ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก – หน้า 15 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก

บทที่สิบห้า

เหลียงเฟยถวายการรับใช้

เพิ่งจะเดินออกจากตำหนักใหญ่ ลมหนาวสายหนึ่งก็พัดเข้ามาปะทะหน้า ทำให้เมิ่งซังอวี๋หนาวจนตัวสั่นระริก นางรีบใช้มือบังหน้าอาเป่า สกัดกั้นลมหนาวให้แก่มัน

กู่เซ่าเจ๋อที่กำลังเดือดดาลไม่หยุดสงบลงในทันที อารมณ์ความรู้สึกที่สับสนวุ่นวายค่อยๆ คลายลงเป็นปกติทีละน้อยๆ เมิ่งซังอวี๋ไม่ใส่ใจ แล้วเขาจะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไม ก็แค่หญิงสาวเนรคุณผู้หนึ่ง ไม่ควรค่าให้เขาใส่ใจถึงเพียงนี้ด้วยซ้ำ สงสารก็แต่องค์ชายห้าของเขาเท่านั้น ป่วยอยู่แต่ก็ยังถูกมารดาใช้เป็นเครื่องมือเช่นนี้ หากวันหลังนิสัยผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวไปจะทำอย่างไร

ยามนี้เขาคิดถึงวาจาที่เมิ่งซังอวี๋เคยพูดเอาไว้ว่า ‘ไร้รักก็ไร้ความเกลียดชัง หากต้องสิ้นเปลืองความรู้สึก ทนทุกข์ทรมาน…มิสู้รักตัวเองให้มากๆ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียยังจะดีกว่า’ ในวังหลวงแห่งนี้ แม้แต่เด็กสี่ห้าขวบก็ยังสามารถแทงดาบใส่ผู้อื่นได้ ถ้าต้องคิดเล็กคิดน้อยกับทุกๆ เรื่อง เขาคงไม่อาจมีชีวิตอย่างสงบได้จริงๆ

หัวใจค่อยๆ ขมวดแน่น ความเจ็บปวดรุนแรงไม่ขาดสายทำให้กู่เซ่าเจ๋อทนไม่ไหวร้องคร่ำครวญด้วยความทุกข์ตรม เมิ่งซังอวี๋ผิดหวังกับจิตใจของมนุษย์มามากมายเพียงใดกันหนอถึงได้ตระหนักรู้อย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ในตอนที่เขาไม่เห็น นางได้รับความทุกข์ทรมานมากมายเพียงไร เขาก็ไม่กล้าไปคิดถึงแม้แต่น้อย

“เอาล่ะ ออกมาแล้ว อาเป่าไม่ต้องกลัวนะ! พวกเราใกล้จะถึงตำหนักแล้ว” เมิ่งซังอวี๋เกาคางของอาเป่าที่กระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข

กู่เซ่าเจ๋อเจ็บปวดหัวใจเพราะนางมากขึ้น เมื่อเห็นนางมีท่าทีไม่รู้สึกรู้สา เขาก็โมโหเป็นอย่างมาก แยกเขี้ยวงับนิ้วมือเย็นเฉียบของนาง ทว่าไม่กล้าออกแรงมาก เพียงใช้ฟันขบกัดสองสามทีคล้ายกับระบายความโกรธ

“น้องเต๋อเฟยช้าก่อน” เสียงอันอ่อนหวานสายหนึ่งพลันดังขึ้นจากเบื้องหลัง ตัดบทเจ้านายและสัตว์เลี้ยงทั้งสองที่กำลังอยู่ในห้วงเวลาอันหวานชื่น

เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาคือหลี่ซูจิ้ง เมิ่งซังอวี๋ก็ย่อเข่าคารวะ

“ไม่ต้องมากพิธี” หลี่ซูจิ้งเดินเข้ามาดึงแขนนางไว้ ท่าทีชิดเชื้อสนิทสนม เอ่ยเสียงแผ่วเบา “วันนี้น้องมุทะลุเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเสียนเฟยเป็นคนเนรคุณก็ยังยื่นมือเข้าไปสอดเรื่องของนาง ทำให้ตอนนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ไม่ได้คำขอบคุณ ซ้ำยังถูกใส่ร้าย”

“นางก็พูดของนาง หม่อมฉันก็ช่วยของหม่อมฉัน หม่อมฉันขอแค่ไม่รู้สึกผิดบาปในใจก็พอแล้วเพคะ” เมิ่งซังอวี๋ยิ้มจางๆ ท่าทีมองโลกในแง่ดียิ่ง

ในดวงตาของหลี่ซูจิ้งมีประกายชื่นชมวูบผ่านอย่างรวดเร็ว มีกลอุบาย มีเล่ห์เหลี่ยม ทว่ายังไม่ไร้สิ้นมโนธรรม รักษาหลักการของความเป็นมนุษย์ ในวังหลวงแห่งนี้มีคนเช่นนี้ไม่มากนัก แต่เพราะเหตุนี้หากร่วมมือกับเต๋อเฟย นางถึงจะวางใจได้

พอคิดถึงตรงนี้นางก็ลองถามหยั่งเชิงดูว่า “หรือน้องคิดที่จะอยู่เช่นนี้ไปชั่วชีวิต? รู้หรือไม่ว่าหากไม่มีบุตร ไม่ได้รับความโปรดปราน ก็จะใช้ชีวิตในวังหลวงแห่งนี้ได้ยากลำบากยิ่งนัก มิสู้เจ้ามาร่วมมือกับข้า พอข้าได้สมปรารถนาแล้วก็จะช่วยหาเด็กมาให้เจ้าเลี้ยงไว้ข้างกายสักคนเป็นอย่างไร”

กู่เซ่าเจ๋อแยกเขี้ยว ลอบคิดอย่างไม่สบอารมณ์ เหตุใดซังอวี๋ต้องไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าด้วย นางอยากจะมีลูกมากมายเพียงใด ต่อไปเราก็จะให้นางเอง เป็นบุตรที่เป็นของพวกเราสองคนอย่างแท้จริง!

