ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก

บทที่สาม

แอบหนี

แสงสุริยันต้นสารทฤดูทอสีทองอร่าม ไม่แสบตาและไม่ร้อนจัด ยามสาดส่องลงบนร่างแล้วอบอุ่นกำลังดี ทำให้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก

เมิ่งซังอวี๋สั่งให้นางกำนัลยกตั่งตัวยาวอ่อนนุ่มมาตั้งในสวนดอกไม้ แล้วจึงเอนตัวอยู่บนตั่งอย่างเกียจคร้าน ดื่มชาไปพลางอ่านบันทึกการเดินทางไปพลาง อาเป่าซึ่งถูกเฝ้ามาตลอดทั้งเช้าก็ได้รับอิสรภาพเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ มันกำลังมองสำรวจสภาพโดยรอบสวนดอกไม้ คิดคำนวณหาลู่ทางแอบหนีออกไป

หนึ่งชั่วยามต่อมานางกำนัลผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้ารีบร้อน เมื่อเห็นเมิ่งซังอวี๋กำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือจึงไม่กล้าเข้าไปรบกวน ได้แต่ขยับเข้าไปรายงานข้างหูแม่นมเฝิงด้วยเสียงอันแผ่วเบา สีหน้าแม่นมเฝิงแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน

กู่เซ่าเจ๋อซึ่งเดินเที่ยวเล่นจนเหนื่อยนานแล้วได้กลับไปอยู่ข้างกายเมิ่งซังอวี๋ตามจิตสำนึก ยามนี้กำลังนอนหมอบหลับตาพักผ่อนเอาแรงอยู่ใต้ตั่ง อาศัยความสามารถในการได้ยินที่เฉียบไวกว่าในอดีตหลายเท่าตัว เขาจึงได้ยินคำว่า ‘ฝ่าบาท’ ‘ราชครูเสิ่น’ ‘เหลียงเฟย’ เบาๆ เขาเบิกตาขึ้นทันที มองไปทางแม่นมเฝิงด้วยสายตาวาววับเป็นประกาย

แม่นมเฝิงโบกมือให้นางกำนัลออกไป ก่อนจะขยับเข้าใกล้หูของเมิ่งซังอวี๋พร้อมกับเอ่ยเสียงเบา “เต๋อเฟยเพคะ เมื่อครู่นางกำนัลได้ข่าวมาว่าเช้านี้ฝ่าบาททรงเรียกราชครูเสิ่นเข้าเฝ้า ทั้งสองสนทนากันในห้องทรงพระอักษรถึงสองชั่วยามแบบลับๆ พอราชครูเสิ่นออกไป ฝ่าบาทก็ทรงเรียกให้เหลียงเฟยมาคอยอยู่ปรนนิบัติในห้องทรงพระอักษร ได้ยินว่ายังทรงรับสั่งให้ฉางสี่นำหนังสือฎีกามากมายเข้าไปด้วย ยามนี้จะเริ่มสะสางพระราชกิจแล้วเพคะ”

ใบหูของกู่เซ่าเจ๋อกระดิกหนึ่งที

เมิ่งซังอวี๋วางบันทึกการเดินทางในมือลง ลูบคางพลางเอ่ยถาม “ทรงเรียกราชครูเสิ่นเข้าเฝ้า มิใช่หลี่เซียง?”

ราชครูเสิ่นคือบิดาของเหลียงเฟยเสิ่นฮุ่ยหรู เขาอบรมสั่งสอนฮ่องเต้มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เป็นหัวหอกของขุนนางใจซื่อมือสะอาดฝ่ายบุ๋น แม้จะมีคุณธรรมสูงส่งและมีบารมีมากมาย ทว่าในมือกลับไร้ซึ่งอำนาจ ในทางตรงกันข้าม หลี่เซียงคือบิดาของหลี่กุ้ยเฟย เป็นบุคคลผู้กุมอำนาจของราชวงศ์ต้าโจวอย่างแท้จริง หากฮ่องเต้จะเริ่มจัดการพระราชกิจ คนแรกที่ต้องเรียกให้เข้าเฝ้าควรจะเป็นหลี่เซียง หาใช่ราชครูเสิ่นไม่ เรื่องนี้มีลับลมคมในอย่างยิ่ง!

