ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก

บทที่สอง

สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเต๋อเฟย

ยามอิ๋น สามเค่อ ท้องนภายังคงมืดครึ้ม ทว่าแสงสีขาวได้โผล่ขึ้นมาทางบูรพาทิศ ผ่านไปไม่นานแสงอรุณรุ่งอันอบอุ่นก็สาดส่องทั่วทั้งปฐพี พอถึงยามเหม่า ก็ควรได้เวลาไปคารวะหลี่กุ้ยเฟย

หนึ่งปีครึ่งก่อนหน้านี้ฮองเฮาทรงเกิดภาวะคลอดบุตรยาก เป็นองค์ชายน้อยที่เสียชีวิตระหว่างประสูติกาล เวลาผ่านไปไม่นานฮองเฮาก็สิ้นพระชนม์จากไปด้วยความคับแค้นพระทัย เหลือไว้เพียงพระธิดาองค์โตซึ่งมีพระชนมายุเพียงเจ็ดพรรษาเท่านั้น ซึ่งก็คือองค์หญิงสี่

ส่วนไทเฮาทรงเหน็ดเหนื่อยทดท้อพระทัยเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในวังหลวงในสมัยที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนครองราชย์ จึงย้ายไปอยู่ที่เขาเชียนฝอและหันหน้าเข้าสู่พระพุทธศาสนา ไม่สนใจเรื่องราวของโลกภายนอก ดังนั้นตำแหน่งประมุขสูงสุดทั้งสองของตำหนักในจึงว่างลง หลี่กุ้ยเฟยซึ่งมีลำดับศักดิ์สูงสุดย่อมกุมอำนาจไว้ในมือ เป็นตัวแทนปกครองดูแลหกวังเป็นธรรมดา

บิดาของหลี่กุ้ยเฟยคืออัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายในรัชกาลปัจจุบัน อำนาจของสกุลหลี่แผ่ไกลไปทั้งในราชสำนักและในหมู่มวลประชาชน อีกทั้งหลี่กุ้ยเฟยยังได้ให้กำเนิดองค์ชายรองและองค์หญิงสาม คนหนึ่งมีพระชนมายุสิบสองพรรษา อีกคนสิบพรรษา ทั้งสองพระองค์มีพระวรกายแข็งแรง ฉลาดหลักแหลม ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง อำนาจ โอรสหรือธิดา หลี่กุ้ยเฟยล้วนครอบครองทุกสิ่งที่สนมชายาทุกคนต่างเฝ้าฝันปรารถนาถึง กล่าวได้ว่านางเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในตำหนักในอย่างแท้จริง

แต่บุคคลอันดับหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเต๋อเฟยเมิ่งซังอวี๋ ความมั่นใจกลับหดหายไปหลายส่วน

ปีนี้เมิ่งซังอวี๋อายุสิบเจ็ดปี อยู่ในวัยที่กำลังเบ่งบานราวกับบุปผา เป็นหญิงงามสะคราญโฉม เมิ่งจ่างสยงบิดาของนางคือแม่ทัพใหญ่เจี้ยนเวยแห่งราชวงศ์ต้าโจวผู้มีชื่อเสียงขจรขจาย ในมือกุมกองทัพทหารนับร้อยหมื่นนาย ประจำการอยู่นอกด่านเป็นเวลาหลายปี ที่ราชวงศ์ต้าโจวสามารถเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ภายใต้การรุกรานอย่างไม่หยุดหย่อนของชนเผ่าหมานล้วนอาศัยกองทัพสกุลเมิ่งอันไร้เทียมทานของเมิ่งจ่างสยง

สกุลเมิ่งก่อร่างสร้างตัวขึ้นด้วยความดีความชอบทางการทหาร ความสามารถในการสู้รบยอดเยี่ยมเป็นเลิศ ในสมัยพระเจ้าโจวไท่จู่สกุลเมิ่งก็ได้รับลำดับศักดิ์เป็นขุนนางชั้นสูง สืบทอดบรรดาศักดิ์เฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกง ในราชวงศ์ต้าโจวนี้ยังไม่ต้องพูดถึงอัครเสนาบดีผู้แผ่อำนาจปกคลุมทั้งในราชสำนักและหมู่มวลประชา เพราะแม้กระทั่งฮ่องเต้ยังต้องทรงไว้หน้าเขาถึงสามส่วนเช่นเดียวกัน

เมิ่งซังอวี๋ที่มีทั้งอำนาจและรูปโฉมพอเข้าวังมาก็กลายเป็นหนามยอกอกของสนมชายาในวังทันที แต่ต่อสู้แก่งแย่งมาได้สามปี พวกนางไม่เพียงไม่สามารถดึงหนามยอกอกนี้ออกไปได้ แต่ยังปล่อยให้อีกฝ่ายเหยียบย่ำตนแล้วปีนสูงขึ้นไปยิ่งขึ้น แม้แต่ฮองเฮาก็ทรงถูกขู่เข็ญจนสิ้นพระชนม์ อีกทั้งฮ่องเต้ก็ยังไม่ใคร่จะสนพระทัย แล้วใครจะกล้าไปแตะต้องตัวโชคร้ายนี้เล่า?

ต่อหน้าเต๋อเฟยผู้ก้าวร้าวดุดัน เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว และมีนิสัยโหดเหี้ยม บรรดาสนมชายาทั้งหลายก็รู้สึกไร้สิ้นกำลังอยู่ไม่น้อย

ยามนี้เมิ่งซังอวี๋ ‘ชายาคนโปรด’ ผู้มีลูกไม้ชวนให้คนพรั่นพรึงเป็นที่กล่าวขวัญค่อยๆ ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเรียกปลุกเบาๆ ของแม่นมเฝิง นางหยัดกายขึ้น เอนพิงหัวเตียงอย่างเกียจคร้าน ดวงตาหงส์คู่นั้นสะลึมสะลือหรี่ปรือน้อยๆ ปล่อยให้แม่นมเฝิงหยิบผ้าเช็ดหน้าอุ่นๆ เช็ดหน้าเช็ดแขนให้นาง

