ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก
บทที่สิบสอง
ทดสอบตัวจริงตัวปลอม
ฮ่องเต้ทรงยกพู่กันขึ้นจุ่มหมึก ข้อพระหัตถ์ค้างอยู่กลางอากาศ หยุดชะงักอยู่บนกระดาษเซวียนจื่อ สีขาวดุจหิมะครู่หนึ่งถึงค่อยจรดเขียนขีดแรก รอยหมึกหนาเข้มแผ่ขยายบนกระดาษ ตัวอักษรคำว่า ‘อาเป่าวังปี้เซียว’ ขนาดใหญ่โลดแล่นอยู่บนผิวกระดาษ เหมือนกับลายมือจริงๆ ของกู่เซ่าเจ๋ออย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ครั้นวางพู่กันลงและมองเห็นผลงานของพระองค์เอง ฮ่องเต้ก็ทรงลอบพ่นลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา เขาเลียนแบบลายพระหัตถ์ของฝ่าบาทเป็นเวลาถึงสามเดือน ต้องเขียนหลายร้อยรอบทุกวัน จึงพอที่จะตบตาผู้อื่นได้ แม้กระทั่งเหลียงเฟยกับราชครูเสิ่นก็ยังดูไม่ออก แล้วนับประสาอะไรกับเต๋อเฟยที่ไม่แตกฉานในด้านอักษร ด่านนี้คงจะผ่านไปได้อย่างสะดวกราบรื่น
พอคิดถึงตรงนี้เขาก็วางพู่กันลง ฉวยโอกาสตอนที่เมิ่งซังอวี๋ยกกระดาษเซวียนจื่อขึ้นมาชื่นชม ส่งสายตาสอบถามไปยังฉางสี่
ฉางสี่พยักหน้าน้อยๆ แสดงว่าไม่เลว
ทั้งสองคิดว่ากิริยาของพวกตนแนบเนียนไร้ร่องรอย แต่จริงๆ แล้วเมิ่งซังอวี๋ที่กำลังยกกระดาษเซวียนจื่อขึ้นมาพิศมองกลับเหลือบหางตาสังเกตดูปฏิกิริยาตอบโต้และสีหน้าของพวกเขา นางย่อมไม่พลาดการแลกเปลี่ยนสายตาของทั้งคู่ ความคิดอันคลุมเครือในใจทวีความชัดเจนยิ่งขึ้น หัวคิ้วนางขมวดมุ่นเล็กน้อย ยามนี้จึงได้พินิจพิจารณาตัวอักษรขนาดใหญ่ห้าตัวในมืออย่างละเอียด มิได้เอ่ยวาจาใดอยู่ครู่ใหญ่
ในตำหนักเงียบเชียบอย่างประหลาด บรรยากาศแปลกพิกลอยู่บ้าง พระทัยของฮ่องเต้หดเกร็งเล็กน้อย ในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหวต้องตรัสขึ้น “ชายารักคิดว่าเราเขียนตัวอักษรทั้งห้าตัวนี้ออกมาไม่ดีหรือ”
ฉางสี่เงยหน้าขึ้นเงียบๆ จ้องใบหน้าเมิ่งซังอวี๋ด้วยแววตาลุกวาว
“ที่ไหนกันเพคะ เพราะฝ่าบาททรงเขียนได้งดงามเกินไป หม่อมฉันจึงตกตะลึงไปชั่วขณะ” เมิ่งซังอวี๋วางกระดาษเซวียนจื่อลง ยิ้มประจบประแจงอย่างบอกไม่ถูก
“อ้อ งามตรงไหนหรือ ชายารักบอกเราหน่อยซิ” ฮ่องเต้ทรงเลิกคิ้วพลางตรัสถาม
“เอ่อ…หม่อมฉันบอกไม่ถูกว่างามตรงไหน แต่ก็รู้สึกว่างดงามเพคะ! ฝ่าบาททรงมีพระอัจฉริยภาพสูงส่งจริงๆ เพคะ!” รอยยิ้มเอาอกเอาใจยิ่งกว่าเดิม ร่องรอยของการประจบเยินยอชัดเจนโจ่งแจ้งยิ่ง เมิ่งซังอวี๋แสดงภาพลักษณ์ของสตรีโง่เขลาไม่แตกฉานด้านศาสตร์ศิลป์ ไร้เล่ห์เหลี่ยมได้อย่างสมจริงสมจัง
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลด้วยความโล่งพระทัย เต๋อเฟยเป็นเหมือนที่ฉางสี่กงกงกล่าวไว้จริงๆ ด้วย ไม่มีวิชาความรู้และไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ แต่สตรีแบบนี้อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ทำให้ฮ่องเต้ตัวปลอมอดรู้สึกยินดีกับตัวเองมิได้ หากจะต้องตายจริงๆ ก่อนตายได้ใกล้ชิดกับสตรีที่น่าหลงใหลเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าขาดทุน
พอคิดถึงตรงนี้พระองค์ก็ลุกขึ้นไปโอบไหล่เมิ่งซังอวี๋ รวบนางเข้าสู่อ้อมกอด แววรักใคร่เอ็นดูบนใบหน้าแสดงออกมาให้เห็นอย่างเปี่ยมล้น
บ้าเอ๊ย! เจ้าตัวปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์นี่! เมิ่งซังอวี๋คำรามอยู่ในใจ ทว่ากลับไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย เพียงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดของฮ่องเต้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ก่อนจะกดตัวพระองค์ให้ประทับนั่งลงบนตั่งเตียง เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อย “ฝ่าบาท ครานี้ถึงทีหม่อมฉันแสดงความสามารถบ้างแล้วเพคะ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเพิ่งจะเรียนศิลปะการชงชามา วันนี้แสดงให้ฝ่าบาททอดพระเนตรดีหรือไม่เพคะ”
ต้มน้ำ ชงชา ลิ้มรสชา แล้วค่อยสนทนาเรื่องบทกลอนบทกวีและความหมายของชีวิตอีกนิดหน่อย ขั้นตอนทั้งหมดนี้กินเวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วยาม คงจะถ่วงเวลาได้เล็กน้อย เมิ่งซังอวี๋ลอบครุ่นคิด จากนั้นก็เดินไปคัดเลือกใบชาในห้องเก็บชาด้วยตัวเอง
ค้นหาใบชาในแต่ละกล่องแต่ละกระปุกอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดนางก็เลือกใบชาเข็มเงินจวินซาน ที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุดมา พอคิดๆ ดูแล้วก็หยิบชาขนขาวหลิงอวิ๋น กระปุกหนึ่งออกมาด้วย จากนั้นก็หยิบชาออกมากำเล็กๆ แล้วใส่เข้าไปในชาเข็มเงินจวินซานพร้อมกับคนให้เข้ากัน