“ความหวังดีของหลี่กุ้ยเฟยหม่อมฉันขอน้อมรับไว้ด้วยใจ ทว่าหม่อมฉันท้อแท้หมดกำลังใจแล้วเพคะ ไม่มีจิตใจคิดจะต่อสู้แย่งชิงแล้วจริงๆ ตอนนี้แค่อยากใช้ชีวิตในวังปี้เซียวอย่างสงบสุขไปเรื่อยๆ เพียงเท่านั้น” เมิ่งซังอวี๋ยิ้มพลางโบกมือ

“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ช่างเถิด แต่ถ้าหากเจ้าเปลี่ยนใจหรือว่าต้องการสิ่งใด ขอแค่ส่งคนมาหาข้าก็พอ” ในดวงตาของหลี่ซูจิ้งเผยแววสงสารเวทนาออกมาหลายส่วน กล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“หม่อมฉันขอบพระทัยหลี่กุ้ยเฟยมากเพคะ หม่อมฉันเองก็ขอเสียมารยาทแนะนำพระองค์คำหนึ่ง ไม่แย่งชิงคือการแย่งชิง” เมื่อเห็นนางนับว่ามีความจริงใจต่อตนอยู่ไม่น้อย เมิ่งซังอวี๋จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเพิ่มเติม

“ไม่แย่งชิงคือการแย่งชิง? ฮึ อยู่ในตำแหน่งเช่นข้า มีดวงตามากมายคอยจับจ้อง มีมือมากมายคอยผลักอยู่ด้านหลัง หากข้าไม่แย่งชิง จุดจบคง…” หลี่ซูจิ้งเก็บงำคำพูดสุดท้ายไว้มิได้เอ่ยออกมา จากนั้นก็ส่ายศีรษะพร้อมกับเดินจากไป

เมิ่งซังอวี๋และกู่เซ่าเจ๋อมองตามแผ่นหลังบอบบางทว่าแน่วแน่ของนางอยู่เนิ่นนาน แล้วจึงถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

 

เมื่อกลับมาถึงวังปี้เซียว กินอาหารนิดๆ หน่อยๆ แล้วล้างหน้าหวีผม เมิ่งซังอวี๋ก็อุ้มอาเป่าไปซุกตัวนอนบนเตียงตั่งอ่อนนุ่ม นอนกลางวันอย่างสุขสบาย

กระทั่งเจ้านายและสัตว์เลี้ยงทั้งสองตื่นขึ้นมาก็เป็นยามเซิน แล้ว ไม่นานก็จะถึงเวลาอาหารค่ำ พอมีคนอยู่ข้างกายวันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่ง

เมิ่งซังอวี๋เดินเหยียบส้นรองเท้าผ้าปัก ปล่อยเส้นผมแผ่สยาย อุ้มอาเป่าเดินไปยังหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วนั่งลง ให้ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยช่วยแต่งหน้าและหวีผม นางจับเส้นผมปอยหนึ่งมาพันไว้ที่ปลายนิ้ว แล้วใช้ปลายผมเกาจมูกอาเป่าเล่นอย่างนึกสนุก พอเห็นมันจามติดๆ กันหลายครั้ง เท้าน้อยๆ ยกขึ้นหมายจะแย่งเส้นผมไปทว่าก็ช้าไปหนึ่งก้าวทุกครา นางก็หัวเราะคิกคักไม่หยุด

กู่เซ่าเจ๋อมองใบหน้าแย้มยิ้มอันงามล้ำตราตรึงอย่างทึ่มทื่อ ลืมเคลื่อนไหว เดิมทีก็แค่อยากเล่นเป็นเพื่อนนาง ขอแค่นางมีความสุขเขาก็รู้สึกพอใจหาใดเปรียบแล้ว

ครั้นเห็นอาเป่านิ่งไปไม่ขยับ เมิ่งซังอวี๋ก็คิดว่ามันโกรธเสียแล้ว จึงยิ้มแหยๆ แล้วจับปอยผมยัดเข้าสู่อ้อมกอดของมัน อาเป่ารีบรวบปอยผมไว้ทันที จมูกน้อยๆ สูดดมกลิ่นหอมบนเส้นผมฟุดฟิด สีหน้าตั้งใจจดจ่อเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าต้องการสลักกลิ่นหอมของผู้เป็นนายลงไปในกระดูก

เมิ่งซังอวี๋ยิ้มอ่อนโยน ตบศีรษะน้อยๆ ของมันเบาๆ พลางกล่าว “อาเป่า จำกลิ่นของข้าเอาไว้นะ ต่อไปหากพวกเราพลัดพรากจากกัน เจ้าก็อาศัยกลิ่นนี้ตามหาข้านะ”

เราจะไม่ปล่อยให้เจ้าพลัดพรากจากไป! พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่แยกจากกันชั่วนิรันดร์! กู่เซ่าเจ๋อเห่าโฮ่งๆ แต่น่าเสียดายที่วาจาของเขาไม่มีผู้ใดฟังเข้าใจ

แม่นมเฝิงเดินยกชาเข้ามาด้วยสีหน้าหม่นหมอง เมื่อวางจอกชาลงข้างมือของผู้เป็นนายก็อ้าปากพะงาบๆ อยากจะเอ่ยวาจาแต่ก็มิได้พูดอะไรออกมา

“แม่นม เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เมิ่งซังอวี๋ดื่มชาอึกหนึ่ง ก่อนจะขยับจอกชาเข้าไปข้างปากของอาเป่า ให้มันเลียกิน จากนั้นก็เอ่ยถามเนิบนาบ

“เต๋อเฟยเพคะ ข้างนอกลือกันให้ทั่วว่าวังปี้เซียวก็คือต้นเหตุแห่งความอัปมงคลที่ทำให้ต้นสนพันปีเฉาตาย พระองค์แปดเปื้อนเคราะห์ร้ายมากมายจนกลายเป็นตัวอัปมงคล ไม่เพียงแต่พระองค์เองที่ประชวรหนัก ยังเกือบจะทำให้องค์ชายห้าและเสียนเฟยถึงแก่ความตาย หากพระองค์ตรัสวาจาออกมา ถ้าเป็นเรื่องดีจะไม่เกิดผล แต่ถ้าเป็นเรื่องร้ายก็จะเป็นจริงทั้งหมด” แม่นมเฝิงเล่าข่าวลือจากข้างนอกให้ฟังด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง

