอย่างหนักหน่วง แลบลิ้นออกมาเลียนิ้วมืออุ่นร้อนของเมิ่งซังอวี๋อย่างกระตือรือร้น เสียดายที่กระดูกหางของเขาหัก มิฉะนั้นป่านนี้คงส่ายไปมาด้วยความร่าเริงไปแล้ว

“หม่อมฉันคารวะเต๋อเฟย เชิญเต๋อเฟยเสวยพระโอสถเพคะ” ที่หน้าประตูตำหนักคือนางกำนัลประจำห้องเครื่องที่มาเยือนเดือนละสามครั้งตามกำหนดเวลา ในมือนางกำลังประคองถ้วยโอสถร้อนควันฉุยไว้ถ้วยหนึ่งพลางถวายบังคม

แต่ก่อนพอแม่นมเฝิงเห็นนางก็จะแย้มยิ้มเบิกบาน แต่คราวนี้กลับแอบลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากพุ่งเข้าไปคว่ำชามโอสถนั้นใจจะขาด

“วางเอาไว้ อีกประเดี๋ยวข้าค่อยดื่ม” รอยยิ้มที่มุมปากของเมิ่งซังอวี๋จางลงเล็กน้อย เอ่ยสั่งโดยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

นางกำนัลประจำห้องเครื่องรับคำ วางถ้วยโอสถไว้บนตั่งเล็กๆ ข้างตะกร้าของอาเป่า จากนั้นก็ถอยไปยืนรออยู่อีกมุมหนึ่ง นางได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบนว่าจะต้องดูเต๋อเฟยดื่มโอสถจนหมดถึงจะกลับไปรายงานผลได้

ครั้นเมิ่งซังอวี๋ป้อนยาให้อาเป่าเสร็จก็วางมันกลับลงในตะกร้า ขณะกำลังจะยกถ้วยโอสถขึ้นดื่ม อาเป่ากลับยกอุ้งเท้ากระโจนใส่อย่างกะทันหัน กระแทกถ้วยโอสถจนหล่นคว่ำลง

“ระวังเพคะ!” ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยรีบถลาเข้าไปทันใด คนหนึ่งดึงผู้เป็นนายออกมา คนหนึ่งรับถ้วยโอสถเอาไว้

อาเป่าทำได้ดีมาก! ดวงตาของแม่นมเฝิงลุกวาว ดึงอาเป่าพร้อมกับตะกร้าย้ายมาไว้บนตั่งเตียงซึ่งอยู่อีกด้านเพื่อมิให้มันเปื้อนโอสถ แล้วจากนั้นจึงทำหน้าลำบากใจพร้อมกล่าวกับนางกำนัลประจำห้องเครื่องว่า “โอสถถ้วยนี้หกหมดแล้ว…”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ บ่าวจะกลับไปต้มให้เต๋อเฟยอีกถ้วย อีกประเดี๋ยวจะยกเข้ามา” นางกำนัลประจำห้องเครื่องรีบย่อตัวพลางกล่าว

“เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางแล้ว” รอยยิ้มของแม่นมเฝิงดูเสแสร้งอยู่บ้าง

อาเป่าซึ่งอยู่ในตะกร้าหลิวกางกรงเล็บ นัยน์ตามืดมนขมุกขมัว

รอจนกระทั่งนางกำนัลประจำห้องเครื่องเดินออกไปแล้ว แม่นมเฝิงถึงขยับเข้าไปข้างหูเมิ่งซังอวี๋ พูดกดเสียงต่ำ “เต๋อเฟย ถึงแม้พระองค์ทรงไม่อยากมีบุตร แต่ก็ไม่อาจทำร้ายตัวเองเช่นนี้นะเพคะ โอสถนี้มีพิษสามส่วน ดื่มมาสามปีแล้ว จะดื่มต่อไปไม่ได้อีกแล้วนะเพคะ”

“ข้ารู้แล้วแม่นม ต่อไปข้าจะไม่ดื่มยานี้อีกแล้ว” เมิ่งซังอวี๋พยักหน้า ครุ่นคิดในใจว่าอย่างไรเสียก็สูญสิ้นความโปรดปรานไปแล้ว ภายในปีครึ่งนี้ฝ่าบาทคงจะไม่คิดถึงข้า ไม่ดื่มก็ไม่เห็นมีอะไรต้องเป็นกังวล

ปีนั้นนางยังเป็นแค่หญิงสาวตัวน้อยอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ต่อให้ฮ่องเต้ไม่ทำกับนางเช่นนี้ นางก็คงจะหายาคุมกำเนิดมากินเอง วิธีการนี้ของฝ่าบาทช่วยลดภาระให้นางไปไม่น้อย

อาเป่าซึ่งอยู่ในตะกร้าได้ยินบทสนทนาของสองนายบ่าวก็พลันวางใจ ความไม่พอใจต่างๆ นานาที่มีต่อแม่นมเฝิงก่อนหน้านี้มลายหายไปในพริบตา บ่าวผู้นี้ถึงจะโง่เขลา แต่ก็มีดีที่ซื่อสัตย์ภักดี ให้นางติดตามอยู่ข้างกายเมิ่งซังอวี๋นั้นเป็นการดีแล้ว

ยามนางกำนัลประจำห้องเครื่องกลับมาอีกครา เมิ่งซังอวี๋ได้เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดคลุมยาวเปิดคอสีเข้ม นางใช้แขนเสื้อกว้างปกปิดใบหน้า เทโอสถลงในแขนเสื้อโดยที่ไม่รั่วซึมแม้แต่หยดเดียว นางกำนัลประจำห้องเครื่องผู้นั้นมิได้รู้สึกผิดสังเกตแม้แต่น้อย ยกถ้วยโอสถกลับไปเพื่อรายงานผล

 

