ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก
บทที่สิบเอ็ด
ฮ่องเต้เสด็จ
เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่านอนตะแคงข้างอยู่บนตั่งเตียง เพราะอุณหภูมิลดลงอย่างเฉียบพลัน ในวังจึงจุดเตาใต้ดิน ทำให้รู้สึกอบอุ่นสบายยิ่งนัก นางสวมแค่ชุดกันหนาวบางเบา แล้วห่อหุ้มอาเป่าไว้ในชุดกันหนาวนั้น มันโผล่ออกมาเพียงแค่ศีรษะที่สวมหมวกใบเล็กเท่านั้น หนึ่งคนหนึ่งสุนัขแบ่งกันกินขนมโก๋อ่อน อ่านบันทึกปกิณกะเล่มเดียวกัน ภาพเช่นนี้ช่างน่าขำขันยิ่ง
กู่เซ่าเจ๋อถูกขนาบอยู่ระหว่างกลางเนินอกอวบอิ่มทั้งสองข้าง ปลายจมูกคือกลิ่นกายอันเย้ายวน ช่างทุกข์และสุขในคราเดียวกันจริงๆ เขาอยากจะสัมผัสร่างกายของเมิ่งซังอวี๋อย่างควบคุมไม่อยู่ แต่เมื่อเห็นอุ้งเท้าที่พันเป็นขนมจ้างของตนแล้วก็ได้แต่ลดธงเงียบเสียงกลอง พยายามย้ายความคิดและจิตใจไปอยู่กับหนังสือ
“เต๋อเฟยเพคะ เมื่อครู่ขันทีส่งคนมาแจ้งว่าคืนนี้ฮ่องเต้จะเสด็จวังปี้เซียว ขอให้พระองค์ทรงเตรียมตัวให้พร้อม” ปี้สุ่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าหนักอึ้ง นางคิดว่าพอเจ้านายของตนสิ้นความโปรดปรานไปแล้ว วันคืนอันขมขื่นที่ต้องแก่งแย่งชิงดีก็จะหยุดลงด้วยเช่นกัน ไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้กลับเปลี่ยนใจกลับมาหานางอีกครั้ง!
พรวด…เมิ่งซังอวี๋ยังไม่ได้กลืนขนมลงไปก็พ่นออกมาทั้งชิ้น “มิใช่ใช้การไม่ได้แล้วหรอกหรือ” นางจับเส้นผมยาวสยายของตน ตะโกนเสียงดังอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“โฮ่งๆๆ!” กู่เซ่าเจ๋อก็เห่าเสียงแหบแห้งด้วยเช่นกัน เป็นแค่ตัวปลอม ใครใช้ให้มันบังอาจถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้าแตะต้องซังอวี๋ของเรา!? โทสะสูงเสียดฟ้าที่พลุ่งพล่านอยู่ในดวงตาของเขาแทบจะทำให้ลูกตาสีดำสนิทกลายเป็นสีแดงฉาน
เมิ่งซังอวี๋รีบลูบศีรษะอาเป่าเป็นการปลอบประโลม กดเสียงต่ำพลางเอ่ยอย่างเหี้ยมเกรียม “เจ้าบุรุษชั่วช้าสามานย์! เหตุใดไม่ประกาศศักดาบนเรือนร่างดอกบัวขาวบริสุทธิ์ของเขา แต่ดันมาหาข้าได้เล่า ฮึ! ก็แค่วางแผนจะให้ข้ารับเคราะห์แทนดอกบัวขาวดอกนั้นล่ะสิ มนุษย์ดินก็ยังเป็นดินอยู่สามส่วน มารดาจะหยุดงานประท้วง! มารดาไม่ทำแล้ว!”
ซังอวี๋ พูดได้ดี! กู่เซ่าเจ๋อเห่าโฮ่งๆ คล้อยตาม มิได้ฉุกใจสักนิดเลยว่าบุรุษชั่วช้าสามานย์ที่นางพูดถึงก็คือตัวเอง
“เต๋อเฟย เช่นนั้นพวกเราจะรับมืออย่างไรดีเพคะ” แม่นมเฝิงถามอย่างกระตือรือร้น เมื่อก่อนนางเป็นตัวตั้งตัวตีให้แก่งแย่งชิงดี แต่หลังจากรู้ความจริงก็แปรพักตร์มาเป็นฝ่ายต่อต้านเรียบร้อยแล้ว
“ไปหยิบยาเม็ดสีแดงในตลับก้นหีบ ออกมา นั่นเป็นยาที่ข้าได้มาจากหมอหลวงผู้เฒ่าฉวีซึ่งเกษียณราชการลากลับบ้านเกิดไปแล้ว ตอนนี้มีโอกาสได้ใช้มันพอดี” เมิ่งซังอวี๋ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว ชี้หีบใบหนึ่งพลางพูดกับปี้สุ่ย
ความเซื่องซึมในดวงตาของกู่เซ่าเจ๋อจางลงเล็กน้อย ตอนนี้เขาเข้าใจกระจ่างแล้ว หากไม่มีคำสั่งจากเสิ่นฮุ่ยหรู เจ้าตัวปลอมนั่นจะใจกล้าค้ำฟ้าถึงเพียงนี้ได้อย่างไร คิดจะใช้ประโยชน์จากตำหนักในของเขา? นี่เท่ากับว่าต้องโทษตายทั้งสกุลด้วยซ้ำ! ดูท่าสกุลเสิ่นคงทรยศเขาโดยสมบูรณ์แล้ว คราวนี้คนเหล่านั้นคงคิดจะขโมยวันเปลี่ยนดวงอาทิตย์ จากนั้นก็ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนราชวงศ์!