“ลืมบุญคุณ ตลบหลังเล่นงาน สมกับเป็นวิธีเดิมๆ ของเสียนเฟยจริงๆ ตลอดทั้งบ่ายนี้ข่าวลือคงจะแพร่ไปทั่วแล้ว สนมชายาคนอื่นๆ ก็ขยันขันแข็งกันเสียจริง” เมิ่งซังอวี๋ยิ้มเย้ยหยัน

สตรีสมควรตายผู้นี้! กู่เซ่าเจ๋อหรี่ตาลงน้อยๆ สายตาเยียบเย็น

“หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นพระองค์ก็ไม่ควรยุ่งเรื่ององค์ชายห้าเลยนะเพคะ ปล่อยให้เสียนเฟยเสียที่พึ่ง ดูซิว่านางจะยังกล้ากำเริบเสิบสานอีกหรือไม่!” แม่นมเฝิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ข้าจะมองดูเด็กตัวน้อยแค่นั้นตายไปต่อหน้าต่อตาข้าได้อย่างไร ในเมื่อช่วยได้ก็ต้องช่วย ที่ข้าช่วยเขาเอาไว้ก็แค่อยากให้เขามีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย แค่ให้ตัวข้าไม่ละอายแก่ใจ ไม่ได้ต้องการให้ผู้อื่นสำนึกบุญคุณและตอบแทน เสียนเฟยอยากจะพูดก็ปล่อยให้นางพูดไปเถิด นี่ช่วยข้าได้มากทีเดียว ในเมื่อเป็นตัวอัปมงคล เช่นนั้นย่อมไม่อาจไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นได้ตามใจชอบ ช่วงนี้พวกเราก็ปิดประตูวังฝึกฝนร่างกาย ทำจิตใจให้สงบกันเถิด เรื่องกวนใจข้างนอกก็ไม่ต้องเข้าไปข้องแวะ รอข่าวคราวจากท่านพ่ออย่างสบายใจ ถึงตอนนั้นฝ่าบาทอาจจะทรงฟื้นแล้วก็เป็นได้”

เมิ่งซังอวี๋มีสีหน้าผ่อนคลายสำราญใจ นางกำลังคิดอยากจะหลบทางลม เสียนเฟยก็หาข้ออ้างอันยอดเยี่ยมมาให้พอดี

เมื่อนึกดู แม่นมเฝิงก็เห็นว่าถูกต้อง สีหน้าหมองหม่นจึงกลับสู่ปกติในทันใด

กู่เซ่าเจ๋อเลียปลายนิ้วขาวผ่องของเมิ่งซังอวี๋ รู้สึกเลื่อมใสในความมองโลกในแง่ดีของนาง ทั่วทั้งร่างนางเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่างอันอบอุ่น เป็นพลังที่ชวนให้คนฮึกเหิม เรื่องสกปรกโสมมเพียงใดก็ไม่อาจทำให้นางแปดเปื้อนแม้แต่ปลายเล็บ ขอเพียงแค่ได้อยู่ข้างกายนาง ทุกช่วงเวลาล้วนมีคุณค่ามีความสุข การที่เขาได้มาพบกับนางหลังจากวิญญาณติดอยู่ในร่างสุนัขเป็นความเมตตาสูงสุดที่สวรรค์มีต่อเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากแต่งหน้าทำผมเสร็จเรียบร้อย เมิ่งซังอวี๋ก็ซุกตัวอยู่บนตั่งนุ่มริมหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน จากนั้นจึงหยิบกรรไกรอันเล็กเล่มหนึ่งออกมาตัดแต่งต้นสนกระถาง ต้นสนนี้เมื่อโตขึ้นจะเป็นพุ่มดกหนายิ่ง จำเป็นต้องผ่านการตัดแต่งอย่างสม่ำเสมอถึงจะเผยกิ่งก้านที่แข็งแกร่งออกมาให้เห็น กู่เซ่าเจ๋อซึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะเล็กๆ คาบเศษกิ่งไม้ใบไม้ที่นางตัดทิ้งไว้ในปาก จากนั้นก็โยนใส่ถาดซึ่งอยู่อีกด้าน

เจ้านายและสัตว์เลี้ยงคู่นี้เจ้าตัดข้าทิ้ง ทำงานประสานกันได้อย่างรู้อกรู้ใจยิ่ง ไม่นานนักต้นสนอันดกหนาก็ค่อยๆ ปรากฏด้านที่เรียบง่ายทว่างดงามออกมา

“เป็นอย่างไรบ้าง งามหรือไม่” ประเมินซ้ายประเมินขวาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเมิ่งซังอวี๋ก็มองไปทางอาเป่าซึ่งอยู่ข้างๆ สอบถามความเห็นของมัน

งามยิ่ง! ฝีมือโดดเด่นมีเอกลักษณ์ กู่เซ่าเจ๋อไม่ตระหนี่คำชมเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่พูดออกมายังคงเป็นเสียงเห่าโฮ่งๆ เหมือนเดิม

ทว่าเมิ่งซังอวี๋กลับเข้าใจ นางหัวเราะพลางตบหัวของมันเบาๆ “ขอบใจที่ชม”

“เต๋อเฟย พระองค์ทรงฟังภาษาสุนัขรู้เรื่องหรือเพคะ” ปี้สุ่ยอ้าปากพะงาบๆ ทนไม่ไหวต้องถามออกมาในที่สุด ในใจนาง ผู้เป็นนายไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ หากจะฟังภาษาสุนัขรู้เรื่องก็มิใช่เรื่องแปลก

“ฮ่าๆๆ” เมิ่งซังอวี๋ซึ่งอุ้มอาเป่าที่กำลังร้องหงิงๆ เอ๋งๆ หัวเราะจนโน้มตัวลงไปบนตั่งนุ่ม สาวใช้ผู้นี้ช่างน่ารักเหลือเกิน!