เมื่อเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ นางก็กลับมายังตำหนักใหญ่ กาน้ำใบเล็กกะทัดรัดค่อยๆ มีควันสีขาวพวยพุ่ง ไม่นานก็ส่งเสียงเดือดดังกุกกักๆ
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรใบหน้าที่ตั้งอกตั้งใจชงชาของเมิ่งซังอวี๋ผ่านไอน้ำที่ปกคลุม รอยยิ้มจางๆ งามตราตรึง อากัปกิริยาสุขุมสง่างามดึงดูดสายพระเนตรของฮ่องเต้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เดิมทีฮ่องเต้ตัวปลอมก็เป็นเพียงองครักษ์ลับที่มองไม่เห็นแสงสว่าง ถูกกำหนดให้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดายไปชั่วชีวิต ไหนเลยจะเคยแตะต้องอิสตรีใด ยิ่งมิต้องพูดถึงสตรีที่งามล้ำเลิศเฉิดฉันทั้งยังจิตใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสา หากบอกว่าไม่หวั่นไหวก็คงเป็นเรื่องโกหก
“ฝ่าบาทเชิญเสวยเพคะ” เมิ่งซังอวี๋ประคองชาร้อนๆ จอกหนึ่งยื่นไปข้างมือฮ่องเต้ ตัดบทความคิดสิเน่หาของอีกฝ่าย
ฮ่องเต้รีบเก็บแววตาพร่าเลือนนั้นอย่างรวดเร็ว รับจอกชามาจรดริมฝีปากชิม วิชาความรู้ในการลิ้มรสชา เขาเองก็ร่ำเรียนมาสามเดือนเช่นกัน ถึงแม้จะมิได้แตกฉานเป็นเลิศเฉกเช่นฮ่องเต้ตัวจริง แต่ก็สามารถเอ่ยหลักการต่างๆ นานาออกมาได้
“กลิ่นหอมสดชื่น น้ำชาสีเหลืองใส รสชาติหวานล้ำ ชาเข็มเงินแต่ละใบตั้งตรงอยู่ที่ก้นจอก เป็นชาชั้นยอดที่ชายารักชงขึ้นโดยแท้!” พระองค์เสวยเข้าไปอึกหนึ่งพลางตรัสชม จากนั้นก็ค่อยๆ ละเลียดชิมอีกสองอึก หลังจากอึกที่สามก็วางจอกชาลงไม่ขยับเขยื้อนอีก อากัปกิริยาสูงส่งสง่างาม
นัยน์ตาของเมิ่งซังอวี๋เปล่งประกายวูบเล็กน้อย ยกมือปิดปากพลางกล่าว “ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้วเพคะ”
เมื่อเห็นดวงตาหงส์กะพริบปริบๆ รอยแย้มยิ้มดุจบุปผา ในพระทัยฮ่องเต้ก็สั่นไหววูบ ครั้นมองเห็นท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดสลัวลงจึงเอ่ยเสียงแหบพร่า “ฟ้ามืดแล้ว ชายารักรีบเข้านอนกับเราเถิด”
“เพคะ หม่อมฉันจะช่วยฝ่าบาทสรงน้ำเปลี่ยนฉลองพระองค์นะเพคะ” ขณะที่เมิ่งซังอวี๋กำลังจะลุกขึ้นก็คล้ายกับนึกอะไรขึ้นได้จึงนั่งลงอีกครั้ง มองฮ่องเต้อย่างอึกๆ อักๆ
ฮ่องเต้แย้มพระสรวล เอ่ยด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน “ชายารักมีเรื่องใดก็พูดมา ไม่ต้องพะวักพะวน”
“ฝ่าบาท เมื่อวันก่อนมารดาของหม่อมฉันถูกใจบุตรสาวคนโตของใต้เท้าฟู่ รองเสนาบดีกรมพิธีการฟู่ก่วงต๋า อยากจะขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้กับท่านพี่เพื่อเป็นมงคลเสริมมงคล ฝ่าบาทจะทรงช่วยให้มารดาของหม่อมฉันสมปรารถนาได้หรือไม่เพคะ” นางมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย
“นี่…” เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสกุลเมิ่งไม่อาจตัดสินใจได้โดยพลการ ฮ่องเต้ทรงชำเลืองหาฉางสี่อย่างไม่เปิดเผยพิรุธ พอฉางสี่ขยับนิ้ว พระองค์ก็ตรัสตอบทันที “ให้เราไตร่ตรองดูก่อนแล้วกัน”
เวลามีเรื่องใดฮ่องเต้จะทรงตัดสินพระทัยอย่างเฉียบขาด ถึงขนาดใช้อำนาจบาตรใหญ่เสียด้วยซ้ำ เรื่องเล็กพรรค์นี้หากทรงรับปากก็คือรับปาก หากไม่รับปากก็จะปฏิเสธทันที แต่ไรมาไม่เคยมีคำว่า ‘ไตร่ตรองดูก่อน’เมิ่งซังอวี๋เอ่ยปากรับคำ แต่ในใจกลับแน่ใจกับการคาดเดาบางอย่างแล้ว ถึงแม้การคาดเดานี้จะน่าตื่นตระหนกตกใจ คนธรรมดาไม่อาจจินตนาการได้ แต่เมิ่งซังอวี๋ซึ่งมีชีวิตผ่านมาสองภพหาใช่คนธรรมดา นางเห็นมามากแล้ว ย่อมคิดได้มากเช่นกัน สรรพสิ่งใดๆ ล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น นี่เป็นคำพูดที่นางยึดถือมาเสมอ
นางกดหัวใจที่เต้นระรัวบ้าคลั่งให้สงบลง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน ด้านหนึ่งสั่งให้ปี้สุ่ยกับแม่นมเฝิงไปเตรียมน้ำร้อน อีกด้านก็เดินเข้าไปคล้องพระกรของฮ่องเต้
“ว้าย!” ปี้สุ่ยซึ่งกำลังเตรียมจะถอยออกไปพลันหวีดร้องขึ้น ทำให้ทุกคนมองไปทางนาง
“นางบ่าวสมควรตายนี่ ร้องหาอันใด” ฉางสี่ตวาดทันที
“หม่อมฉันเสียมารยาท ขอฝ่าบาททรงอภัย! แต่ แต่ว่า…” ปี้สุ่ยอึกๆ อักๆ พูดไม่ออกว่าเหตุใดถึงหวีดร้องออกมา เอาแต่จ้องแท่นรองนั่งที่ผู้เป็นนายนั่งอยู่ก่อนหน้านี้อย่างตื่นตระหนก แท่นรองนั่งที่เปรอะเปื้อนรอยเลือดเผยสู่สายตาของทุกคน
แม่นมเฝิงมองตามสายตาของปี้สุ่ย จากนั้นก็ร้องครวญขึ้นทันที “ว้าย ระดูของเต๋อเฟยทรงมาแล้วเพคะ!”