จนกระทั่งใบหน้าสะอาดสดชื่น นางจึงเดินเท้าเปล่าไปสวมรองเท้าปักลายคู่หนึ่งแล้วเดินเหยียบส้นมายังหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อให้นางกำนัลหวีสางเส้นผมให้ ร่างท่อนบนของนางสวมเอี๊ยมตัวน้อยสีแดง ปกปิดทรวงอกกลมกลึงได้พอดี ท่อนล่างสวมใส่กางเกงผ้าไหมทรงหลวมสีขาวบริสุทธิ์ เนื้อผ้าบางเบาแนบสนิทกับผิวซึ่งขับเน้นเรียวขางามเด่นของนางให้เกิดเป็นโครงร่างรางเลือน

กึ่งปิดกึ่งเปิดเช่นนี้ยั่วยวนใจเสียยิ่งกว่าถอดอาภรณ์ออกจนหมดสิ้นเสียอีก นางกำนัลหลายนางที่คอยปรนนิบัติอยู่อีกด้านใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ทว่าก็ยังมองไปยังสตรีผู้งดงามดึงดูดอีกคราอย่างอดใจไม่ไหว

“เต๋อเฟยเพคะ เริ่มเข้าสารทฤดูแล้ว ยามเช้าอากาศหนาวเย็นนัก พระองค์สวมอาภรณ์เพิ่มอีกตัวเถอะเพคะ” ลมเย็นๆ สายหนึ่งโชยเข้ามาในตำหนักบรรทมจากช่องหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่ง หัวคิ้วของแม่นมเฝิงพลันขมวดมุ่น รีบหยิบชุดคลุมยาวบางเบาสวมให้เมิ่งซังอวี๋ทันที

เมิ่งซังอวี๋ปล่อยให้แม่นมเฝิงจับแต่งตัวตามใจ ครั้นเห็นปี้สุ่ยเดินอุ้มอาเป่าเข้ามาแววตาเบื่อหน่ายรำคาญใจของนางก็พลันเปล่งประกายทันใด

เมื่อคืนกู่เซ่าเจ๋อหลับลึกยิ่ง จนกระทั่งปี้สุ่ยเข้ามาใกล้ตะกร้า ยื่นมือหมายจะเลิกผ้าฝ้ายผืนน้อยออก เขาถึงได้ตื่นขึ้น

เมื่อเห็นอาเป่าตื่นแล้ว ปี้สุ่ยจึงอุ้มมันขึ้นทันที แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าเช็ดปากและเล็บของมัน จากนั้นจึงอุ้มเข้าไปตำหนักบรรทม เต๋อเฟยชื่นชอบสัตว์ตัวเล็กๆ เพียงไร ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าปี้สุ่ยอีกแล้ว ดังนั้นนางจึงคาดเดาได้ว่าถ้าเต๋อเฟยได้เห็นอาเป่าแต่เช้าจะต้องดีใจอย่างแน่นอน

กู่เซ่าเจ๋อดิ้นรนขัดขืนอยู่ในมือของปี้สุ่ย เดิมทียังคิดจะก่นด่า แต่ก็จนใจที่ลูกสุนัขตัวหนึ่งอย่างเขาทำได้เพียงส่งเสียงร้องครวญดังเอ๋งๆ หงิงๆ ดังนั้นพออ้าปากขึ้นจึงหุบลงทันใด ทว่าในใจยังคงโมโหขุ่นเคือง

เพิ่งจะเข้ามาในตำหนัก กลิ่นหญ้าเขียวหอมสดชื่นสบายจมูกก็ลอยมาปะทะ พาให้ปลุกเร้าจิตใจผู้คน ไม่เหมือนกลิ่นหอมฉุนจมูกของไม้จันทน์ในตำหนักอื่น และไม่เหมือนกับกลิ่นหอมเข้มข้นของอำพันทะเลในวังเฉียนชิง เมื่อได้กลิ่น กู่เซ่าเจ๋อซึ่งอาศัยร่างสุนัขที่มีประสาทดมกลิ่นฉับไวกว่าแต่ก่อนจึงหยุดขัดขืนต่อต้าน ทำเพียงเงยหน้ามองไปยังเมิ่งซังอวี๋ซึ่งกำลังแต่งหน้าแต่งตัวอยู่หน้ากระจก

นางนั่งหันข้าง อาภรณ์สีขาวดุจหิมะแซมด้วยสีแดงชาดซึ่งในสายตาของเขาเห็นเป็นสีขาวและสีเทาเข้ม หลังจากสีสันอันสวยสดงดงามกลายเป็นสีทางเดียวกลับทำให้ภาพที่เห็นดูสูงส่งเหนือสามัญ โดยเฉพาะเส้นผมสีดำดุจน้ำหมึกที่เหยียดยาวลงมาถึงข้อเท้าราวกับน้ำตกนั้น มันเปล่งประกายเงาวาวน้อยๆ งดงามเสียจนกระทบจิตวิญญาณของผู้คน

หลังจากผ่านวันคืนอันสลัวรางและน่ากังวลใจมาสิบกว่าวัน ภาพยามเช้าอันธรรมดาสามัญอย่างที่สุดภาพนี้กลับเปี่ยมไปด้วยสีสันและมีชีวิตชีวามากที่สุดในสายตาของกู่เซ่าเจ๋อ ราวกับว่าเขายังคงเป็นฮ่องเต้แห่งต้าโจวผู้ปรีชาสามารถซึ่งกำลังรอให้สนมชายามาปรนนิบัติเปลี่ยนอาภรณ์ล้างหน้าหวีผม

แต่ทว่าเขาก็ได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว เพราะหญิงสาวหน้ากระจกยื่นมือมาอุ้มเขาขึ้น ก่อนจะก้มหน้าจรดจุมพิตลงบนเปลือกตา กลีบปากอ่อนนุ่มไล้ผ่านไปราวกับปีกผีเสื้อ ทำให้เกิดอาการชาวาบและคันยุบยิบ ทั้งยังเจือด้วยกลิ่นหอมละมุนอันเป็นเอกลักษณ์