อิ๋นชุ่ยและแม่นมเฝิงก็หัวเราะตามขึ้นมาเช่นกัน ในวังปี้เซียวเปี่ยมล้นไปด้วยบรรยากาศอันสนุกสนาน ไม่ได้รับผลกระทบจากข่าวลือเลยแม้แต่น้อย

ทว่ากลับมีคนอยากจะทำลายบรรยากาศอันงดงามนี้ เสียงรายงานของขันทีพลันดังขึ้นจากนอกตำหนัก เป็นฉางสี่ที่นำบำเหน็จรางวัลจากฮ่องเต้มาให้

ในบรรดาของบำเหน็จรางวัลมีทั้งตัวยาล้ำค่าและเพชรนิลจินดา แต่ที่สะดุดตาที่สุดก็คือพระคัมภีร์เล่มหนากองใหญ่ ฉางสี่มอบพระคัมภีร์ให้แก่เมิ่งซังอวี๋ที่กำลังคุกเข่าน้อมรับพระราชโองการด้วยมือตัวเอง กำชับว่านางต้องตั้งใจคัดลอกเพื่อขับไล่ไออัปมงคลออกไปโดยเร็ว

“ดีเสียจริง โดนกักบริเวณอีกแล้ว” เมิ่งซังอวี๋ตบกองพระคัมภีร์ จะฟังอย่างไรน้ำเสียงก็ดูพออกพอใจ

พวกแม่นมเฝิงเองก็ยิ้มพลางคล้อยตาม มีท่าทางยินดีปรีดา

กู่เซ่าเจ๋อทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาให้กับเหล่านายบ่าวที่มีนิสัยแปลกประหลาดไม่เหมือนใครพวกนี้ ในดวงตาสีดำสนิทเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน

อย่างไรเสียก็ไม่มีอะไรทำ เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าเข้าสู่อ้อมกอด หยิบ ‘พระมหาปิฎก’ เล่มหนึ่งออกมาแล้วค่อยๆ ท่องให้มันฟัง น้ำเสียงของหญิงสาวแผ่วเบานุ่มนวล ผสานเข้ากับท่วงทำนองสูงต่ำของคำอ่านภาษาสันสกฤต ช่างชวนให้ลุ่มหลงเสียยิ่งกว่าบทเพลงที่ไพเราะที่สุดบนโลกใบนี้เสียอีก กู่เซ่าเจ๋อเกาะเกี่ยวเท้าหน้าไว้บนข้อมือของนาง แหงนหน้ามองดวงหน้ายามตวัดพู่กันอันงดงามราวกับภาพวาดอย่างเหม่อลอย ในดวงตาปกคลุมด้วยเมฆหมอกที่เรียกว่าความหลงใหล

หากไร้ความหวังที่จะกลับคืนสู่ร่างเดิมจริงๆ การได้อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของนางไปตลอดชีวิตก็ดีเหมือนกัน ถึงแม้สำหรับฮ่องเต้ผู้หนึ่งแล้ว ความคิดซึ่งปรากฏออกมาเพียงชั่วแวบนี้จะเหลวไหลอย่างยิ่ง แต่ว่ามันก็เกิดขึ้นแล้วและไม่อาจยับยั้งควบคุมได้

 

ภายในวังจงชุ่ย เสิ่นฮุ่ยหรูปล่อยผมยาวสยาย นั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งไม่ขยับเขยื้อนด้วยสีหน้าซีดขาว ทันใดนั้นนางพลันกวาดตลับเครื่องประทินโฉมหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ทำให้พวกมันร่วงหล่นกระจัดกระจาย เสียงปึงปังดังสนั่นทำให้หว่านชิงซึ่งอยู่ข้างกายนางตกใจจนสะดุ้งเฮือก

“เหลียงเฟย มาถึงขั้นนี้พระองค์ทรงต้องไม่ลังเลอีกต่อไปแล้ว ลองคิดถึงอนาคตของสกุลเสิ่น คิดถึงเกียรติยศสูงสุดของพระองค์ในภายภาคหน้าสิเพคะ ทุกอย่างที่เสียสละไปในตอนนี้ล้วนคุ้มค่าทั้งสิ้น ต่อไปหากพระองค์ทรงทำสำเร็จย่อมคุ้มค่ากับสิ่งที่ทำมาทั้งหมดในตอนนี้ได้นะเพคะ” หว่านชิงเอ่ยปลอบเสียงเบา

เสิ่นฮุ่ยหรูแหงนหน้าขึ้น ใช้มือปิดใบหน้า ไม่รู้ว่ากำลังร้องไห้หรือครุ่นคิด ผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงวางมือลง เผยให้เห็นขอบตาแดงเรื่อ นางเอ่ยกับหว่านชิงด้วยเสียงต่ำลึก “แต่งหน้าให้ข้าที ใกล้จะถึงเวลารับเสด็จแล้ว”

“เพคะ!” หว่านชิงพลันคึกคักมีชีวิตชีวา ก้มเก็บตลับเครื่องประทินโฉมที่อยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างว่องไว แล้วค่อยๆ บรรจงแต่งหน้าให้ผู้เป็นนายอย่างประณีตงดงาม ต่อให้นางรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นตัวปลอม แต่คนทั้งวังกำลังจับตาดูอยู่ จึงไม่สามารถทำอย่างขอไปทีได้

เมื่อฮ่องเต้เสด็จมาถึงและทอดพระเนตรเห็นเสิ่นฮุ่ยหรูซึ่งยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสายลมอันหนาวเหน็บ ในใจพระองค์กลับมิได้มีความรู้สึกประทับใจหรือสิเน่หาเลยแม้แต่น้อย ไม่มีผู้ใดรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของสตรีผู้นี้ดีกว่าพระองค์ ให้ค้างคืนกับสตรีที่มีจิตใจดั่งอสรพิษเช่นนี้ พระองค์ก็ทรงสงสัยเหลือเกินว่าจะมีอารมณ์ร่วมหรือไม่

เมื่อเดินเข้ามาในตำหนัก เสิ่นฮุ่ยหรูก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปลื้องอาภรณ์บนร่างออกทีละชิ้นๆ ทันที ยืนเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นต่ำลึก “เร็วเข้า อย่าทำให้ข้าเสียเวลา”

