ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก
บทที่สิบสี่
เนรคุณ
วันต่อมาเมิ่งซังอวี๋ตื่นขึ้นมาท่ามกลางน้ำลายของอาเป่า พอเห็นตนตื่นแล้วอาเป่าที่กำลังแลบลิ้นเลียริมฝีปากของนางก็ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็ฝังหน้าลงที่ซอกคอของนาง
“เจ้าตัวน้อย รู้จักอายด้วยหรือ” เมิ่งซังอวี๋เท้าคาง เกาพุงนุ่มนิ่มของอาเป่าพร้อมกับยิ้มกริ่ม
กู่เซ่าเจ๋อรีบกอดข้อมือของนางไว้ ใช้น้ำลายล้างมือให้นาง ไม่ปล่อยไปแม้แต่นิ้วเดียว เรื่องนี้นับวันเขาก็ยิ่งชำนาญขึ้นเรื่อยๆ เกียรติยศของเจ้าแผ่นดิน ศักดิ์ศรีของบุรุษอะไรพวกนั้นได้ถูกเขาโยนทิ้งไว้ข้างหลังหมดแล้ว
เมิ่งซังอวี๋หัวเราะคิกคัก ทั้งนายและสัตว์เลี้ยงกอดรัดเล่นสนุกกันพักใหญ่ตามความเคยชิน จนกระทั่งแม่นมเฝิงเลิกม่านมุ้งเข้ามาเร่งถึงได้ผละออกจากกันอย่างอาลัยอาวรณ์
“มีข่าวอะไรจากวังเฉียนชิงอีกหรือไม่” หลังจากสวมชุดวัวให้อาเป่า เมิ่งซังอวี๋ก็ถามขึ้นอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก
“ได้ยินว่าองครักษ์ที่วังเฉียนชิงตายไปหลายคน ล้วนเป็นคนที่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดฝ่าบาท หากมิใช่เพราะเมื่อวานฝ่าบาทเสด็จไปวังเจี้ยงจื่อ เกรงว่าแม้แต่พระองค์เองก็คงประสบอันตรายเช่นเดียวกัน ฟ้ายังไม่ทันสาง ฝ่าบาทก็มีรับสั่งให้ใต้เท้าหลัวแม่ทัพตรวจการเก้าประตูเข้าวัง ตรัสกล่าวโทษเขาเสียยกใหญ่ ทั้งยังรับสั่งให้เขาจับตัวผู้ร้ายให้ได้ภายในสิบวัน มิฉะนั้นจะถอดเขาออกจากตำแหน่งและให้เขากักบริเวณตัวเองเพื่อสำนึกผิด” แม่นมเฝิงสวมเสื้อคลุมตัวนอกให้ผู้เป็นนายพลางรายงานเสียงเบา
“จับผู้ร้ายจากที่ไหนกันเล่า ราชองครักษ์ลับจับตัวง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ สกุลเสิ่นกำลังอาศัยโอกาสนี้รวบอำนาจต่างหาก แต่น่าเสียดายที่มีหลี่เซียงอยู่ พอตำแหน่งแม่ทัพตรวจการเก้าประตูว่างลงก็ไม่รู้ว่าคนของใครจะได้ตำแหน่งนี้ไป หากพูดถึงเส้นสายและฐานอำนาจ ราชครูเสิ่นหาใช่คู่ต่อสู้ของหลี่เซียงไม่ หมากตานี้เขารีบร้อนเกินไป สุดท้ายอาจจะไม่เป็นดังที่เขาปรารถนา” เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าขึ้นมา เดินนวยนาดไปยังหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
แม่นมเฝิงบิดผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่นจนหมาด จากนั้นก็ยื่นให้นางทำความสะอาดใบหน้า ต่อมาหยิบหวีขึ้นมาหวีเส้นผมดำสลวยให้นาง อาเป่านั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งใช้สายตาอิจฉามองแม่นมเฝิงที่ขยับมือหวีผมอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน เส้นผมเหล่านี้เมื่อไรเราจะได้สัมผัสด้วยมือตัวเองหนอ
เมิ่งซังอวี๋ดีดจมูกของอาเป่าเบาๆ และใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าให้มันด้วยเช่นกัน จากนั้นจึงหยิบเครื่องประทินผิวตลับหนึ่งออกมาบรรจงทาให้ตัวเอง
ปี้สุ่ยกับอิ๋นชุ่ยเดินเข้ามา คนหนึ่งยกถาดที่มีตัวยาล้ำค่าและผ้าไหมชั้นเลิศมากมายวางไว้ แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้เป็นนายพร้อมกับเชิญให้นางเลือกดู
“นี่คืออะไร” เมิ่งซังอวี๋เลิกคิ้ว
“นี่คือของที่หลี่กุ้ยเฟยพระราชทานให้พระองค์เพคะ ทรงกำชับให้พระองค์ดูแลรักษาพระวรกายให้ดีๆ อย่าคิดมาก ก่อนหายดีก็ไม่ต้องไปคารวะหลี่กุ้ยเฟย” อิ๋นชุ่ยวางถาดลงแล้วหยิบตลับกระจกออกมาให้ผู้เป็นนายเลือกเครื่องประดับที่จะสวมใส่
“เฮอะ นางกำลังเวทนาข้ากระมัง ดูท่านางคงรู้เรื่องอาการของข้าแล้ว” เมิ่งซังอวี๋ยิ้มเย้ยพลางหยิบโสมคนต้นหนึ่งขึ้นมาอังดมที่ปลายจมูก เอ่ยชมว่า “ของดี”