นี่คือจุมพิตที่ผู้เป็นนายมีให้สัตว์เลี้ยง หาใช่จุมพิตที่สตรีมีให้บุรุษ ชั่วพริบตานั้นในใจของกู่เซ่าเจ๋อพลันสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยังโมโหที่ยามนี้ตนเผยความอ่อนแอออกมา เขาจึงเริ่มดิ้นขัดขืนอย่างรุนแรงอีกครั้ง

“โอ๊ย อย่าขยับส่งเดชสิ ระวังจะตกลงไปนะ!” หลังมือของเมิ่งซังอวี๋ถูกเล็บข่วนเข้าหนึ่งแผล นางจึงรีบย่อตัววางอาเป่าลงเพื่อเลี่ยงไม่ให้มันทำให้ตนบาดเจ็บ

“เต๋อเฟยทรงเป็นอะไรหรือไม่เพคะ” อิ๋นชุ่ยและปี้สุ่ยถามขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

แม่นมเฝิงพุ่งเข้าไปด้วยความโกรธแค้น เหยียดเท้าออกหมายจะเตะอาเป่าให้ปลิว

“แม่นม อย่า! ข้าไม่เป็นไร!” เมิ่งซังอวี๋เห็นท่าไม่ดีจึงรีบห้ามเอาไว้ แล้วยกหลังมือเพื่อแสดงให้ดูว่าตนไม่ได้รับบาดเจ็บ

ผิวพรรณขาวเนียนละเอียดดุจกระเบื้องเคลือบเป็นรอยแดงทว่าไม่ได้มีเลือดไหล แต่ก็ทำให้แม่นมเฝิงเจ็บปวดหัวใจเป็นหนักหนา นางหยิบยาทาผิวกระปุกหนึ่งออกมาบรรจงทาให้เมิ่งซังอวี๋ ในน้ำเสียงต่ำลึกยังคงเจือด้วยความขุ่นเคือง “สัตว์เดรัจฉานตัวน้อยนี้ดุร้ายยากจะสั่งสอนให้เชื่อง สมกับที่เป็นสุนัข! เต๋อเฟยทรงส่งมันคืนโรงเลี้ยงสัตว์เถอะเพคะ แล้วพวกเราค่อยเลือกสุนัขพันธุ์ซีซือที่นิสัยว่าง่ายสักตัวกลับมาเลี้ยงแทน”

ไม่มีใครรู้ตัวว่าอาเป่าซึ่งนั่งนิ่งอยู่ตรงมุมห้องกำลังใช้สายตาประดุจคมมีดมองทิ่มแทงไปยังแม่นมเฝิง เพราะสายตาคมกริบนี้ถูกขนดกหนาของมันปิดบังเอาไว้ กอปรกับร่างกายเล็กจ้อยน่าเอ็นดูไร้ซึ่งแววอาฆาตมาดร้าย จึงมิได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในตำหนัก

ร่างกายของกู่เซ่าเจ๋อแข็งทื่อ หันหน้ามองไปยังเมิ่งซังอวี๋ รอคอยคำตัดสินของนาง

เขาทำพลาดไปเสียแล้ว ในเมื่อตัดสินใจว่าจะพึ่งพาอาศัยเต๋อเฟยเป็นการชั่วคราว เขาก็จำเป็นต้องประนีประนอมและยอมอ่อนข้อให้ ยามนี้เขามิใช่ฮ่องเต้ผู้อยู่สูงส่งเหนือผู้คน แต่เป็นสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง และสัตว์เลี้ยงก็ควรจะว่านอนสอนง่าย ต้องรู้ว่าจะประจบเอาใจผู้เป็นนายอย่างไร ครั้นพอคิดขึ้นว่าเมื่อก่อนมีแต่สตรีเหล่านี้ที่ต้องใช้สารพัดวิธีมาเอาอกเอาใจเขา กู่เซ่าเจ๋อก็พลันรู้สึกรันทดใจที่ถูกกรรมตามสนอง

“จะเลี้ยงสัตว์ก็ต้องดูที่พรหมลิขิต ข้าเห็นอาเป่าเพียงครั้งแรกก็หลงรักมันเลย ไม่เปลี่ยนหรอก!” เมิ่งซังอวี๋ส่ายศีรษะอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยว จากนั้นจึงกล่าวเสริมว่า “อาเป่ายังเล็กนัก จะกลัวคนแปลกหน้าก็เป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง รอให้พวกเราอยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็จะสนิทกันไปเอง สุนัขเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดในโลกนี้ ขอแค่เจ้าจริงใจต่อมัน มันก็จะจริงใจต่อเจ้าเช่นกัน ดีกว่ามนุษย์ส่วนมากมากมายนัก”

ครั้นกู่เซ่าเจ๋อได้ยินเช่นนั้น จิตใจที่เครียดขึงจึงผ่อนคลายลง เขาใช้แววตาสลับซับซ้อนมองประเมินใบหน้าอันเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนของเมิ่งซังอวี๋ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเต๋อเฟยที่เด็ดขาดไร้ปรานีต่อผู้คนจะมีจิตใจโอบอ้อมอารีต่อสัตว์ถึงเพียงนี้ และเขาก็รู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสุนัขตัวหนึ่ง นางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสแสร้ง ดังนั้นนี่จึงเป็นความคิดที่แท้จริงของนาง

ใจเขาหวั่นไหวอย่างที่สุด ไม่อาจไม่ยอมรับว่านางกล่าวได้มีเหตุผลยิ่งนัก บนโลกนี้ใจคนเป็นสิ่งที่ยากจะคาดคะเนที่สุด อันตรายที่สุด บางทีอาจเป็นเพราะนางมองได้ทะลุปรุโปร่งเกินไป เพราะฉะนั้นจึงมีแต่ยามที่อยู่ต่อหน้าสัตว์ที่ใสซื่อบริสุทธิ์เท่านั้นถึงจะผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง แล้วเหตุใดเขาถึงไม่ทำเช่นนั้นบ้างเล่า…

พอคิดถึงตรงนี้แววตาที่มองไปยังเมิ่งซังอวี๋ก็เผยแววสงสารอยู่หลายส่วนอย่างไม่อาจห้าม สตรีผู้นี้มิได้น่ารังเกียจอย่างที่เขาคิด นางยังมีข้อดีที่มาทดแทนกันได้