เขากัดฟันกรอดๆ อย่างไม่รู้ตัว เพลิงโทสะโหมกระหน่ำในหัวใจอย่างบ้าคลั่ง ไมตรีหยดสุดท้ายที่มีต่อเสิ่นฮุ่ยหรูและราชครูเสิ่นสลายหายไปในเปลวเพลิงโทสะสูงเสียดฟ้านี้จนหมดสิ้น
โชคดีที่ยังมีเหยียนจวิ้นเหว่ยซึ่งไม่มีวันหักหลังเขา เขายังรักษาความหวังสุดท้ายไว้ได้! หากร่างกายของเขาตายไปแล้ว เหยียนจวิ้นเหว่ยก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ จะต้องสังหารคนทรยศทีละคนๆ จนหมดสิ้นเป็นแน่ จากนั้นจึงคืนป้ายคำสั่งของผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับให้แก่ไทเฮาแล้วปลิดชีพตัวเอง ทว่าตอนนี้เหยียนจวิ้นเหว่ยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แสดงว่าร่างกายของเขายังปลอดภัยดีอยู่
พอคิดถึงตรงนี้เขาก็เงยหน้ามองไปยังเมิ่งซังอวี๋ ในใจลังเลว่าจะบอกสถานะที่แท้จริงของเขากับนางดีหรือไม่ แต่ก็คิดได้ในทันใดว่าหากให้นางเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ จะเป็นการนำพาอันตรายมาสู่นางหรือไม่ เขาละล้าละลัง
ในชั่วขณะที่กำลังลังเลนั้น เมิ่งซังอวี๋ก็อุ้มอาเป่าออกมาจากชุดกันหนาวตัวน้อย ย่นคิ้วพลางกล่าว “ช่วงนี้อาเป่าอารมณ์แปรปรวนง่ายยิ่ง ตอนกลางดึกมันจะนอนพลิกไปพลิกมา ท่าทางไม่ค่อยสบาย หรือว่าตอนนี้ถึงฤดูติดสัดแล้ว แต่ฤดูติดสัดของสุนัขกุ้ยปินเร็วที่สุดมิใช่ตอนอายุสี่เดือนหรอกหรือ อาเป่าเพิ่งจะสามเดือนกว่าเองกระมัง”
นางเอ่ยพลางจับอาเป่าพลิกไปพลิกมา มองบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ที่ถูกโกนขนจนโล้นเกลี้ยงของมัน จากนั้นก็ยิ้มอย่างวางใจ
“ยังมิได้ติดสัด ค่อยยังชั่ว ถ้าติดสัดเร็วเกินไปจะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่ อาเป่าอย่ารีบร้อนล่ะ รอให้ถึงวัยแล้วข้าจะหาลูกสะใภ้ที่น่ารักสะสวยให้เจ้าอย่างแน่นอน” นางพูดพร้อมกับใช้นิ้วดีดสิ่งนั้นอันน่ารักน่าชังของมัน
แม่นมเฝิงและอิ๋นชุ่ยต่างก้มหน้า แต่เหลือบมองท่าทางหยาบโลนของผู้เป็นนายอย่างห้ามไม่อยู่
กู่เซ่าเจ๋อใช้อุ้งเท้าปิดหน้า วิญญาณมนุษย์ในใจกลายเป็นสีแดงเลือดหมูไปแล้ว เหนือศีรษะผุดควันเป็นสาย หัวใจซึ่งเดิมทียังลังเลไม่แน่ใจแน่วแน่ขึ้นมาทันที ชั่วชีวิตนี้ต่อให้ตีเขาให้ตาย เขาก็จะไม่บอกเมิ่งซังอวี๋ว่าตนเคยเป็นอาเป่า! เขาจะทำให้ตนอับอายไม่ได้!
เปลวเพลิงโทสะและไอสังหารที่โถมกระหน่ำในใจมลายหายไปจนหมดสิ้นโดยไม่รู้ตัว หลงเหลือไว้เพียงความจนใจอย่างลึกซึ้งและความรักใคร่จางๆ สตรีผู้นี้มักจะทำให้เขาลืมเลือนเรื่องวุ่นวายใจเหล่านั้นไปได้เสมอ
“เต๋อเฟย ใช่สิ่งนี้หรือไม่เพคะ” ปี้สุ่ยถือกล่องปักดิ้นใบเล็กสีดำเข้ามา เปิดฝาออกพลางถาม
“ใช่ สิ่งนี้แหละ” เมิ่งซังอวี๋ปล่อยอาเป่าที่ใช้เท้าหน้าปิดหน้า ท่าทางดูน่ารักน่าชังเหลือหลายลง แล้วหยิบเม็ดยากินกลั้วกับน้ำอย่างอารมณ์ดี
“เต๋อเฟย ยานี้มีสรรพคุณอย่างไรหรือเพคะ” แม่นมเฝิงซักถามอย่างไม่วางใจ
“หลังจากกินยานี้ลงไปสองชั่วยามจะทำให้ระดูมาก่อนเวลา อีกทั้งยังมาขาดๆ หายๆ ติดต่อกันหลายเดือนไม่หยุด” เมิ่งซังอวี๋มองไปยังนาฬิกาทรายซึ่งอยู่บนตั่งตัวเล็ก พูดพึมพำว่า “อีกหนึ่งชั่วยามฝ่าบาทก็จะเสด็จมาแล้ว ก่อนที่พระองค์จะร่วมเตียงกับข้า พวกเราต้องถ่วงเวลาให้ได้หนึ่งชั่วยาม รอให้ยาออกฤทธิ์เสียก่อน…แต่พระองค์มิใช่ใช้การไม่ได้แล้วหรอกหรือ เหตุใดถึงทำได้เล่า ช่างน่าผิดหวังเสียจริง! แต่หลี่ซูจิ้งคงผิดหวังกว่าข้าเป็นแน่” พูดจบนางก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา
ถูกผู้หญิงของตนคาดหวังให้ด้านนั้นใช้การมิได้ กู่เซ่าเจ๋อวางเท้าหน้าที่แข็งชะงักลง ใบหน้าบิดเบี้ยว ไม่รู้ว่าควรทำสีหน้าอย่างไรจึงจะเหมาะสม แต่บัดนี้เขาได้ถลำลึกลงสู่โคลนตมของสุนัขผู้ภักดีอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว ถึงกับไม่เดือดดาลเลยแม้แต่น้อย คิดแค่ว่าหลังจากกลับคืนสู่ร่างเดิมแล้วจะต้องรักใคร่ทะนุถนอมเมิ่งซังอวี๋ให้ดีๆ ทำให้ปากเล็กๆ ของนางเปล่งวาจาอื่นใดไม่ได้อีกนอกจากเสียงครวญคราง
พอคิดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกว่าจมูกคันยิบพร้อมทั้งเอ่อล้นด้วยบางสิ่ง เขารีบเลียความอุ่นร้อนตรงจมูกทิ้งก่อนที่เมิ่งซังอวี๋จะรู้ตัว พอเลียเสร็จเขาก็กลัดกลุ้มขึ้นมาอีก ตอนนี้เขาถึงกับกินเลือดกำเดาของตัวเอง สวรรค์! เรื่องที่ไม่อยากจะหวนนึกถึงเช่นนี้จะต้องถูกลูกตุ้มเหล็กหนักพันชั่งถ่วงทิ้งลงในแม่น้ำหย่าหลง ไปเสีย!