คืนนี้ เมิ่งซังอวี๋นอนหลับอยู่บนตั่งเตียง อาเป่านอนอยู่ใต้ตั่ง หนึ่งคนหนึ่งสุนัขมีท่าทางสุขสงบใจ แม้กระทั่งจังหวะของลมหายใจก็ยังเหมือนกัน สายฝนปรอยๆ ตกพรำอยู่นอกหน้าต่าง ไอเย็นซึมซาบเข้ามาจากช่องว่างของหน้าต่างที่เปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อย กลายเป็นไอน้ำไหลหยดลงบนพื้นริมหน้าต่าง

ทันใดนั้นท้องฟ้าอันมืดสนิทพลันปรากฏสายฟ้าแลบสว่างวาบ ผ่านไปชั่วครู่เสียงอสนีบาตสนั่นหวั่นไหวก็ดังมาจากขอบฟ้า ราวกับมีกองทหารนับพันและอาชานับหมื่นกำลังสู้รบทำสงครามกันอยู่บนหลังคา

คราแรกเมิ่งซังอวี๋ขมวดคิ้ว แล้วตื่นขึ้นท่ามกลางเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า จากนั้นนางก็ใช้ผ้าห่มห่อหุ้มตัวเองเอาไว้แน่น กรีดร้องเรียกแม่นมเฝิงเสียงดังลั่น ร่างของนางสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สีหน้าขาวซีด ดวงตาหงส์คู่นั้นเบิกกว้าง ดูเหมือนว่ากำลังหวาดกลัวเหลือคณา

ใช่แล้ว นางกลัวฟ้าร้องฟ้าผ่า ในภพก่อนตอนนางอายุสี่ขวบถูกบิดามารดาทิ้งไว้ในบ้านตามลำพัง สภาพอากาศในตอนนั้นมีฝนตกฟ้าร้องดังเช่นยามนี้ สายฟ้าผ่าลงบนมุมหนึ่งของบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องระเบิดและมีประกายไฟปะทุออกมา นางเกือบจะถูกไฟคลอกตาย โชคดีที่พี่เลี้ยงมาช่วยออกจากทะเลเพลิงได้ทันเวลา นับตั้งแต่นั้นมาเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็กลายเป็นฝันร้ายที่นางสลัดไม่หลุดทั้งสองภพ

กู่เซ่าเจ๋อตกใจตื่นเพราะเสียงกรีดร้องของเมิ่งซังอวี๋ ตะกุยเท้าทั้งสี่ข้างหมายจะปีนขึ้นไป พอปีนขึ้นไปตามแท่นรองจนขึ้นไปถึงบนตั่งเตียงเขาก็ได้เห็นเมิ่งซังอวี๋ซึ่งมีท่าทางตื่นตระหนกเสียการควบคุมเช่นนี้เป็นครั้งแรก ในอกจึงอึดอัดกระวนกระวาย เสียดายที่เขาบาดเจ็บไปทั้งร่าง ถูกห่อจนเหมือนศพแห้ง แถมยังสวมชุดกันหนาวหนาๆ อีก แม้มีใจอยากจะช่วยแต่เรี่ยวแรงช่างไม่เป็นใจจริงๆ

“โฮ่งๆๆ!” ซังอวี๋อย่ากลัว เราอยู่นี่แล้ว!

“อาเป่า?” ครั้นได้ยินเสียงเห่าของลูกสุนัข เมิ่งซังอวี๋ก็นิ่งงันไป นางเลิกผ้าห่มพร้อมกับหยัดตัวขึ้น อุ้มอาเป่าที่แหงนหน้าจ้องมองตนเข้าสู่อ้อมกอด

“อาเป่าอย่ากลัวนะ ข้าอยู่นี่แล้ว! ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” เมิ่งซังอวี๋คิดว่าอาเป่าเห่าเพราะหวาดกลัว นางจึงสงบจิตใจลงทันใด ด้านหนึ่งลูบแผ่นหลังอาเป่าแผ่วเบา ด้านหนึ่งก็ใช้ผ้าห่มห่อหุ้มตัวมันและตัวเองเอาไว้

ภายใต้ผ้าห่มกลายเป็นพื้นที่เล็กๆ ที่ทั้งหอมกรุ่นและอบอุ่น กู่เซ่าเจ๋อสูดหายใจเฮือก หัวสมองมึนงง เขาใช้อุ้งเท้าเกี่ยวข้อมือของนางเอาไว้ แลบลิ้นเลียนิ้วมือและหลังมือของนาง สัมผัสเรียบลื่นและรสชาติหวานอ่อนๆ ทำให้เขาติดใจเล็กน้อย

เมิ่งซังอวี๋เองก็ลืมความหวาดกลัวไป ใช้นิ้วมือเกาลิ้นซุกซนของอาเป่าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

“เต๋อเฟย พระองค์ไม่เป็นไรนะเพคะ” แม่นมเฝิงและปี้สุ่ยวิ่งเข้ามาด้วยสภาพทุลักทุเล เส้นผมยังมีหยดน้ำฝนเกาะอยู่

“ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าไปไหนมา” เมิ่งซังอวี๋เลิกผ้าห่มออก กู่เซ่าเจ๋อถูกทั้งสองทำลายเรื่องดีๆ จึงใช้อุ้งเท้าตบผ้าห่มปักดิ้นใต้ร่างด้วยความหงุดหงิด

“ทูลเต๋อเฟย จู่ๆ ฝนก็ตกลงมากลางดึก หม่อมฉันกับปี้สุ่ยนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ปิดหน้าต่างในห้องหนังสือจึงรีบวิ่งไปปิดเพคะ แต่จู่ๆ ก็มีฟ้าร้องฟ้าผ่า ซ้ำยังมีลูกเห็บเม็ดเท่าก้อนหินตกลงมาอีก ตกใส่หม่อมฉันกับปี้สุ่ยเต็มไปหมดเลยเพคะ”