เมื่อเห็นอาเป่าหลบอยู่ที่มุมห้องทั้งยังจ้องมองตนอย่างนิ่งเงียบ ร่างน้อยๆ ช่างดูน่าสงสารเวทนา ในใจของเมิ่งซังอวี๋ก็อ่อนยวบ นางสั่งให้นางกำนัลจัดอาหารเช้าพลางกวักมือเรียกอาเป่า “อาเป่ารีบมานี่เร็วเข้า ได้เวลากินอาหารเช้าแล้ว”

ร่างกายนี้เพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน ไม่อาจทนต่อความหิว กู่เซ่าเจ๋อจึงมิได้ต่อต้าน เดินเตาะแตะไปตรงหน้าเมิ่งซังอวี๋แล้วเงยหน้ามองนาง

เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าขึ้นมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ ลูบแผ่นหลังของมันพลางมองไปทางแม่นมเฝิง ยิ้มกล่าวว่า “แม่นม เจ้าดูสิ ที่จริงอาเป่าของข้าว่านอนสอนง่ายยิ่ง”

เมื่อเห็นผู้เป็นนายชื่นชอบอาเป่าจริงๆ ต่อให้ความไม่พอใจของแม่นมเฝิงมีมากเท่าใดก็สลายหายไปจนสิ้น พูดเออออตามด้วยความรักใคร่เมตตา

อาเป่าวางเท้าป้อมสั้นทั้งสี่ข้างลง นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะตามคำสั่งทุกประการ ด้านหนึ่งมัวเมากับสัมผัสลูบไล้ด้วยความรัก อีกด้านก็ลอบเตือนตัวเองว่าอย่าถูกสตรีผู้นี้สั่งสอนจนกลายเป็นสัตว์เลี้ยงไร้อนาคตตัวหนึ่ง

อาหารเช้าถูกยกเข้ามาอย่างรวดเร็ว กู่เซ่าเจ๋อได้กลิ่นหอมของโจ๊กหมูมาแต่ไกล เขาทำจมูกฟุดฟิด ในปากขับน้ำลายออกมาอย่างรวดเร็วกระทั่งร่วงหยดลงบนโต๊ะ นี่คือสัญชาตญาณของสัตว์ ต่อให้เป็นฮ่องเต้แห่งต้าโจวผู้ปรีชาชาญก็ไม่อาจควบคุมได้

“คิก”เมิ่งซังอวี๋ปิดปากหัวเราะเสียงเบา พร้อมทั้งกวักมือเรียกพวกนางกำนัล “เร็วๆ หน่อย อาเป่าหิวแล้ว”

กู่เซ่าเจ๋อปิดปากสนิทพลางกลืนน้ำลายลงคอ เขารู้สึกว่าพวงแก้มแดงเห่อ อยากจะใช้เล็บขุดรูมุดหนีไปใจจะขาด โชคดีที่ขนของเขาดกหนาจึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความผิดปกติ

“เต๋อเฟยทรงให้อาเป่าลงมากินข้างล่างเถอะเพคะ มิฉะนั้นมันจะทำให้โต๊ะเปื้อนจนพระองค์หมดความอยากอาหาร” อิ๋นชุ่ยซึ่งกำลังยกโจ๊กหมูมาวางเอ่ยแนะนำเสียงเบา

“ไม่เป็นไร ข้าชอบให้อาเป่ากินข้าวเป็นเพื่อน” เมิ่งซังอวี๋โบกมือ รับถ้วยโจ๊กมาวางไว้ตรงหน้าอาเป่าด้วยตัวเอง ก่อนจะเอ่ยเสียงอบอุ่น “กินสิ”

สตรีผู้นี้ยอมให้สุนัขขึ้นมากินอาหารบนโต๊ะ? กู่เซ่าเจ๋อมองนางแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ ในใจรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้มีอาหารเลิศรสอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่อาจคิดให้มากความ สัญชาตญาณของสัตว์กระตุ้นให้เขาฝังศีรษะลงแล้วเลียกินคำโตๆ ในทันที

เมิ่งซังอวี๋เห็นอาเป่ากินอย่างเอร็ดอร่อยจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาจะทานอาหาร ตัวนางมีน้ำตาลในเลือดต่ำ ปกติแล้วยามเช้าไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไรนัก เพียงแต่เพราะเช้านี้มีอาเป่าอยู่ด้วยจึงทานโจ๊กไก่ฉีกหนึ่งถ้วยและขนมอีกจานเล็กๆ หมดอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้แม่นมเฝิงดีใจจนหน้าชื่นตาบาน

เมิ่งซังอวี๋ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากและเท้าคางมองชื่นชมท่าทางยามกินของอาเป่าด้วยแววตาอมยิ้ม ขนาดของลูกสุนัขที่เพิ่งเกิดได้หนึ่งเดือนไม่ใหญ่เท่าปากถ้วย เวลานี้ร่างครึ่งหนึ่งของมันจึงมุดลงไปในถ้วย มองดูแล้วน่าขบขันเป็นอย่างมาก มันเลียกินคำแล้วคำเล่า ไม่ช้าไม่เร็ว แผ่กลิ่นอายสุภาพสง่างามออกมา

เมิ่งซังอวี๋เลิกคิ้ว กล่าวกับอิ๋นชุ่ยว่า “ดูสิ อาเป่าของข้าไม่ทำโต๊ะสกปรกเสียหน่อย ท่าทางยังสง่างามเสียยิ่งกว่าราชาราชสีห์ อีกนะ!”