เมื่อได้เห็นเรือนกายขาวผุดผ่องและแววตาสูงส่งแฝงแววดูถูกเหยียดหยาม ฮ่องเต้ตัวปลอมก็ไม่รู้ว่าความคิดชั่วร้ายโผล่มาจากไหน ร่างกายท่อนล่างซึ่งแต่เดิมไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เริ่มแข็งขืน สตรีผู้นี้ยโสโอหังมากมิใช่หรือ จะพลิกกายไปมาปรนนิบัติอยู่ใต้ร่างข้าหรือไม่หนอ

“เหลียงเฟยโปรดหันกลับไปได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่กล้ามองพระพักตร์พระองค์ตรงๆ ยามที่ทำเรื่องล่วงเกินเช่นนั้น” ฮ่องเต้คุกเข่าพลางตอบ ท่าทีดูเหมือนต้อยต่ำ แต่จริงๆ แล้วไม่อยากมองใบหน้าที่น่าสะอิดสะเอียนของนาง

เสิ่นฮุ่ยหรูผงะอึ้งไป แต่ก็ยังหันไปตามที่ฮ่องเต้ตรัสบอก ถึงแม้ใบหน้าของคนผู้นี้จะเหมือนกับกู่เซ่าเจ๋อฮ่องเต้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่ในใจนางรู้ดีว่าเป็นคนสองคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อมองใบหน้านี้พร้อมกับเสพสมกับเขา ความรู้สึกผิดในใจของนางก็จะทวีความหนักหนายิ่งขึ้น

ฮ่องเต้ทรงถอดชุดคลุมมังกรออกอย่างรวดเร็ว เสด็จไปหาเสิ่นฮุ่ยหรูและเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ไม่มีการเล้าโลมแม้แต่น้อย แม้นางจะส่งเสียงร้องฮึดฮัด แต่มิได้ต่อว่าอันใด เห็นได้ชัดว่านางเองก็อยากจะทำธุระให้เสร็จโดยเร็ว ฮ่องเต้ทรงกระตุกมุมพระโอษฐ์น้อยๆ เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น

พอคิดได้ว่าชีวิตของตนอยู่ในมือของสตรีใต้ร่าง นึกถึงตอนที่ถูกบีบบังคับและถูกนางหลอกใช้ พระหัตถ์ทั้งสองของฮ่องเต้ก็เกี่ยวเอวบางเอาไว้ เคลื่อนไหวรุนแรงดุดันขึ้นทุกครา ท่ามกลางความสุขสันต์ที่มาถึง ท่ามกลางความเคียดแค้นซึ่งถูกระบายออกมา ความปรารถนาก็ถูกปลดปล่อยออกมาในที่สุด

เสิ่นฮุ่ยหรูกัดฟันเอาไว้ตลอดเวลา เอาแต่ภาวนาให้ทุกอย่างเร็วขึ้นอีก นางมิได้รู้สึกถึงความสุขสมเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่มีคือความอัปยศอดสูที่อัดแน่นเต็มหัวใจและความคลื่นเหียนที่ถาโถมขึ้นมาในลำคอไม่หยุด ยามที่อีกฝ่ายร้องครางขณะถึงจุดสูงสุด หยาดน้ำตาอุ่นร้อนก็พลันหยดไหลกลิ้งออกมาจากดวงตาของนาง ร่วงหล่นลงบนพรมขนแพะอันหนานุ่มและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

ภายในวังปี้เซียว เมิ่งซังอวี๋กับอาเป่ากำลังนั่งกินข้าวโดยหันหน้าเข้าหากัน

อาเป่ายังคงกินโจ๊กอยู่ แต่อาหารที่ปรุงอ่อนๆ ก็สามารถกินได้แล้ว บางครั้งเมิ่งซังอวี๋ก็จะตักอาหารที่ย่อยได้ง่ายเช่นไข่ตุ๋น เต้าหู้ หรือหมูสามชั้นน้ำแดงใส่ไว้ในชามโจ๊กของมัน อาเป่าเองก็ใช้เท้าหน้าดันจานอาหารที่นางชื่นชอบไปไว้ตรงหน้านาง เจ้านายและสัตว์เลี้ยงทั้งสองผลัดกันดันไปตักมา บรรยากาศชื่นมื่นยิ่งนัก

“เต๋อเฟย ได้ข่าวว่าเมื่อครู่เหลียงเฟยได้ถวายการรับใช้แล้วเพคะ” แม่นมเฝิงเดินเข้ามา ขยับเข้าไปตรงหน้านางพร้อมกับรายงาน

กู่เซ่าเจ๋อหยุดเลียอาหาร มองชามโจ๊กตรงหน้าอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่

“ในที่สุดนางก็ทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างจนหมด เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก ดูท่าความผูกพันที่นางมีต่อฝ่าบาทก็มีเพียงเท่านี้ ได้รับความโปรดปราน ตั้งครรภ์ เลื่อนเป็นฮองเฮา บุตรชายได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ทั้งหมดกินเวลาไม่เกินห้าปี รอให้สกุลเสิ่นรวบอำนาจได้สำเร็จ ฮ่องเต้ก็จะสวรรคต รัชทายาทก็จะขึ้นครองราชย์อย่างชอบธรรม ราชครูเสิ่นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ไทเฮาทรงว่าราชการอยู่หลังม่าน ผ่านไปอีกสองสามปี รอให้อำนาจบารมีของสกุลเสิ่นหยั่งรากลึกอย่างมั่นคง บางทีแม้แต่ฮ่องเต้หุ่นเชิดก็คงไม่จำเป็นอีกต่อไป แผ่นดินของสกุลกู่ก็จะเปลี่ยนเป็นของสกุลเสิ่นอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่บัดนั้น…ช่างเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมเสียจริง!” เมิ่งซังอวี๋วางตะเกียบลง ถอนหายใจยาวอย่างช้าๆ

เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! กู่เซ่าเจ๋อเองก็ทอดถอนใจด้วยเช่นกัน เขายืนตัวแข็งอยู่บนโต๊ะ รอให้ความเจ็บปวดในใจค่อยๆ จางหายไปอย่างเงียบๆ เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากผ่านเรื่องราวกระทบกระเทือนจิตใจมากมายเหล่านั้นมา หัวใจของเขาคงจะด้านชาไปแล้ว แต่อย่างไรเสียเสิ่นฮุ่ยหรูก็เป็นหญิงสาวที่เขาเคยรักใคร่ทะนุถนอมมายาวนานหลายปี เป็นหญิงสาวที่เดินร่วมทางกับเขามาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ ไม่อาจบอกให้ลืมก็ลืมได้ทันที