ใบหน้าของเมิ่งซังอวี๋ขึ้นสีแดงระเรื่อทันที รีบปล่อยพระกรฮ่องเต้ออกแล้วคุกเข่าลง “หม่อมฉันทำให้พระเนตรของฝ่าบาทสกปรกแล้ว ทำลายความสำราญของพระองค์ ขอฝ่าบาททรงอภัย!” พอกล่าวจบนางก็กัดริมฝีปากแดงเรื่อแน่น พร้อมกับใช้ดวงตาหงส์แวววาวฉ่ำน้ำชำเลืองมองสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ ท่าทางทั้งอายทั้งขลาดกลัวนั้นดูน่ารักและน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก
ฮ่องเต้ถูกนางมองจนหัวใจคันยุบยิบ พร้อมทั้งเหลือบเห็นบนแท่นรองนั่งเปื้อนเลือด ในอกจึงยิ่งเจือด้วยความรักใคร่สงสาร เขาปกปิดความผิดหวังในใจ รีบยื่นมือออกไปพยุงเมิ่งซังอวี๋พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ระดูมากะทันหันเป็นเรื่องปกติ ชายารักมีความผิดอันใดเล่า พื้นเย็นนัก รีบลุกขึ้นเถิด”
“หม่อมฉันไม่ลุกเพคะ!” เป็นตายอย่างไรเมิ่งซังอวี๋ก็ไม่ยอมลุกขึ้น ครั้นเห็นฮ่องเต้ทรงขมวดคิ้ว นางจึงอธิบายอย่างขลาดอาย “หม่อมฉันจะกล้าลุกขึ้นในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ รอให้ฝ่าบาทเสด็จกลับไปก่อน หม่อมฉันถึงจะลุก” สิ้นคำนางก็เอาผ้าเช็ดหน้าในมือปิดแท่นรองนั่งที่เปรอะเปื้อนนั้นอย่างรีบร้อน
“ฮ่าๆๆๆ…” ฮ่องเต้แย้มพระสรวลเสียงดังลั่น สตรีที่ทั้งเปิดเผยและน่ารักเช่นนี้เขาเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก ช่างทำให้คนรักใคร่ชื่นชอบเสียจริง! เหตุใดฮ่องเต้ตัวจริงถึงไม่หลงรักเต๋อเฟยเล่า ชวนให้สับสนงุนงงนัก “เช่นนั้นเราก็กลับก่อนล่ะ ชายารักไม่ต้องมาส่งเรา รีบๆ ลุกขึ้นเถิด” ครั้นเห็นนางขมวดคิ้วทำปากยื่น สีหน้าดื้อรั้นยิ่ง ฮ่องเต้จึงจำต้องโบกพระหัตถ์ เสด็จจากไปด้วยรอยยิ้ม
รอจนกระทั่งฮ่องเต้จากไปไกลแล้ว เมิ่งซังอวี๋ก็ลุกขึ้นทันที สีหน้าน่ารักไร้เดียงสาค่อยๆ ถูกความหนักอึ้งเข้าแทนที่
“นอกจากปี้สุ่ยกับแม่นมเฝิงแล้ว คนอื่นๆ ออกไปให้หมด” นางเอ่ยสั่งเสียงต่ำลึก ก่อนจะไปอาบน้ำอุ่นที่เตรียมไว้แล้วอย่างเร่งรีบ เปลี่ยนใส่ชุดสะอาด จากนั้นก็เดินมายังข้างโต๊ะแปดเซียนแล้วนั่งลง หยิบกระดาษเซวียนจื่อแผ่นนั้นขึ้นมาพินิจดูอีกครา เสร็จแล้วก็เรียกให้ปี้สุ่ยไปหยิบภาพวาดอักษรของกู่เซ่าเจ๋อเมื่อก่อนออกมาวางเปรียบเทียบกันบนโต๊ะ
ครั้นเห็นผู้เป็นนายมีสีหน้าหนักอึ้ง ไม่พูดไม่จา คล้ายกับว่าเจอเรื่องหนักหนาใหญ่หลวง ปี้สุ่ยกับแม่นมเฝิงจึงเป็นกังวลไปด้วย ในตอนนี้เองอิ๋นชุ่ยก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าอยากร่ำไห้ ในมืออุ้มอาเป่าที่ร้องเอ๋งๆ เสียงแผ่วเบา ดูคล้ายกับอ่อนแรงหาใดเปรียบ
“เกิดอะไรขึ้น” เมิ่งซังอวี๋ดึงสติกลับมาทันที รับอาเป่าที่ลมหายใจรวยรินเข้ามาในอ้อมอกพลางชี้รอยเลือดที่มุมปากของมัน เอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก แค่เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เหตุใดถึงกระอักเลือดได้
“ทูลเต๋อเฟย อาเป่าเป็นอะไรไปไม่รู้เพคะ หลังแยกจากพระองค์ก็เอาแต่เห่าเสียงดังไม่หยุด ราวกับคลุ้มคลั่งไปแล้วก็ไม่ปาน หม่อมฉันกลัวว่าเสียงเห่าของมันจะรบกวนพระองค์กับฝ่าบาท จึงพามันไปที่ห้องปีกที่อยู่ไกลออกไปทางฝั่งตะวันตก คิดไม่ถึงว่ามันกลับเห่าดุร้ายกว่าเดิม เห่าจนเลือดออกคอก็ยังไม่หยุด หม่อมฉันจะปลอบมันให้นิ่งๆ แต่ก็ถูกกัดเข้า” อิ๋นชุ่ยยกข้อมือขึ้นให้ดูรอยฟันที่มีเลือดซึมซิบๆ ด้านบน
กู่เซ่าเจ๋อหยุดเห่าแล้ว แต่จมูกพ่นลมหายใจหอบแฮกๆ ด้วยความอ่อนเพลีย เขาใช้เท้าเกาะแขนเมิ่งซังอวี๋ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหลังแยกจากเมิ่งซังอวี๋ในใจเขาหวาดกลัวเพียงใด สิ้นหวังเพียงใด ราวกับว่าถูกฝังกลบทั้งเป็นด้วยธุลีดินอันหนาหนัก หัวใจและลมหายใจล้วนหยุดนิ่ง คิดแต่จะใช้เสียงเห่าดึงดูดความสนใจจากเมิ่งซังอวี๋ให้มาช่วยเขาออกไปจากความเจ็บปวดเจียนตายเช่นนี้
ความชื่นชมและหวั่นไหวในดวงตาของเจ้าตัวปลอมผู้นั้นเขามองไม่พลาดอย่างแน่นอน หากคนผู้นั้นแย่งเมิ่งซังอวี๋ไปจากตน เขาก็ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แม้แต่ความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่มี! เมิ่งซังอวี๋เป็นที่พึ่งทางจิตใจที่ช่วยค้ำจุนเขามาตลอด เป็นเพียงสีสันหนึ่งเดียวในโลกสีขาวดำของเขา เป็นทุกอย่างที่เขามีในตอนนี้! เขาจะสูญเสียนางไปไม่ได้ ให้ตายก็ไม่ได้!