คิ้วงามของเมิ่งซังอวี๋ขมวดน้อยๆ เอ่ยพึมพำ “ดูท่าครานี้ฝ่าบาทจะบาดเจ็บสาหัสมากจริงๆ กระทั่งไม่มีเรี่ยวแรงควบคุมราชสำนัก มิฉะนั้นคงไม่พึ่งพาราชครูเสิ่นแล้วทำตัวเหินห่างกับหลี่เซียงเช่นนี้”

ราชครูเสิ่นเป็นขุนนางคู่พระทัย กล่าวได้ว่าเป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยมากที่สุด และเป็นคนที่พระองค์จะเลือกมาทำหน้าที่สำคัญในช่วงเวลาอันตราย และถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะทรงมอบหมายให้หลี่เซียงดำรงตำแหน่งสำคัญ ทว่ากลับป้องกันเขาไว้ด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นคงไม่ยกสกุลเมิ่งขึ้นมาฉุดสกุลหลี่เอาไว้เช่นนี้ หากว่ากันตามจริง สกุลเมิ่งและสกุลหลี่ก็เป็นเพียงแค่หมากที่ฮ่องเต้ใช้คานอำนาจในราชสำนักเท่านั้น และนางกับหลี่กุ้ยเฟยก็เป็นเครื่องสังเวยในการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้

เมื่อคิดถึงตรงนี้เมิ่งซังอวี๋ก็นวดขมับแล้วถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง

ในใจกู่เซ่าเจ๋อซึ่งอยู่ใต้ตั่งก็บังเกิดคลื่นโหมสาดซัดเช่นกัน ปีศาจตนนั้นมิได้แอบซุ่มต่อไปเรื่อยๆ แต่กลับเรียกราชครูเสิ่นและฮุ่ยหรูเข้าเฝ้า? มันคงจะไม่คิดทำอันตรายต่อพวกเขากระมัง?

เขายิ่งคิดก็ยิ่งเป็นกังวลจึงยืนขึ้นอย่างฉับพลัน ยกเท้าหมายจะพุ่งออกไปนอกตำหนัก แต่วิ่งออกไปได้ไม่ถึงสองก้าวก็ถูกปี้สุ่ยคว้าเอาไว้ได้ นางเอ็ดดุเสียงเบา “อาเป่า อย่าวิ่งส่งเดชสิ ระวังจะหลงทางจนหายไปล่ะ!”

แม่นมเฝิงไม่ได้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของอาเป่า นางฟังวาจาของผู้เป็นนายจบสีหน้าก็ทุกข์ระทมยิ่งกว่าเดิม เอ่ยปากอย่างละล้าละลัง “ในเมื่อฝ่าบาททรงพึ่งพาราชครูเสิ่นก็ต้องทรงยกย่องเหลียงเฟยขึ้นมาด้วยเป็นแน่ เต๋อเฟยเพคะ พวกเราควรทำอย่างไรดีเล่า”

“ทำอย่างไรหรือ ก็ทำอย่างเคยน่ะสิ!” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะแล้วโบกมืออย่างไม่แยแสสนใจ “ฝ่าบาททรงอยากจะยกย่องใครก็เป็นเรื่องของฝ่าบาท ไม่ว่าฝนจะตกหรือฟ้าจะร้องก็ล้วนเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ไม่มีที่ว่างให้พวกเราสอดปากหรอก” กล่าวจบนางก็ยื่นมือไปหาปี้สุ่ย “ให้ข้าอุ้มอาเป่าหน่อย”

ปี้สุ่ยรับคำ วางอาเป่าที่ยังคงดิ้นไม่หยุดลงในอ้อมกอดของผู้เป็นนาย

แม่นมเฝิงเห็นผู้เป็นนายไม่ใคร่อยากจะสนทนามากไปกว่านี้จึงหยุดปากด้วยความขุ่นข้องใจ

เมื่อเข้าสู่อ้อมกอดอันคุ้นเคย ปลายจมูกก็ได้กลิ่นหอมสดชื่นซึ่งชวนให้รู้สึกดีของเมิ่งซังอวี๋ เส้นขนที่แผ่นหลังถูกลูบด้วยความรักอย่างอ่อนโยนและแผ่วเบาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาทั้งอ่อนแรงทั้งชาหนึบ ความกระสับกระส่ายในใจของกู่เซ่าเจ๋อค่อยๆ สงบลง เขาจึงสามารถครุ่นคิดไตร่ตรองให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น

