ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก
บทที่สิบสาม
ตำหนักในมั่วโลกีย์
เมื่อมองเห็นสถานการณ์กระจ่าง รู้ว่าตนตกอยู่ในสภาพสุ่มเสี่ยง เมิ่งซังอวี๋ก็มิได้มีท่าทีแบบใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ อีก นางอุ้มอาเป่าเดินไปมาในตำหนัก หลังจากพูดพึมพำอยู่ครู่ใหญ่ก็วางอาเป่าลงในตะกร้า สั่งให้แม่นมเฝิงจัดเตรียมกระดาษและพู่กันเพื่อเขียนจดหมายให้บิดาซึ่งอยู่ไกลถึงชายแดน
เพิ่งจะจรดพู่กันเริ่มเขียนได้ไม่กี่ตัวอักษร ขันทีน้อยที่ถูกสั่งให้ไปสืบข่าวก่อนหน้านี้ก็คุกเข่าขอเข้าเฝ้าอยู่นอกตำหนัก
ปี้สุ่ยขมวดคิ้วเดินออกไป ชั่วครู่ให้หลังก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าหนักใจ เสียงแหบแห้งพิกล “เต๋อเฟย เมื่อครู่ได้ข่าวมาว่าหลังจากฝ่าบาทเสด็จออกจากวังปี้เซียวก็กลับวังเฉียนชิง ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็แขวนป้ายของเสียนเฟยแทน ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางไปวังเจี้ยงจื่อ (ม่วงชาด) เพคะ”
ถูกบุรุษซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไปผู้หนึ่งครอบครองร่างกาย หากวันหลังฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา เสียนเฟยต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย! ถ้ามิใช่เพราะเจ้านายของตนกินยาเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงจะมีจุดจบเช่นเดียวกับเสียนเฟย! พอคิดถึงตรงนี้ปี้สุ่ยก็มีเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าและศีรษะ
อิ๋นชุ่ยและแม่นมเฝิงเองก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน ด้านหนึ่งนึกกลัว ส่วนอีกด้านก็เกลียดเหลียงเฟยจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ใบหน้าสุนัขของกู่เซ่าเจ๋อบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ ไอโกรธแค้นสายหนึ่งอัดแน่นอยู่ในอก จวนเจียนจะระเบิดออกมา ความทะนุถนอมตลอดหกปีที่ผ่านมา การปกป้องคุ้มครองตลอดหกปีที่ผ่านมา นางกลับตอบแทนด้วยการกระทำเช่นนี้น่ะหรือ สั่งการให้ฮ่องเต้ตัวปลอมมั่วโลกีย์ในตำหนักใน? เขายังจะพูดอะไรได้อีกเล่า เขาไม่มีวาจาใดจะพูดแล้ว!
หลังจากเมิ่งซังอวี๋ทราบข่าวก็ผงะอึ้งไป ถือพู่กันยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะไม่ขยับเขยื้อนอยู่เป็นนาน
“เต๋อเฟย พวกเราต้องช่วยเสียนเฟยไหมเพคะ” แม่นมเฝิงถามอย่างสองจิตสองใจ
“ช่วยอย่างไรเล่า บอกนางว่าฝ่าบาทเป็นตัวปลอม? นางจะเชื่อหรือ พอถึงตอนนั้นก็จะถูกนางใส่ร้ายป้ายสีว่าเสกสรรปั้นเรื่อง! นางเป็นคนที่ไปพึ่งพาฮองเฮา หลอกใช้การคุ้มครองจากฮองเฮาเพื่อให้ตนคลอดพระโอรสได้อย่างราบรื่น จากนั้นก็ตลบหลังทำร้ายฮองเฮาจนสิ้นชีพ เสียนเฟยมิใช่คนที่รับมือง่าย! อีกอย่างหนึ่ง หากแม้แต่คนเคียงหมอนของตนนางยังแยกไม่ออก แล้วข้าจะเตือนนางได้อย่างไร
แม่นม หากเรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นที่ไม่สามารถจัดการได้ พวกเราทั้งหมดต้องปิดปากให้สนิท ห้ามบอกใครทั้งนั้น มิฉะนั้นจะเป็นภัยต่อฝ่าบาท และจะสร้างหายนะถึงชีวิตให้พวกเราด้วยเช่นกัน” เมิ่งซังอวี๋วางพู่กัน นวดขมับอย่างช้าๆ ดวงหน้างามพริ้มเพราหม่นหมองลง อาบย้อมด้วยความอ่อนล้าอันหนักหน่วง
แม่นมเฝิงรับคำไม่หยุดปาก ไม่เอ่ยถึงเรื่องช่วยเสียนเฟยอีก
พอได้ทราบโฉมหน้าที่แท้จริงของเสียนเฟย หัวใจที่เจียนจะแตกสลายของกู่เซ่าเจ๋อก็พลันชาหนึบทันที ถูกต้องอย่างที่เมิ่งซังอวี๋กล่าว หากแยกไม่ออกแม้กระทั่งคนเคียงหมอนของตน แล้วร่างกายถูกทำให้แปดเปื้อนก็ได้แต่โทษตัวนางเอง ต่อว่าผู้อื่นไม่ได้ แล้วยิ่งจะมาก่นด่าเมิ่งซังอวี๋ไม่ได้ด้วยเช่นกัน
อิ๋นชุ่ยเดินเข้าไปช่วยผู้เป็นนายนวดขมับ ปี้สุ่ยเห็นเจ้านายวางพู่กันลง จึงวางแท่งหมึกในมือลงด้วยเช่นกัน เอ่ยถามขึ้นอย่างลังเล “เต๋อเฟย จดหมายฉบับนี้พระองค์ยังจะเขียนอยู่หรือไม่เพคะ”
เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจเฮือก กล่าวเสียงต่ำ “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าหมวกเขียว ใบใหญ่เช่นนี้ หากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาแล้วทราบว่าพวกเรามีส่วนรู้เห็น พระองค์จะทรงฆ่าพวกเราปิดปากหรือไม่ หากจดหมายฉบับนี้ส่งไปถึงมือท่านพ่อ ต่อไปพวกเราก็สลัดไม่หลุดแล้ว หากฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นพวกเราก็จะทรงนึกถึงความอัปยศอดสูในวันนี้ อาจคิดกำจัดพวกเราให้พ้นไปโดยเร็วที่สุด”
แม่นมเฝิงร่างซวนเซ พูดเสียงสั่น “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่าเพคะ พวกเรามิใช่ทำไปเพื่อช่วยฝ่าบาทหรอกหรือ!”