แม่นมเฝิงเห็นอาเป่าตัวสั่นระริกก็หลงคิดว่ามันหนาว จึงดึงผ้าห่มผืนน้อยขึ้นห่มท้องของมัน จากนั้นจึงถามต่อว่า “ระดูมาติดต่อกันหลายเดือนไม่หยุด? เต๋อเฟย เช่นนี้จะมีผลกระทบต่อพระวรกายของพระองค์หรือไม่เพคะ”
“ไม่หรอก ท่านพ่อเคยช่วยชีวิตบุตรชายของหมอหลวงผู้เฒ่าฉวีเอาไว้ เพื่อตอบแทนบุญคุณ หมอหลวงผู้เฒ่าฉวีเคยแอบตรวจชีพจรให้ข้าอย่างลับๆ เรื่องโอสถของฝ่าบาทก็เป็นเขาที่บอกข้า ยานี้ไม่มีพิษ กลับสามารถช่วยขับพิษที่สะสมในร่างกายข้าออกมาบางส่วนเสียด้วยซ้ำ เป็นยาดีสำหรับบำรุงสุขภาพ เมื่อขจัดพิษไปได้พอสมควรแล้วระดูก็จะหมดไปเอง แต่ก่อนข้าไม่คิดต้องการบุตรจึงเก็บเอาไว้ไม่ใช้ แต่หลังจากนี้หลายเดือนผ่านไปสงครามระหว่างหลี่ซูจิ้งกับเสิ่นฮุ่ยหรูก็คงจะรู้ผลแพ้ชนะแล้ว” เมิ่งซังอวี๋เอ่ยเนิบนาบ
ครั้นแม่นมเฝิง ปี้สุ่ย และอิ๋นชุ่ยได้ยินเช่นนี้ก็พากันเผยสีหน้าวางใจ
หมอหลวงผู้เฒ่าฉวี…กู่เซ่าเจ๋อแอบจำชื่อที่ทำให้เขาซาบซึ้งอย่างไร้ที่สิ้นสุดนี้เอาไว้อย่างเงียบๆ เขาใช้เท้าหน้ากุมหัวใจดวงน้อยๆ ของตนเอาไว้ ใบหน้าบิดเบี้ยวกลับคืนสู่สภาพปกติในที่สุด
ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามกว่าฮ่องเต้จะเสด็จมา แต่เมิ่งซังอวี๋ไม่อาจนั่งรออยู่เฉยๆ นางยังต้องอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์และอบตัวให้หอมกรุ่น แต่งกายให้งดงามตราตรึง แล้วจึงไปรอรับเสด็จอยู่หน้าประตูวังก่อนเวลาสองเค่อจึงจะใช้ได้
สี่เท้าของกู่เซ่าเจ๋อยังไม่หายสนิท ไม่สามารถเดินเหินได้ จึงถูกจับให้นอนอยู่ในตะกร้าข้างตั่งเตียง ตรงข้ามตั่งเตียงมีฉากกันลมโปร่งบางใหญ่ยักษ์บานหนึ่งตั้งอยู่ ด้านหลังฉากกันลมมีควันลอยแผ่ปกคลุม เสียงน้ำดังซู่ซ่า เงาร่างงามชดช้อยที่มองเห็นได้รางๆ นั่งอยู่ในถังอาบน้ำอย่างเกียจคร้าน กลิ่นหอมอบอวลตามด้วยไอชื้นแฉะลอยเข้าจมูก รุกล้ำเข้าสู่หัวใจ ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง
เขาจ้องฉากกันลมอย่างห้ามใจไม่อยู่ ดวงตาสีดำสนิทเปล่งประกายหม่นมัวรางๆ สายตาเร่าร้อนอยากมองทะลุเนื้อผ้าโปร่งบางนั้นใจจะขาด ให้เห็นเงาร่างอรชรที่ปิดซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงน้ำดังซู่ซ่าก็หยุดลง เงาร่างอันรางเลือนยืนขึ้นมาจากถังอาบน้ำ บนฉากกันลมสามารถมองเห็นเงาร่างแน่งน้อยสมส่วน มีส่วนเว้าส่วนโค้ง หน้าอกกลมกลึงอวบอิ่ม ช่วงเอวบาง หน้าท้องราบเรียบ ขาเรียวยาวทั้งสองข้าง…ทุกสัดส่วนล้วนแผ่กลิ่นอายเย้ายวนใจ ในระหว่างช่วงที่เขาไม่ได้ใส่ใจ เด็กสาวตัวน้อยในปีนั้นได้เติบโตขึ้นแล้ว ทว่าเขากลับพลาดทุกช่วงเวลาแห่งการเติบโตของนาง
เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ ประกายในดวงตาของกู่เซ่าเจ๋อก็พลันมืดหม่น ฝังศีรษะลงกับอุ้งเท้าหน้า เงาร่างที่กำลังขดตัวนั้นดูอ้างว้างเดียวดายยิ่ง
ชั่วครู่ต่อมา เมิ่งซังอวี๋ก็สวมชุดตัวในสีขาวบริสุทธิ์ และสวมชุดคลุมเปิดคอผ้าโปร่งบางเดินออกมา อุ้มอาเป่าซึ่งอยู่ในตะกร้าขึ้น ก่อนจะนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วปล่อยให้แม่นมเฝิงกับปี้สุ่ยจัดแจงหวีผมดำสลวยของตน
เมื่อถูกอุ้มเข้าสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคย กู่เซ่าเจ๋อก็สลัดหลุดออกมาจากอารมณ์หดหู่ทันที ยื่นเท้าออกไปช้อนปอยผมซึ่งอยู่ตรงหน้า หากเรามีมือ ผมยาวสลวยนี้เราควรจะเป็นคนหวีด้วยตัวเองถึงจะถูก เขาคิดอย่างเงียบๆ คิดไปถึงว่าอีกประเดี๋ยวความงามของเมิ่งซังอวี๋ก็จะถูกเจ้าตัวปลอมพิศมอง อาจถึงขั้นสัมผัสแตะต้อง ดวงตาดำสนิทก็ปล่อยไอสังหารออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขาทำจิตใจให้สงบ ใช้เท้าหน้ากอดปอยผมนั้นแล้วเลื่อนมาไว้ปลายจมูกพลางสูดดมอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้านหนึ่งลอบเคลิบเคลิ้มกับกลิ่นหอมของนาง อีกด้านครุ่นคิดว่าจะต้องรักษาอาการบาดเจ็บให้เร็วที่สุด หลังจากนั้นก็ไปยังเส้นทางลับในอุทยานหลวงเพื่อติดต่อกับเหยียนจวิ้นเหว่ย สกุลเสิ่นแสดงท่าทีคิดจะทรยศอย่างเห็นได้ชัด เหยียนจวิ้นเหว่ยจะต้องพยายามหาทางเอาร่างกายของเขาออกไปนอกวังให้ได้เป็นแน่ ทว่าฮ่องเต้ตัวปลอมอยู่ในวัง ซ้ำในระยะหนึ่งเหยียนจวิ้นเหว่ยยังต้องเข้าวังมาตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ เขาสามารถเขียนข้อความวางทิ้งไว้ในท่อที่พวกเขาใช้ส่งข่าวสารในเส้นทางลับ ไม่ช้าก็เร็วเหยียนจวิ้นเหว่ยก็ต้องหาพบ