ยามนี้เมิ่งซังอวี๋ถึงได้กล้าฟังเสียงความเคลื่อนไหวนอกหน้าต่างอย่างตั้งใจ แล้วก็ได้ยินเสียงลูกเห็บตกดังปึงๆ ปังๆ จริงๆ

“เต๋อเฟยเพคะ ใกล้จะเข้าเหมันตฤดูแล้วแต่ยังมีฟ้าร้องฟ้าผ่า คนโบราณว่าไว้ เหมันต์อสนีบาตฟาดลั่น คิมหันต์พร่างพรำหิมะโปรย เหล่านี้ล้วนมิใช่ลางดีเลยเพคะ! วันพรุ่งนี้หม่อมฉันจะไปขอยันต์คุ้มภัยมาให้พระองค์เพื่อขจัดปัดเป่าเคราะห์ร้ายเสียหน่อยก็แล้วกัน” แม่นมเฝิงเดินเข้าไป สอดเก็บชายผ้าห่มให้ผู้เป็นนาย เมื่อมองเห็นอาเป่าซึ่งอยู่บนที่นอนก็ยื่นมือหมายจะอุ้มมันลงมา

กู่เซ่าเจ๋อขมวดคิ้วมุ่น รีบใช้อุ้งเท้าเกี่ยวแขนนวลของเมิ่งซังอวี๋เอาไว้ นางบ่าวนี่ดีหมดทุกอย่าง ยกเว้นเสียแต่ไม่มีตา โง่เขลามากเกินไป!

“อย่า ปล่อยให้อาเป่านอนเป็นเพื่อนข้า คืนนี้แม่นมไม่ต้องนอนข้างตั่งข้าแล้ว จะได้ไม่จับไข้เอา ส่วนยันต์คุ้มภัยก็รบกวนแม่นมด้วยแล้วกัน พวกเจ้ารีบกลับไปจัดการตัวเองเถิด อาบน้ำอุ่นๆ ดื่มน้ำขิงร้อนๆ ด้วย ระวังจะไม่สบายเอา” เมิ่งซังอวี๋รีบโบกมือให้แม่นมเฝิงกับปี้สุ่ยออกไป แล้วจึงอุ้มอาเป่าเข้าอ้อมกอดอย่างระมัดระวัง

กู่เซ่าเจ๋อนอนอิงแอบอยู่บนหน้าอกนุ่มนิ่มของเมิ่งซังอวี๋ ใบหน้าอยู่ระหว่างร่องอกพอดิบพอดี เขารู้สึกคันจมูกเล็กน้อย แอบแลบลิ้นไล้เลียเบาๆ อย่างห้ามใจไม่อยู่

“ว้าย อาเป่า เจ้าสุนัขหื่นกาม!” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะเสียงเบาขึ้นมาโดยพลัน

เมื่อเห็นเจ้านายของตนยังคงเล่นสนุกอยู่กับอาเป่า ลืมเลือนเสียงฟ้าร้องดังสนั่นนอกหน้าต่างไปจนหมดสิ้น แม่นมเฝิงก็ยิ้มออกมาอย่างวางใจ พาปี้สุ่ยเดินออกจากตำหนักไปอย่างเงียบเชียบ

 

วันถัดมา อสนีบาตอันเป็นลางร้ายนี้ได้ก่อให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นในราชสำนัก ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการเร่งให้ขุนนางข้าราชการในแต่ละพื้นที่เตรียมการป้องกันภัยหนาวทันทีเพื่อไม่ให้ประชาชนประสบความยากลำบาก ผ่านไปไม่กี่วันควันหลงจากอสนีบาตก็ยังมิได้สงบลง ต้นสนโบราณพันปีหลังตำหนักไท่เหอ (สันติธรรม) เฉาตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้คลื่นยักษ์โถมกระหน่ำราชสำนัก

ต้นสนโบราณต้นนี้เคยเฉาตายมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน หลังจากนั้นไม่กี่ปีราชวงศ์ก่อนก็ล่มสลาย พระเจ้าโจวไท่จู่เข้ายึดครองวังหลวง สวมเสื้อคลุมมังกรเสด็จขึ้นเถลิงราชย์เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นต้าโจว ในวันพิธีขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าโจวไท่จู่ ต้นสนโบราณที่แต่เดิมเฉาตายไปแล้วพลันผลิหน่อใหม่ออกมา กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เมื่อพระเจ้าโจวไท่จู่ทรงรู้เข้าก็ปีติยินดีเป็นการใหญ่ ตรัสว่านี่เป็นสิริมงคลที่สวรรค์ดลบันดาลให้ และกล่าวว่าการก่อตั้งราชวงศ์ต้าโจวเป็นไปตามประสงค์ของสวรรค์ จะทำให้แผ่นดินเจริญรุ่งเรืองไปตราบชั่วนิรันดร์

ทว่าบัดนี้ต้นสนโบราณอันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของราชวงศ์ต้าโจวกลับเฉาตาย อีกทั้งยังตายเพราะรากขาด หรือว่าสวรรค์กำลังส่งคำเตือนให้แก่ราษฎรต้าโจว รากขาด…หากโยงกับข่าวลือก่อนหน้านี้แล้ว มิใช่หมายถึงพระวรกายของฮ่องเต้หรอกหรือ

ในวังเฟิ่งหลวน หลี่กุ้ยเฟยหัวเราะร่า แต่ในวังจงชุ่ย เสิ่นฮุ่ยหรูกลับหักพู่กันขนหมาป่าอย่างเคร่งเครียด

เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ กลุ่มขุนนางจึงพากันร้องขอให้ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งฮองเฮาและรัชทายาทอีกครั้ง ฮ่องเต้ก็ทรงสะบัดชายแขนฉลองพระองค์เสด็จออกไปจากท้องพระโรงอีกคราเช่นกัน ข่าวลือคราวนี้มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงเสียยิ่งกว่าครั้งก่อน ไม่ถึงหนึ่งวันก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง คิดจะปิดเอาไว้ก็ปิดไม่อยู่ สุดท้ายก็แพร่สะพัดออกไปจนไม่อาจต้านทาน