กู่เซ่าเจ๋อก้มหน้า ปกปิดความเจ็บปวดที่ส่วนลึกในดวงตา ในใจลอบครุ่นคิดว่าพอเรากลับคืนร่างเดิมได้ เรื่องแรกที่จะทำก็คือเสาะหาหมอชื่อดังให้มาตรวจรักษาบำรุงร่างกายของซังอวี๋ หมอหลวงผู้เฒ่าฉวีผู้นั้นก็ไม่เลว สามารถให้จวิ้นเหว่ยไปสืบหาข่าวคราวเอาก็ได้
ในขณะที่เขากำลังเหม่อลอย เมิ่งซังอวี๋ก็อุ้มอาเป่าขึ้นมาแล้วเดินไปที่โต๊ะเพื่อกินอาหาร เพราะไม่ต้องไปคารวะหลี่กุ้ยเฟย ทั้งเจ้านายและสัตว์เลี้ยงจึงผลัดกันกินเจ้าคำข้าคำ กินอย่างอืดอาดเชื่องช้ายิ่ง เล่นสนุกหยอกล้อกันเป็นครั้งคราว
นอกตำหนักมีแสงอาทิตย์สาดส่องสว่างสดใส สกุณาขับขาน มวลบุปผาส่งกลิ่นกำจร อากาศดีอย่างหาได้ยากยิ่ง เมิ่งซังอวี๋รู้สึกคึกคักขึ้นมา อีกทั้งนึกขึ้นได้ว่าอาเป่ามิได้ย่างเท้าออกจากประตูตำหนักมาหนึ่งเดือนเต็มๆ แล้ว จึงพามันไปเดินชมทัศนียภาพที่อุทยานหลวง
เจ้านายและสัตว์เลี้ยงคู่นี้เพิ่งจะเดินเข้ามาในอุทยานหลวงก็เห็นเสียนเฟยที่เมื่อคืนได้อาบพระมหากรุณาธิคุณกำลังพาองค์ชายห้ามานั่งดื่มชาข้างสะพานสั่วหง (ล้อมรุ้ง) ภายในอุทยานหลวง มีบรรดานางสนมและนางกำนัลนั่งเป็นวงกลมล้อมรอบ แต่งกายหรูหรางดงาม พูดคุยหยอกล้อกัน บรรยากาศดียิ่งนัก
เมิ่งซังอวี๋หยุดฝีเท้า คิดจะหันกายเดินไปทางอื่นแต่ก็สายไปเสียแล้ว เสียนเฟยเห็นนางเข้าและกำลังสั่งนางกำนัลผู้หนึ่งมาเชื้อเชิญนางให้ไปร่วมวงสนทนา
เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจ พาอาเป่าเดินเข้าไปอย่างช้าๆ นางสนมทั้งหลายค่อยๆ ลุกขึ้นคารวะ ส่วนเสียนเฟยพยักหน้าน้อยๆ แย้มยิ้มพลางเชิญนางนั่งลงข้างกายตน
เมิ่งซังอวี๋ประคององค์ชายห้าที่กำลังคารวะตนขึ้นมา ลูบเส้นผมอ่อนนุ่มของเขา ปีนี้องค์ชายห้าเพิ่งจะอายุเต็มห้าพรรษา ผมเกล้าเป็นมวยเล็กๆ ใช้เชือกรัดผมทองคำมัดไว้ ใบหน้าเล็กอ้วนจ้ำม่ำคล้ายกับก้อนแป้งกลมๆ ก็ไม่ปาน ดวงตาคู่นั้นถอดแบบมาจากกู่เซ่าเจ๋อ ทั้งดำสนิทและเรียบลื่น อีกทั้งหางตายังยกขึ้นน้อยๆ ช่างชวนให้คนเอ็นดูชื่นชมยิ่งนัก
“องค์ชายห้าน่ารักมากขึ้นทุกที” นางเอ่ยชมจากใจจริง
กู่เซ่าเจ๋อมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างแน่วนิ่ง ในดวงตาเปี่ยมล้นไปด้วยความคิดคะนึง องค์ชายห้าน่ารักน่าเอ็นดู ฉลาดเฉลียว เป็นบุตรที่เขารักมากที่สุดคนหนึ่ง ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอ เขาจึงรู้สึกตื้นตันอยู่บ้าง
ในดวงตาของเสียนเฟยเผยแววภาคภูมิใจ ยังมิทันได้เอ่ยปาก องค์ชายห้าก็โค้งคำนับอย่างขึงขังจริงจัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ว่า “ขอบพระทัยเสด็จแม่เต๋อเฟยที่เอ่ยชม”
เด็กน้อยอายุสามสี่ขวบในยุคที่นางเคยจากมายังเป็นช่วงวัยที่วิ่งเล่นนอนเล่นบนพื้นไปทั่ว ไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ในวังหลวงแห่งนี้กลับถูกสั่งสอนให้อยู่ในกรอบทุกกระเบียดนิ้ว โตเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร ทันใดนั้นนางจึงรู้สึกหมดสนุกเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มพลางกล่าว “ฉลาดมาก”
นางสนมและนางกำนัลทั้งหลายรีบส่งเสียงคล้อยตาม ไม่รู้ว่ากำลังประจบเต๋อเฟยหรือเสียนเฟยกันแน่
เสียนเฟยหน้าชื่นตาบาน ค่อนข้างพอใจกับการแสดงออกของบุตรชาย เจตนากล่าวอย่างโอ้อวด “เมื่อคืนฝ่าบาททรงทดสอบบทเรียนขององค์ชายห้า เขาตอบคำถามได้อย่างคล่องแคล่ว ฝ่าบาททรงพอพระทัยมากทีเดียว” พอกล่าวจบนางก็ตบบ่าขององค์ชายห้าเบาๆ บอกให้เขาท่อง ‘คัมภีร์สามอักษร’ ให้ทุกคนฟัง
หลังจากได้ฟังคำโอ้อวดของเสียนเฟย จิตใจของกู่เซ่าเจ๋อก็หงุดหงิดอย่างที่สุด สตรีโง่เขลาผู้นี้ไม่เพียงแต่แยกคนเคียงหมอนตัวจริงตัวปลอมไม่ออก ทั้งยังบอกให้บุตรนับถือโจรเป็นบิดา ช่างมีตาแต่ไร้แววจริงๆ!