ใบหน้าเมิ่งซังอวี๋เจือแววเย้ยหยัน “เรื่องเน่าเหม็นในครอบครัวไม่ควรแพร่งพรายออกนอกเรือน เจ้าอย่าดูถูกความหยิ่งในศักดิ์ศรีของบุรุษจนเกินไป”
กู่เซ่าเจ๋อไม่มีแก่ใจไปคิดมากเรื่องหมวกเขียวบนศีรษะอีกแล้ว การถูกเมิ่งซังอวี๋หวาดระแวงทำให้หัวใจเขาขมปร่า ต่อหน้าเจ้า เรายังมีศักดิ์ศรีอันใดให้พูดถึงอีกเล่า ปล่อยให้เจ้าจับเล่นเอาตามใจชอบ ซ้ำยังต้องทำตัวเป็นเด็กดียอมขายหน้าเพื่อหยอกล้อให้เจ้ามีความสุข เรากำลังพยายามชดเชยความผิดพลาดในอดีต เหตุใดเจ้าถึงมองเราในแง่ร้ายเรื่อยไป นี่เรียกว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนองกระมัง เขาพลันแสบจมูก เปล่งเสียงร้องเศร้าโศกดังหงิงๆ ออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
เมิ่งซังอวี๋ถูกอาเป่าดึงความสนใจไปทันที นางรีบเดินไปข้างตะกร้า ลูบหลังของมันพลางปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน ทำให้สี่เท้าของอาเป่าเกาะเกี่ยวนางไว้ไม่ปล่อย
เจ้าลูกสุนัขนี่นับวันก็ยิ่งจะเกาะติดนางมากขึ้นทุกที! นางรวบอาเป่าที่ในดวงตาเขียนไว้ว่า ‘ขอกอดหน่อย’ เข้าสู่อ้อมอกขณะที่ลอบครุ่นคิดอย่างขำขัน
“เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดีเพคะ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น?” แม่นมเฝิงเดินตามเข้ามา กดเสียงต่ำพร้อมกับถามขึ้น
แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นดีที่สุด เรื่องอันตรายพวกนี้ซังอวี๋ไม่ควรเข้าไปพัวพัน แต่ก่อนหน้านั้นเราจะต้องหาตัวจวิ้นเหว่ยให้เร็วที่สุด สั่งให้เขาคุ้มครองซังอวี๋ให้ดี หากเราไม่ฟื้นขึ้นมา ก็ให้เขาพาซังอวี๋ออกนอกวัง ส่งไปอยู่ข้างกายเฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกง หากมีเฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกงคอยคุ้มครอง ต่อให้สงครามเกิดขึ้นทั่วแผ่นดินต้าโจว ซังอวี๋ก็สามารถอยู่รอดปลอดภัยได้ กู่เซ่าเจ๋อลอบคิดใคร่ครวญ
“หากไม่ทำอะไรเลยก็ได้แต่นอนรอความตายน่ะสิ! ช่างเถิด ทุ่มสุดตัวไปเลย อย่างแย่ที่สุดคือเมื่อฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาก็ค่อยขอให้พระองค์ทรงไว้ชีวิตข้าเพื่อเห็นแก่ท่านพ่อที่ช่วยเหลือ อย่างมากที่สุดก็คือฝ่าบาทพระราชทานรางวัลให้ข้าด้วยตำแหน่งที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก จากนั้นก็ค่อยไล่ข้าไปอยู่ไกลๆ เพื่อจะได้ไม่ทอดพระเนตรเห็นให้เสียสายพระเนตร หากเป็นเช่นนี้ก็ดี มีทั้งอำนาจมีทั้งเวลาว่าง แถมยังไม่ต้องปรนนิบัติบุรุษผู้นั้นอีก ข้าสุขกายสบายใจยิ่ง” ยิ่งกว่านั้นฝ่าบาทจะทรงฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่ก็ยากจะบอก ประโยคสุดท้ายเมิ่งซังอวี๋เก็บงำเอาไว้ มือซ้ายของนางอุ้มตัวอาเป่าขึ้นมา มือขวาถือพู่กัน ตวัดเขียนอีกครา
เราจะหักใจขับไล่เจ้าให้ไกลหูไกลตาได้อย่างไร นั่นเป็นการคว้านหัวใจของเราเลยนะ! ซังอวี๋ เราผิดไปแล้ว! วันหน้าเราจะปฏิบัติต่อเจ้าให้ดีๆ!