แต่ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะเจ็บปวดใจเพราะเจ้า! นับจากนี้ไปเราสองคนต่างเดินคนละเส้นทาง หากพบหน้ากันอีกคราจะต้องหันคมดาบเข้าห้ำหั่นกันอย่างแน่นอน ถึงยามนั้นเจ้าอย่ามาโทษเราก็แล้วกัน

พอตัดสัมพันธ์ที่มีต่อเสิ่นฮุ่ยหรูอย่างเงียบๆ กู่เซ่าเจ๋อก็คาบเนื้อชิ้นหนึ่งที่เมิ่งซังอวี๋คีบใส่ชามขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ค่อยๆ เคี้ยวอย่างละเอียด ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความผิดปกติเมื่อครู่นี้ของเขา

 

หลังจากเหลียงเฟยถวายการปรนนิบัติ ฮ่องเต้ก็ทรงคล้ายกับพบข้อดีของนาง จึงทรงให้แขวนป้ายของนางหลายวันติดต่อกัน แต่ในขณะเดียวกันนั้นพระองค์ก็ทรงร่วมอภิรมย์กับสนมนางอื่นด้วย ครึ่งคืนแรกมักจะประทับวังนี้ ครึ่งคืนหลังก็เสด็จไปวังนั้น คืนเดียวสับเปลี่ยนหมุนเวียนหลายวัง ทรงยุ่งเป็นอย่างยิ่ง มากที่สุดคือร่วมเตียงกับสนมถึงเก้านางในคืนเดียว ถึงขั้นที่กล่าวได้ว่าองอาจดุดันยิ่งนัก ใช้ข้อเท็จจริงทำลายข่าวลือที่ว่า ‘ใช้การไม่ได้’

บรรดาสนมชายาที่ได้รับความโปรดปรานบ้างก็มาจากสกุลใหญ่ที่มีอำนาจ บ้างก็ได้ให้กำเนิดพระโอรสแล้ว บ้างก็มีรูปโฉมงดงามโดดเด่น พอสตรีเหล่านี้ผนึกกำลังกันขึ้นมาก็สร้างความยุ่งยากให้หลี่ซูจิ้งไม่น้อย

ถึงแม้เมื่อก่อนฝ่าบาทจะมิได้ทรงลุ่มหลงในอิสตรีเท่าไรนัก แต่เพื่อให้ฝนตกทั่วฟ้า จึงทรงผ่านราตรีวสันต์* ทุกค่ำคืนไม่เคยว่างเว้น ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่มิได้ทรงเหยียบย่างเข้าตำหนักในติดต่อกันหลายเดือนเช่นก่อนหน้านี้ ดังนั้นหลี่ซูจิ้งจึงแน่ใจว่าฝ่าบาททรงบาดเจ็บตรงนั้น นางบอกให้หลี่เซียงพร่ำกราบทูลฝ่าบาท แต่เมื่อดูจากสภาพในตอนนี้แล้ว นางก็ได้กลายเป็นเป้าโจมตีของนางสนมทั้งหลาย เป็นหินขวางทางที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮาอันทรงเกียรติของพวกนาง เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดในการแต่งตั้งบุตรชายของพวกนางเป็นรัชทายาท

รสชาติของการถูกฝูงสุนัขรุมล้อมช่างลำบากทรมานจริงๆ ถึงแม้หลี่ซูจิ้งจะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวก็ยังรับมือไม่ไหวอยู่บ้าง กอปรกับฮ่องเต้ทรงเรียกองค์ชายรองไปทดสอบบทเรียนที่ห้องทรงพระอักษรทุกวัน ไม่ว่าองค์ชายรองจะแสดงความสามารถได้อย่างยอดเยี่ยมแค่ไหนก็มักจะถูกต่อว่าทุกคราไป เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาแปดถึงเก้าวัน ศักดิ์ศรีและความมั่นใจขององค์ชายรองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวง นับวันยิ่งกลายเป็นคนเงียบขรึมและโมโหร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้ายแล้วเพื่อบุตรชาย หลี่ซูจิ้งจึงยอมแพ้ นางไปคุกเข่าขอรับผิดอยู่หน้าวังเฉียนชิงถึงครึ่งวัน ในที่สุดก็ได้รับการอภัยโทษจากฮ่องเต้ คืนนั้นพระองค์จึงทรงเสด็จไปวังเฟิ่งหลวน แต่ครึ่งคืนหลังก็ยังคงสลับสับเปลี่ยนไปยังวังอื่นเหมือนเดิม ทำให้ฝนตกทั่วฟ้าอย่างแท้จริง ทุกคนล้วนปีติยินดี แต่ในสนามรบแห่งการแย่งชิงความรักใคร่โปรดปรานแห่งนี้ เหลียงเฟยซึ่งถูกเรียกให้ถวายการปรนนิบัติทุกคืนจึงโดดเด่นเป็นที่จับตามอง กลายเป็นชายาคนโปรดคนแรกต่อจากเต๋อเฟย สนมลำดับชั้นต่ำๆ ที่มาพึ่งพาเกาะติดมีจำนวนมากมาย

 

ภายในวังปี้เซียว เมิ่งซังอวี๋กำลังอุ้มอาเป่า อ่านหนังสือไปพลางฟังแม่นมเฝิงรายงานสถานการณ์ในวังไปพลาง สีหน้าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

กู่เซ่าเจ๋อมีสีหน้าเฉยชา เขาสูญเสียความสามารถในการแสดงอารมณ์บนใบหน้าไปเพราะเรื่องกระทบกระเทือนใจที่แม่นมเฝิงนำมารายงานติดต่อกันตลอดสิบวัน กลายเป็นโรคเหน็บชาบนใบหน้าอันเนื่องมาจากความเครียด หัวใจของเขาซึ่งแต่เดิมก็เข้มแข็งมากอยู่แล้ว มาบัดนี้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ถูกโลหิตและเปลวเพลิงหลอมจนกลายเป็นเพชร โลหิตย่อมหมายถึงโลหิตในหัวใจ เปลวเพลิงก็คือเปลวเพลิงโทสะสูงเสียดฟ้า