โหรหลวงเองก็รายงานผลการเสี่ยงทำนายแก่ฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน มีเพียงแค่สองคำเท่านั้นคือมหาวิบัติ เมื่อผลการเสี่ยงทายออกมาเช่นนี้ ก็ราวกับเป็นการเทน้ำใส่กระทะน้ำมันซึ่งกำลังเดือดพล่าน

ถึงแม้วังปี้เซียวจะมีการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดกวดขัน แต่ก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ มีคนส่วนหนึ่งที่ตื่นตระหนก กระวนกระวาย และอยู่ไม่เป็นสุข

“เต๋อเฟย พวกเราคัดลอกพระคัมภีร์สักหน่อยเถิด ได้ปฏิบัติธรรมสงบจิตใจซ้ำยังช่วยขจัดปัดเป่าเคราะห์ภัยได้ด้วยนะเพคะ จะได้มิถูกความอัปมงคลในวังสาดซัดใส่เอา” แม่นมเฝิงหอบพระคัมภีร์กองใหญ่เดินเข้ามา

“อากาศหนาวเหน็บเย็นยะเยือกจนมือแข็งไปหมดแล้ว คัดลอกพระคัมภีร์อันใดกันเล่า” เมิ่งซังอวี๋แกะขนมจ้างบนอุ้งเท้าของอาเป่าออกอย่างระมัดระวัง ตรวจดูสภาพบาดแผล อาเป่าเองก็เข้มแข็งยิ่ง แม้ถูกดึงผ้าพันแผลออกจนสะดุ้งเพราะเจ็บก็ยังไม่ร้องสักนิด กลับเป็นเมิ่งซังอวี๋ที่ตกใจจนประเดี๋ยวหอมประเดี๋ยวกอดเป็นการใหญ่ ทั้งยังเป่าแผลให้ไม่หยุด เจ้านายและสัตว์เลี้ยงทั้งสองเจ้าหอมข้า ข้าเลียเจ้า สนุกสนานสุขอุรายิ่งนัก

“คราวนี้ทั้งฟ้าผ่าทั้งต้นสนโบราณเฉาตาย ทุกคนต่างบอกว่าเป็นเพราะในวังแปดเปื้อนเคราะห์ร้าย หากผู้ใดไปแตะเข้าก็จะโชคร้าย! จริงด้วย ฝ่าบาทมีไอมังกรปกปักรักษาก็ยังทรงบาดเจ็บสาหัส ทุกคนต่างกำลังคัดลอกพระคัมภีร์ พระองค์ไม่คัดก็ไม่เป็นไร หม่อมฉันจะช่วยคัดให้เอง แต่ไม่ว่าอย่างไรพระองค์ก็เอาไปวางไว้ใต้หมอนสักเล่มเถิด” แม่นมเฝิงหยิบคัมภีร์ ‘สัทธรรมปุณฑริกสูตร’ เล่มบนสุดยื่นให้ผู้เป็นนาย

เมิ่งซังอวี๋รับมาอย่างจำใจ เปิดเล่นเรื่อยเปื่อยพลางกล่าว “พวกเจ้าไม่ต้องกลัวถึงเพียงนี้ก็ได้ ฟ้าร้องฟ้าแลบก็เป็นแค่ประกายไฟที่เกิดจากกลุ่มเมฆเย็นปะทะกับกลุ่มเมฆร้อน เหมือนกับยามที่กระบี่สองเล่มปะทะกันนั่นแหละ ที่ช่วงสารทฤดูและเหมันต์ฤดูไม่ค่อยมีฟ้าร้องก็เพราะหมู่เมฆในช่วงเวลานี้ต่างเย็นตัวกันหมด กระแสลมสงบนิ่ง แต่หากอากาศอบอุ่นอยู่หลายวันแล้วเย็นลงอย่างรวดเร็ว ก็จะเกิดปรากฏการณ์ฟ้าร้องฟ้าแลบได้ หลายวันก่อนหน้านี้อากาศก็ร้อนอยู่มิใช่หรือ ฟ้าร้องเมื่อวานก็เกิดจากเมฆร้อนยังมิได้สลายไปแล้วเมฆเย็นเข้ามาแทนที่เท่านั้นเอง มิได้เกี่ยวอะไรกับเคราะห์ร้ายหรือภูตผีเลยสักนิด”

กู่เซ่าเจ๋อแหงนหน้ามองนางแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ รู้สึกหลงใหลในข้อสรุปอันแปลกใหม่นี้ ที่แท้ฟ้าแลบฟ้าร้องเกิดจากเหตุนี้เองหรือ พอคิดดูดีๆ ก็มีเหตุมีผลจริงเสียด้วย ในสมองน้อยๆ ของนางยังมีความคิดพิสดารอีกมากมายเท่าไรกันแน่

“เต๋อเฟยทรงรู้มากมายถึงเพียงนี้” ปี้สุ่ยเติมน้ำมันใส่ตะเกียงพลางกล่าวหยอกล้อ “แล้วเหตุใดยังหวาดกลัวถึงเพียงนั้นเล่าเพคะ”

เมิ่งซังอวี๋สำลักแค่กๆ รวบกอดอาเป่าที่อยู่ในอ้อมอกแน่น เอ่ยเต็มปากเต็มคำว่า “กลัวก็คือกลัว ข้าจะทำอย่างไรได้ อาเป่าก็กลัวเช่นกัน เมื่อคืนยังกลัวจนตัวสั่นเลย ต้องให้ข้ากอดมันไว้มันถึงจะกล้านอนหลับ”