“หวีรวบเป็นทรงเมฆคล้อย ธรรมดาและปักดอกโบตั๋นสักดอกก็พอ เดี๋ยวข้าจะแต่งหน้าเอง”
ขณะที่อาเป่ากำลังเคลิบเคลิ้ม เสียงเกียจคร้านเอาแต่ใจของหญิงสาวก็ดังขึ้น ปอยผมในอุ้งเท้าก็ถูกช่วงชิงไปด้วยเช่นกัน
กู่เซ่าเจ๋อขมวดคิ้ว ส่งเสียงฟึดฟัดอย่างไม่สบอารมณ์ แต่กลับแลกมาด้วยสัมผัสแห่งรักอันอ่อนโยนของเมิ่งซังอวี๋ จมูกเปียกชื้นก็ถูกเกาเบาๆ ทันใดนั้นความยินดีก็บังเกิดขึ้นในหัวใจอย่างไม่อาจยับยั้ง เขางับนิ้วมือนิ้วนั้นเอาไว้ ใช้ฟันขับกัดทีละนิดๆ แล้วปล่อยออกอย่างอาลัยอาวรณ์
“เอาล่ะ เจ้าเป็นเด็กดีนั่งดูอยู่ตรงนี้นะ ข้าจะแต่งหน้าแล้ว” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะเบาๆ พร้อมกับชักมือกลับ วางอาเป่าไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นจึงหยิบเครื่องประทินผิวขึ้นมาแล้วค่อยๆ บรรจงแต่งแต้มลงบนใบหน้า
ผิวพรรณซึ่งเดิมทีก็ขาวหมดจดขาวผ่องขึ้นยิ่งกว่าเดิม ดูคล้ายกับคนขี้โรคอยู่บ้าง จากนั้นนางก็ทาชาดสีแดงสดและเขียนขอบตาเส้นหนาเข้ม ถึงแม้ใบหน้านี้จะยังคงสวยงามอยู่ แต่กลับมีความหยาบไร้ฝีมือเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน ขาดความสดใสเป็นธรรมชาติไปบ้าง กู่เซ่าเจ๋อมองดวงหน้าราวกับภาพสลักนี้ ในใจรู้สึกขมปร่า ผู้คนต่างบอกว่าสตรีแต่งหน้าแต่งกายเพื่อทำให้คนที่ตนรักชื่นชอบ แต่เมิ่งซังอวี๋กลับไม่เคยเผยด้านที่งดงามที่สุดต่อหน้าเขามาก่อน เห็นได้ว่านางมิได้มีใจอยากให้เขามีความสุขสักนิด
ความรู้สึกขมฝาดถูกสะกดด้วยความเย็นเยียบที่หางตา ครั้นกู่เซ่าเจ๋อได้สติกลับคืนมาก็เห็นเมิ่งซังอวี๋กำลังถือดินสอถ่าน มุมปากมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ นางวาดเส้นสามเส้นที่หางตาของอาเป่าอย่างรวดเร็ว เขายื่นเท้าหน้าออกมาด้วยสัญชาตญาณ หมายจะปัดทิ้ง
“ห้ามปัดนะ ถ้าปัดก็ไม่ต้องกินข้าว” เมิ่งซังอวี๋ตีหน้าดุพลางพูดข่มขู่ ในดวงตาหงส์ใสกระจ่างเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม
กู่เซ่าเจ๋อชะงักอึ้ง วางเท้าลงทันที
“ดีมาก!” เมิ่งซังอวี๋จุมพิตริมฝีปากเล็กๆ ของอาเป่าเบาๆ แล้วจึงวาดเส้นสามเส้นลงบนหางตาอีกข้างของมันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ จากนั้นก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา
“ว้าย เกิดอะไรขึ้นกับอาเป่าเพคะ ยังไม่ทันแก่ก็มีรอยเหี่ยวย่นแล้วหรือ” ปี้สุ่ยกับอิ๋นชุ่ยเองก็กลั้นหัวเราะจนหน้าแดง หยอกล้อด้วยเสียงสั่นๆ ใบหน้าสุนัขที่ถูกโกนขนออกจนเกลี้ยงนวลเนียนนุ่มนิ่มยิ่ง หางตาทั้งสองข้างมีรอยเส้นหนาสีดำสามเส้น ภาพนี้ช่างน่าขำขันจริงๆ ทำให้กลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวแล้ว
กู่เซ่าเจ๋อสามารถจินตนาการท่าทางอันน่าขำขันของตนได้ ไอทะมึนสีดำจึงแผ่ออกมาทั่วทั้งร่าง เขาหันกายหนีอย่างแข็งขืน ใช้ก้นเผชิญหน้ากับเมิ่งซังอวี๋ แต่เมื่อมองเข้าไปยังก้นบึ้งในดวงตาของเงาร่างงดงามในกระจก เขากลับเห็นความรักใคร่เข้มข้น ถ้าหากยอมเสียภาพลักษณ์แล้วสามารถแลกมาด้วยดวงหน้ายิ้มแย้มเบิกบานของนางได้ เขาก็ยินดี
ยามโหย่ว* เพิ่งจะผ่านพ้นไป เมิ่งซังอวี๋ก็ต้องหักใจทิ้งอาเป่าที่เห่าไม่หยุดไว้ จากนั้นก็สวมเครื่องแต่งกายชาววังอันหรูหรางดงาม ฝ่าลมหนาวรอรับราชรถของฮ่องเต้อยู่หน้าประตูวัง