กู่เซ่าเจ๋อซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของนางร้องหงิงๆ แต่น่าเสียดายที่คำสารภาพของเขาไม่มีผู้ใดฟังเข้าใจ
“วันนี้อากาศค่อยๆ หนาวขึ้นแล้ว จดหมายฉบับนี้ต้องถูกส่งต่อหลายทอด หนึ่งเดือนกว่าจะถึงมือท่านพ่อ พวกเราต้องทนลำบากกันอีกระยะหนึ่ง โชคดีที่การโค่นล้มราชบัลลังก์มิใช่วันเดียวคืนเดียวก็จะทำสำเร็จ อย่างน้อยเสิ่นฮุ่ยหรูต้องมีพระโอรสเสียก่อน จากนั้นก็ขึ้นครองตำแหน่งฮองเฮา โอรสก็ต้องได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ราชครูเสิ่นก็ต้องควบคุมอำนาจของฮ่องเต้อย่างเบ็ดเสร็จ บ่มเพาะขุมกำลังของสกุลเสิ่น ขั้นตอนทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาประมาณห้าถึงหกปี พวกเรายังพอมีเวลารับมือ” เมิ่งซังอวี๋เขียนจดหมายพลางเอ่ยปลอบพวกแม่นมเฝิงที่มีสีหน้าหนักอึ้ง
เมื่อเขียนประโยคสุดท้ายเสร็จ นางก็วางพู่กันลงแล้วหยิบกระดาษจดหมายขึ้นมาอ่านอีกรอบ นางคล้ายกับรู้สึกไม่พอใจ จึงยกพู่กันขึ้นมาตวัดแต้มลงไปอีกสองสามย่อหน้าอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำ
“นอกด่านยังวุ่นวายจากภัยสงคราม ข้าต้องเตือนให้ท่านพ่อระวังเอาไว้หน่อย กองทัพชาวหมานอยู่ในสภาพถอยร่นใกล้จะพ่ายแพ้แล้ว สิ่งที่ควรกังวลใจในตอนนี้หาใช่ศัตรูภายนอกแต่เป็นศัตรูภายใน ในเมื่อราชครูเสิ่นต้องการช่วงชิงแผ่นดิน ท่านพ่อก็จำเป็นต้องต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด ราชครูเสิ่นเป็นผู้นำของขุนนางฝ่ายบุ๋น ถึงแม้เขาจะไม่อาจยื่นมือเข้าไปถึงกองทัพได้ในเร็วๆ นี้ แต่การจะติดสินบนนายทหารที่ดูแลงานกิจในกองทัพเพื่อสร้างปัญหาให้กับท่านพ่อในเรื่องเสบียงกรัง ข่าวกรอง หรือกำลังเสริมก็มีความเป็นไปได้ยิ่ง ทำให้ท่านพ่อตกอยู่ในอันตราย ข้าก็ได้แต่ขอให้หานชังผิงคนสนิทของฝ่าบาทเป็นคนที่พึ่งพาได้ จะได้สามารถช่วยเหลือท่านพ่อได้”
แม่นมเฝิงรีบเอ่ยปลอบโยนเสียงเบา “เต๋อเฟยอย่าทรงกังวลไปเลยเพคะ ท่านกั๋วกงกรำศึกมาตลอดชีวิต ไม่มีทางถูกลอบทำร้ายง่ายดายเช่นนั้นเป็นแน่เพคะ หานชังผิงผู้นั้นก็ได้ยินมาว่าเป็นคนที่มีความสามารถยิ่ง”
เมิ่งซังอวี๋พยักหน้าพลางเอ่ย “ขอให้ทุกอย่างเป็นดั่งที่แม่นมเฝิงกล่าว เอาล่ะ พวกเราก็รอข่าวอยู่ในวังแล้วกัน มีราชองครักษ์ลับกับท่านพ่อคอยขับเคลื่อน เรื่องต้องพลิกจากร้ายกลายเป็นดีได้แน่”
ไม่มีใครรู้สึกเอะใจกับวาจาที่ไม่ได้มาจากใจจริงของนาง กู่เซ่าเจ๋อยังคงซาบซึ้งจนร้องคร่ำครวญ เลียข้อมือขาวผ่องของนางด้วยความรักความอาลัย
แม่นมเฝิงยกกระดาษจดหมายขึ้นมาเป่าหมึกบนกระดาษจนแห้ง เหลือบมองแวบหนึ่งแล้วอดกล่าวอย่างตื่นตระหนกมิได้ “นี่…เต๋อเฟยเพคะ นี่เป็นจดหมายส่งถึงครอบครัวธรรมดาๆ มิใช่หรือ! ไฉนข้อความที่พระองค์ทรงเขียนเมื่อครู่ถึงหายไปแล้วล่ะเพคะ แล้วลายเส้นทางด้านหลังนี่หมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ”
เมิ่งซังอวี๋หัวเราะเบาๆ “นี่คือจดหมายลับ ขอแค่ในมือท่านพ่อมีบัญญัติกฎหมายแห่งราชวงศ์ต้าโจว และตรวจสอบโดยการเทียบกับสัญลักษณ์ด้านหลังเหล่านี้ เขาก็ย่อมเข้าใจได้เอง และเพื่อป้องกันมิให้จดหมายถูกคนช่วงชิงไประหว่างทาง เช้าพรุ่งนี้แม่นมจงรีบนำจดหมายฉบับนี้ส่งไปให้ถึงมือท่านแม่ นางจะส่งต่อแทนข้าเอง ไม่ต้องตั้งใจปกปิด ยิ่งเปิดเผยคนรอบข้างก็ยิ่งไม่รู้สึกสนใจ ใช่แล้ว เรื่องนี้ห้ามบอกท่านแม่เด็ดขาด นางจะได้ไม่ต้องพะว้าพะวัง”
แม่นมเฝิงรับคำไม่หยุด ครั้นเห็นผู้เป็นนายสงบนิ่งเฉย ไม่มีอาการกระวนกระวาย ความว้าวุ่นในใจก็สงบลงโดยไม่รู้ตัว ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยคืนสู่สภาวะปกติได้เร็วกว่านาง ยามนี้ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง มุมปากเผยรอยยิ้ม