ขอบตาพลันเจิ่งนองด้วยความเปียกชื้นอุ่นร้อน กู่เซ่าเจ๋อรีบฝังหน้าลงในอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋ สูดดมกลิ่นที่ทำให้เขาสบายใจหาใดเปรียบนั้นลึกๆ
“อาเป่าเด็กดี อย่าร้องเลย ข้าอยู่นี่แล้ว! ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง ไม่ต้องกลัวนะ!” เมิ่งซังอวี๋เชยคางของอาเป่าขึ้นมา พอเห็นตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาของมัน หัวใจก็เจ็บปวดแปลบ รีบพูดกับอิ๋นชุ่ยว่า “ตั้งแต่มันได้รับบาดเจ็บก็ตามติดเป็นเงาข้าตลอดเวลา ถ้าแยกจากข้ามันก็จะคิดถึงตอนที่เจอเรื่องร้ายๆ และได้รับความหวาดกลัวอีกครั้ง เจ้ารีบไปสำนักแพทย์หลวง เชิญให้หมอหลวงเวินมาดูอาการสักหน่อย”
อิ๋นชุ่ยรับคำสั่ง รีบออกไปตามหมอหลวง เมิ่งซังอวี๋เองก็ไม่มีกะจิตกะใจมาเปรียบเทียบดูตัวอักษร อุ้มอาเป่านั่งลงบนตั่งเตียง ทั้งกอดทั้งหอม ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้อาเป่าที่ตัวสั่นระริกยอมออกมาจากอ้อมกอด อาเป่าร้องเสียงอู้อี้ ใช้เท้าน้อยๆ เกี่ยวคอนางไว้ เลียริมฝีปากนางไม่หยุด อากัปกิริยาแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อีกด้านหนึ่ง เมื่อฮ่องเต้กับฉางสี่เดินจากไปไกลแล้ว ฉางสี่ก็พลันขมวดคิ้วพร้อมกับหยุดฝีเท้า เอ่ยเสียงแผ่วเบา “เอ๊ะ ข้าจำได้ว่าระดูของเต๋อเฟยมิใช่ช่วงนี้นี่นา ควรจะเป็นปลายเดือนถึงจะถูก! อีกสิบเจ็ดสิบแปดวันถึงจะมา”
“กงกง มิใช่ว่านางมองอะไรออกหรอกนะ” สีพระพักตร์ของฮ่องเต้พลันเครียดเกร็ง
“อาศัยสมองอย่างนางคงจะมองอะไรไม่ออกหรอก แต่อย่างไรก็เรียกให้หมอหลวงไปดูนางหน่อยจะดีกว่า” ฉางสี่เอ่ยพึมพำ พลางสั่งให้ขันทีน้อยคนหนึ่งไปเรียกหมอหลวงหลินที่เหลียงเฟยมักจะเรียกใช้เป็นประจำที่สำนักแพทย์หลวง แล้วเดินนำฮ่องเต้กลับไปวังเฉียนชิงเพื่อรายงานผล
บัดนี้หมอหลวงเวินได้กลายเป็นหมอหลวงประจำตัวอาเป่าไปแล้ว เพราะถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับอาเป่า นางข้าหลวงของเต๋อเฟยก็จะตามติดเขาไม่ปล่อย ดีที่เขาเองก็เป็นคนมีจิตใจเมตตาปรานีมีน้ำอดน้ำทน ไม่เคยดูถูกอาเป่าเพราะเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่ง
เมื่อหมอหลวงเวินมาถึง เมิ่งซังอวี๋ก็กำลังอุ้มอาเป่าพิงขอบหน้าต่างรออยู่แล้ว พอเห็นเขามาถึงก็รีบสาวเท้าก้าวเข้ามาทันที หมอหลวงเวินเห็นท่าทีเช่นนี้ก็พลันใจเต้นรัว ครานี้เกิดเรื่องอันใดอีกหนอ
“หมอหลวงเวิน รีบดูให้หน่อย อาเป่าเห่าครึ่งค่อนชั่วยามเต็มๆ จนกระอักเลือดออกมา” เมิ่งซังอวี๋ตัดบทการถวายบังคมของหมอหลวงเวินอย่างรำคาญใจ กวักมือไม่หยุดเพื่อเรียกให้เขารีบเข้ามาวินิจฉัยอาการของอาเป่าโดยเร็ว
หมอหลวงเวินหยัดกายขึ้น บอกเป็นนัยให้เต๋อเฟยวางอาเป่าลงในตะกร้า จากนั้นก็เปิดปากของมันออก ใช้แสงเทียนส่องตรวจดูอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็ถอนหายใจพลางกล่าว “ทูลเต๋อเฟย ลำคอของอาเป่าบาดเจ็บแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต้องดื่มยาบำรุงสักสองสามวัน แล้วไฉนมันถึงได้เห่าเป็นเวลานานขนาดนั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าถูกทำให้หวาดกลัวอีกแล้ว”
“ทั้งหมดเป็นเพราะข้า ข้าไม่รู้ว่ามันยังไม่หายจากความตื่นตระหนกในคราก่อน มันไม่ยอมอยู่ห่างข้าง่ายๆ แต่ข้ากลับทิ้งมันไปกว่าครึ่งค่อนชั่วยาม” เมิ่งซังอวี๋บีบหูน้อยๆ ของอาเป่าเล่น ในน้ำเสียงอันหม่นหมองเต็มไปด้วยการกล่าวโทษตัวเอง อาเป่าเลียข้อมือขาวเนียนของนาง จมูกน้อยๆ ขยับฟุดฟิด ส่งเสียงฟืดฟาดแผ่วต่ำ คล้ายกับกำลังปลอบใจนาง
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” หมอหลวงเวินพยักหน้า สะบัดพู่กันเขียนใบจ่ายยาบำรุงลำคอ จากนั้นก็ยื่นให้ขันทีของวังปี้เซียว กำชับเรื่องที่ต้องระวังในการต้มยานิดหน่อยแล้วจึงทูลขอตัวลา
เป็นชายาคนโปรดนั้นไม่ง่าย แต่เป็นสุนัขของชายาคนโปรดนั้นยากยิ่งกว่า! ขณะเดินอยู่บนทางเดินเล็กๆ ในวังปี้เซียว หมอหลวงเวินก็ลูบหนวดพลางทอดถอนใจ
หมอหลวงเวินเพิ่งจะออกไป หมอหลวงหลินก็มาถึง หลังจากถวายบังคมอย่างพินอบพิเทาก็เอ่ยว่าฮ่องเต้ทรงส่งตนมาเพื่อตรวจชีพจรให้เต๋อเฟยโดยเฉพาะ
ฮึ! ยังจะหวาดระแวงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกนะ! เมิ่งซังอวี๋หลุบนัยน์ตาพลางยิ้มเยาะ ยื่นมือให้หมอหลวงหลินตรวจดูแต่โดยดี
พอตรวจดูอย่างละเอียดเป็นเวลาหนึ่งเค่อ หมอหลวงหลินก็เขียนใบจ่ายยาบำรุงให้สองสามใบแล้วจึงกลับไป
รอจนกระทั่งเขาจากไปไกลแล้ว เมิ่งซังอวี๋จึงสั่งให้นางกำนัลคนอื่นๆ ออกจากตำหนักไปทันที เหลือเพียงแค่ปี้สุ่ย อิ๋นชุ่ย และแม่นมเฝิง