ราชาราชสีห์? มันคืออะไรกันเล่า ในใจกู่เซ่าเจ๋องุนงง แต่คำว่า ‘ราชา’ ก็ทำให้เขาพอใจที่นางนำผู้เป็นราชามาเปรียบกับตน

อิ๋นชุ่ยหัวเราะพลางขานรับ เมื่อเห็นว่าใกล้ได้เวลาแล้วจึงปรนนิบัติเมิ่งซังอวี๋แต่งหน้าแต่งกาย เตรียมไปคารวะหลี่กุ้ยเฟยที่วังเฟิ่งหลวน (พญาหงส์)

เสื้อคลุมชั้นนอกตัวกว้างถูกถอดออก เปลี่ยนเป็นชุดพิธีการอันสุภาพเรียบร้อยงามสง่า ผมดำขลับก็เกล้าขึ้นเป็นมวย เสียบปิ่นปักผมอันหรูหราสวยงามลงไป สุดท้ายจึงใช้ดินสอถ่านปลายเรียวแหลมวาดหางตาที่ยกขึ้นให้หนามากยิ่งขึ้น ปกปิดท่าทีเลื่อนลอยที่นางอาจเผลอแสดงออกมา ยามนี้เต๋อเฟยผู้มีสีหน้าเยียบเย็นเปี่ยมด้วยพลังอำนาจกดดันจึงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้คน

เมื่อมองดูสตรีที่บุคลิกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย กู่เซ่าเจ๋อซึ่งเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยก็ตะลึงงันไป เขาไม่เข้าใจ แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ เติมแต่งเครื่องประทินโฉมอีกเล็กน้อย ไฉนนางถึงได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนได้เช่นนี้ เขาออกจะคิดถึงเต๋อเฟยคนเมื่อครู่ที่ปล่อยตัวเป็นธรรมชาติมากกว่า

เมิ่งซังอวี๋เดินมาที่โต๊ะ ลูบหัวน้อยๆ ของอาเป่า ก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาเป่าเป็นเด็กดีรออยู่ในวังนะ ห้ามหนีไปไหน ข้าออกไปครู่เดียวก็กลับมาแล้ว”

ไปวังเฟิ่งหลวน? กู่เซ่าเจ๋อไม่ใคร่จะสนใจนัก เขาวางแผนไว้ว่ารอให้เต๋อเฟยออกไปแล้วก็จะแอบเข้าไปดูที่วังเฉียนชิง วังปี้เซียวอยู่ใกล้กับวังเฉียนชิงมาก ใช้เวลาเดินไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา แต่คำพูดต่อมาของนางกลับทำลายแผนการของเขาจนแตกกระจุยอย่างรวดเร็ว

เมิ่งซังอวี๋มองไปยังนางกำนัลสองสามคนที่คอยเฝ้าปรนนิบัติอยู่ข้างโต๊ะ แล้วสั่งอย่างรอบคอบ “พวกเจ้าดูอาเป่าไว้ให้ดีๆ อย่าปล่อยให้หนีออกไปจากวังปี้เซียวเชียว มันยังเล็กนัก ระหว่างทางอาจมีคนมองไม่เห็นแล้วเดินเตะหรือเหยียบเอาได้ง่ายๆ”

เหล่านางกำนัลน้อมรับอย่างพร้อมเพรียง ทำให้กู่เซ่าเจ๋อหงุดหงิดเล็กน้อย

ราวกับรู้สึกได้ถึงอารมณ์เศร้าซึมของอาเป่า เมิ่งซังอวี๋อุ้มมันขึ้นมาแล้วหอมจมูกเปียกชื้นของมัน ยิ้มพลางกล่าวว่า “รออาเป่าโตแล้วข้าจะพาอาเป่าไปเดินเล่นที่อุทยานหลวง ในอุทยานหลวงทั้งสวยงามทั้งกว้างขวาง มีที่น่าสนุกมากมายเลยล่ะ อาเป่าจะต้องชอบแน่ๆ”

ท่าทีรักใคร่เอ็นดูเช่นนี้มันคืออะไรกัน ไม่เหมือนกับการปฏิบัติต่อสัตว์เลี้ยง แต่เหมือนกับปฏิบัติต่อเด็กคนหนึ่ง ทว่าเขาก็พร่ำบ่นไม่ได้ ในฐานะที่เป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงกู่เซ่าเจ๋อรู้สึกซาบซึ้งใจไปชั่วขณะ

“เอาล่ะ ทำงานได้แล้ว แสดงมาดสูงส่งเย็นชาของพวกเจ้าให้ข้าดูเดี๋ยวนี้!” เมิ่งซังอวี๋ส่งอาเป่าให้นางกำนัลผู้หนึ่งอย่างระมัดระวัง จากนั้นสีหน้าก็พลันเคร่งขรึม ปรบมือพร้อมกับออกคำสั่ง

“เพคะ!” บรรดานางกำนัลที่อยู่ด้านหลังนางทั้งหลายพากันปิดปากหัวเราะเบาๆ แล้วจึงยืดเอวยืดหลังตั้งตรง เชิดคาง มีท่าทีคล้ายใช้จมูกมองดูผู้คนอยู่รางๆ ในแววตาอันคมปลาบปรากฏความเย่อหยิ่งและหยามหยัน รัศมีของความยโสโอหังแผ่กระจายเข้ามา

กู่เซ่าเจ๋อตกใจจนนิ่งอึ้ง แข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดของนางกำนัล มองดูพวกเมิ่งซังอวี๋เดินจากไปอย่างโอ่อ่าเกรียงไกรด้วยความตะลึงงัน

เต๋อเฟยและนางกำนัลที่เป็นเช่นนี้ถึงจะเป็นแบบที่เขาคุ้นเคยในยามปกติ คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแค่การแสดง เป็นลักษณะที่เต๋อเฟยจงใจสร้างออกมา นางทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน

พอไตร่ตรองดูเล็กน้อยเขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นแค่วิธีปกป้องตัวเองของนางเท่านั้น นางไม่อยากโอ้อวดแต่ก็ไม่อาจไม่โอ้อวด ไม่อยากโหดเหี้ยมแต่ก็ไม่อาจไม่โหดเหี้ยม การทำเช่นนี้ถึงจะสามารถสยบศัตรูเอาไว้ได้ ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าลงมือได้ง่ายๆ อย่างน้อยหากมิได้มีลำดับถึงขั้นฮองเฮาหรือกุ้ยเฟยก็ไม่อาจมีความสามารถถึงขนาดที่ลงมือให้สำเร็จได้ในคราวเดียว คนรอบด้านย่อมไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือง่ายๆ เพราะกลัวจะแบกรับการล้างแค้นจากเต๋อเฟยไม่ไหว การทำเช่นนี้สามารถลดปัญหายุ่งยากที่ไม่จำเป็นลงไปได้มาก