เรื่องที่ควรทำก็ทำหมดแล้ว หัวใจที่เครียดขึงของเมิ่งซังอวี๋ค่อยๆ ผ่อนคลายลง นางหยิบภาพเขียนอักษรที่ฮ่องเต้ตัวปลอมทิ้งเอาไว้ให้ขึ้นสำรวจดู เอ่ยปากด้วยความดีอกดีใจ “อิ๋นชุ่ย พรุ่งนี้เอาภาพเขียนอักษรแผ่นนี้ไปให้กองผลิตแห่งสำนักราชวัง บอกให้พวกเขาทำป้ายห้อยคอให้อาเป่าตามภาพเขียนอักษรนี้ แผ่นป้ายต้องใช้ไม้มะเกลือชั้นดี ทรงรี ขนาดเท่าหยกประดับ ตัวอักษรให้เลี่ยมด้วยทองคำบริสุทธิ์ ยิ่งหรูหราสะดุดตายิ่งดี”
“เต๋อเฟย แต่ภาพเขียนอักษรนี้เป็นของฮ่องเต้ตัวปลอมนะเพคะ” อิ๋นชุ่ยกล่าวด้วยความลังเล
เมิ่งซังอวี๋นวดพุงน้อยๆ ของอาเป่า “พวกเราไม่พูดใครจะรู้เล่า ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าอยากได้ตัวอักษรแต่กลับไม่ทำป้ายห้อยคอ ฮ่องเต้ตัวปลอมกับเสิ่นฮุ่ยหรูก็จะสงสัยเอาได้”
อิ๋นชุ่ยพยักหน้า รับภาพเขียนอักษรไปพับอย่างดีแล้วเก็บใส่ไว้ในแขนเสื้อ
เมิ่งซังอวี๋หอมปากเล็กๆ ของอาเป่า “พรุ่งนี้ข้าจะเย็บเสื้อหม่ากว้า สีเหลืองตัวน้อยให้อาเป่า ตัวสวมเสื้อหม่ากว้าสีเหลือง คอห้อยป้ายพระราชทาน ดูซิว่าผู้ใดยังจะกล้ารังแกอาเป่าของข้าอีกหรือไม่!” พอจินตนาการถึงภาพอาเป่าสวมเสื้อหม่ากว้าสีเหลือง ห้อยป้ายพระราชทาน เดินโอ้อวดไปทั่ววัง นางก็ทนไม่ไหวต้องหัวเราะออกมา
ถึงแม้พวกแม่นมเฝิงจะไม่เข้าใจว่าผู้เป็นนายกำลังหัวเราะอันใด แต่เมื่อเห็นนางมีความสุขก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย
ทั้งๆ ที่เมื่อครู่หม่นหมองอึมครึมอยู่แท้ๆ แต่พริบตาเดียวกลับเปลี่ยนเป็นเริงร่าราวกับบุปผาเบ่งบาน ช่างเป็นสตรีที่แปลกประหลาดเสียจริง! กู่เซ่าเจ๋อหรี่ตาครุ่นคิด ค่อยๆ เลียกลีบปากอ่อนนุ่มของหญิงสาวเบาๆ รู้สึกทั้งอิ่มเอมและสบายใจ
ภายในวังเฉียนชิง เสิ่นฮุ่ยหรูยังคงจุดตะเกียงพลิกอ่านหนังสือกราบทูลกองใหญ่ หลังจากไล่ฮ่องเต้ไปยังวังเจี้ยงจื่อของเสียนเฟย นางก็มองไปยังฉางสี่ซึ่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าโต๊ะทรงพระอักษร เอ่ยถามเสียงต่ำลึก “หมอหลวงหลินว่าอย่างไรบ้าง”
“ทูลเหลียงเฟย หมอหลวงหลินบอกว่าระดูของเต๋อเฟยมาจริง สามปีมานี้นางกินยามากเกินไป ร่างกายจึงได้รับความเสียหาย ระดูมาผิดปกติครั้งนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายกำลังทรุดโทรม เกรงว่าเลือดระดูคงจะไหลติดต่อกันไม่หยุดหลายเดือนพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของฉางสี่เจือด้วยแววยินดีในหายนะของผู้อื่น
“ติดต่อกันหลายเดือนไม่หยุด?” เสิ่นฮุ่ยหรูมุ่นคิ้ว เอ่ยพึมพำ “เช่นนี้ดาบเล่มนี้อย่างเต๋อเฟยเราคงใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว ดีที่พวกเสียนเฟย ลี่เฟย และเฉินเฟยก็มิใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ หากผนึกกำลังกันก็ทำให้หลี่ซูจิ้งกระอักได้เช่นกัน ช่วงนี้เจ้าพาฮ่องเต้ตัวปลอมนั่นสับเปลี่ยนไปวังของเสียนเฟย ลี่เฟย และเฉินเฟยให้มากหน่อยก็แล้วกัน”
ฉางสี่น้อมรับคำสั่ง คิดอยู่สักพักแล้วจึงกล่าวเสริมว่า “ทูลเหลียงเฟย เมื่อครู่เต๋อเฟยทูลขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสแก่พี่ชายของนาง ฝ่ายหญิงคือบุตรสาวคนโตของรองเสนาบดีกรมพิธีการฟู่ก่วงต๋า เรื่องนี้พระองค์ทรงเห็นว่า…”
“เรื่องนี้พักเอาไว้ก่อน ข้าจะหาคนที่ดียิ่งกว่านี้ให้เมิ่งเหยียนโจวเอง!” ใบหน้าเสิ่นฮุ่ยหรูมีรอยยิ้ม ทว่าแววตากลับเย็นเยียบหาใดเปรียบ
“เหลียงเฟย ได้เวลาเสวยพระโอสถแล้วเพคะ” นางข้าหลวงหว่านชิงยกโอสถถ้วยหนึ่งเดินเข้ามา แล้วคุกเข่าอยู่ข้างเท้านาง