เพราะความเดือดดาลในใจจึงทำให้อารมณ์ยินดีที่ได้พบบุตรชายของกู่เซ่าเจ๋อค่อยๆ ลดหายไปมาก เขาไม่มีแก่ใจจะฟังบุตรชายท่องคัมภีร์ เพียงแต่ขดตัวซุกอยู่ในอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋ไม่มองให้เสียสายตา แต่เมิ่งซังอวี๋กลับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เด็กน้อยท่องหนังสือด้วยเสียงอ่อนเยาว์ราวกับขนนกพัดปลิวเข้าไปในหัวใจ พาให้เกิดความชื่นชอบชื่นชม
ครั้นองค์ชายห้าท่องจบ เหล่านางสนมต่างก็พากันเอ่ยปากชมเชย ถึงแม้เสียนเฟยจะมิได้พูดอะไร แต่นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความลำพองและความภาคภูมิใจ แม้หลี่กุ้ยเฟยจะมีบุตรชาย แต่อาศัยสิ่งใดมาบอกว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งฮองเฮาต้องเป็นหลี่กุ้ยเฟยเท่านั้น หากพูดถึงคุณสมบัติ นางเองก็มิได้ต่างจากหลี่กุ้ยเฟยเท่าไร มิหนำซ้ำฝ่าบาทยังทรงชื่นชอบนางกับบุตรชายของนางมากกว่าหลี่กุ้ยเฟยสองแม่ลูกอย่างเห็นได้ชัด
พอคิดถึงตรงนี้นางก็ลูบรอยรักมากมายบนต้นคอ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ
ในวังแห่งนี้ความรักความโปรดปรานจากฝ่าบาทคือทรัพย์สินที่ควรค่าแก่การโอ้อวดมากที่สุด เสียนเฟยไม่เพียงแต่ไม่เคยคิดที่จะปกปิด ทั้งยังเจตนาประกาศให้คนทั้งโลกรู้ นางสนมที่ตาไวมองเห็นต้นคอที่มีรอยแดงเต็มไปหมดของนาง นัยน์ตาก็พลันลุกวาว เอ่ยหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาทมิได้เสด็จตำหนักในมาหลายเดือน ทั้งในวังและนอกวังล้วนลือกันว่าฝ่าบาททรงบาดเจ็บหนัก ข่าวลือคงเป็นแค่ข่าวโคมลอยกระมังเพคะ”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าภูตผีปีศาจตนใดที่สร้างข่าวลือพวกนี้! ฝ่าบาทยังทรงหนุ่มแน่น กำลังวังชาเต็มเปี่ยม ร่างกายจะได้รับความเสียหายเพราะบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างไรกัน” เสียนเฟยเอนพิงเท้าแขนอย่างเกียจคร้าน ยกช้าร้อนๆ ขึ้นจิบช้าๆ การเคลื่อนไหวของนางเผยต้นคอขาวผุดผ่องดุจหิมะออกมาให้เห็นมากขึ้น รอยแดงเป็นจ้ำๆ สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง แต่งแต้มดวงหน้าของนางที่แต่เดิมก็งามหยดย้อยให้มีสีสันขึ้นอีกสามส่วน
เมิ่งซังอวี๋ขมวดคิ้ว เบือนหน้าหนีเล็กน้อย บรรดานางสนมทั้งหลายต่างพากันอิจฉาตาร้อน
ยามที่เสียนเฟยเอ่ยคำว่า ‘กำลังวังชาเต็มเปี่ยม’ นั้น กู่เซ่าเจ๋อก็หันไปมองนาง ครั้นเห็นความเปรมปรีดิ์ในดวงตาและร่องรอยบนลำคอของนาง ลูกตาสีดำสนิทก็เกิดเปลวไฟลุกโชนขึ้นทันใด ดูท่าเมื่อคืนเสียนเฟยคงสุขสำราญมากกระมัง!? เขาหรี่ตาพลางลอบคิด โทสะอันบ้าคลั่งและความหดหู่เศร้าซึมผสมปนเปกันในหัวใจ ทำให้เส้นขนบนหลังที่เพิ่งงอกขึ้นใหม่ตั้งชัน
ในฐานะที่เป็นสตรี หากแม้แต่สามีของตนก็ยังแยกไม่ออก เขาจะยังมีความหวังใดกับนางได้อีกเล่า เกรงว่าในสายตาของพวกนาง เขาก็เป็นแค่สิ่งที่ใช้แสดงยศ เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงอำนาจและตำแหน่ง ขอแค่สวมเสื้อคลุมมังกร พวกนางก็ไม่สนว่าภายใต้เสื้อคลุมมังกรนั้นจะเป็นใคร นอกจากเมิ่งซังอวี๋ จะมีผู้ใดคิดทำความเข้าใจในตัวเขาบ้างหรือไม่ คงจะไม่มีเลยกระมัง
ความเยียบเย็นแผ่กระจายในหัวใจระลอกแล้วระลอกเล่า กู่เซ่าเจ๋อเกาะเกี่ยวชุดคลุมเปิดคอของเมิ่งซังอวี๋เอาไว้ เอาแต่ซุกอยู่ในอ้อมกอดนางเพื่อรับไออุ่น นี่เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่เขาอาลัยอาวรณ์
เมิ่งซังอวี๋บีบจมูกน้อยๆ ของอาเป่า ดึงคอเสื้อเปิดออกแล้วห่อหุ้มมันไว้ในอ้อมกอด ปล่อยให้โผล่ออกมาเพียงศีรษะ บนศีรษะนั้นสวมหมวกเล็กๆ ซึ่งเย็บปีกคู่หนึ่งติดไว้ ดูไปแล้วทั้งแปลกใหม่และน่ารัก
ดวงตากลมโตขององค์ชายห้าเป็นประกายยิ่งขึ้น จ้องมองอาเป่าตาไม่กะพริบ
“เสด็จแม่เต๋อเฟย บนหัวของมันมีปีกด้วย” องค์ชายห้าชี้อาเป่า น้ำเสียงเจือแววคาดหวัง “ให้ข้าอุ้มมันได้หรือไม่”
“ตอนนี้ยังไม่ได้ มันเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา หากไม่ระวังอาจจะทำให้มันบาดเจ็บซ้ำได้ รอให้มันหายดีแล้วข้าจะพามันออกมาเล่นเป็นเพื่อนองค์ชายห้า” เมิ่งซังอวี๋หักห้ามใจ ปฏิเสธคำขอขององค์ชายห้า เด็กน้อยอายุเท่านี้ยังไม่รู้จักผ่อนแรง หากอาเป่าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นก็เป็นได้
องค์ชายห้าทำหน้าจวนเจียนจะร้องไห้ แต่เขายังคงรักษามาดขององค์ชายไว้ มิได้ร้องไห้งอแง เพียงแต่อิงแอบเข้าสู่อ้อมอกของเสียนเฟยอย่างน่าสงสาร
เสียนเฟยรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เหลือบมองเมิ่งซังอวี๋ด้วยแววตาอึมครึมแวบหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบถาดใส่ผลไม้ข้างกายมาหลอกล่อบุตรชาย “ลูกสุนัขบาดเจ็บมา หากเจ้าไปทำให้มันเจ็บ มันจะกัดเจ้าได้ พวกเรารอให้มันหายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน มา กินลำไยเถิด เช้านี้เสด็จพ่อของเจ้าพระราชทานให้เจ้า ปีนี้หัวเมืองทางใต้ถวายบรรณาการมาให้เพียงแค่ตะกร้าเดียวเท่านั้น ทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว” ด้านหนึ่งนางหลอกล่อบุตรชาย แต่อีกด้านก็ไม่ลืมที่จะโอ้อวดความรักใคร่โปรดปรานที่ตนได้รับ
เมิ่งซังอวี๋ลอบถอนหายใจ ยกมือแย่งลำไยที่ถูกส่งไปถึงปากองค์ชายห้า แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ลำไยมีเนื้อบางเม็ดใหญ่ สัมผัสนุ่มลื่น ไม่เหมาะให้เด็กวัยอย่างองค์ชายห้ากินหรอก หากเม็ดไปติดอยู่ในลำคอ เกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ควรแกะเนื้อออกแล้วค่อยป้อนให้เขากินจะดีกว่า และกินมากก็ไม่ได้ ลำไยมีสรรพคุณเสริมร้อน ผู้ใหญ่กินมากเกินไปร่างกายก็ยังรับไม่ไหว”
เพราะลำไยเป็นของบรรณาการที่หาได้ยากยิ่ง ต่อให้เป็นสนมชายาตำแหน่งสูงๆ ปีหนึ่งก็ยังได้กินไม่เกินหนึ่งครั้ง ฝ่าบาททรงส่งไปให้ไทเฮาที่เขาเชียนฝอทั้งหมด เสียนเฟยไม่เคยได้กินมาก่อน จึงย่อมไม่รู้ว่ามีเรื่องอย่างนี้ด้วย ยามนี้จึงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงสุขภาพของบุตรชาย สุดท้ายนางจึงมิได้ยัดลำไยเข้าปากขององค์ชายห้า
องค์ชายห้าถูกปฏิเสธอีกครั้ง คราวนี้แม้แต่ของดีที่ถูกยื่นมาถึงปากก็ไม่มีแล้ว ดวงตาพลันกะพริบปริบๆ แล้วหยาดน้ำตาก็ไหลกลิ้งลงมา ดึงแขนเสื้อเสียนเฟยพลางร้องอ้อนวอน “เสด็จแม่ ลูกอยากกินลำไย! ลูกอยากกินลำไย!”
เสียนเฟยรักบุตรชายนักหนา สิ่งที่ทนไม่ได้ที่สุดก็คือน้ำตาของบุตรชาย จึงโยนคำเตือนของเมิ่งซังอวี๋ไว้ข้างหลังทันที รีบปอกลำไยใส่ปากเขาพร้อมเอ่ยกำชับเสียงอ่อนโยน “ต้องคายเม็ดออกมาด้วยรู้หรือไม่”
องค์ชายห้าอมลำไยพร้อมกับเปลี่ยนจากใบหน้าร่ำไห้มาเป็นแย้มยิ้ม ใช้ลิ้นม้วนเนื้อลำไยกินจนเกลี้ยง จากนั้นก็คายเม็ดใส่มือนางกำนัลซึ่งอยู่อีกด้าน
ครั้นเห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อย เสียนเฟยก็วางใจ บอกเป็นนัยให้นางกำนัลปอกลำไยให้บุตรชายต่อไป ไม่เก็บเอาคำพูดเมื่อครู่ของเมิ่งซังอวี๋มาใส่ใจอีก
เหล่านางสนมส่งสายตาเยาะเย้ยให้เมิ่งซังอวี๋ คิดว่าการกระทำของนางเมื่อครู่เกิดจากความอิจฉาริษยา จงใจพูดจาไม่เข้าหูเสียนเฟย
เมิ่งซังอวี๋ยิ้มอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก ก้มหน้าลูบหูของอาเป่าซึ่งส่งเสียงปลอบหงิงๆ อย่างไรเสียสิ่งที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว ให้พวกเขาระวังตัวเองก็พอแล้ว
แต่ไม่คาดว่านางกลับวางใจเร็วเกินไป เนื้อลำไยเรียบลื่นอ่อนนุ่ม หวานฉ่ำ มีน้ำมาก รสชาติอร่อยยิ่ง พาให้คนกินเข้าไปคำหนึ่งก็รู้สึกไม่อยากหยุด องค์ชายห้ากินเข้าไปหลายลูกก็ติดใจ การกินจึงเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังอมลูกที่ห้า ลิ้นพลันม้วนพลาด กลืนลำไยลงไปทั้งลูก
หลอดอาหารของเด็กอายุสี่ห้าขวบยังแคบมาก ลูกลำไยไม่อาจไหลผ่านไปได้อย่างราบรื่น ดังนั้นจึงติดอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างคอหอยกับหลอดลม ทันใดนั้นองค์ชายห้าพลันพูดไม่ออก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วง
“ว้าย! แย่แล้วเพคะเสียนเฟย ลำไยติดคอองค์ชายห้าเพคะ” นางกำนัลผู้นั้นตกใจจนปัดถาดผลไม้ร่วง ก่อนจะตบหลังองค์ชายห้าพลางหวีดร้อง
เสียนเฟยซึ่งกำลังคุยเล่นกับบรรดานางสนมผงะอึ้งไปในคราแรก จากนั้นก็ยืนขึ้นทันที แย่งตัวองค์ชายห้าไปพร้อมกับตบแผ่นหลังเขาอย่างแรง สีหน้าขององค์ชายห้าแปรเปลี่ยนเป็นเขียวซีด ตาเหลือก
เหล่านางสนมและนางกำนัลตกใจจนพากันลุกขึ้นจากที่นั่งของตน ค่อยๆ ถอยห่างออกไปหลายก้าวเพราะกลัวจะหาความยุ่งยากใส่ตัว มีคนจำนวนไม่น้อยที่ถึงแม้บนใบหน้าจะฉายแววกังวลระคนร้อนใจ แต่ในดวงตากลับเปล่งประกายยินดีในหายนะของผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด
เสียนเฟยมองดูบุตรชายที่ค่อยๆ ทรุดกายอยู่ในอ้อมกอดของตน ในใจพลันสิ้นหวัง น้ำตาผสมกับหยาดเหงื่อทำให้ใบหน้าที่บรรจงแต่งแต้มอย่างประณีตของนางเลอะเทอะจนดูไม่ได้ นางแผดเสียงแหบแห้ง “ไป ไปตามหมอหลวงมา! เร็วเข้า!”