ยามฮ่องเต้เสด็จมาถึง สิ่งที่ทอดพระเนตรเห็นก็คือโฉมงามที่สวมชุดคลุมยาวซึ่งปลิวสะบัดท่ามกลางลมหนาว ท่วงท่าดูสูงส่งงามสง่า สีหน้าของโฉมงามซีดเซียวเล็กน้อยเพราะตากลมหนาวมากเกินไป ดวงตาหงส์เรียวยาวรื้นด้วยไอน้ำ มองมายังพระองค์ตรงๆ ราวกับแฝงด้วยความรักใคร่ล้นเหลือ ฮ่องเต้ชะงักไปเล็กน้อย ก้มหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว หัวใจซึ่งเดิมทีก็กระวนกระวายไม่สงบเริ่มเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง หาใช่เพราะลุ่มหลงในความงดงาม แต่เป็นเพราะหายนะร้ายแรงถึงชีวิตกำลังจะแผ้วพานมาถึงตัว หากก้าวเท้าออกไป พระองค์ก็อาจจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป
ฉางสี่ซึ่งอยู่ด้านหลังแสร้งกระแอมไอ แต่จริงๆ แล้วกำลังกล่าวเตือนอยู่ ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นทันที ฉีกยิ้มพร้อมกับมองไปหาเมิ่งซังอวี๋ซึ่งกำลังเดินเข้ามาหา
ฝืนแสร้งทำหน้าตายิ้มแย้มทั้งๆ ที่ไม่ชอบอีกแล้ว! ที่จริงเจ้าไม่ต้องมาก็ได้ แล้วข้าจะขอบคุณบรรพบุรุษเจ้าแปดชั่วโคตร! เมิ่งซังอวี๋ย่อเข่าถวายบังคมพลางค่อนขอดเงียบๆ
ชาติที่แล้วนางถูกบิดามารดาทิ้งไว้ในบ้านโดยไม่สนใจไยดีตั้งแต่เด็ก เพื่อให้ได้ความรักความเอาใจใส่มากขึ้นนางจึงเรียนรู้ความสามารถในการสังเกตคำพูดและสีหน้าของผู้อื่นมาตั้งแต่ยังเล็ก มีความรู้สึกที่เฉียบไวต่ออารมณ์ด้านลบของผู้อื่นเป็นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงของสีหน้าไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็สามารถจับได้ทันที มิเช่นนั้นพอเข้าวังมานางก็คงไม่สามารถค้นพบความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งฮ่องเต้พยายามปิดซ่อนเอาไว้ได้หรอก
ฮ่องเต้ปฏิบัติตามคำชี้แนะของฉางสี่ รีบปรี่เข้าไปประคองเมิ่งซังอวี๋ ดึงมือเล็กนวลเนียนของนางเอาไว้ มือคู่นี้อ่อนนุ่มทว่าเย็นเยียบยิ่ง คล้ายกับจิตใจของพระองค์ในยามนี้ ฮ่องเต้กุมมือแน่นขึ้นเล็กน้อยแล้วคลายออกอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รู้ตัว จูงมือนางเดินเข้าตำหนัก รอยยิ้มบนใบหน้าก็เป็นธรรมชาติขึ้นบ้างเล็กน้อย
นี่ยั่วโทสะกันหรือ เมิ่งซังอวี๋รู้สึกได้ถึงแรงบนมือ จึงเหลือบมองพระพักตร์ด้านข้างอันหล่อเหลาของฮ่องเต้ด้วยความประหลาดใจ แต่ก่อนฮ่องเต้ก็กุมมือนาง แต่จะไม่แน่นไม่หลวม คล้ายกับผ่านการคาดคะเนแรงมาแล้ว ยามอยู่บนเตียงก็ไม่เคยสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ มองว่าการร่วมรักเป็นเพียงภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ นอกจากเสิ่นฮุ่ยหรู ท่าทีที่มีต่อสตรีทุกคนล้วนไม่แตกต่าง ดูเหมือนใกล้ชิดสนิทสนม แต่จริงๆ แล้วกลับผลักไสไปไกลถึงพันลี้ บางครามีสนมชายาคนใหม่ที่อายุยังน้อยและพื้นเพตระกูลมิได้โดดเด่นเข้าวัง ถึงจะสามารถเห็นความผ่อนคลายเพียงชั่วครู่ในดวงตาของพระองค์ได้ แต่ความผ่อนคลายนี้ก็จะเลือนหายไปตามการเคลื่อนคล้อยของกาลเวลาและการเปลี่ยนแปลงของคนใหม่ ยากที่จะพบเห็นได้อีก
ดังนั้นฮ่องเต้จึงเป็นบุรุษที่น่าสงสารผู้หนึ่ง
ในขณะที่เมิ่งซังอวี๋กำลังคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ฮ่องเต้ก็ได้พานางเข้ามาในตำหนัก ตำหนักใหญ่ซึ่งจุดเตาใต้ดินเอาไว้อบอุ่นอย่างยิ่ง ไออุ่นที่ปะทะหน้าย้อมใบหน้าของนางให้เป็นสีแดงทันที และทำให้พระทัยของฮ่องเต้คลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย
ทั้งสองนั่งลงบนตั่งเตียงที่อยู่ข้างๆ โต๊ะตัวเล็ก ปี้สุ่ยและแม่นมเฝิงเดินไปมา จัดแจงตระเตรียมชาและขนม
เพิ่งมาถึงก็จะพูดว่า ‘ชายารัก พวกเราเข้านอนกันเถิด’ ไม่ได้ เช่นนี้จะดูรีบร้อนเกินไป ฮ่องเต้ทรงยกชาร้อนๆ ขึ้นจิบ ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี ในตอนนั้นเองพระองค์ก็ทรงได้ยินเสียงสุนัขเห่าดังมาจากตำหนักปีกข้างซึ่งอยู่ถัดไป จึงนึกถึงสุนัขตัวนั้นที่เจอเมื่อคราวก่อนได้ นัยน์ตาจึงเป็นประกายวูบเล็กน้อย คิดในใจว่าในที่สุดก็หาหัวข้อสนทนาได้แล้ว “ชายารัก สัตว์เลี้ยงของเจ้าตัวนั้นสั่งสอนเป็นอย่างไรแล้ว”
“ทูลฝ่าบาท ตรัสถึงสั่งสอนอันใดกันเพคะ ตอนนี้แค่ขยับยังขยับไม่ได้เลยเพคะ” น้ำเสียงของเมิ่งซังอวี๋เจือด้วยความคับแค้นใจ พอเอ่ยจบยังเหลือบมองฉางสี่อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง
ฉางสี่รีบร้อนก้มหน้าลงต่ำ
“เอ๊ะ? บาดเจ็บหนักมากเลยหรือ” ฮ่องเต้ทรงวางจอกชาลง ตรัสถามคล้อยตามคำพูดของนาง
“ปี้สุ่ย ให้อิ๋นชุ่ยไปอุ้มอาเป่ามาให้ฝ่าบาททอดพระเนตรหน่อยซิ” เมิ่งซังอวี๋กวักมือเรียกพลางสั่ง เสียงเห่าที่ได้ยินแหบแห้งเล็กน้อย แสดงว่าตั้งแต่อาเป่าแยกจากนางก็เอาแต่เห่าไม่หยุด เจ้าเด็กคนนี้ห่างจากนางไม่ได้แม้แต่เค่อเดียว แล้วต่อไปจะทำอย่างไรดีเล่า ทั้งๆ ที่กำลังต่อว่า แต่ในใจกลับกระเพื่อมด้วยความรักใคร่จางๆ ความรู้สึกเป็นที่ต้องการถูกพึ่งพาเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกดียิ่งนัก
เสียงเห่าของลูกสุนัขดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พอเข้ามาในตำหนักใหญ่เมื่ออาเป่าเห็นเมิ่งซังอวี๋ มันก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดของอิ๋นชุ่ยทันที เสียงเห่าแหบแห้งทุกข์ระทมแปรเปลี่ยนเป็นเสียงออดอ้อนดังเอ๋งๆ หงิงๆ เท้าน้อยๆ ยกหาเมิ่งซังอวี๋คล้ายกับปรารถนาอ้อมกอดจากเจ้านาย
เมื่อสบกับลูกตาดำสนิทแวววาวเอ่อน้ำ หัวใจของเมิ่งซังอวี๋ก็อ่อนยวบ รีบลุกขึ้นอุ้มมันเข้าสู่อ้อมกอดทันที และใช้นิ้วชี้เกาคางของมันเบาๆ
เสียงร้องเอ๋งๆ หงิงๆ เบิกบานยิ่งกว่าเดิม
“ชายารัก มันบาดเจ็บจนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน คิดไม่ถึงเลยว่าซวี่เหยาจะลงมือโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้” เมื่อเห็นชุดกันหนาวสีแดงสลับเขียวของอาเป่า ฮ่องเต้ก็ทรงผงะอึ้งไปชั่วขณะ จนกระทั่งเมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่านั่งลงถึงได้ทอดพระเนตรเห็นขนที่ถูกโกนทิ้งจนเกลี้ยงและบาดแผลเต็มร่างของมัน อุ้งเท้าถูกห่อหุ้มจนคล้ายกีบเท้าม้า แถมหางยังไม่มีอันใดแตกต่างจากไม้นวดแป้ง ช่างน่าสงสารเวทนาเสียจริง
เมิ่งซังอวี๋เหลือบมองฮ่องเต้แวบหนึ่งด้วยความขุ่นเคือง มิได้ขานรับคำ จะให้นางต่อว่าพระโอรสของฮ่องเต้ต่อหน้าพระองค์? นอกเสียจากว่าหัวสมองของนางถูกลาถีบนางถึงจะทำเช่นนั้น
ยามนี้กู่เซ่าเจ๋อเพิ่งจะสังเกตเห็นฮ่องเต้ตัวปลอมซึ่งอยู่ข้างๆ ครั้นคำว่า ‘ชายารัก’ ถูกเอ่ยออกมา นัยน์ตาดำสนิทของเขาก็มีประกายแหลมคมวาบผ่าน เห่าโฮ่งๆ เสียงดังลั่นใส่ฮ่องเต้ตัวปลอมอย่างไม่รู้ตัว เขาเองก็อยากจะอดทนอดกลั้น แต่น่าเสียดายที่สมองของอาเป่าไม่อำนวย จึงส่งผลต่ออารมณ์และความคิดของเขาทางอ้อม
“ดูเหมือนมันจะเป็นปรปักษ์กับเรา?” ฮ่องเต้ทรงเลิกคิ้ว นี่เป็นสีหน้าท่าทางมาตรฐานยามที่กู่เซ่าเจ๋อแสดงความไม่พอใจ ซึ่งฮ่องเต้ตัวปลอมเลียนแบบได้เหมือนเต็มสิบส่วน
ในใจเมิ่งซังอวี๋พลันอึดอัด รีบตบศีรษะอาเป่าเบาๆ บอกใบ้ให้มันหุบปาก จากนั้นก็จับเท้าหน้าทั้งสองข้างของมันขึ้นมาทำท่าน้อมคำนับ แย้มยิ้มพลางกล่าว “ที่ไหนกันเพคะ เมื่อครู่มันกำลังพูดว่า ‘ฝ่าบาททรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี’ ”
โฮ่งๆๆๆ โฮ่งๆ โฮ่งๆๆ ฟังตามจังหวะการเห่าของอาเป่า กอปรกับคำแปลของเมิ่งซังอวี๋ก็ดูคล้ายกับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฮ่องเต้ทรงเข้าพระทัยแจ่มแจ้งในทันใด แหงนพระพักตร์แย้มสรวลเสียงดังลั่น ความหวาดกลัวหลังจากได้รับคำสั่งจากเหลียงเฟยมลายหายไปท่ามกลางเสียงหัวเราะสบายอกสบายใจนี้จนหมดสิ้น อย่างไรช้าเร็วก็ต้องตายอยู่ดี สู้ตั้งใจเสพสุขกับปัจจุบันดีกว่า
เต๋อเฟยไม่เพียงแต่มีรูปลักษณ์งดงามเฉิดฉัน นิสัยก็น่ารักอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน พออยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจยิ่ง พาให้หัวใจเกิดความสุขสำราญอย่างห้ามไม่อยู่ ฮ่องเต้ตัวปลอมอดสงสัยมิได้ว่าเหตุใดกู่เซ่าเจ๋อถึงไม่รักนาง แต่กลับไปชมชอบหญิงสาวที่มีจิตใจทะเยอทะยาน นิสัยดำมืดอย่างเหลียงเฟย? ว่ากันว่าจิตใจผู้เป็นเจ้าแผ่นดินยากจะหยั่งถึง แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย! ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัย หลุดปากชมโดยไม่รู้ตัว “ชายารักช่างเป็นคนที่พิเศษนัก!”