เสิ่นฮุ่ยหรูเองก็มีโรคเกี่ยวกับมดลูก แต่ยาที่นางดื่มต่างหากถึงจะเป็นยารักษาอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับยาถ้วยนั้นของเมิ่งซังอวี๋ ถึงแม้ตัวยาที่ใช้จะเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แต่ปริมาณกลับแตกต่างกันเล็กน้อย ประสิทธิผลก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง ความลับนี้ฮ่องเต้เคยตรัสบอกกับนางเพื่อให้นางวางใจ
เสิ่นฮุ่ยหรูมองถ้วยยาที่มีควันร้อนลอยฉุย นัยน์ตาเยียบเย็นพลันปรากฏความอ่อนโยนวูบหนึ่ง
“เหลียงเฟย ท่านบำรุงร่างกายมาสามปีแล้ว สามารถให้กำเนิดพระโอรสได้แล้วนะเพคะ” หว่านชิงได้รับการไหว้วานมาจากราชครูเสิ่น วาจาบางอย่างนางจำต้องพูด
แววตาของเสิ่นฮุ่ยหรูตวัดลงบนร่างของหว่านชิงราวกับมีด ทำให้หว่านชิงตกใจจนรีบโขกศีรษะรับผิดทันที
“ข้ามีความคิดของข้าเอง ไม่ต้องพูดมาก” เสิ่นฮุ่ยหรูรับถ้วยยามา แหงนหน้าดื่มจนหมดแล้วจึงยกมือสั่งให้หว่านชิงและฉางสี่ออกไป จากนั้นก็ถือพู่กันเปิดอ่านหนังสือกราบทูลต่อ
ในตำหนักเฟิ่งหลวน หลี่ซูจิ้งเองก็ได้รับข่าวอย่างเดียวกัน นางขมวดคิ้วพร้อมกับครุ่นคิดอย่างละเอียด
“เจ้าไม่ได้ฟังผิดแน่นะ เต๋อเฟยกินยามากเกินไปจนมีบุตรไม่ได้จริงๆ?” นางซักถามนางกำนัลประจำห้องเครื่องที่คุกเข่าอยู่ข้างเท้า นี่เป็นนางกำนัลประจำห้องเครื่องที่หมอหลวงหลินโปรดปรานที่สุด
“หม่อมฉันมิได้ฟังผิดแน่นอนเพคะ ระดูของเต๋อเฟยมาไม่ปกติ เลือดระดูไหลไม่หยุด เกรงว่าคงจะล้างไม่สะอาดไปหลายเดือน” น้ำเสียงของนางกำนัลประจำห้องเครื่องมั่นใจยิ่ง
“ความโปรดปรานมีเกียรติตลอดสามปี กินยามาตลอดสามปี แต่กลับพบจุดจบที่ไม่สามารถมีบุตรไปตลอดชีวิต เมิ่งซังอวี๋เองก็เป็นคนน่าสงสาร…” หลี่ซูจิ้งทอดถอนใจ เชื่อคำพูดที่เมิ่งซังอวี๋ส่งคนมาบอกก่อนหน้านี้อย่างสนิทใจไม่มีข้อกังขา “ฝ่าบาทยังทรงคิดหลอกใช้นางเพื่อปกป้องคนชั่วช้าอย่างเสิ่นฮุ่ยหรู พอเห็นร่างกายนางย่ำแย่ก็เปลี่ยนเป็นเสียนเฟยแทน ฮึ ช่างขยันขันแข็งจริง! เราอยากจะเห็นนักว่าฝ่าบาทจะทรงทำเพื่อคนชั่วช้าสารเลวผู้นั้นได้ถึงขนาดไหนกัน!” ในดวงตาของนางเผยแววอาฆาตแค้นออกมาอย่างไม่อาจควบคุม หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกก็ปรับใบหน้าที่บิดเบี้ยวให้คืนสู่ปกติ ตกรางวัลให้นางกำนัลประจำห้องเครื่องผู้นั้นด้วยเงินตำลึงก้อนใหญ่แล้วจึงสั่งให้ออกไป
ในทางลับแห่งหนึ่งภายในวังหลวงมีเงาร่างของเหยียนจวิ้นเหว่ยซึ่งกำลังเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางได้พบปะกับลูกน้องของตนยืนอยู่
“เรียนท่านผู้บัญชาการ ช่วงนี้ฐานที่มั่นสองสามแห่งที่ตี้จื้อจิ่วเฮ่า (อักษรดินหมายเลขเก้า) รู้ถูกคนของราชครูเสิ่นล้อมปราบจริงดังคาดขอรับ โชคดีที่พวกเราไหวตัวทัน จึงไม่ได้รับความเสียหาย” ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นคุกเข่ารายงาน
ตี้จื้อจิ่วเฮ่าก็คือรหัสแทนตัวเมื่อครั้งฮ่องเต้ตัวปลอมยังเป็นองครักษ์ลับ
“มันเป็นแค่พลทหารชั้นต่ำ จะไปรู้เรื่องอะไร ราชครูเสิ่นคิดจะอาศัยมันก่อการใหญ่ เช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว” เหยียนจวิ้นเหว่ยยิ้มเย็น สั่งการให้ลูกน้องเดินตามตนไปยังห้องลับที่จัดให้ฮ่องเต้รักษาตัว “พ่อลูกสกุลเสิ่นก่อกบฏแน่นอนแล้ว คืนนี้พวกเราต้องพาฝ่าบาทออกไป ส่วนวังนี้ก็ปล่อยให้พวกมันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาก็แล้วกัน พวกมันควรภาวนาให้ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาจะดีกว่า วันหน้าศพของพวกมันจะได้มีสภาพไม่น่าอเนจอนาถนัก!” เหยียนจวิ้นเหว่ยพูดพลางส่งสัญญาณมือ บรรดาลูกน้องที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดต่างก็แยกย้ายกันออกไปปฏิบัติการทันที เสียงลมซู่ๆ ดังขึ้นไม่ขาดสาย