“ร่วมเตียงกับสนมเก้าคนในคืนเดียว! ข้านึกว่าเป็นแค่เรื่องเล่าเสียอีก” เมิ่งซังอวี๋วางหนังสือในมือลง เผยสีหน้ายุ่งยาก ในใจคิดคำนวณมากมาย หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ ฮ่องเต้ตัวจริงจะถูกสวมหมวกเขียวกี่ใบกันหนอ ตอนนี้พระองค์ได้รับเกียรติให้ขึ้นครองบัลลังก์ราชาหมวกเขียวอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าโจวอย่างไม่ต้องสงสัย ฮ่องเต้ก็ยังคงเป็นฮ่องเต้ ถูกสวมหมวกเขียวก็ยังเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เอิกเกริกถึงเพียงนี้

“ร่วมเตียงกับสนมชายาเก้าคนในคืนเดียวนี่ถือว่าไม่มากไปนะเพคะ พระเจ้าโจวไท่จู่เคยร่วมอภิรมย์กับสนมชายาสิบเจ็ดคนภายในคืนเดียว พระเจ้าอู่จงแห่งราชวงศ์ก่อนร่วมอภิรมย์กับสนมชายาสิบสองคนในคืนเดียว ยังมีพระเจ้าซ่งตู้จงซึ่งก็เคยร่วมอภิรมย์กับสนมชายาสามสิบกว่าคนในคืนเดียว เมื่อก่อนคืนหนึ่งฮ่องเต้เสด็จเยือนแค่วังเดียวเท่านั้น นับว่าควบคุมพระองค์เองได้ดียิ่งแล้วเพคะ” แม่นมเฝิงกล่าวเสียงเบา

“ข้าว่านะ ฮ่องเต้ผ่านราตรีวสันต์ทุกคืน แต่กลับขึ้นชื่อว่ามิได้ฝักใฝ่ในกามา ที่แท้ก็เป็นเพราะมีตัวอย่างให้เปรียบเทียบนี่เอง กลางคืนมั่วโลกีย์ ลุ่มหลงอิสตรี กลางวันออกว่าราชการ เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ร่างกายจะไม่ย่ำแย่ได้อย่างไร ดังนั้นผู้ที่เป็นฮ่องเต้ถึงได้มีอายุสั้นนัก เมื่อนับให้ดีแล้ว ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าโจวที่มีพระชนมพรรษาเกินห้าสิบพรรษาไม่มีสักพระองค์เลยมิใช่หรือ” เมิ่งซังอวี๋ลูบเส้นขนที่ขึ้นใหม่บนหลังอาเป่าพลางกล่าวอย่างปลงๆ

กู่เซ่าเจ๋อผงะอึ้งไป แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลไม่น้อย เขาได้รับการศึกษาเพื่อให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นฮ่องเต้มาตั้งแต่เด็ก ในด้านการร่วมอภิรมย์กับสนมชายานี้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเป็นผู้สอนเขา ในสมัยโบราณกาลพระเจ้าหวงตี้ร่วมอภิรมย์กับหญิงสาวหนึ่งพันสองร้อยคนจนได้ขึ้นเป็นเซียน หากสามารถเสพสมกับหญิงสาวสิบสองคนได้ในคืนเดียวจะทำให้ไม่แก่ชรา มีรูปโฉมงดงาม หากร่วมเสพสมกับหญิงสาวเก้าสิบสามคนร่างกายจะแข็งแรง อายุยืนหมื่นปี

ฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็ทรงร่วมอภิรมย์กับสนมสิบสองนางในคืนเดียวเช่นกัน แต่พระองค์ก็ยังทรงชราภาพอยู่ดี เพิ่งมีพระชนมพรรษาสามสิบสองพรรษาก็ทรงจากโลกนี้ไปเสียแล้ว แสดงว่าคำพูดพวกนี้ไม่อาจเชื่อถือได้

ในขณะที่สติของเขากำลังเลื่อนลอย เมิ่งซังอวี๋ก็ทอดถอนใจต่อไป น้ำเสียงโกรธแค้นอยู่ไม่น้อย “โชคดีที่ฝ่าบาทตัวจริงหนึ่งคืนทรงเยือนแค่หนึ่งวังเท่านั้น มิเช่นนั้นข้าคงต้องรัดคอตัวเองตาย แค่คิดว่าต้องใช้แตงกวาที่สตรีคนอื่นเพิ่งใช้มา ข้าก็อยากจะอาเจียนแล้ว! ฮ่องเต้ทุกคนล้วนเป็นบุรุษที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก!”

แตงกวาอะไรกัน บุรุษน่ารังเกียจอะไรกันกู่เซ่าเจ๋อคิดเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจได้ว่านางกำลังพูดถึงอะไร สีหน้าเขาพลันแข็งชะงักไป จากนั้นก็ลอบยินดี โชคดีที่เขายังมิได้ทำตัวเหลวไหลถึงเพียงนั้น ไม่เคยทำเรื่องที่ทำให้เมิ่งซังอวี๋รู้สึกขยะแขยงไปมากกว่านี้ มิเช่นนั้นพอเขากลับเข้าร่างได้ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีถึงจะได้รับความรักจากนาง ในเมื่อนางไม่ชอบให้เขาค้างแรมที่วังอื่น ต่อไปเขาจะไม่ค้างก็แล้วกัน ทำเช่นนี้ยังสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้อีกด้วย ใช้ลูกหินก้อนเดียวได้นกถึงสองตัว

แม่นมเฝิงเห็นความคิดของเจ้านายกำลังเบี่ยงเบนออกนอกประเด็น จึงต้องดึงกลับมาให้เข้ารูปเข้ารอย “เต๋อเฟย พระองค์ทรงคิดว่าฮ่องเต้ตัวปลอมผู้นั้นมั่วโลกีย์ในวังหลวงเช่นนี้ ต่อไปหากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา สนมชายาเหล่านั้นควรจะทำอย่างไรดีเล่าเพคะ”