กู่เซ่าเจ๋อไม่อาจไม่ยอมรับ เดิมทีเขาไม่คิดว่าสตรีที่ความคิดไม่ซับซ้อน ใช้กลอุบายหยาบกระด้างจะมีสติปัญญาฉลาดเฉลียวเช่นนี้ และเมื่อยิ่งคิดให้ไกลอีกหน่อย เขาก็ยิ่งตกตะลึง เป็นความจริงที่นางอวดตนวางอำนาจ มีสนมที่ถูกนางเล่นงานมากมายนับไม่ถ้วน แต่นางก็รู้ว่าใครสามารถล่วงเกินได้ และใครไม่อาจล่วงเกินได้ นางเหยียบอยู่บนขีดจำกัดของเขามาโดยตลอด ไม่เคยข้ามเส้น ดังนั้นถึงแม้ว่าในใจจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขาก็ยอมมอบเกียรติยศและอำนาจให้นางในระดับหนึ่ง นี่คือผลลัพธ์จากการวางแผนอย่างลำบากยากเย็นของนาง

สตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา แม้กระทั่งเขาก็ถูกหลอก! กู่เซ่าเจ๋อทอดถอนใจ ยิ่งทวีความหวั่นเกรงที่มีต่อสกุลเมิ่ง แต่เขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าความรังเกียจที่ตนมีต่อเต๋อเฟยกำลังลดน้อยลง

สตรีฉลาดมักจะทำให้ผู้คนสรรเสริญชื่นชม สตรีที่ทั้งฉลาดทั้งงดงามยิ่งทำให้ผู้คนยากจะต้านทาน หากอยู่ร่วมกับสตรีเช่นนี้ทุกเช้าสายบ่ายเย็นก็จะถูกครอบครองหัวใจได้ในไม่ช้าก็เร็ว

 

หลังจากเมิ่งซังอวี๋เดินออกไป กู่เซ่าเจ๋อก็คิดจะแอบหนีออกไปหลายครั้งหลายครา แต่จนปัญญาเพราะนางกำนัลที่คอยดูแลเขาซื่อตรงต่อหน้าที่อย่างยิ่ง แค่เดินไปไม่กี่ก้าวก็มักจะถูกอุ้มกลับมา ไม่มีโอกาสเลยแม้แต่น้อย หลังจากพยายามมาสิบกว่าครั้ง ร่างกายอันอ่อนแอของลูกสุนัขก็ทนรับไม่ไหว เขาจึงจำต้องยอมแพ้

เขากระแทกเท้าหน้าทั้งสองข้างลงกับพื้น นั่งรอเมิ่งซังอวี๋กลับมาอยู่หน้าประตูด้วยความอดทน หากมีเต๋อเฟยอยู่ด้วย ความกระวนกระวายและความไม่สบายใจในหัวใจของเขาจะลดน้อยลงไปมาก อาการติดเจ้านายถูกปลูกฝังลงในก้นบึ้งของหัวใจของเขาตั้งแต่ยามที่เห็นนางเป็นครั้งแรกหลังจากที่กลายเป็นสุนัข แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้สึก

ยามซื่อ

 

สามเค่อ เมิ่งซังอวี๋พานางกำนัลเดินนวยนาดเข้ามา พอเห็นเงาร่างของนางดวงตาสีดำสนิทของกู่เซ่าเจ๋อก็สว่างวาบ เดินเข้าไปหาอย่างไม่อาจระงับอารมณ์ หางปุกปุยด้านหลังสะบัดซ้ายทีขวาที เผยจิตใจอันเบิกบานมีความสุขออกมาจนหมดสิ้น ทันใดนั้นเขาก็พลันรู้สึกตัวว่าตนยับยั้งท่าทีไว้ไม่อยู่ จึงชะงักไปทั้งร่าง ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิมอย่างลังเล

ในขณะเดียวกันเมิ่งซังอวี๋ก็เห็นก้อนกลมน้อยๆ สีน้ำตาลตรงหน้าประตู นางก้าวเดินอย่างรวดเร็ว แล้วช้อนก้อนกลมตัวน้อยๆ เข้าสู่อ้อมกอด สุ้มเสียงใสกังวานเต็มเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี “อาเป่ารอข้ากลับมาหรือ เป็นเด็กดีจริงๆ!”

กู่เซ่าเจ๋อรู้สึกว่าหน้าผากของตนถูกนางหอมแรงๆ สองที เต๋อเฟยผู้เปิดเผยอบอุ่นเช่นนี้เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน สตรีผู้นี้เปรียบเสมือนภูเขาไฟ หัวใจอันอ่อนโยนร้อนเร่าถูกหินผาที่เย็นเฉียบหนาแน่นครอบเอาไว้เป็นชั้นๆ ไม่เคยแสดงออกมาให้เห็น พอตระหนักได้ถึงจุดนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดหัวใจของเขาจึงพลันรัดแน่น แม้ไม่เจ็บปวดแต่กลับอึดอัดอยู่ไม่น้อย

เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่ากลับไปภายในตำหนัก พอเห็นว่าคราวนี้อาเป่ามิได้ดิ้นหนีในใจก็รู้สึกลิงโลดเล็กน้อย นางลูบแผ่นหลังของอาเป่าครั้งแล้วครั้งเล่า ความเคลื่อนไหวทั้งแผ่วเบาทั้งอ่อนโยน ในวังหลวงอันหนาวเหน็บแห่งนี้มีเพียงเจ้าตัวน้อยในอ้อมอกเท่านั้นที่เป็นของนางอย่างแท้จริง ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกมันหักหลัง

ด้านกู่เซ่าเจ๋อ ทางหนึ่งก็เตือนตัวเองไม่ให้เคลิบเคลิ้มมัวเมา อีกทางหนึ่งก็หลับตาพริ้ม เสพสุขกับการลูบไล้อันแผ่วเบาของนาง สัญชาตญาณของสัตว์แกร่งกล้ามากเกินไป เขายากจะต้านทาน