“ช่วงย่ำค่ำคืนนี้เจ้าตัวปลอมไปที่วังของเต๋อเฟย แต่ระดูของเต๋อเฟยมากะทันหัน มันจึงไปที่วังของเสียนเฟยแทน ท่านผู้บัญชาการ เสียนเฟย…” ลูกน้องผู้นั้นละล้าละลัง เขาควรสนใจสตรีของฝ่าบาทหรือไม่
“เต๋อเฟยนับว่าโชคดี ไม่ได้ถูกเจ้าตัวปลอมทำให้ร่างกายแปดเปื้อน ส่วนเสียนเฟยไม่ต้องไปสนใจ เจ้าตัวปลอมนั้นอยากจะไปหาสตรีคนไหนก็ปล่อยมันไป รอให้ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา พระองค์ย่อมจัดการสตรีเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง พวกเรารับผิดชอบแค่ความปลอดภัยของฝ่าบาทก็พอ ไปเถิด ไม่มีเวลาแล้ว” เหยียนจวิ้นเหว่ยเร่งด้วยเสียงเย็นชา
ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นน้อมรับคำสั่ง และสังหารข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติดูแลอยู่ในห้องลับจนหมดสิ้น จากนั้นจึงแบกร่างกู่เซ่าเจ๋อขึ้นมา ลอบหนีออกจากวังหลวงภายใต้การคุ้มครองของเหยียนจวิ้นเหว่ย อันตรธานหายไปในค่ำคืนมืดมิดอันไร้จุดสิ้นสุด
เมื่อใกล้เข้ายามไฮ่ โคมไฟในแต่ละวังก็ค่อยๆ ดับลง เหลือเพียงโคมไฟหน้าประตูวังไม่กี่ดวงซึ่งกำลังไหวไกวท่ามกลางลมหนาว มองไกลๆ แล้วแลดูน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก
เมิ่งซังอวี๋นอนอยู่บนเตียง ในอ้อมกอดมีอาเป่าซึ่งขดตัวเป็นก้อนกลมเล็กๆ อยู่ หนึ่งคนหนึ่งสุนัขเจ้าพลิกตัวไปข้าพลิกตัวมา นอนไม่หลับอย่างเห็นได้ชัด
“อาเป่า นอนไม่หลับหรือ” เมิ่งซังอวี๋จิ้มจมูกน้อยๆ ของมัน เอ่ยถามเสียงเบา
อาเป่าขดตัวเข้าหาหน้าอกอันอ่อนนุ่มของนาง ใบหน้าเล็กๆ ฝังลงไปพร้อมกับเปล่งเสียงเบาๆ เป็นการขานตอบ
ท่าทางน่ารักเช่นนี้ทำให้เมิ่งซังอวี๋ขบขัน นางช้อนตัวอาเป่าขึ้นมา ลงจากเตียง เดินเท้าเปลือยเปล่าไปยังตั่งนุ่มริมหน้าต่าง “หากนอนไม่หลับพวกเราก็พิงขอบหน้าต่างดูดวงดาวกันเถิด ท้องฟ้ายามราตรีในช่วงสารทฤดูและเหมันตฤดูงดงามยิ่งกว่าคิมหันตฤดูเสียอีก เจ้าไม่รู้ล่ะสิ”
อาเป่าขยับยุกยิกอยู่ในอ้อมกอดของนาง ย่นจมูกพลางส่งเสียงหงิงๆ เท้าข้างหนึ่งยกขึ้นมา ชี้ไปยังรองเท้าผ้าปักข้างตั่ง
เมิ่งซังอวี๋ไม่ทันสังเกต อาเป่าจึงขยับตัวแรงขึ้นจนเกือบจะร่วงจากอ้อมแขนของนาง ครานี้นางถึงได้มองตามเท้าของมัน จากนั้นก็หัวเราะออกมา “อาเป่ากำลังเตือนให้ข้าสวมรองเท้าหรือ”
อาเป่าส่งเสียงหงิงหนึ่งที ไม่ดิ้นอีก
เมิ่งซังอวี๋นวดศีรษะของมัน ยิ้มกริ่มพลางเดินเข้าไปสวมรองเท้า เท้าน้อยๆ ของอาเป่าชี้ไปยังเสื้อคลุมตัวนอกซึ่งพาดอยู่บนฉากกันลมอีกครั้ง เมิ่งซังอวี๋ขำคิกคักพลางสวมเสื้อคลุมตัวนอก จากนั้นก็เดินมาห่อตัวอาเป่าไว้อย่างมิดชิด ให้ศีรษะน้อยๆ โผล่ออกมาเท่านั้น
“อาเป่าของข้าฉลาดจริงๆ ถ้าหากเจ้าพูดได้ก็ดีสิ” เมิ่งซังอวี๋ทอดถอนใจ เดินไปยังริมหน้าต่างอย่างเชื่องช้า นางรู้ดีว่าอาเป่าฉลาดเฉลียวอย่างน่าประหลาด แต่จะอย่างไรเล่า ถึงมันจะฉลาดแสนรู้แค่ไหนก็ยังเป็นอาเป่าของนางอยู่ดี นอกจากนี้ยังเป็นสัตว์เลี้ยงของนาง ย่อมสมควรจะพิเศษที่สุดอยู่แล้ว
อาเป่าร้องตอบ จากนั้นก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของนาง แหงนหน้ามองไปยังท้องนภาในยามราตรีซึ่งมีหมู่ดาวระยิบระยับพร่างพราย
ท้องนภายามราตรีมืดมิดดูอึมครึม มืดสนิทราวกับถูกสาดด้วยน้ำหมึก ทว่ายิ่งขับเน้นให้ดวงดาราดูสุกสกาวและเปล่งประกายยิ่งขึ้น จมูกของหนึ่งคนหนึ่งสุนัขมีไอสีขาวพ่นออกมา สีหน้าสงบนิ่งทอดมองออกไปไกลแสนไกลเหมือนกันทั้งคู่
“อาเป่าเห็นดาวสองสามดวงนั่นหรือไม่ นั่นเป็นดาวที่อยู่ในกลุ่มดาวนายพราน ว่ากันว่าเมื่อนานมาแล้ว…” เมิ่งซังอวี๋ชี้ไปยังกลุ่มดาวที่ตนสามารถแยกออก จากนั้นก็ค่อยๆ เล่าเรื่องราวของพวกมัน