“เจ้าถอยไป ข้าเอง” เมิ่งซังอวี๋ทนดูต่อไปไม่ไหว ยัดอาเป่าที่เห่าโฮ่งๆ ใส่อ้อมกอดของแม่นมเฝิง ดึงเสียนเฟยออกไปและจับองค์ชายห้าที่ใกล้จะหมดสติให้อยู่ในท่าศีรษะชี้ลงกับพื้น เท้าชี้ขึ้นข้างบน นางออกแรงตบกระดูกสะบักของเขาแรงๆ ตบไปห้าทีเต็มๆ ครั้นเห็นว่าลำไยยังไม่ออกมาจึงจับเขานอนราบกับพื้น ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดกระดูกซี่โครงของเขาอย่างแรง หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมาสิบกว่าครั้งก็ได้ยินเสียงดังอุ้ก ลำไยในคอขององค์ชายห้าหลุดออกมาได้ในที่สุด
ครั้นเห็นว่าแม้บุตรชายจะยังสลบอยู่ แต่ใบหน้าเขียวคล้ำกลับคืนสู่สีแดงเปล่งปลั่งดังเดิมแล้ว ลมหายใจที่ขาดห้วงก็กลับมาสม่ำเสมอ เสียนเฟยก็พลันขาอ่อนยวบ เกือบจะล้มฟุบลงไปกับพื้น บรรดานางกำนัลที่อยู่อีกด้านก็ร้องเรียกไม่หยุด พยุงนางขึ้นนั่งบนเก้าอี้คนละไม้คนละมือ
เมิ่งซังอวี๋พยุงองค์ชายห้าพร้อมกับนั่งยองๆ อยู่บนพื้น หอบหายใจเฮือกใหญ่ อิ๋นชุ่ยและปี้สุ่ยเดินเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ก่อนจะรับตัวองค์ชายห้าในอ้อมกอดของนางมา พยุงนางไปนั่งลงบนเก้าอี้
กู่เซ่าเจ๋อหยุดเห่าแล้วพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างหนักหน่วง ในช่วงเวลาสำคัญก็ยังเป็นเมิ่งซังอวี๋ที่พึ่งพาได้มากที่สุด แม้แต่ตัวของตัวเอง เสียนเฟยก็ยังดูแลไม่ได้ แล้วจะดูแลบุตรให้ดีได้เช่นไร!?
หมอหลวงมาถึงอย่างอืดอาดเชื่องช้า จากนั้นก็สั่งให้พวกนางกำนัลพาตัวองค์ชายห้าที่ยังสลบไสลไม่ฟื้นและเสียนเฟยที่มีลมหายใจแผ่วเบากลับวังเจี้ยงจื่อก่อนแล้วค่อยตรวจอาการ เมิ่งซังอวี๋ไม่วางใจ จึงรีบพาอาเป่าเดินตามไป นางสนมทั้งหลายก็ไม่สะดวกใจที่จะกลับไปก่อน จึงพากันเดินไปยังวังเจี้ยงจื่ออย่างเอิกเกริก
ภายในวังจงชุ่ย พอเสิ่นฮุ่ยหรูได้ข่าวก็เพียงแค่ยิ้มอย่างเย็นชา มิได้มีความคิดที่จะรีบไปเยี่ยมเยียนแต่อย่างใด นางสนม องค์ชาย และองค์หญิงหมดทั้งวัง บัดนี้ล้วนไม่อยู่ในสายตาของนางแม้แต่น้อย จะตายไปก็ดี จะมีชีวิตอยู่ก็ช่าง ล้วนขัดขวางนางไม่ได้ทั้งนั้น อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นเพียงของเล่นในกำมือที่นางจะบีบเล่นเมื่อไรก็ได้ แม้กระทั่งเมิ่งซังอวี๋ที่เคยเกลียดชังที่สุดก็มิอาจกระตุ้นระลอกคลื่นในใจนางได้อีกต่อไป เพราะนางได้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่อีกฝ่ายยากจะใฝ่ฝันถึงมาตั้งนานแล้ว
ภายในวังเฟิ่งหลวน หลี่ซูจิ้งสั่งให้นางกำนัลที่มาแจ้งข่าวออกไป ถอนหายใจพลางกล่าว “คิดไม่ถึงว่าเต๋อเฟยจะยื่นมือเข้าช่วย น่าเสียดายจริงๆ ถ้าตายไปได้คงดียิ่งนัก!”