เรากลัวตั้งแต่เมื่อไร เราตัวสั่นตั้งแต่เมื่อไร เจ้าใส่ร้ายเราเพราะเราพูดไม่ได้ใช่หรือไม่ กู่เซ่าเจ๋อรู้สึกอ่อนใจ พิศมองริมฝีปากสีชมพูของเมิ่งซังอวี๋ซึ่งทำปากจู๋แล้วประเดี๋ยวก็พลันยิ้มออกมา เมิ่งซังอวี๋ในยามนี้ถึงจะสมกับเป็นเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปี ในความน่ารักแฝงด้วยความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ทำให้เขามองแล้วเกิดความชื่นชมรักใคร่ขึ้นในหัวใจอย่างห้ามไม่อยู่

เมื่อเห็นอาเป่าที่นอนซบอยู่บนตักผู้เป็นนายพลันส่งเสียงฟึดฟัด คล้ายกับว่าคล้อยตามวาจาของเจ้านาย อิ๋นชุ่ย ปี้สุ่ย และแม่นมเฝิงก็พากันหัวเราะ เจ้านายและสัตว์เลี้ยงคู่นี้นับวันยิ่งรู้ใจกันดียิ่ง

ปี้สุ่ยเก็บรอยยิ้ม เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “เช่นนั้นเรื่องที่ต้นสนโบราณในตำหนักไท่เหอเฉาตายเป็นอย่างไรกันแน่เพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าต้นสนโบราณต้นนั้นมีเทพยดาสถิตอยู่ สามารถพยากรณ์ความรุ่งเรืองและดับสูญในใต้หล้าได้”

“ต้นสนโบราณนั้นเป็นต้นไม้ธรรมดา เทพยดา คำพยากรณ์ คำเตือนเหล่านั้นล้วนเป็นเพราะมีคนกำลังเล่นตลกเท่านั้นเอง” เมิ่งซังอวี๋โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ทำให้ทุกคนรวมทั้งอาเป่าหันไปมองนางด้วยสายตาวาววับ “ในเมื่อต้นสนโบราณต้นนั้นมีอายุร่วมพันปี อายุก็ไม่นับว่าน้อยแล้ว เฉาตายไปก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เพียงแต่ถูกผู้ที่มีเจตนาไม่ดีเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่าราชวงศ์ก่อนทำให้เทพเทวดาพิโรธ ต่อมาพระเจ้าโจวไท่จู่ทรงขึ้นเป็นฮ่องเต้ เพื่อให้การขึ้นครองบัลลังก์ของสกุลกู่ดูหมือนเป็นประสงค์ของสวรรค์ ศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม ต้นสนโบราณนี้จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์อีกครั้ง ที่ว่ากันว่าคืนชีพมันก็เป็นแค่การใช้กลวิธีลับบางอย่างเพื่อยืดอายุของต้นสนโบราณ สามารถยืดอายุมาได้ถึงร้อยปีมิใช่เรื่องง่าย แต่ช้าเร็วก็ต้องเฉาตายอยู่ดี ทว่ามันกลับมาเฉาตายในช่วงเวลานี้ แสดงว่าต้องมีคนใช้เล่ห์กลเป็นแน่ พวกเรารู้เอาไว้ก็ดี แต่ไม่อาจแพร่งพรายออกไป” เมิ่งซังอวี๋ใช้นิ้วชี้ปิดปาก ทำท่าทางบอกให้เงียบเสียง

เรื่องที่ต้นสนโบราณตายแล้วคืนชีพเป็นความลับสุดยอดของสกุลกู่ พระเจ้าโจวไท่จู่คาดการณ์ได้ว่ามันคงจะอยู่ได้ไม่นาน หลังจากครองราชย์จึงฝังป้ายศิลาคำว่า ‘ยั่งยืนตราบชั่วนิรันดร์’ เอาไว้ใต้ราก จนกระทั่งถึงวันใดวันหนึ่งที่ต้นสนเฉาตายก็ให้ขุดขึ้นมาเพื่อแก้ไขเรื่องเสียหาย หากมิใช่เพราะเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ กู่เซ่าเจ๋อก็คงไม่รู้ความลับนี้

กู่เซ่าเจ๋อมองเมิ่งซังอวี๋อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ไม่รู้สึกตื่นตะลึงกับความฉลาดเฉียบแหลมของนางอีกแล้ว จากนั้นก็นึกถึงหลี่กุ้ยเฟยกับหลี่เซียง ความอ่อนโยนในดวงตาพลันสลายหายไปในทันที ถูกแทนที่ด้วยความหนาวเหน็บเสียดกระดูก แม้กระทั่งสัญลักษณ์ของราชวงศ์ก็ยังกล้าลงมือ สกุลหลี่ยิ่งมายิ่งใจกล้าขึ้นทุกที!

พวกแม่นมเฝิงพยักหน้า แสดงสีหน้าเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ชั่วครู่หลังจากนั้นนางคล้ายกับคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงกดเสียงต่ำเอ่ยถาม “เต๋อเฟย พระองค์ว่าเรื่องที่ฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บตรงนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่เพคะ”

“เก้าในสิบส่วน” เมิ่งซังอวี๋เบ้ปาก “ตอนที่ฝ่าบาทเพิ่งจะเสด็จกลับมามิใช่เรียกหมอมากมายเข้าวังติดๆ กันหรอกหรือ หมอเหล่านั้นหายตัวไปทั้งหมด ต้องเป็นเพราะเพื่อปกปิดเรื่องอื้อฉาวนี้อย่างแน่นอน และฝ่าบาทมิได้เสด็จเข้ามาตำหนักในสองเดือนติดกันแล้ว แม้แต่เหลียงเฟยซึ่งเป็นที่โปรดปรานก็มิได้แตะต้อง แสดงว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรง” จบคำ นางพลันยิ้มตาหยี หลุดหัวเราะออกมา สีหน้ามีความสุขกับหายนะของผู้อื่นอย่างที่สุด