อาเป่าตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ ดวงตาดำสนิทมองไปทางผู้ที่มอบความอบอุ่นทั้งหมดให้แก่ตนตาไม่กะพริบ
เมิ่งซังอวี๋ชี้ไปยังท้องฟ้า ครั้นมองเห็นวังเจี้ยงจื่อซึ่งอยู่ไม่ไกลก็พลันเงียบเสียงลง สีหน้าเคร่งขรึม
กู่เซ่าเจ๋อมองหญิงสาวที่ยังคงขมวดคิ้วอย่างเหม่อลอยก็คาดเดาได้ว่านางต้องนึกถึงเสียนเฟยที่ตอนนี้กำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้ตัวปลอมผู้นั้นเป็นแน่ ถึงปากจะบอกว่าไม่ช่วย ไม่สนใจ ไม่แยแส แต่จริงๆ แล้วในใจก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ เดิมเขาคิดว่าเสิ่นฮุ่ยหรูเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน จำเป็นต้องมีตนคอยค้ำจุนและปกป้องถึงจะมีชีวิตอยู่ในวังหลวงต่อไปได้ แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าสตรีผู้นั้นแข็งทั้งภายนอกและภายใน ไม่เหมือนกับสตรีตรงหน้าผู้นี้ เพราะนางใจอ่อน ถึงได้ใช้ภาพลักษณ์น่าเกลียดชั่วร้ายมาปกปิดและปกป้องตัวเอง หลังจากตั้งใจมองให้กระจ่าง เขาถึงได้รู้ว่านางน่ารักเพียงใด ชวนให้รักใคร่ทะนุถนอมเพียงใด
เมิ่งซังอวี๋ได้สติกลับมาจากห้วงความคิด ครั้นก้มหน้าลงก็เห็นอาเป่ากำลังเหม่อมองตนอยู่ ในดวงตาสีดำสนิทสะท้อนภาพนางและดวงดาวเต็มท้องนภา สว่างไสวถึงเพียงนั้น ลึกล้ำถึงเพียงนั้น และใจจดใจจ่อถึงเพียงนั้น คล้ายกับว่าโลกของมันมีแต่นางเพียงผู้เดียว
นั่นสินะ สำหรับอาเป่าแล้ว นางก็คือทั้งหมดของมัน! นอกจากนางแล้วมันยังจะพึ่งพาใครได้อีกเล่า ทันใดนั้นความอ้างว้างขมขื่นในใจก็ถูกความคิดนี้ขับไล่ไปจนหมดสิ้น หนึ่งคนหนึ่งสัตว์เลี้ยงหน้าผากแนบหน้าผาก ประสานสายตากัน เมิ่งซังอวี๋หัวเราะ ในยามนี้โลกของพวกเขามีเพียงแค่กันและกันเท่านั้น
แสงจากโคมไฟจากที่ไกลออกไปค่อยๆ สว่างขึ้นโดยมีวังเฉียนชิงเป็นศูนย์กลาง ย้อมอาบสีส้มให้แก่ค่ำคืนอันมืดสนิท เสียงคนจ้อกแจ้กจอแจดังแว่วมา ทำลายช่วงเวลาอันหวานชื่นนี้
“เกิดอะไรขึ้น” เมิ่งซังอวี๋ห่อหุ้มตัวอาเป่าไว้อย่างดี เดินไปซักถามหน้าตำหนักบรรทม
“ทูลเต๋อเฟย ดูเหมือนว่าวังเฉียนชิงจะเกิดเรื่องเพคะ หม่อมฉันส่งคนไปสืบดูแล้ว อีกไม่นานคงได้ข่าวเพคะ” แม่นมเฝิงเดินเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว
“วังเฉียนชิง? ฝ่าบาท!?” ในใจเมิ่งซังอวี๋พลันตื่นตระหนก กู่เซ่าเจ๋อเองก็ตัวแข็งทื่อด้วยเช่นกัน
ขันทีที่เข้าไปสืบข่าวที่วังไม่นานก็กลับมา หอบแฮกๆ ขณะคุกเข่าถวายบังคม “ทูลเต๋อเฟย วังเฉียนชิงถูกปล้นพ่ะย่ะค่ะ องครักษ์ที่เฝ้าเวรยามตอนกลางคืนบอกว่าเครื่องลายครามล้ำค่าชิ้นหนึ่งในห้องทรงพระอักษรหายไป ตอนนี้ทั่วทั้งวังหลวงอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน กำลังตามจับขโมยอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“รู้แล้ว เจ้าไปได้” เมิ่งซังอวี๋สั่งให้ขันทีถอยออกไป ก่อนจะมองไปทางแม่นมเฝิงพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “เครื่องลายครามหายไป? ข้าว่าฝ่าบาทหายไปมากกว่ากระมัง! คงเป็นเพราะหลังจากราชองครักษ์ลับรู้ถึงการกระทำของฮ่องเต้ตัวปลอมจึงได้ลงมือปฏิบัติการ หากไม่ส่งฮ่องเต้ออกไปนอกวัง เสิ่นฮุ่ยหรูอาจจะเป็นคนบีบคอฝ่าบาทจนสิ้นพระชนม์ด้วยตัวเองก็เป็นได้”
กู่เซ่าเจ๋อพลันตัวสั่นเทิ้ม ไม่อาจไม่ยอมรับว่าที่เมิ่งซังอวี๋พูดมีความเป็นไปได้สูงมาก ต่อให้ตอนนี้เสิ่นฮุ่ยหรูหักใจทำไม่ลง แต่หลังจากนางค่อยๆ ได้ลิ้มรสชาติอันโอชาของอำนาจ นางคงจะไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป
ครั้นรู้สึกได้ว่าอาเป่าตัวสั่นระริกไปทั้งร่าง เมิ่งซังอวี๋ก็นึกว่ามันหนาว จึงรีบอุ้มอาเป่าเดินเข้าไปด้านในตำหนักบรรทม ฮ่องเต้น่าจะถูกช่วยไว้แล้ว แสดงว่าราชองครักษ์ลับคงไม่ปล่อยให้พ่อลูกสกุลเสิ่นก่อเรื่องจนถึงขั้นที่ไม่อาจแก้ไข หัวใจที่เครียดเขม็งของนางผ่อนคลายลงเล็กน้อย อุ้มอาเป่าเข้านอนในผ้าห่มที่ยังคงหลงเหลือไออุ่น
กู่เซ่าเจ๋อเองก็พ่นลมหายใจเฮือก หัวใจที่กระวนกระวายไม่สงบมาตลอดหลายเดือนในที่สุดก็เข้าที่เข้าทางเป็นครั้งแรก
หนึ่งนายหนึ่งสัตว์เลี้ยงหันหน้าเข้าหากัน ไม่นานก็ถลำลงสู่ดินแดนแห่งความฝันอันหวานล้ำ
ภายในวังเฉียนชิง หลังจากฮ่องเต้ตัวปลอมได้ข่าวก็รีบรุดเสด็จมา เสิ่นฮุ่ยหรูเองก็มายังตำหนักส่วนในด้วยเส้นทางลับ กำลังระเบิดโทสะอยู่ในตำหนัก
“ไร้ประโยชน์! ไอ้พวกไร้ประโยชน์!” นางปล่อยผมสยาย สีหน้าดุร้าย พยายามสะกดความพลุ่งพล่านที่อยากจะขว้างปาสิ่งของ
“ทูลเหลียงเฟย กองกำลังรักษาความปลอดภัยของเมืองหลวงควบคุมบัญชาการโดยขุนนางคนสนิทของฝ่าบาท พวกกระหม่อมจึงไม่กล้าเรียกใช้ เกรงว่าจะทำให้พวกเขาสงสัย อีกอย่างทางลับนี้ก็ทะลุเชื่อมต่อกันทุกทิศทาง มีกลไกมากมาย พวกกระหม่อมส่งคนเข้าไปเป็นร้อยคน แต่มีชีวิตกลับออกมาไม่ถึงยี่สิบคน เหลียงเฟย กระหม่อมพยายามสุดความสามารถแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์โปรดให้อภัย” ฉางสี่อ้อนวอนเสียงแผ่วเบา ฮ่องเต้เองก็โขกศีรษะตามด้วยเช่นกัน
อกของเสิ่นฮุ่ยหรูสั่นไหวขึ้นลงอย่างรุนแรง ในดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเพลิงโทสะสูงเทียมฟ้าและความหวาดกลัวที่เล็กน้อยจนมองไม่เห็น ฝ่าบาททรงถูกช่วยเอาไว้แล้ว หากพระองค์ฟื้นขึ้นมา นางควรจะทำอย่างไรดีเล่า เล็บของนางจิกลงไปในฝ่ามือ ไม่กล้าคิดต่ออีก
ในยามนี้เอง หว่านชิงก็เดินเข้ามา ในมือถือจดหมายฉบับหนึ่ง นางถวายคำนับพลางกล่าว “เหลียงเฟย นี่เป็นจดหมายที่ราชครูเสิ่นให้คนส่งมาให้พระองค์เพคะ”
ร่างของเสิ่นฮุ่ยหรูแข็งชะงักอย่างฉับพลัน นางเดาได้ว่าบิดาอยากจะบอกอะไร คงมีแต่จะเร่งรัดให้นางลงมือให้เร็วขึ้น ก็ถูกของเขา ฝ่าบาททรงถูกช่วยไว้แล้ว พวกนางไม่มีเวลามาวางหมากอย่างช้าๆ อีกต่อไป ตัวตนขององครักษ์ลับพวกนั้นลึกลับซับซ้อน ไปมาไร้ร่องรอย ถ้าหากอยากจะเอาชีวิตคนสกุลเสิ่นจริงๆ สกุลเสิ่นก็ไม่มีผู้ใดหนีรอดได้! อีกทั้งยังหลงเหลือความผิดฐานก่อกบฏให้ผู้คนก่นด่าสกุลเสิ่นไปอีกหลายชั่วอายุคน! การแก้ปัญหาตรงหน้ามีเพียงฉวยโอกาสตอนที่ฮ่องเต้ยังไม่สิ้นพระชนม์ รีบชิงราชบัลลังก์มาให้เร็วที่สุด ควบคุมกองกำลังอวี้หลินและทหารองครักษ์หลวงไว้ในกำมือ ใช้อำนาจเด็ดขาดมาปกป้องตัวเอง
นางคลายสองมือที่กำแน่นออก ใช้มือที่เปรอะเปื้อนรอยเลือดรับจดหมายมา ก่อนจะเปิดอ่านจนจบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นจึงโยนเข้ากระถางไฟให้มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
“ฉางสี่ เจ้าออกไปเสีย” นางโบกมือ รอจนฉางสี่ออกไปอย่างหวาดกลัวเนื้อตัวสั่นเทา นางจึงมองไปยังฮ่องเต้ที่คุกเข่าอยู่ข้างเท้า “พรุ่งนี้เจ้าแขวนป้ายของข้า เรียกข้าเข้าถวายการรับใช้ทุกคืนจนกระทั่งตั้งครรภ์ หลังจากนั้นก็หมดหน้าที่ของเจ้าแล้ว หากเจ้าอยากรักใคร่โปรดปรานใครก็ตามใจเจ้า”
ฮ่องเต้เงยหน้าทันที บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงลาน เมื่อสบเข้ากับดวงตาเยียบเย็นของนางก็ก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ประสานมือรับคำ
เสิ่นฮุ่ยหรูไม่มองอีกฝ่ายแม้แต่แวบเดียว เดินออกจากเส้นทางลับด้วยฝีเท้าเลื่อนลอย นางจะจดจำวันนี้ไว้ให้มั่น ในวันนี้นางได้ตัดขาดจากอดีตที่มีร่วมกับกู่เซ่าเจ๋อฮ่องเต้โดยสิ้นเชิง