“เพราะไม่สามารถมีบุตรของตนได้ จึงใจอ่อนต่อบุตรของผู้อื่นเป็นพิเศษกระมัง เต๋อเฟยก็น่าสงสารเหมือนกันนะเพคะ” แม่นมคนสนิทของนางกล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจ เรื่องพรรค์นี้ถ้าหากเป็นคนอื่นคงไม่มีใครสนใจไยดี ไม่คาดคิดเลยว่าเต๋อเฟยผู้เลื่องชื่อด้านความเหี้ยมโหดกลับยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
“อืม เต๋อเฟยไม่เคยลงมือกับเด็ก จุดนี้เราเองก็นับถือน้ำใจนางเช่นกัน ไปเถิด พวกเราไปดูอาการขององค์ชายห้าเสียหน่อย” หลี่ซูจิ้งเลือกของขวัญสองสามชิ้น พานางกำนัลทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังวังเจี้ยงจื่อ
ภายในวังเจี้ยงจื่อเวลานี้ เหล่านางสนมถูกพาไปรอในตำหนักปีกด้านข้าง เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่านั่งอยู่อีกด้านหนึ่งตามลำพัง หาได้เสวนากับสนมชายาทั้งหลาย นางเงยหน้าขึ้นมองไปทางตำหนักกลางบ้างเป็นครั้งคราว สีหน้าเต็มไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ ไม่เหมือนกับพวกนางสนมที่แอบนินทากระซิบกระซาบ บางครั้งในดวงตาก็มีแววยิ้มเยาะชั่วร้ายแวบผ่าน
กู่เซ่าเจ๋อเองก็มองไปทางประตูใหญ่ของตำหนักกลางอย่างไม่วางตา รอหมอหลวงออกมารายงานอาการ อย่างไรเสียองค์ชายห้าก็เป็นบุตรชายของเขา เขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใจได้อย่างไร เห็นบุตรชายหน้าตาคล้ำเขียวไปต่อหน้าต่อตา จวนเจียนจะสิ้นลมหายใจ ความรู้สึกที่ไม่อาจทำอะไรได้และความรู้สึกเจ็บปวดปานใจจะขาดพรรค์นั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังคงหลงเหลืออยู่ในหัวใจ
แต่ยิ่งเป็นกังวลจิตใจของเขาก็ยิ่งอึมครึม สาเหตุมิใช่อื่นใด ต้องโทษที่ประสาทการได้ยินของเขาเฉียบไวเกินไป คำกระซิบกระซาบของเหล่านางสนมพวกนั้นจึงลอยเข้าหูอย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว อะไรเรียกว่า ‘ยุ่งไม่เข้าเรื่อง’ อะไรเรียกว่า ‘เหตุใดถึงโชคดีปานนั้นได้’ อะไรเรียกว่า ‘แสดงละครเก่งจริงๆ’ สตรีสมควรตายเหล่านี้นี่!
จมูกของกู่เซ่าเจ๋อขยับฟุดฟิด เปล่งเสียงขู่คำรามดุร้ายออกมา ทันใดนั้นเหล่าสตรีตรงหน้าที่เคยรู้สึกว่าอ่อนหวาน น่ารัก และงามเฉิดฉันช่างน่าอัปลักษณ์และดุร้ายยิ่งนัก ชวนให้คนสะอิดสะเอียน
ในขณะที่กำลังรออยู่ นอกตำหนักก็มีเสียงรายงานดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ” นางสนมทั้งหลายรีบเก็บสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ทันที พร้อมใจพากันปั้นแต่งให้สีหน้าร้อนใจดั่งไฟลน ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักหนา การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วพร้อมเพรียงกันอย่างไม่น่าเชื่อ สีหน้าซีดเซียว หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นน้อยๆ ต่างคนต่างมีท่วงท่าอันงดงาม และมีลักษณะเฉพาะของตน ชวนให้คนสงสารเวทนา
ที่แท้ยามปกติพวกนางปฏิบัติต่อเราเช่นนี้เองหรือ กู่เซ่าเจ๋อเปล่งเสียงคร่ำครวญอย่างเศร้าโศกในลำคอ ในใจทรมานราวกับกินแมลงวันเข้าไป
“อาเป่าเป็นอะไรไป คนเยอะเกินไปเลยหวาดกลัวใช่หรือไม่ รอให้องค์ชายห้าปลอดภัยก่อนพวกเราก็กลับได้แล้ว อดทนอีกประเดี๋ยวนะ” พอได้ยินเสียงร้องครวญของอาเป่า เมิ่งซังอวี๋ก็โน้มกายเข้าไปกระซิบเสียงเบาข้างหู จากนั้นก็จุมพิตจมูกน้อยๆ ที่ขยับฟุดฟิดของมัน
ความเดือดดาลที่พุ่งพรวดขึ้นในใจกู่เซ่าเจ๋อถูกจุมพิตนี้ขับไล่จนกระเจิงหายไปในพริบตา เขาส่งเสียงครางเบาๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นออดอ้อน เขาแปรเปลี่ยนจากการคล้อยตามเมิ่งซังอวี๋อย่างจำใจในตอนแรกเริ่มกลายเป็นเชื่อฟังนางอย่างเต็มอกเต็มใจในเวลาต่อมา กระทั่งตอนนี้ก็เอาอกเอาใจนางจากจิตใต้สำนึก กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่อฝ่าบาทเสด็จเข้ามา เหล่านางสนมทั้งหลายก็คุกเข่าต้อนรับอยู่หน้าประตูวัง ระหว่างทางพระองค์ทรงได้ยินขันทีรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงอดรู้สึกประหลาดพระทัยกับความกล้าหาญ รู้จักแก้ไขสถานการณ์และไม่หวาดหวั่นของเมิ่งซังอวี๋ไม่ได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ผู้ใดบ้างไม่อยากหลีกหนีไปให้ไกลๆ แต่นางกลับกระโจนเข้าไปโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ช่างเป็นสตรีที่มีจิตใจบริสุทธิ์จริงๆ!
ฝ่าบาทส่ายพระพักตร์ ทว่าความชื่นชมและรักใคร่ในพระทัยที่มีแต่เมิ่งซังอวี๋กลับเพิ่มพูนมากขึ้น พระองค์มองหาเงาร่างของเมิ่งซังอวี๋อย่างไม่รู้ตัว แล้วทอดพระเนตรเห็นนางรั้งอยู่ด้านหลังเหล่านางสนม ในอ้อมแขนกอดสัตว์เลี้ยงแสนรักเอาไว้ ภาพนั้นช่างน่าขำขันไม่น้อย ในพระเนตรฮ่องเต้พลันกระเพื่อมไหวด้วยรอยยิ้ม
“ชายารักรีบลุกขึ้นเถิด บนพื้นเย็นมาก ซ้ำร่างกายของเจ้าก็กำลังอ่อนแอ ระวังจะป่วยไข้เอา วันนี้องค์ชายห้าสามารถรอดปลอดภัยมาได้ก็เป็นความชอบของเจ้าแล้ว” ฮ่องเต้เสด็จเข้าไปข้างกายเมิ่งซังอวี๋ ทรงประคองนางขึ้นมาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง
แววตาแฝงด้วยความรักใคร่อ่อนโยน วาจาห่วงหาอาทร และท่าทางปกป้องระมัดระวังของฮ่องเต้ตัวปลอมนี้ราวกับเป็นมือที่แทงเข้าสู่หัวใจของกู่เซ่าเจ๋ออย่างเหี้ยมโหด กระทั่งทำให้โลหิตสดๆ ของเขาไหลโซม เขาแยกเขี้ยวอย่างห้ามไม่อยู่ เริ่มต้นคำรามเสียงต่ำ
เมิ่งซังอวี๋ถือโอกาสลุกขึ้นยืน และอุดปากของอาเป่าไว้อย่างว่องไว ยิ้มอย่างประจบประแจงให้ฮ่องเต้
ฮ่องเต้แย้มพระสรวล แววอ่อนโยนในพระเนตรเข้มข้นยิ่งขึ้น บาดตาเหล่านางสนมทั้งหลาย เดิมทีพวกนางคิดว่าเต๋อเฟยหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ไม่คาดคิดเลยว่านางกลับฟื้นคืนมาได้ ทั้งยังใช้พวกเสียนเฟยแม่ลูกเป็นแท่นเหยียบ ช่างร้ายกาจเสียจริง!