แม่นมเฝิงถือชากาหนึ่งเดินเข้ามา รินให้ผู้เป็นนายจนเต็มถ้วย ก่อนจะกล่าวด้วยความพะว้าพะวัง “ตั้งแต่ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาก็พักผ่อนรักษาพระวรกายเป็นเวลาหลายวันแล้ว ไฉนยังไม่ออกว่าราชการ ทั้งยังไม่เรียกสนมชายาเข้าเฝ้าด้วยเล่า คงมิใช่ว่าพระวรกายมีปัญหาใหญ่กระมัง ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปแผ่นดินต้าโจวของพวกเราจะต้องวุ่นวายเป็นแน่”

กู่เซ่าเจ๋อซึ่งยังคงต่อสู้กับสัญชาตญาณได้สติขึ้นมาในพริบตา หูตั้งสนใจฟังบทสนทนาของคนทั้งสอง

เมิ่งซังอวี๋ยกถ้วยชาจรดริมฝีปาก จิบเบาๆ หนึ่งคำ แล้วกล่าวอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก “คนใต้บังคับบัญชาของฝ่าบาทมีฝีมือเก่งกาจยอดเยี่ยม แผ่นดินต้าโจวยังไม่วุ่นวายในเร็ววันนี้หรอก พวกเราไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเป็นห่วง พอถึงเวลาก็จะรู้เอง”

“ไฉนการเป็นห่วงเป็นใยฝ่าบาทถึงเป็นการเปลืองแรงไปได้เล่าเพคะ ดีร้ายอย่างไรพระองค์ก็ควรใส่ใจเสียหน่อย” แม่นมเฝิงปวดหัวเล็กน้อย นางเอ่ยโน้มน้าวอย่างเข้มงวดจริงจังเพราะความปรารถนาดี “พระองค์ดูสิเพคะ สนมทั่วทั้งวังมีผู้ใดไม่ส่งคนไปถามพระอาการอยู่ทุกวันบ้าง ทั้งโอสถ น้ำแกง และถุงหอมก็มีส่งไปไม่ได้ขาด อย่างหลี่กุ้ยเฟยเองก็นั่งคุกเข่าอยู่นอกวังเฉียนชิงตั้งครึ่งวัน ได้ยินว่าหลายวันนี้คัดลอกพระคัมภีร์ไปแล้วหลายเล่มเพื่อขอพรให้ฝ่าบาท เต๋อเฟยจะยอมผู้อื่นไม่ได้เด็ดขาดนะเพคะ!”

ปี้สุ่ยกับอิ๋นชุ่ยได้ยินวาจากระตุ้นให้ผู้เป็นนายไปประจบขอความโปรดปรานของแม่นมเฝิงจนเบื่อแล้ว ทั้งสองจึงสบตากันแวบหนึ่งแล้วเผยสีหน้าเหนื่อยใจออกมา แม่นมเฝิงผู้นี้มีสายตาคับแคบ ไม่เข้าใจสถานภาพของผู้เป็นนาย แต่ใจภักดีที่นางมีต่อเจ้านายกลับไม่มีข้อกังขา

เมิ่งซังอวี๋ก้มหน้าดื่มชา แอบลอบกลอกตาหนึ่งที ทว่ากลับถูกอาเป่าที่อยู่ในอ้อมกอดเห็นเข้าเต็มสองตา

นี่คือสีหน้าอะไรกัน ดูแคลนเราอย่างนั้นหรือ เขาขมวดคิ้ว ความรู้สึกอึดอัดในอกกระทั่งหายใจยังลำบากปรากฏขึ้นอีกครา

เมิ่งซังอวี๋วางถ้วยชาลง ก่อนจะเอ่ยปากด้วยความจนปัญญา “โอสถ น้ำแกง ถุงหอม พระคัมภีร์ ยันต์คุ้มภัย มีสิ่งใดบ้างที่ข้ามิได้ส่งไป เรื่องพวกนี้ทำให้เห็นแค่นิดหน่อยก็พอแล้ว หากทำมากไปกลับจะพานให้คนรำคาญ ตอนนี้ฝ่าบาททรงจำเป็นต้องพักผ่อนเงียบๆ แล้วที่พวกนางทำตัวเช่นนี้เป็นการห่วงใยหรือทำร้ายฝ่าบาทกันแน่ พวกเราอย่าทำตัวอวดฉลาดเป็นการดี”

ไม่เพียงฉลาดเฉลียว แต่ยังเอาใจใส่อย่างยิ่งอีกด้วย! ความรู้สึกอึดอัดในอกกู่เซ่าเจ๋อพลันสลายหายไป เขาลอบรู้สึกพออกพอใจ แต่พอคิดขึ้นได้ว่าคนที่ได้รับความทุ่มเทเอาใจใส่เช่นนี้เป็นภูตผีปีศาจที่มีที่มาไม่ชัดเจนตนหนึ่งโทสะก็โถมทะลักเข้ามาในใจเขาอีกครา

พอแม่นมเฝิงได้ไตร่ตรองเล็กน้อยก็รู้สึกว่าผู้เป็นนายพูดมีเหตุผลจึงปล่อยเรื่องนี้ไป ไม่เอ่ยถึงอีก

หลังจากพูดให้แม่นมเฝิงสงบลง กลีบปากแดงชาดของเมิ่งซังอวี๋ก็ยกขึ้นน้อยๆ จนเกือบจะมองไม่เห็น เผยแววลำพองใจและเจ้าเล่ห์เพทุบายออกมา ทำให้ดวงหน้าที่งามล้ำของนางแต่งแต้มไปด้วยความฉลาดเฉียบแหลม กู่เซ่าเจ๋อเก็บสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ ของนางเข้าสู่ก้นบึ้งความทรงจำ นัยน์ตาสีดำสนิทเป็นประกายน้อยๆ