“ข้ามีเรื่องอยากจะบอกพวกเจ้าสักหน่อย พวกเจ้าฟังให้ดีแล้วห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด” เมิ่งซังอวี๋ลูบหลังอาเป่าครั้งแล้วครั้งเล่า คิดจะอาศัยสิ่งนี้ทำให้ใจตนสงบลง
คนอื่นๆ ในตำหนักรวมถึงอาเป่าล้วนหูผึ่ง
“ฮ่องเต้ในตอนนี้เป็นตัวปลอม!” ไม่มีคำพูดอารัมภบทใดๆ นางกล่าวความจริงออกมาทันที
ปี้สุ่ย อิ๋นชุ่ย และแม่นมเฝิง ทุกคนล้วนงงงัน ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองต่อวาจาอันน่าสะท้านสะเทือนของผู้เป็นนายโดยสิ้นเชิง ข้าจะต้องฟังผิดไปแน่ๆ! พวกนางคิดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อสั่นไหวอย่างรุนแรง ใช้สายตาไม่อยากจะเชื่อมองไปทางเมิ่งซังอวี๋ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเมิ่งซังอวี๋จะสามารถแยกออกว่าคนผู้นั้นเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม! ฉลาดเฉลียวเหลือเกิน สมกับที่เป็นซังอวี๋ของเรา! เดิมทีเขายังหวาดหวั่นว่าคนที่ตนรักจะถูกลวงหลอกและแย่งชิงไป เมื่อเป็นเช่นนี้เขาคงไม่ต้องเป็นกังวลใจแล้ว หัวใจที่จวนเจียนจะแตกร้าวกลับคืนสู่สภาพเดิมในชั่วพริบตา
“ปะ…เป็นไปไม่ได้กระมัง! คิ้วเช่นนั้น พระเนตรเช่นนั้น รูปร่างเช่นนั้น…คนผู้นั้นก็คือฝ่าบาทนี่เพคะ!” ผ่านไปครู่ใหญ่แม่นมเฝิงถึงพูดอย่างตะกุกตะกัก อิ๋นชุ่ยกับปี้สุ่ยก็พยักหน้าตามอย่างแรง
รูปลักษณ์ภายนอกของคนผู้นั้นเหมือนกับเขาเต็มสิบส่วน ไม่ว่าจะเป็นความสูงหรือรูปร่าง รวมถึงตำหนิเล็กๆ น้อยๆ บนร่างกาย เหยียนจวิ้นเหว่ยปรับเปลี่ยนให้เหมือนกับเขามากที่สุด จะต้องแนบเนียนไร้ที่ติแน่นอน แม้แต่กู่เซ่าเจ๋อเองเห็นแล้วก็ยังรู้สึกว่านั่นคือตัวเองอีกคนหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนนอก
พอได้ยินคำแย้งของแม่นมเฝิงหัวใจที่เพิ่งจะผ่อนคลายของกู่เซ่าเจ๋อก็เกร็งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง กลัวว่าเมิ่งซังอวี๋จะคล้อยตามคำพูดของพวกนาง จนล้มเลิกความคิดนี้ไป
“นั่นคือตัวปลอม ไม่ผิดแน่!” เมิ่งซังอวี๋เอ่ยด้วยความมั่นใจ
สำหรับคนในยุคโบราณพวกนี้ ฮ่องเต้ก็คือผู้ที่ได้รับเลือกจากทวยเทพ แนวคิดของระบบศักดินาที่ว่าฮ่องเต้ถูกกำหนดโดยสวรรค์ฝังลึกลงในกระดูกของพวกเขามาตั้งนานแล้ว ในใจคิดแต่ว่าฮ่องเต้ก็คือการดำรงอยู่ที่ไม่ต่างอะไรกับเทพเจ้า หากจ้องมองพระพักตร์ของฮ่องเต้ตรงๆ ถือว่ามีโทษตายเพราะเป็นการไม่ให้ความเคารพยำเกรง พวกเขาที่มีจิตใจนอบน้อมและหวาดกลัวเช่นนี้จะกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร ฮ่องเต้ถูกสับตัว พวกเขาจะแยกออกได้อย่างไร
แต่เมิ่งซังอวี๋ต่างออกไป อันดับแรกเนื้อแท้ของนางมิได้มีจิตใจต่ำต้อยและขลาดกลัว นางมองฮ่องเต้เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ต่อมาพื้นเพครอบครัวของนางก็มิใช่ธรรมดาสามัญ พอได้รับคัดเลือกเข้าวังก็เหมือนเดินอยู่บนเส้นลวด หากไม่ระวังก็จะตกลงไปร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี ซ้ำยังทำให้คนในครอบครัวเดือดร้อนไปด้วย ดังนั้นตั้งแต่วันที่เข้าวังมา เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย นางก็มองกู่เซ่าเจ๋อเป็นหัวข้อศึกษาที่สำคัญยิ่ง ต้องเข้าใจอารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลของเขาอย่างลึกซึ้ง มุมานะตั้งอกตั้งใจศึกษาทุกอากัปกิริยาของคนผู้หนึ่งถึงสามปี ในวังนี้หากพูดว่าใครเข้าใจกู่เซ่าเจ๋อมากที่สุด นอกจากนางแล้วเกรงว่าแม้แต่ไทเฮาผู้ซึ่งมิได้หวนกลับวังมานานแล้วผู้นั้นก็ยังเทียบมิได้
“ทุกพระอารมณ์และทุกอากัปกิริยาท่าทางของฝ่าบาทไม่มีผู้ใดเข้าใจกระจ่างไปกว่าข้า” ครั้นเห็นพวกแม่นมเฝิงยังคงลังเล นางจึงเอ่ยปากอย่างเนิบช้า “ทุกครั้งที่ฝ่าบาทเห็นข้า ถึงแม้บนใบหน้าจะฉายแววรักใคร่ มุมพระโอษฐ์อมยิ้ม แต่ในพระทัยพระองค์มิได้สุขสำราญไปด้วย เพราะในพระเนตรยังคงเย็นชา ถึงแม้ฝ่าบาทจะตรัสหยอกล้อกับข้า ทว่าพระทัยมิได้อยู่ที่ข้า เพราะในพระเนตรของพระองค์ว่างเปล่า แม้ว่าฝ่าบาทจะร่วมเตียงกับข้าอย่างเร่าร้อน แต่พระวรกายของพระองค์ก็มิได้ร้อนระอุเพราะข้า เพราะพระเนตรของพระองค์มืดมิด…”
พอพูดถึงตรงนี้นางก็หยุดชะงักแล้วเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา ชี้ดวงตาของตนพลางกล่าวเน้นย้ำทีละคำ
“หากอยากรู้จักคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริง สิ่งที่ควรมองเป็นอันดับแรกมิใช่รูปลักษณ์ แต่เป็นดวงตา ดวงตาคือหน้าต่างของวิญญาณ มันไม่อาจหลอกลวงคนอื่นได้ ถึงแม้จะเก็บซ่อนไว้มิดชิดแค่ไหน อย่างไรก็ต้องเผยร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ ออกมาอยู่ดี”