แววตาของนางกำนัลซึ่งรับใช้อยู่ในตำหนักปีกข้างผู้หนึ่งหม่นแสงลง ค่อยๆ เดินอ้อมเข้าไปในตำหนักด้านในอย่างเงียบเชียบ แล้วรายงานสถานการณ์ต่อเสียนเฟยซึ่งมือเท้าอ่อนยวบเพราะได้รับความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง
เมื่อหลี่ซูจิ้งมาถึงตำหนักปีกข้างก็เห็นอากัปกิริยาของฮ่องเต้เข้าพอดี ถ้าเป็นเมื่อก่อน นางจะต้องคิดว่าเต๋อเฟยขัดหูขัดตาเหมือนกับสนมชายาด้านข้างเหล่านั้นเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าเหลียงเฟยต่างหากที่เป็นคนร้ายตัวจริง นางจึงเพียงแค่ยิ้มเยาะ สนมชายาตำแหน่งสูงๆ หลายคนพอได้รับข่าวต่างก็พากันมาเยี่ยมเยียนถามไถ่ แต่ผู้ที่ฮ่องเต้ลำเอียงรักใคร่กลับนั่งนิ่งอยู่ในวังจงชุ่ย ไม่สนใจไยดี วางท่าสูงส่ง! ในเมื่อมีต้นทุนดีเช่นนี้ เหตุใจถึงไม่กล้าออกมาสู้กันสักตั้งเล่า จะหาผู้อื่นมารับดาบรับหอกแทนไปทำไมกัน!
ความคิดในใจยิ่งมาก็ยิ่งมืดมัว ทว่าสีหน้าของหลี่ซูจิ้งกลับทวีความอ่อนโยนยิ่งขึ้น เดินเยื้องย่างเข้ามาถวายบังคมฮ่องเต้ ฮ่องเต้ซึ่งได้รับคำสั่งมาจากเสิ่นฮุ่ยหรูว่าให้ทำเมินเฉยใส่หลี่ซูจิ้งจึงเพียงแค่ประคองเมิ่งซังอวี๋มานั่งข้างพระองค์ รอผลตรวจวินิจฉัยจากหมอหลวงอย่างเงียบๆ หลี่ซูจิ้งรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งนัก จึงฝืนแย้มยิ้ม จากนั้นก็เดินไปนั่งลงตำแหน่งข้างกายฮ่องเต้
ไม่นานนักนางกำนัลสองคนก็ประคองเสียนเฟยซึ่งมีใบหน้าซีดขาวและได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามา พอเห็นฮ่องเต้นางก็รีบก้าวเท้าเร็วๆ สองก้าว ต่อให้ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงก็ยังอยากจะถวายบังคม
อย่างไรเสียก็เป็นสามีภรรยากันแล้วหนึ่งคืน แถมเสียนเฟยก็เป็นหญิงงามที่หาตัวจับยาก ใบหน้ายามซีดเซียวยิ่งเสริมท่วงท่าอ่อนแอขึ้นหลายส่วน พาให้ในใจบังเกิดความเวทนา ฮ่องเต้ทรงรีบดึงตัวนางขึ้น รวบเข้าสู่อ้อมกอดพลางลูบปลอบ
เสียนเฟยพลันแสบจมูก ร้องไห้น้ำตาไหลอาบหน้า สะอึกสะอื้นพลางกล่าว “ฝ่าบาทเพคะ เมื่อครู่หม่อมฉันตกใจกลัวแทบแย่ หม่อมฉันคิดว่าจะไม่ได้เห็นองค์ชายห้าอีกแล้วเพคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นหม่อมฉันจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร…”
ฮ่องเต้รวบกอดนางแน่นยิ่งขึ้น เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่หยุด
นางสนมในตำหนัก นอกจากเมิ่งซังอวี๋กับหลี่ซูจิ้งแล้ว ทุกคนล้วนใช้สายตาทั้งริษยาทั้งเกลียดชังมองคนทั้งสองที่กำลังโอบกอดกันแนบชิด อยากจะเปลี่ยนตัวกับเสียนเฟยใจจะขาด
เมิ่งซังอวี๋เบะปาก ทว่ายังคงก้มหน้าลูบปลอบอาเป่าที่กำลังหงุดหงิดเศร้าซึม ส่วนหลี่ซูจิ้งยื่นมือไปหยิบจอกชาขึ้นจิบอย่างเนิบช้า ใช้สายตาเรียบเฉยมองคนทั้งสองตรงหน้าราวกับกำลังดูละครฉากหนึ่ง
กู่เซ่าเจ๋อจ้องคนทั้งสองที่ใกล้จะรวมกันเป็นร่างเดียวตาเขม็ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ แล้วเบนสายตาหนีอย่างเฉยเมย สุภาษิตพื้นบ้านพูดว่าอย่างไรนะ ฝนฟ้าจะตก หญิงสาวจะออกเรือน ช่างมันเถิด! ถึงแม้วาจานี้จะหยาบกระด้าง แต่ก็อธิบายความรู้สึกของเขาในยามนี้ได้อย่างชัดเจน นอกจากมองดูอยู่เฉยๆ แล้ว เขายังจะทำอะไรได้อีกเล่า
เสียนเฟยร้องไห้อยู่ครู่ใหญ่ ทว่าใบหน้าที่บรรจงแต่งอย่างประณีตกลับไม่เลอะเลยแม้แต่นิดเดียว กลับดูงดงามยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับสภาพยามอยู่ในอุทยานหลวงนั้นแทบจะกลายเป็นคนละคน ตอนนั้นถึงจะเป็นความเสียใจอย่างแท้จริง แต่สภาพในตอนนี้กลับเป็นแค่การแสดงละคร