เมื่อดูอย่างนี้แล้ว เต๋อเฟยก็มิใช่ไม่มีความน่ารักไปเสียทั้งหมด เขาลอบครุ่นคิดในใจ แต่ไม่นานนักการกระทำของนางก็ทำให้เขาเก็บความคิดกลับไปแทบไม่ทัน

“กระบะทรายเตรียมเสร็จแล้วหรือยัง” เมิ่งซังอวี๋มองไปยังปี้สุ่ยซึ่งอยู่ข้างกาย

“ทูลเต๋อเฟย เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ” ปี้สุ่ยโค้งกายตอบกลับ แล้วกวักมือเรียกขันทีน้อยตรงหน้าประตู

ขันทีน้อยพยักหน้า ก่อนจะยกถาดทองแดงที่เต็มไปด้วยทรายเม็ดละเอียดเข้ามาแล้ววางไว้ที่มุมหนึ่งในตำหนัก

เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าเดินเข้าไป ย่อกายวางมันลงข้างกระบะทราย จิ้มศีรษะเล็กๆ ของมันเบาๆ พลางเอ่ยถาม “อาเป่า รู้หรือไม่ว่าถาดนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร”

กู่เซ่าเจ๋อถูไถตัวกับนิ้วมืออุ่นร้อนของนางอย่างไม่รู้ตัว แต่ต่อมาก็โมโหที่การควบคุมตัวเองของตนอ่อนด้อยนัก จึงใช้สายตาไม่พอใจจ้องถลึงใส่นาง

สายตานี้ถูกเมิ่งซังอวี๋ทึกทักเอาเองว่าเป็นสายตาฉงนสนเท่ห์ นางจึงจิ้มจมูกของมัน กล่าวยิ้มๆ ว่า “สิ่งนี้เอาไว้ให้อาเป่าใช้ฉู่ฉู้อึอึ๊ ถ้าเกิดอาเป่าฉู่ฉู้อึอึ๊ไม่เป็นที่แล้วทำให้ในตำหนักมีกลิ่นเหม็น ข้าก็จะลงโทษไม่ให้อาเป่ากินข้าวหนึ่งมื้อ รู้หรือไม่”

ฉู่ฉู้อึอึ๊คือสิ่งใดกัน กู่เซ่าเจ๋อขมวดคิ้ว กระทั่งได้ยินประโยคหลังถึงได้เข้าใจ จากนั้นทั้งร่างก็พลันแข็งทื่อ เขาใช้สายตาที่ราวกับพ่นไฟได้จ้องไปยังสตรีตรงหน้าเขม็ง นี่เป็นการลบหลู่! นี่เป็นการลบหลู่ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าโจวผู้เก่งกาจปรีชา

นางอ่านสายตา ‘เร่าร้อน’ ของอาเป่าผิดพลาดอีกครั้งจึงพยักหน้าอย่างชื่นบาน ตบศีรษะน้อยๆ ของมันอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเอ่ยชื่นชม “ไม่เลวเลย อาเป่าของพวกเราฉลาดจริงๆ!”

“พรืด” ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยซึ่งอยู่ด้านหลังกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

ปี้สุ่ยเก็บรอยยิ้ม กล่าวด้วยความขบขัน “เต๋อเฟยทรงรู้ได้อย่างไรเพคะว่าอาเป่าฟังรู้เรื่อง”

“ไม่ว่ามันจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ข้าก็จะชมเชยมัน สัตว์ก็มีความคิดความรู้สึกเช่นกัน ซ้ำยังมีความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกเก่งกว่าพวกเราเสียอีก เจตนาดีเจตนาร้ายในวาจาของพวกเราพวกมันล้วนรับรู้ได้ ข้าชมเชยมัน มันจะได้รู้สึกมีความสุข จากนั้นก็จะเติบโตได้อย่างแข็งแรง ห้ามด่าทอหรือทุบตีตามแต่ใจแค่เพียงเพราะสัตว์ตัวน้อยๆ เหล่านี้ไม่อาจแสดงความรู้สึกออกมาได้ หลายๆ ครั้งเข้ามันก็จะเรียนรู้จดจำ สุนัขฉลาดยิ่ง ฉลาดพอๆ กับเด็กน้อยอายุสองขวบ มิหนำซ้ำอาเป่าของข้ายังเป็นสุนัขพันธุ์กุ้ยปินซึ่งเฉลียวฉลาดเป็นอันดับสองในหมู่เผ่าพันธุ์สุนัข ดังนั้นมันจึงเข้าใจความหมายของข้าได้อย่างรวดเร็ว”

เมิ่งซังอวี๋อธิบายเสียงอ่อนโยน เมื่อภพที่แล้วนางอยากเลี้ยงสุนัขจึงเคยศึกษาค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมาก่อน พวกปี้สุ่ยเคยชินแล้วที่ผู้เป็นนายมักจะเอ่ยความเห็นแปลกใหม่ไม่เหมือนใครออกมาบ่อยๆ และไม่รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด แต่เมิ่งซังอวี๋หาได้รู้ไม่ว่าวาจาของตนนำพาความรู้สึกหวั่นไหวมาให้กู่เซ่าเจ๋อเพียงใด เขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย ก้มหน้าลง ดวงตาสีดำสนิทปรากฏแสงโชติช่วงอันสลับซับซ้อนออกมา หญิงสาวผู้นี้เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตากรุณาต่อสัตว์ แต่กลับใจดำอำมหิตต่อคน ช่างขัดแย้งกันเสียจริง! นอกจากนั้นนางยังมีความรู้ลึกซึ้งกว้างขวางอีกด้วย

ความรู้สึกรังเกียจที่เขามีต่อเมิ่งซังอวี๋ลดน้อยลงอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว และความคิดที่จะสืบเสาะหาความจริงยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

เมิ่งซังอวี๋สั่งสอนอาเป่าเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ในการใช้ชีวิตจนเสร็จสิ้น เมื่อเห็นมันมีท่าทางจริงจังตั้งใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลาราวกับว่าฟังวาจาของตนอยู่จริงๆ เมิ่งซังอวี๋ก็รู้สึกพอใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งแต่บัดนี้ไปนับได้ว่านางมีสหายแล้ว

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com