“แม่นม เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรกังวลใจ พวกเราสามารถรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว ไหนเลยจะมีแรงเหลือไปสนใจผู้อื่น หากพวกเราเผยเรื่องฮ่องเต้ตัวปลอมออกไปแม้แต่คำเดียว ถึงตอนนั้นพวกเราก็เหลือแต่ทางตายเท่านั้น ก่อนที่ท่านพ่อจะส่งข่าวคราวมา พวกเราก็ได้แต่แกล้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ เข้าใจหรือไม่” เมิ่งซังอวี๋กล่าวเตือนอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

กู่เซ่าเจ๋อส่งเสียงฮึดๆ สองคำรบ เท้าเล็กๆ ตบลงบนหลังมือที่เกร็งเครียดของนางครั้งแล้วครั้งเล่า

“เฮ้อ หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ หม่อมฉันคงจะทนดูสถานการณ์เช่นนี้ต่อไปไม่ไหว แต่เพื่อความปลอดภัยของพระองค์ บ่าวจะไม่แพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียวเลยเพคะ หากฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะพิโรธจนทรงฟื้นขึ้นมาหรือไม่” แม่นมเฝิงทอดถอนใจพลางกล่าว

“พอพิโรธจนทรงฟื้นขึ้นมาก็กลัวว่าจะพิโรธจนสลบไปอีกครั้งน่ะสิ หมวกเขียวมากมายขนาดนี้ ทั้งปีก็สวมไม่หมด แค่นี้ฝ่าบาทก็เจอเรื่องหนักๆ มากพอแล้ว” เมิ่งซังอวี๋มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นไม่น้อย ได้เห็นบุรุษน่ารังเกียจผู้นั้นโชคร้ายถึงเพียงนี้ นางก็มีความสุขนัก

อุ้งเท้าน้อยๆ ของกู่เซ่าเจ๋อพลันชะงัก สีหน้าอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอยอีกครั้ง เราไม่โกรธจนฟื้นขึ้นมาหรอก ยิ่งกว่านั้นคือไม่โกรธจนสลบไปด้วย เราชินเสียแล้ว! วิญญาณมนุษย์ในใจเขาร่ำไห้ โลหิตอึกหนึ่งติดแน่นอยู่ในลำคอ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจกลืนลงไปได้

“เต๋อเฟยเพคะ เมื่อครู่กองผลิตแห่งสำนักราชวังส่งป้ายห้อยคอของอาเป่ามาให้แล้ว พระองค์อยากจะทอดพระเนตรหรือไม่เพคะ” ในมือปี้สุ่ยมีกล่องปักดิ้นใบหนึ่ง นางเดินไปที่ข้างตั่งเตียงพร้อมถวายบังคมผู้เป็นนาย เบื้องหลังเป็นอิ๋นชุ่ยซึ่งกำลังยกชาหนึ่งกาเข้ามา

“รีบเอามาให้ข้าดูเร็วเข้า” ดวงตาของเมิ่งซังอวี๋ลุกวาวขึ้นทันที

ปี้สุ่ยเปิดฝาออก ยื่นใส่มือผู้เป็นนาย

นี่คือป้ายห้อยคอที่ถูกสลักเป็นรูปทรงเมฆมงคล ขนาดเท่ากับหยกประดับ เมื่อคำนึงถึงขนาดร่างเล็กป้อมของอาเป่า เมิ่งซังอวี๋จึงกำชับช่างฝีมือเป็นพิเศษว่าให้ใช้วิธีการแกะสลักแบบฉลุลายเพื่อลดน้ำหนักให้ได้มากที่สุด ยามอาเป่าสวมใส่จะได้รู้สึกสบาย ตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ทั้งห้าตัวทำจากผงทองคำละเอียด ดูหรูหราสะดุดตา น้ำหนักยังเบามากอีกด้วย

ฝีมือของช่างจากกองผลิตแห่งสำนักราชวังย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง เมิ่งซังอวี๋พินิจดูอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อหาตำหนิใดๆ ไม่พบก็คล้องใส่คออาเป่า สีของไม้มะเกลือกับขนสีน้ำตาลที่เพิ่งงอกใหม่ของอาเป่าใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง พอสวมแล้วก็กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับเส้นขน ตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่จึงดูเหมือนกับลอยอยู่ระหว่างคอของมัน โดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ

สิ่งที่เมิ่งซังอวี๋ต้องการก็คือผลลัพธ์เช่นนี้ นางอุ้มอาเป่าขึ้นมา ใช้ปลายจมูกชนปลายจมูกของอาเป่า ทำสีหน้าโหดเหี้ยมดุร้าย ดูท่าแล้วนางยังคงจำฝังใจเรื่องที่มันถูกทำร้าย

ถ้าหากไม่มีซังอวี๋ เราจะสามารถมีชีวิตอยู่ในวังหลวงนี้ได้กี่วัน? หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อเริ่มอ่อนแรง ขอบตาก็เปียกชื้นด้วยเช่นกัน เขาร้องหงิงๆ ใช้ลิ้นไล้เลียริมฝีปากงดงามได้รูปของนางทีละนิดๆ อย่างละเอียดลออ รู้สึกแค่ว่านางน่ามองไปหมดทุกด้าน ต่อให้จงใจแต่งให้ดูน่าเกลียดอย่างไรก็ยังคงน่าเกลียดได้อย่างน่ารัก

เมิ่งซังอวี๋หัวเราะคิกคัก จุมพิตกลับติดๆ กันหลายครั้ง เจ้านายและสัตว์เลี้ยงทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนเป็นก้อนกลมๆ บนตั่งเตียง

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 91-92

    By

    บทที่ 91 เอาคืน  ภายหลังหลี่เจาเกอกับโม่หลินหลางเดินจากมาไกล โม่หลินหลางก็ข่มใจไม่ไหว เอ่ยกับหลี่เจาเกอด้วยความรุ่มร้อน “องค์หญิง ขออภัยด้วย...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 89-90

    By

    บทที่ 89 ปีศาจแมว เผยจี้อันหน้าเปลี่ยนสีทันตา มองไปทางกู้หมิงเค่ออย่างไม่อาจเชื่อ กู้หมิงเค่อยังคงส่งยิ้มมาให้ ในดวงตาลุ่มลึกเย็นเยียบ พลังก...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com