สีหน้าลังเลของพวกแม่นมเฝิงหายไปทันที แทนที่ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง พวกนางถูกวาจาของผู้เป็นนายโน้มน้าวจนเชื่อสนิทใจแล้ว
กู่เซ่าเจ๋อก้มหน้างุด สะกดกลั้นความปวดแปลบระลอกแล้วระลอกเล่าในอก ที่แท้ซังอวี๋มองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งโดยที่เขาไม่รู้ตัว เขาที่เสแสร้งจอมปลอม ไร้หัวจิตหัวใจพรรค์นั้น นางจะมาชอบได้อย่างไร มิได้อาฆาตแค้นก็ถือว่าเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงที่สุดซึ่งสวรรค์ได้ประทานให้กับเขาแล้ว
เมิ่งซังอวี๋กล่าวอีกว่า “ที่คนผู้นั้นมองข้าเมื่อครู่ ความชื่นชอบ ความอ่อนโยนในดวงตาเป็นของจริง ความรักใคร่ก็เป็นของจริง ข้ามองเห็นความหวั่นไหวในดวงตาของเขาด้วยซ้ำไป บุรุษที่รังเกียจชิงชังข้ามาตลอดสามปี เหตุใดถึงเปลี่ยนท่าทีที่มีอย่างฉับพลัน จะต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเป็นแน่”
วาจานี้ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของกู่เซ่าเจ๋อทันที โลหิตสาดกระเซ็น
“แน่นอนว่าข้ามิได้ตัดสินจากจุดนี้เพียงอย่างเดียว หลังจากข้าสังเกตอย่างละเอียด แม้เขาจะจงใจทำท่าทีน่าเกรงขาม แต่ในดวงตากลับแฝงความกังวลและกระวนกระวายเอาไว้ หากเจอเรื่องที่ไม่แน่ใจก็จะมองไปทางฉางสี่อย่างห้ามไม่อยู่ คล้ายกับกำลังถามความเห็นของอีกฝ่าย สำหรับฝ่าบาทที่เป็นคนตัดสินพระทัยเด็ดขาด นี่มิใช่เรื่องผิดแผกไม่สมเหตุสมผลหรอกหรือ” เมิ่งซังอวี๋พูดฉะฉาน “ข้าจึงตั้งใจทดสอบดูอีกครั้ง บอกให้เขาเขียนป้ายห้อยคอให้อาเป่า พวกเจ้าดูสิ” นางชี้ภาพเขียนอักษรหลายใบบนโต๊ะแปดเซียน “นี่คือตัวอักษรที่คนผู้นั้นเขียนให้เมื่อครู่ ส่วนนี่คืออักษรที่ฮ่องเต้เคยลงพระหัตถ์เขียนให้ พวกเจ้าดูออกหรือไม่”
“เต๋อเฟย ตัวอักษรเหล่านี้ก็มาจากคนเดียวกันนี่เพคะ พระองค์ทอดพระเนตรดูจากตรงไหนว่าผิดแปลกไป” ปี้สุ่ยมีความรู้ด้านอักษรเพียงเล็กน้อย นางเขยิบเข้าไปตรวจสอบดูอยู่ครู่ใหญ่ก็เอ่ยขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ
“กล่าวกันว่าตัวอักษรก็เหมือนผู้เขียน ตัวอักษรของคนผู้หนึ่งแฝงด้วยลักษณะพิเศษเหมือนกับตัวตนของเขาเอง ตัวอักษรของฝ่าบาทแข็งแกร่งทรงพลัง ยามจรดพู่กันเด็ดขาดเฉียบคม ยามตวัดเขียนรวดเร็วรุนแรง แต่ละขีดแต่ละเส้นล้วนมีชีวิตชีวา แต่ละรอยตวัดล้วนเด็ดขาดชัดเจน แค่เห็นก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายยิ่งใหญ่และท่วงท่าสูงศักดิ์ของผู้เขียน”
หัวใจที่โชกเลือดของกู่เซ่าเจ๋อรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยในสายตาของซังอวี๋เราก็ยังมีข้อดีที่เอามาทดแทนกันได้
อิ๋นชุ่ยและแม่นมเฝิงรีบขยับเข้าไปดู หลังจากฟังคำอธิบายของผู้เป็นนายก็รู้สึกได้ถึงความลึกลับซับซ้อนของตัวอักษรขึ้นมาจริงๆ
เมิ่งซังอวี๋ชี้ไปยังลายมือของฮ่องเต้ตัวปลอมพลางกล่าวขึ้นอีกครั้ง “พอมาดูแผ่นนี้ ยามจรดพู่กันลังเลไม่แน่นอน หมึกไม่สม่ำเสมอ ตวัดเส้นไม่เรียบลื่น บริเวณขีดตวัดขีดโค้งเหล่านี้ถึงแม้จะเฉียบคมอยู่บ้าง แต่ว่าไม่เป็นธรรมชาติพอ เห็นได้ว่าเมื่อก่อนตัวอักษรที่คนผู้นี้ร่ำเรียนมาเป็นอักษรเรียบง่ายธรรมดาๆ ออกไปทางนุ่มนวลและเพิ่งจะปรับเปลี่ยนการเขียนตัวอักษรได้ไม่นาน ทว่ายังไม่สามารถทำได้เหมือนอย่างสมบูรณ์ จึงเผยร่องรอยออกมาตรงจุดเล็กๆ น้อยๆ คนคนหนึ่งสามารถฝึกเขียนตัวอักษรได้หลากหลายแบบ แต่ไม่มีทางลืมแม้กระทั่งตัวอักษรที่ตนคุ้นชินที่สุด ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าผู้ที่เขียนอักษรนี้มีปัญหา”
พวกปี้สุ่ยพยักหน้าน้อยๆ เชื่อไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน
เมิ่งซังอวี๋ชี้จอกชาที่ยังไม่ได้เก็บพลางเอ่ยอีกครั้ง “หลังจากดูตัวอักษรข้าก็ยังไม่อาจแน่ใจได้อย่างเต็มที่ จึงชงชาเพื่อทดสอบต่ออีกครา ฝ่าบาททรงชื่นชอบสิ่งหรูหราเป็นที่สุด ทรงเข้าพระทัยศาสตร์แห่งการลิ้มรสชาอย่างแตกฉานลึกซึ้ง หากมิใช่ชาชั้นเลิศก็จะไม่เสวยเด็ดขาด แต่พวกเจ้าดูสิ ตอนอยู่ในห้องเก็บชา ชานี้ถูกข้านำชาขนขาวหลิงอวิ๋นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับชาเข็มเงินจวินซานปนเข้าไป แต่คนผู้นั้นกลับแยกไม่ออกเลยสักนิด ทั้งยังชมว่าศิลปะการชงชาของข้าสูงส่งเป็นเลิศ หากเป็นยามปกติฝ่าบาทคงทรงเขวี้ยงจอกชาทิ้งไปแล้ว”
พอพูดจบนางก็สรุปด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
“เมื่อดูจากสิ่งเหล่านี้ คนเมื่อครู่มิใช่ตัวจริงแน่นอน ฝ่าบาทไม่มีทางไม่จัดการงานสมรสพระราชทานเล็กๆ ให้พี่ของข้า ฝ่าบาทไม่มีทางถูกหลี่เซียงและหลี่กุ้ยเฟยบีบบังคับจนอยู่ในสภาพนี้ ฝ่าบาทไม่มีทางนับวันยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนปล่อยให้ราชสำนักเกิดการทะเลาะเบาะแว้งไม่หยุดหย่อน ตำหนักในแก่งแย่งชิงดีกันไม่เลิกราเช่นนี้”