น้ำเสียงของฮ่องเต้สนิทสนม สีหน้าอ่อนโยน ก้นบึ้งของพระเนตรเปี่ยมล้นไปด้วยความชื่นชอบที่ไม่อาจเข้าใจเป็นอื่นได้ นี่เป็นสีหน้ายามบุรุษผู้หนึ่งชื่นชมหญิงสาว เป็นลางบอกว่ากำลังหวั่นไหว
กู่เซ่าเจ๋อเก็บสีหน้าของอีกฝ่ายเข้าสู่ก้นบึ้งของความจำทั้งหมด หัวใจพลันหดรัด หายใจติดขัด ถึงขั้นรู้สึกหวาดกลัวจนยากจะทานทน
เมิ่งซังอวี๋มีดีแค่ไหนไม่มีใครเข้าใจกระจ่างยิ่งกว่าเขาอีกแล้ว แค่ใส่ใจเล็กน้อยหรือไม่ก็สังเกตนางให้มากขึ้นหน่อยก็จะถูกนางดึงดูดอย่างไม่อาจทานทน นางมองโลกในแง่ดี สดใสร่าเริง มีจิตใจงดงาม จริงใจไม่เสแสร้ง เป็นราวกับแสงอาทิตย์ในวังหลวงที่มืดมิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแห่งนี้ เปี่ยมด้วยเสน่ห์อย่างเหลือล้น ขอแค่มิได้เป็นคนมีตาแต่หามีแววแบบเขาเมื่อก่อน ถ้าเป็นบุรุษล้วนไม่มีผู้ใดต้านทานเสน่ห์ของนางได้
ถ้าเกิดฮ่องเต้ตัวปลอมคนนี้มีใจให้ซังอวี๋…กู่เซ่าเจ๋อกัดฟัน ไม่กล้าคิดต่อ หัวใจคล้ายกับถูกควักออกมาบีบจนแหลกสลาย เขาชิงชังชะตากรรมของตนในตอนนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ต่อให้มิใช่คน แต่ขอสิงอยู่ในร่างสุนัขล่าเนื้อก็ยังดี! เขาจะต้องกัดคอหอยของคนผู้นั้นให้ขาดในทันทีเป็นแน่!
คราวนี้เมิ่งซังอวี๋เองก็รู้สึกไม่สงบใจเช่นกัน นางมองเห็นสิ่งใด ความอ่อนโยนในดวงตาของฮ่องเต้สุนัขผู้นี้อย่างนั้นหรือ ก่อนนี้ต่อให้ฮ่องเต้แย้มพระสรวลอย่างเบิกบานพระทัยมากแค่ไหน แต่ความเยียบเย็นในเบื้องลึกของพระเนตรกลับไม่เคยจางหายไป ดังนั้นผู้ที่หัวเราะอย่างเริงร่าอยู่ตรงหน้านี้คงเป็นตัวปลอมกระมัง นางอดคิดไม่ได้
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเมิ่งซังอวี๋มีสีหน้าเหม่อลอย น่ารักยิ่ง จึงเอ่ยวาจาหยอกล้อนาง “เจ้าดูหน้าตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่เป็นมิตรของมันสิ คงไม่ชอบหน้าเราเป็นแน่แท้”
เมิ่งซังอวี๋มองตามปลายนิ้วของฮ่องเต้ก็พบสีหน้าดุร้ายของอาเป่าเข้าทันใด อาเป่าถลึงตา แยกเขี้ยวยิงฟัน รูจมูกขยายกว้าง กำลังส่งเสียงขู่คำรามต่ำๆ ท่าทางดุร้ายเช่นนี้หากยั่วให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยล่ะก็ เรื่องใดจะเกิดขึ้น แค่คิดนางก็ยังไม่กล้า
นางรีบปิดหน้าของอาเป่าไว้ ยิ้มแหยๆ พลางแก้ตัว “ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ อาเป่ามิใช่ไม่เป็นมิตรกับพระองค์ แต่ไม่เป็นมิตรกับคนข้างๆ ต่างหากเพคะ ลูกสุนัขแค้นฝังใจยิ่ง คราวก่อนเพราะฉางสี่กงกง อาเป่าของหม่อมฉันถึงได้ลงไปอาบน้ำเย็นๆ ในสระบัวมา มิเช่นนั้นคงไม่กลับมาพร้อมบาดแผลเต็มตัวหรอกเพคะ” นางเหลือบมองฉางสี่อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง
ฉางสี่รีบคุกเข่าลงทันที ตบปากพร้อมกับขอรับผิด “กระหม่อมสมควรตาย กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมมีตาแต่หามีแวว! ขอเต๋อเฟยโปรดให้อภัย!”