หากไม่มีพระโอรส ชาตินี้เสิ่นฮุ่ยหรูก็อย่าหวังว่าจะได้ขึ้นครองตำแหน่งฮองเฮาเลย เกรงว่าปณิธานของราชครูเสิ่นคงยากจะสำเร็จเป็นจริง อีกทั้งตัวนางเองก็ได้แสดงจุดยืนต่อหลี่กุ้ยเฟยไปแล้ว สนมชายาที่ไร้บุตรไร้ความโปรดปรานเช่นนาง หลี่กุ้ยเฟยคงไม่ลงมือทำอะไร ส่วนเสิ่นฮุ่ยหรู การจะรับมือกับหลี่กุ้ยเฟยก็ยังรับมือไม่ไหวด้วยซ้ำ จึงยิ่งไม่อาจลงมืออันใดกับนาง นี่ถึงจะทำให้นางอยู่สงบสุขได้อย่างแท้จริง

กู่เซ่าเจ๋อได้ยินก็มีสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัว รู้สึกอึดอัดในอกและหายใจติดขัด แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาหงส์ที่เป็นประกายวาววับและมุมปากยกยิ้มน้อยๆ ของเมิ่งซังอวี๋ ไอทะมึนทั้งหมดก็ถูกกวาดหายไปจนหมดสิ้น ช่างเถิด อยากหัวเราะก็หัวเราะไป! รอให้เรากลับคืนร่างเดิมได้ เราจะทำให้เจ้ารู้ว่าจริงๆ แล้วเรามี ‘เรี่ยวแรง’ หรือไม่! ดูท่าแล้ว เราคงต้องรีบไปหาตัวจวิ้นเหว่ยให้พบโดยเร็ว ตอนนี้ไปเสาะหาหมอเทวดาหรือโอสถล้ำค่าก็ไม่มีประโยชน์ ต้องหานักพรตผู้มีวิชาอาคมสูงส่งมาเรียกวิญญาณกลับร่างถึงจะใช้ได้

 

ในตำหนักกลางวังเฉียนชิง ฮ่องเต้ทรงประทับนั่งอยู่หลังโต๊ะทรงพระอักษร ในพระหัตถ์ถือหนังสือกราบทูลฉบับหนึ่ง ทว่าเหลือบมองดูไม่กี่แวบก็รีบโยนทิ้งไปอีกด้าน แล้วหยิบขึ้นมาอีกฉบับ จากนั้นก็โยนทิ้งไปอีกครั้ง คิ้วเข้มเฉียงตรงขมวดลึก ราวกับหงุดหงิดจนกล่าวออกมาได้ไม่หมด

“เหลียงเฟยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงทูลแจ้งของขันทีดังมาจากนอกตำหนัก

พระเนตรของฮ่องเต้เปล่งประกายวูบ โบกพระหัตถ์พร้อมกับตรัสว่า “เข้ามาได้!”

ฉางสี่เดินนำเสิ่นฮุ่ยหรูเข้ามาในตำหนัก สะบัดแส้ปัดในมือพร้อมกับสั่งให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องในตำหนักออกไป

บรรดาขันทีและนางกำนัลเดินออกไปเป็นแถว ก้มหน้าจรดคาง ไม่กล้าแลมองซ้ายขวาแม้แต่นิดเดียว ระยะนี้ฝ่าบาทพระอารมณ์ไม่ค่อยดี ในวังเฉียนชิงมีคนตายไปอย่างไม่รู้สาเหตุมากมาย อีกทั้งคนที่ยิ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฝ่าบาทก็ยิ่งตายเร็ว พวกเขาล้วนอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ระมัดระวังกระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยากจะเกิดมาไม่มีตาไม่มีหูจะแย่อยู่แล้ว

พอพวกนั้นเดินจากไปไกล ฉางสี่ก็มิได้ถวายบังคมฮ่องเต้แล้ว เขาเดินไปดูต้นทางหน้าประตูตำหนัก ส่วนเสิ่นฮุ่ยหรูก็ยืดเข่าที่ย่อน้อยๆ ขึ้น เดินไปยังตำแหน่งประธานที่ฮ่องเต้ทรงหลีกทางให้พร้อมกับนั่งลงอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง

“กระหม่อมคารวะเหลียงเฟย” ฮ่องเต้ปลดความน่าเกรงขามออกจนสิ้น คุกเข่าถวายบังคมนางอย่างนอบน้อม

“ลุกขึ้นเถอะ!” เสิ่นฮุ่ยหรูเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ลึกลงไปในดวงตาเต็มไปด้วยประกายเลือนรางอันซับซ้อนยากจะเอ่ย เมื่อมองดูคนผู้นี้ใช้ใบหน้าที่สูงส่งเหนือผู้อื่นย่อกายคำนับตนอย่างไร้ศักดิ์ศรี ในใจนางก็รู้สึกแปลกประหลาด อีกทั้งยังมีความรู้สึกพอใจบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้ ในที่สุดนางก็ไม่ต้องพึ่งพาความรักความโปรดปรานของเขาเพื่อมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ในที่สุดก็ไม่ต้องวิตกกังวลกับสถานะของตนอีกต่อไป ในที่สุดก็ไม่ต้องเงยหน้าปรนนิบัติพัดวีอีกต่อไป…

“ทูลเต๋อเฟย หนังสือกราบทูลที่เสนอแนะให้แต่งตั้งฮองเฮาและรัชทายาทอยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเก็บทั้งหมดเอาไว้มิได้ตอบกลับแต่อย่างใด” ฮ่องเต้ถูกเสิ่นฮุ่ยหรูมองจนเย็นวาบในใจ รีบชี้ไปยังกองหนังสือกราบทูลบนโต๊ะทรงพระอักษรเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