วาจานี้ขจัดความลังเลของพวกปี้สุ่ยออกไปจนหมดสิ้น สีหน้าของแม่นมเฝิงซีดขาว สุ้มเสียงแหบแห้ง “เช่นนั้นเต๋อเฟยทรงคิดว่าฮ่องเต้ตัวจริงไปอยู่ที่ไหนเล่าเพคะ”
“เกรงว่าหลังจากทรงบาดเจ็บสาหัสจนสลบไสลไปคราวก่อนก็ยังมิได้ฟื้นขึ้นมาเลยกระมัง ฮ่องเต้ในตอนนี้เป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น กลายเป็นหุ่นเชิดให้พ่อลูกสกุลเสิ่นบงการราชสำนักและตำหนักในไปเสียแล้ว พวกเรากำลังตกอยู่ในอันตราย…” เมิ่งซังอวี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำลึก
“ฝะ…ฝ่าบาทคงมิได้สวรรคตกระมัง” อิ๋นชุ่ยมีสีหน้าหวาดผวา ปี้สุ่ยเองก็สูญเสียความเยือกเย็นที่เคยมีด้วยเช่นกัน
“ไม่หรอก หากฝ่าบาทสวรรคต พ่อลูกสกุลเสิ่นคงไม่อาจมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขได้หรอก พวกเจ้าลืมราชองครักษ์ลับข้างพระวรกายฝ่าบาทกับจุดจบของสกุลเซ่าไปแล้วหรือ”
พวกปี้สุ่ยพลันเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ความตื่นตระหนกในใจค่อยๆ สงบลง
สนมชายาคนหนึ่งจากสกุลเซ่าเคยลอบทำร้ายพระเจ้าโจวเกาจู่ซึ่งเป็นฮ่องเต้รัชกาลต่อจากพระเจ้าโจวไท่จู่จนสิ้นพระชนม์ สุดท้ายก็ถูกราชองครักษ์ลับตามแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง สกุลที่มีสามพันกว่าชีวิตถูกอาบด้วยโลหิต ตั้งแต่คนเฒ่าคนชราอายุแปดสิบไปจนถึงเด็กทารกในผ้าอ้อม แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงก็ไม่ไว้ชีวิต หลังจากเรื่องราวทุกอย่างเสร็จสิ้น ผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับในปีนั้นก็เชือดคอตายเพื่อรับผิด ว่ากันว่าเขาถูกวางยาพิษบางชนิด หากฮ่องเต้มิได้สิ้นพระชนม์อย่างสงบในวัยชราภาพและมิได้พระราชทานยาแก้พิษให้ก่อนสิ้นพระชนม์ เขาก็มิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เพราะพระเจ้าโจวเกาจู่เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่ถึงครึ่งปี เรื่องนี้จึงสะเทือนขวัญผู้คนยิ่งนัก แต่นานเข้าราษฎรต้าโจวก็ลืมเลือนเรื่องนี้ไปตามเวลา
“ดังนั้นฮ่องเต้ต้องทรงมีพระชนม์ชีพอยู่อย่างแน่นอน ที่ราชองครักษ์ลับปล่อยฮ่องเต้ตัวปลอมเอาไว้ไม่สนใจก็เพื่อให้เขายึดตำแหน่งฮ่องเต้ไว้ก่อน มิให้ไหวหนานอ๋องและเซียงเป่ยอ๋องสบโอกาส หากอ๋องทั้งสองแคว้นนี้ได้ข่าวจะต้องรีบยกทัพมาบุกเมืองหลวงเป็นแน่ อีกทั้งตอนนี้เผ่าหมานก็รุกรานอย่างกำเริบเสิบสาน แผ่นดินต้าโจวมีโอกาสจะพินาศย่อยยับ ราชองครักษ์ลับแบกความผิดข้อหาล่มชาติไม่ไหว จึงย่อมต้องทำเหมือนสถานการณ์ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย รอให้ฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมา”
เมิ่งซังอวี๋วิเคราะห์ทีละขั้น แสดงความเห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง การคาดเดาอันแม่นยำทำให้กู่เซ่าเจ๋อหันไปมองครั้งแล้วครั้งเล่า ยามนี้เขาเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘วิชาความรู้ไม่แพ้ชายชาตรี’ ของเสิ่นฮุ่ยหรูนั้นพอนำมาเทียบกับซังอวี๋แล้วแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
“เต๋อเฟย เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดีเพคะ” หัวใจของแม่นมเฝิงพลันบีบรัดแน่นขึ้นมา
“ในวังมีราชองครักษ์ลับจับตาดูอยู่ พวกเราก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ ถ้าหากเราเผยพิรุธออกไป ไม่เพียงแต่ราชองครักษ์ลับจะสงสัย พ่อลูกสกุลเสิ่นเองก็จะคิดหาสารพัดวิธีมาปองร้ายพวกเรา เดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง สั่งให้คนนำไปส่งให้ท่านพ่อที่ด่านชายแดน ให้กองทัพของท่านพ่อเตรียมพร้อมยกทัพเข้าปกป้องฮ่องเต้ได้ทุกเมื่อ”
น้ำเสียงของเมิ่งซังอวี๋อัดอั้นเป็นอย่างมาก มิใช่เพราะหวาดกลัว แต่เป็นเพราะความฮึกเหิมในใจ หากฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมา สกุลเมิ่งก็ถือว่าได้สร้างคุณงามความดีอันใหญ่หลวง ในภายภาคหน้าหากบิดาของนางลาออกจากราชการ สกุลเมิ่งก็จะไม่ต้องตกต่ำ ชีวิตของนางก็จะดีขึ้นมากด้วยเช่นกัน แต่หากฝ่าบาทไม่ทรงฟื้นขึ้นมา นั่นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ สกุลเมิ่งมีกองทัพอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร ไหวหนานอ๋องและเซียงเป่ยอ๋องจะเป็นคู่ต่อสู้ของสกุลเมิ่งได้อย่างไร การที่นางจะได้หลุดพ้นจากกรงขังนี้แล้วโบยบินไปสู่ขอบฟ้าไกลก็มิใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไปแล้ว!