บุตรชายยังนอนให้หมอหลวงตรวจชีพจรอยู่ด้านใน เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่แน่ชัด แต่นางกลับมีแก่ใจมาร้องขอความรักความเมตตา สตรีผู้นี้ช่าง…กู่เซ่าเจ๋อส่ายหน้า ลอบปลงในใจ อดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเมิ่งซังอวี๋ นางคงจะเฝ้าอยู่ข้างเตียงบุตรไม่ยอมห่างแม้แต่ครึ่งก้าว แม้เขาจะไปหาก็คงไม่ออกมารับเสด็จ ไม่สามารถแบ่งความสนใจของนางไปได้แม้แต่นิดเดียว
ในตอนนี้เอง ผู้ติดตามประจำกายหมอหลวงก็ได้ถือใบจ่ายยาแผ่นหนึ่งออกมา เดินเข้าไปถวายบังคมฮ่องเต้ จากนั้นก็รีบร้อนไปยังสำนักแพทย์หลวงเพื่อจัดยาต้มยา ฮ่องเต้รีบพาเสียนเฟยเข้าไปเยี่ยมองค์ชายห้าด้วยกัน นางสนมทั้งหลายรอให้หลี่ซูจิ้งและเมิ่งซังอวี๋ลุกขึ้นเดินไปก่อนแล้วจึงเดินเป็นแถวตามไป
องค์ชายห้านอนอยู่บนตั่งเตียง หางตาคลอด้วยหยาดน้ำตา หลังจากมองเห็นฮ่องเต้ก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น พูดอึกๆ อักๆ เรียกเสด็จพ่อ ทั้งยังกระเสือกกระสนลุกขึ้นมาถวายบังคม
ฮ่องเต้ทรงกดเขาลงกับเตียงแล้วคลุมผ้าห่มให้ กุมมือเขาพลางตรัสปลอบด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน เสียนเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างตั่งเตียง รวบศีรษะน้อยๆ ของเขาเข้าสู่อ้อมอก ทั้งสามพูดคุยเสียงแผ่วเบา ดูเหมือนครอบครัวปกติของสามัญชน ภาพอันอบอุ่นหวานชื่นนั้นกระตุ้นให้เหล่านางสนมอิจฉาตาร้อนขึ้นหลายส่วน
หมอหลวงคุกเข่าอยู่ข้างพระบาทฮ่องเต้ บรรยายอาการอย่างช้าๆ ใจความสำคัญคือเป็นเพราะได้รับการช่วยเหลือทันเวลาและถูกวิธี จึงมิได้ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ เพียงแต่องค์ชายห้าได้รับความตื่นตระหนกเล็กน้อยเท่านั้น แค่พักรักษาตัวให้ดีสักสองสามวันก็จะหาย
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย มองไปทางเมิ่งซังอวี๋ด้วยแววพระเนตรอ่อนโยนสุดแสน แล้วตรัสกับองค์ชายห้าว่า “ลูกเอ๋ย ครานี้เจ้าปลอดภัยรอดพ้นจากอันตรายมาได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเสด็จแม่เต๋อเฟยช่วยเหลือได้ทันท่วงที ยังไม่รีบขอบพระทัยเสด็จแม่เต๋อเฟยของเจ้าอีก?”
เมิ่งซังอวี๋ผลิยิ้มน้อยๆ ขณะกำลังคิดจะโบกมือปฏิเสธ องค์ชายห้ากลับแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา แล้วมุดเข้าสู่อ้อมอกของเสียนเฟย ตะโกนเสียงแหลม “ไม่เอา ล้วนเป็นเพราะนางข้าถึงได้สำลักติดคอ! นางเปื้อนไออัปมงคล เป็นตัวซวย! หากมิใช่เพราะนางแช่งลูก ลูกก็คงไม่เป็นแบบนี้ นางเป็นคนเลว!”
นี่คือคำพูดที่เด็กสี่ห้าขวบสามารถพูดออกมาได้เองอย่างนั้นหรือ เขารู้ว่าไออัปมงคลคืออะไร? รู้ว่าตัวซวยคืออะไร? เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจสั่งสอน มิหนำซ้ำต่อให้เด็กน้อยตัวเท่านั้นพูดจาน่าเกลียดแค่ไหนแล้วจะทำอะไรได้เล่า ดุด่าหรือตบตี? นอกจากยอมรับแล้วก็ไม่มีทางอื่นอีก ระยะนี้ฝ่าบาททรงได้ยินคนพูดว่าไออัปมงคลจนทำให้หงุดหงิดรำคาญพระทัย ครั้นได้ยินวาจาขององค์ชายห้า ต่อให้ยามนี้มิได้คิดมาก แต่หลังจากกลับไปแล้วก็คงจะบังเกิดความรังเกียจขึ้นในพระทัย จากนั้นก็เพิกเฉยไม่สนใจนาง วังหลวงแห่งนี้ช่างสกปรกเหลือเกิน ช่วงชิงไปแม้แต่ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กน้อย
เมิ่งซังอวี๋ลอบทอดถอนใจในใจ ทว่ารอยยิ้มจางๆ ยังคงอยู่บนใบหน้าดังเดิม นางไม่สนใจความรักความโปรดปรานของฮ่องเต้อยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นคนตรงหน้านี้ก็ยังเป็นตัวปลอมอีกต่างหาก นางยิ่งไม่สนใจเข้าไปใหญ่
“ดูท่าองค์ชายห้าคงได้รับความตื่นตระหนกมากเกินไปจริงๆ วาจาบางคำหม่อมฉันฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง หม่อมฉันกลับก่อนจะดีกว่าเพคะ จะได้ไม่กระทบกระเทือนองค์ชายห้า” เมิ่งซังอวี๋หุ้มตัวอาเป่าที่กำลังฉุนเฉียวเอาไว้ จากนั้นก็คารวะฮ่องเต้พร้อมกับทูลขอตัวลา
ฮ่องเต้จนพระทัย ได้แต่โบกพระหัตถ์ให้นางกลับไปได้