เสิ่นฮุ่ยหรูเบนสายตาไปยังหนังสือกราบทูล นัยน์ตาลึกล้ำค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น นางเปิดอ่านด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ ทว่าจดจำชื่อบนหนังสือกราบทูลชื่อแล้วชื่อเล่าเอาไว้ ภายในตำหนักอันใหญ่โตพลันเงียบสนิทจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก บรรยากาศอึมครึมเริ่มแผ่ปกคลุม

ฮ่องเต้ยังคงคุกเข่าอยู่อีกด้าน ไม่กล้าเงยพระพักตร์แม้แต่น้อย

ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเสิ่นฮุ่ยหรูก็เอ่ยปากอย่างเนิบช้า ทำลายความอึมครึมภายในตำหนัก “แค่เก็บเอาไว้ไม่ได้ตอบกลับไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา”

ฮ่องเต้เงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อย ประสานพระหัตถ์พลางกล่าว “ขอคำชี้แนะจากเหลียงเฟยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“คืนนี้เจ้าไปนอนที่ตำหนักของเต๋อเฟย รักใคร่โปรดปรานนางแต่เพียงผู้เดียวติดต่อกันหนึ่งเดือนจนกระทั่งนางตั้งครรภ์” เสิ่นฮุ่ยหรูยกยิ้ม นัยน์ตาลึกล้ำเปล่งประกายมืดมิดแปลกประหลาดบางอย่าง

“เหลียงเฟย!?” ฮ่องเต้แหงนพระพักตร์ทันใด รู้สึกไม่อยากจะเชื่อกับคำสั่งนี้ มั่วโลกีย์ในตำหนักใน? นี่เป็นการหมายเอาชีวิตเขาชัดๆ!

“เต๋อเฟยกินยามาหลายปี คงจะไม่ตั้งครรภ์ง่ายๆ เจ้าร่วมเตียงกับนางตลอดหนึ่งเดือน พอถึงเวลาค่อยแอบเอายาเม็ดนี้ให้นางกิน ทำให้นางตั้งครรภ์หลอกๆ ก็พอ นางมิใช่อยากนั่งบนภูดูเสือกัดกัน หรอกหรือ แต่อย่างไรข้าก็จะลากนางลงมาคลุกคลีด้วยให้จงได้! พอมีบุตร ต่อให้นางไม่อยากสู้ก็ต้องสู้ และข้าก็จะฉวยโอกาสหลบไปอยู่หลังม่านได้ ค่อยๆ จัดการกับคนของหลี่เซียง สั่งสมอำนาจของสกุลเสิ่น พอเต๋อเฟยพบว่านางตั้งครรภ์ปลอมๆ ไม่ว่านางจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ข้าก็มีวิธีกำราบนางให้จมเถ้าธุลี ให้นางอยู่ไม่สู้ตาย!” เสิ่นฮุ่ยหรูคล้ายกับไม่เห็นสีพระพักตร์อันตื่นตระหนกของฮ่องเต้ ยังคงสั่งการต่อไป

“เหลียงเฟย ขออภัยที่กระหม่อมไม่อาจรับบัญชาได้!” ฮ่องเต้กัดฟัน หน้าผากมีเหงื่อเย็นซึมออกมาไม่น้อย

“เจ้าอยากทำก็ต้องทำ ไม่อยากทำก็ต้องทำ เจ้าคิดว่ายาพิษที่เหยียนจวิ้นเหว่ยให้กินถอนพิษได้แล้วอย่างนั้นหรือ” เสิ่นฮุ่ยหรูพูดถึงตรงนี้ก็จงใจหยุดชั่วครู่ เมื่อเห็นสีพระพักตร์ที่พลันขาวซีดดุจกระดาษของฮ่องเต้จึงพูดต่อ “ในยาถอนพิษที่ข้าให้เจ้ามียาพิษอื่นเจืออยู่ ต้องได้รับยาถอนพิษจากข้าทุกๆ สองเดือนถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ฝ่าบาททรงหมดสติไปเกือบจะสามเดือน ข้าถามหมอหลวงมาแล้ว ภายใต้สภาพเช่นนี้ โอกาสที่จะฟื้นขึ้นมามีน้อยนิดยิ่งนัก หากเจ้าช่วยข้า ข้าไม่เพียงแต่รับรองว่าเจ้าจะไม่ตาย ทั้งยังจะมอบเกียรติยศทรัพย์สินให้เจ้าไปชั่วชีวิต ภายภาคหน้าเมื่อแผนการใหญ่ของสกุลเสิ่นลุล่วง เราก็จะปล่อยเจ้าให้โบยบินเป็นอิสระ เจ้าต้องคิดให้ดีล่ะ”

ลมหายใจของฮ่องเต้หนักหน่วงยิ่งขึ้น ครู่ใหญ่ผ่านไปถึงเอ่ยตอบเสียงแห้ง “กระหม่อมยินดีทำตามบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” เขาไม่เชื่อคำสัญญาของเหลียงเฟยแม้แต่คำเดียว แต่เขาไม่อาจไม่ทำตาม แม้ว่าช้าเร็วก็ต้องตายอยู่ดี แต่ตายช้าลงไปหนึ่งเค่อก็ยังดี

“ดีมาก เจ้าเป็นคนฉลาด ตามฉางสี่ไปที่ตำหนักปีก เขาจะบอกเรื่องที่เต๋อเฟยชื่นชอบให้เจ้ารู้ เจ้าต้องตั้งใจศึกษาอย่างละเอียด ห้ามเผยพิรุธเด็ดขาด หลังจากร่วมเตียงกับเต๋อเฟย หากเจ้าถูกใจสตรีคนใดในวัง แค่เรียกให้ฉางสี่พาเจ้าไปก็พอ หากถูกใจหลี่กุ้ยเฟยก็ไม่เป็นไรเช่นกัน แต่ห้ามมอบความโปรดปรานให้นางมากเกินไป” เสิ่นฮุ่ยหรูโบกมือ สั่งให้ฮ่องเต้ที่ฝีเท้าอ่อนแรงออกจากตำหนักไป