พอคิดถึงตรงนี้มือของนางก็สั่นน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่
แต่กู่เซ่าเจ๋อกลับคิดว่านางกำลังหวาดกลัว ในใจจึงทั้งรักทั้งสงสาร ซ้ำยังซาบซึ้งใจที่ในยามอันตรายนางก็ยังคงคำนึงถึงเขา ช่วยเหลือเขา แม้จะหวาดกลัวแต่ก็ไม่ถอยเลยสักนิด เมิ่งซังอวี๋ที่เป็นแบบนี้ยิ่งคู่ควรให้เขาทุ่มเทกายใจรักใคร่ทะนุถนอมนัก เขากอดมือของนางไว้อย่างห้ามใจไม่อยู่ ใช้ลิ้นไล้เลียจนทั่ว ตอนนี้เขาไม่มีวิธีอื่นมาแสดงความรักที่ถาโถมเอ่อล้นในใจอีกแล้ว
พวกแม่นมเฝิงสติหลุดลอยไปโดยสิ้นเชิง ผู้เป็นนายพูดอย่างไรพวกนางก็ทำตามอย่างนั้น แต่พอทำใจให้เยือกเย็นลงแล้วก็ยังคิดมากอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เต๋อเฟย ยกทัพจากนอกด่านเข้าเมืองหลวงโดยพลการมีโทษตายทั้งสกุลเลยนะเพคะ! หากฝ่าบาทไม่ทรงฟื้นขึ้นมา ท่านกั๋วกงมิต้องแบกข้อหาก่อกบฏหรือเพคะ” สีหน้าเป็นกังวลของแม่นมเฝิงหนักอึ้งกว่าเมื่อครู่
“แค่เพราะกังวลเรื่องนี้จึงต้องมองดูภูตผีปีศาจพวกนั้นขโมยแผ่นดินต้าโจวที่รักยิ่งของพวกเราไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ ท่านพ่อจงรักภักดีต่อฝ่าบาทยิ่ง ภยันตรายครั้งนี้ท่านพ่อต้องยอมเสี่ยงชีวิตเป็นแน่ และข้าก็จะสนับสนุนเขาด้วยเช่นกัน ส่วนท่านแม่กับท่านพี่ พวกเขาก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับท่านพ่อมาโดยตลอด อีกอย่างเจ้าคิดว่าเสิ่นฮุ่ยหรูจะปล่อยข้ากับสกุลเมิ่งไปอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราไม่อาจห่วงหน้าพะวงหลัง มีแต่ต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น ฝ่าบาททรงมีบุญญาธิการมาก มีสวรรค์คอยปกปักรักษา พระองค์จะต้องทรงฟื้นแน่นอน พวกเจ้าไม่ต้องคิดมากไป”
เมิ่งซังอวี๋พยายามปลอบขวัญทุกคน ทว่าความคิดในใจกลับสวนทางกับสิ่งที่พูดออกมา
ท่านพ่อมีนิสัยดื้อรั้นดึงดันแต่ก็รู้จักพลิกแพลง จริงอยู่ที่เขาซื่อสัตย์ภักดีต่อฝ่าบาท แต่ก็ให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่า ถ้าหากทั้งสองสิ่งสามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาก็จะเลือกความจงรักภักดี แต่ถ้าหากทั้งสองสิ่งนี้ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาก็จะต้องเลือกครอบครัวอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้หากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาย่อมดีที่สุด สกุลเมิ่งก็จะมีเหตุมีผลในการยกทัพอย่างเต็มที่ ได้คุณงามความชอบจากการปกป้องฮ่องเต้ แต่หากโชคร้ายฝ่าบาทสวรรคตไป เพื่อปกป้องครอบครัวแล้ว ท่านพ่อจะต้องยึดกุมกองทัพทหารนับร้อยหมื่นนายในมือไว้ไม่ปล่อยเป็นแน่ เพราะนั่นคือเบี้ยที่มีค่าที่สุด ไม่ว่าจะสวามิภักดิ์กับผู้อื่นหรือยืนหยัดอยู่ด้วยตัวเอง สกุลเมิ่งล้วนมีอำนาจทางทหารอย่างเต็มที่ และนางก็จะใช้โอกาสนี้หนีไปให้พ้นจากกรงขังที่มืดมิดไร้ความหวังอย่างวังหลวงแห่งนี้
เมื่อก่อนเป็นเพราะมองไม่เห็นความหวัง นางจึงไม่เคยครุ่นคิดถึงอิสระมาก่อน แต่ตอนนี้โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อความปรารถนาที่แท้จริงที่สุดในหัวใจได้ แน่นอนว่านางต้องรักษาสติสัมปชัญญะไว้อย่างเหมาะสม ไม่แพร่งพรายความคิดที่แท้จริงของตนให้ผู้ใดฟังเป็นอันขาด โดยเฉพาะสำหรับพวกแม่นมเฝิงแล้ว นี่เท่ากับเป็นการคิดทรยศอย่างไม่ต้องสงสัย พวกนางรับไม่ได้อย่างแน่นอน
อีกอย่างเรื่องนี้ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งตามใจชอบ เช่นการกำจัดฮ่องเต้ที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติ นางจะไม่ทำเด็ดขาด ไม่เพียงแค่ไม่ทำ แต่ยังจะหาหนทางช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพราะมีแต่ยึดข้อได้เปรียบจากการสร้างคุณงามความดีในการปกป้องคุ้มครองฮ่องเต้เท่านั้น สกุลเมิ่งถึงจะอยู่ในตำแหน่งที่ได้ประโยชน์มากที่สุด จะบุกก็ได้ จะตั้งรับก็ดี
น่าสงสารพ่อลูกสกุลเสิ่น หลงคิดว่าตนเป็นตั๊กแตนจ้องจับจักจั่น ได้ชัยชนะมาอยู่ในมือ แต่กลับเอาดาบเล่มใหญ่ที่สุดส่งให้นกขมิ้นอย่างนางรู้ถึงที่ ถึงวันข้างหน้าจะมีทั้งคลื่นมรสุม ภัยอันตราย และหายนะถึงขั้นสิ้นชีวิต แต่ก็ยังดีกว่าความท้อแท้สิ้นหวังในยามนี้มากนัก
เมิ่งซังอวี๋ยังคงครุ่นคิดจนใจลอย เพราะพยายามกดความตื่นเต้นในอกลงไปอย่างยากลำบาก สีหน้าจึงแลดูหนักอึ้งเป็นพิเศษ พวกแม่นมเฝิงไม่เคยเห็นผู้เป็นนายเคร่งเครียดเช่นนี้มาก่อนจึงพากันเงียบเสียง ไม่กล้ารบกวน
กู่เซ่าเจ๋อคิดว่านางกำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของตน จมูกจึงเปล่งเสียงฟืดฟาดปลอบใจ ในใจก็เอ่อท้นไปด้วยความหวานล้ำระลอกแล้วระลอกเล่า
เขาเองก็เป็นคนน่าเวทนาเช่นเดียวกับพ่อลูกสกุลเสิ่น หากรู้ความคิดที่แท้จริงในใจของเมิ่งซังอวี๋ เกรงว่าคงจะกระอักเลือดสามเซิง เลยกระมัง