เดิมทีเขาคิดว่าสตรีผู้นี้ถูกเขี่ยทิ้งไปแล้ว ถึงได้กล้าทำร้ายสัตว์เลี้ยงของนางอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนั้น แต่ใครจะคาดคิดว่านางยังมีประโยชน์ต่อเหลียงเฟยอยู่ ดังนั้นเขาจึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนอีกครั้งหนึ่ง สตรีที่สมควรตาย ข้าจะยอมเจ้าไปก่อนชั่วคราว รอให้ข้าได้เป็นเจ้ากรมก่อนเถอะ จะต้องจัดการเจ้าเป็นแน่! ฉางสี่หลุบดวงตา ปิดบังความอาฆาตแค้นในใจ
แต่กู่เซ่าเจ๋อซึ่งนอนหมอบอยู่บนตักของเมิ่งซังอวี๋ประสานสายตากับเขาพอดิบพอดี จึงย่อมเก็บสีหน้าของเขาเข้าสู่ก้นบึ้งความจำจนหมดสิ้น กู่เซ่าเจ๋อลอบกล่าวอย่างเย็นชาในใจ ดูท่าบ่าวผู้นี้คงเก็บเอาไว้มิได้แล้ว!
เพราะเห็นแก่หน้ากู่เซ่าเจ๋อ นางสนมและนางกำนัลทั้งหลายจึงเกรงอกเกรงใจฉางสี่ พินอบพิเทาเป็นอย่างมาก แต่เมิ่งซังอวี๋กลับไม่ใช่ เพราะหนึ่งนางไม่คิดช่วงชิงความรักความโปรดปราน สองนางไม่คิดช่วงชิงอำนาจ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ฉางสี่ช่วยพูดถึงนางดีๆ ต่อหน้าฮ่องเต้ ให้พระองค์คิดถึงทุกเมื่อเชื่อวัน ถ้าฉางสี่ไม่หาเรื่อง นางก็สามารถอยู่ร่วมกันกับเขาได้อย่างสงบไร้เรื่องราว แต่หากยั่วโทสะนางเข้า นางก็จะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้อยู่อย่างสงบแน่นอน! ความแค้นที่เขาเตะอาเป่านั้น นางยังไม่เคยลืมแม้แต่วินาทีเดียว
ทว่าแก้แค้นก็ต้องรู้จักความพอเหมาะพอควร เพราะอย่างไรฉางสี่ก็เป็นคนของฮ่องเต้สุนัขผู้นั้น
เมิ่งซังอวี๋คอยสังเกตสีพระพักตร์อยู่ตลอดเวลา รอให้เขาเผยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแล้วค่อยสั่งให้หยุด แต่พอมองดูนางก็รู้ว่าเกิดปัญหาเสียแล้ว แววตานั่นมันอะไรกัน มิใช่หงุดหงิดรำคาญ แต่คล้ายกับกำลังหวาดกลัวไม่สบายใจ นางเม้มปาก พอเหลือบมองดูอีกครั้งก็มั่นใจว่าตนมิได้มองผิด ผู้เป็นฮ่องเต้หวาดกลัวบ่าวผู้หนึ่ง? จะเป็นไปได้อย่างไร หัวใจของนางเริ่มเต้นระรัว ความคิดอันเลือนรางคลุมเครือความคิดหนึ่งวาบผ่านหัวสมองราวกับอสนีบาต
เมื่อเห็นฮ่องเต้ทรงขมวดคิ้วพร้อมกับทอดพระเนตรมาทางตน ทั้งๆ ที่เป็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ส่วนลึกในดวงตากลับแฝงไว้ด้วยความกระวนกระวายและประกายโชติช่วง เมิ่งซังอวี๋จึงยกมือขึ้น เอ่ยปากอย่างไม่ใคร่สนใจนัก “ช่างเถอะ หยุดได้แล้ว คราวหน้าระวังหน่อยก็แล้วกัน” พอเอ่ยจบนางก็มองไปทางฮ่องเต้ที่ลอบผ่อนคลายความเครียดบนพระพักตร์ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น “ฝ่าบาท เพื่อมิให้พวกมีตาแต่ไร้แววพวกนั้นมาทำร้ายอาเป่าอีก พระองค์ทรงเขียนป้ายห้อยคอให้มันได้หรือไม่เพคะ พอมีป้ายห้อยคอพระราชทานอาเป่าจะได้ไปไหนมาไหนในวังได้อย่างปลอดภัย หม่อมฉันเองก็มิต้องอกสั่นขวัญหายเพราะมันอีกอย่างไรเล่าเพคะ”
“นี่…” ฮ่องเต้ทรงลังเล กลัวว่าจะเผยพิรุธออกมายามเขียนตัวอักษร
“อาเป่าวังปี้เซียว แค่ห้าตัวอักษร เพียงเปลืองแรงยกพระหัตถ์ก็สามารถช่วยให้ความปรารถนาของหม่อมฉันเป็นจริงได้แล้วเพคะ” เมิ่งซังอวี๋กางนิ้วนับ จากนั้นก็ขยับเข้าไปดึงชายแขนฉลองพระองค์ทันที น้ำเสียงอ่อนหวานมัวเมาผู้คน
จิตใจของฮ่องเต้สั่นไหวกระเพื่อม ลอบมองไปทางฉางสี่ที่ใบหน้าบวมแดงอย่างแนบเนียน ฉางสี่ส่งสายตาให้โดยที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น ฮ่องเต้จึงทรงรับคำด้วยความยินดี
ยามที่เมิ่งซังอวี๋ดึงชายแขนฉลองพระองค์ของฮ่องเต้ตัวปลอมพร้อมกับออดอ้อน กู่เซ่าเจ๋อก็เห่าคำรามขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งหมดเรี่ยวแรง
เมิ่งซังอวี๋ย่อมจับปฏิกิริยาตอบโต้อันผิดปกติระหว่างฮ่องเต้และฉางสี่ได้ จึงรีบโบกมือเรียกอิ๋นชุ่ยให้พาอาเป่าที่ส่งเสียงดังไม่หยุดออกไป เพื่อมิให้มันทำให้ฮ่องเต้ทรงเกิดโทสะ รวมไปถึงทำให้ตนวอกแวก
เสียงเห่าไกลออกไปทุกที ปี้สุ่ยกับแม่นมเฝิงแบ่งกันถือพู่กัน หมึก กระดาษ และจานฝนหมึกเดินเข้ามา กางลงบนโต๊ะแปดเซียนข้างตั่งเตียง