เมื่อเห็นว่าเงาด้านหลังของคนผู้นี้เหมือนกับกู่เซ่าเจ๋อไม่มีผิดเพี้ยน ในดวงตานางก็ฉายความสะใจอันโหดเหี้ยมอำมหิตออกมาหลายส่วน เมิ่งซังอวี๋ หลี่ซูจิ้ง หากวันหน้าพวกเจ้ารู้ว่าตนเคยพลีกายให้บ่าวชั้นต่ำผู้หนึ่ง ในใจจะรู้สึกเยี่ยงไรหนอ

“เหลียงเฟย ยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้มิใช่ทางออกนะเพคะ หากไม่มีพระโอรส ต่อให้พระองค์ทรงเอาชนะหลี่กุ้ยเฟยกับเต๋อเฟยได้ และได้ครองตำแหน่งฮองเฮาไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด พระโอรสเป็นสิ่งสำคัญในแผนการขโมยวันเปลี่ยนดวงอาทิตย์ ของท่านราชครู พระองค์ทรงรีบตัดสินพระทัยเถิดเพคะ” นางข้าหลวงหว่านชิงเอ่ยปากตัดบทความคิดของนางอย่างอดรนทนไม่ไหว

“ข้ารู้ แต่จะให้ข้ากับบ่าวผู้หนึ่ง…ข้าทำไม่ได้! ท่านพ่อไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือไร” เสิ่นฮุ่ยหรูกำหมดแน่นจนมือซีดขาว

“การตั้งครรภ์หลอกๆ แล้วค่อยแอบนำเด็กทารกคนหนึ่งเข้าวังต้องสิ้นเปลืองแรงคนและกำลังทรัพย์มากมายมหาศาล ทั้งยังต้องใช้เวลาถึงสิบเดือน คงเผยช่องโหว่ออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลี่เซียงกับหลี่กุ้ยเฟยคอยจับจ้องอยู่ข้างๆ ไม่วางตา หากเผยพิรุธแม้แต่นิดเดียวก็จะทำให้สกุลเสิ่นถึงจุดจบ ไม่อาจฟื้นคืนได้เลยนะเพคะ แผนการที่ราชครูคิดขึ้นนั้นปลอดภัยที่สุดแล้ว เพื่อความรุ่งโรจน์ร้อยปีของสกุลเสิ่น พระองค์ทรงรีบก้าวข้ามหลุมในพระทัยเถิดเพคะ” หว่านชิงเอ่ยโน้มน้าว

“ข้ารู้แล้ว รออีกสักเดือนเถิด! เมิ่งซังอวี๋เป็นดาบชั้นดี ข้าใช้มาหลายปี หากจะทิ้งขว้างตามอำเภอใจก็น่าเสียดาย” สีหน้าของเสิ่นฮุ่ยหรูซีดเซียวเล็กน้อย

หว่านชิงไหนเลยจะไม่รู้ว่านี่เป็นคำพูดประวิงเวลาของนาง จึงได้แต่เอ่ยโน้มน้าวต่อไป “ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนฝ่าบาทก็ไม่ฟื้นหรอกเพคะ ต่อให้ฟื้น เมื่อทรงทราบเรื่องที่ท่านราชครูกับพระองค์ทำ ฝ่าบาทจะทรงอภัยให้ท่านได้อย่างไร ท่านเชื่อฟังคำพูดของท่านราชครูเถิดเพคะ จัดการ…” หว่านชิงทำท่าบีบคอ

เสิ่นฮุ่ยหรูลุกขึ้นสะบัดฝ่ามือใส่ใบหน้านางหนึ่งฉาด เอ่ยด้วยสีหน้าดุร้าย “บ่าวชั่วช้า! วาจาเช่นนี้ห้ามเอ่ยออกมาอีก! ในเมื่อฝ่าบาทไม่ฟื้นคืนสติแล้วก็ปล่อยให้พระองค์หลับใหลต่อไป ไม่อนุญาตให้ผู้ใดแตะต้องพระองค์แม้แต่ปลายเล็บ! หากใครฝ่าฝืนคำสั่งล่ะก็ ข้าจะประหารมันเก้าชั่วโคตร! ได้ยินหรือไม่!”

หว่านชิงกุมแก้มพร้อมกับทรุดลงคุกเข่า ได้แต่เอ่ยรับคำไม่หยุด ชีวิตของคนทั้งครอบครัวถูกบีบอยู่ในมือเหลียงเฟย นางจึงไม่กล้าพูดมากอีก

ในทางลับใต้วังเฉียนชิง ราชองครักษ์ลับนายหนึ่งนอนหมอบอยู่ในช่องลมพลางฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่จนจบ จากนั้นจึงรีบเขียนข้อความ

 

‘ฝ่าบาททรงยังมิได้สติ ให้เสาะหาหมอฝีมือดีต่อไป เหลียงเฟยเคลื่อนไหวผิดสังเกต ขอให้ท่านผู้บัญชาการโปรดกลับวังมาตัดสินโดยด่วน’

 

ครั้นแล้วก็ให้คนส่งออกไปนอกวังอย่างลึกลับไร้ร่องรอย

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 91-92

    By

    บทที่ 91 เอาคืน  ภายหลังหลี่เจาเกอกับโม่หลินหลางเดินจากมาไกล โม่หลินหลางก็ข่มใจไม่ไหว เอ่ยกับหลี่เจาเกอด้วยความรุ่มร้อน “องค์หญิง ขออภัยด้วย...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 89-90

    By

    บทที่ 89 ปีศาจแมว เผยจี้อันหน้าเปลี่ยนสีทันตา มองไปทางกู้หมิงเค่ออย่างไม่อาจเชื่อ กู้หมิงเค่อยังคงส่งยิ้มมาให้ ในดวงตาลุ่มลึกเย็นเยียบ พลังก...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com