ถ้าหากเขาอาศัยร่างอื่นอยู่ก็จำเป็นต้องแอบซุ่มดูอยู่สักระยะเพื่อทำความเข้าใจสภาพรอบด้านและความเป็นไปต่างๆ และเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจับได้ก็ต้องกำจัดคนที่คุ้นเคยกับเจ้าของร่างเดิมมากที่สุด ทว่าเจ้าปีศาจในวังเฉียนชิงมิได้ทำเช่นนั้น มันกลับเรียกขุนนางคนสนิทและสนมชายาที่รู้จักกับเจ้าของร่างเดิมมากที่สุดเข้าพบแทน มันไม่กลัวว่าจะเผยช่องโหว่อย่างนั้นหรือ ผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับเหยียนจวิ้นเหว่ย หัวหน้าขันทีฉางสี่ ราชครูเสิ่น เสิ่นฮุ่ยหรู พวกเขาคนใดคนหนึ่งอาจจะค้นพบความผิดปกติก็เป็นได้

ในเมื่อพวกเขามิได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่แปลกไป นั่นก็แสดงว่าการกระทำของปีศาจตนนี้ได้รับการยอมรับจากพวกเขา อาจจะถึงขั้นที่พวกเขาคอยช่วยปีศาจตนนี้ปกปิดตัวตนเสียด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นเจ้าปีศาจตนนี้ก็คงไม่ประกาศเรียกให้เสิ่นฮุ่ยหรูคอยปรนนิบัติในห้องทรงพระอักษรเช่นนี้กระมัง วิชาความรู้ของเสิ่นฮุ่ยหรูไม่แพ้ชายชาตรีเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นงานราษฎร์หรืองานหลวงล้วนทำได้ทั้งนั้น ดังนั้นการจะจัดการกับพระราชกิจเล็กน้อยแค่นี้ไม่ถือว่าเกินกำลังของนาง

หรือว่าพวกเขาคิดช่วยเจ้าปีศาจนั่นก่อกบฏ? ครั้นความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองก็ถูกกู่เซ่าเจ๋อปัดทิ้งทันที ราชครูเสิ่นกับเสิ่นฮุ่ยหรูไม่มีทางทรยศเขาอย่างแน่นอน ฉางสี่กับราชองครักษ์ลับยิ่งเป็นไปไม่ได้

เมื่อคิดไปคิดมาเขาก็ได้ข้อสรุปที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด นั่นก็คือตัวเขายังไม่ฟื้นคืนสติ ฮ่องเต้ในวังเฉียนชิงก็มิใช่ภูตมาร แต่เป็นตัวแทนที่ราชครูเสิ่น เหยียนจวิ้นเหว่ย และฉางสี่ร่วมกันหามา และเสิ่นฮุ่ยหรูก็คอยช่วยปกปิดตัวตนของตัวแทน

ตอนนี้ชนเผ่าหมานตามชายแดนกำลังบุกโจมตีรุกรานครั้งใหญ่ เจ้าแคว้นชายแดนแต่ละเมืองต่างจ้องจะก่อความไม่สงบ อีกทั้งเขาไม่มีพี่น้องที่ไว้ใจได้ให้ออกว่าราชการแทน ในราชสำนักก็มีเพียงหลี่เซียงผู้มีใจคิดคดทะเยอทะยาน ในตำหนักในสนมชายาลำดับสูงหลายคนที่ครอบครัวมีฐานอำนาจแข็งแกร่งก็ไม่ประพฤติตนอยู่ในกรอบในธรรมเนียม เอาแต่หมายตาตำแหน่งรัชทายาทและฮองเฮา ภายใต้สภาวะที่ต้องรับทั้งศึกในและศึกนอกเช่นนี้ หากข่าวที่เขาสลบไม่ได้สติแพร่ออกไป แผ่นดินต้าโจวจะต้องโกลาหลวุ่นวายเป็นแน่แท้ และตำแหน่งฮ่องเต้ของเขาก็คงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว การหาคนมาเป็นตัวแทนของเขาชั่วคราวก็เป็นหนทางที่ดีที่สุด โชคดีที่การไปเขาเชียนฝอคราวนี้เขาพาแค่ราชองครักษ์ลับ ราชครูเสิ่น และฉางสี่ไปด้วยเท่านั้น มิฉะนั้นเรื่องที่เขาหลับใหลไม่ได้สติคงจะปกปิดเอาไว้ไม่อยู่

เมื่อคิดคลี่คลายปมสำคัญได้กระจ่างแจ้ง กู่เซ่าเจ๋อก็วางใจลงครึ่งหนึ่ง ผ่อนลมหายใจเฮือกอย่างหนักหน่วง จากนั้นถึงตระหนักได้ว่าสตรีที่กำลังกอดเขาอยู่ก็คงเดาได้ส่วนหนึ่งแล้วเหมือนกัน ทว่าเขาบาดเจ็บสาหัส แต่สตรีผู้นี้ยังคงหลับตาพริ้มนอนอาบแสงแดด สีหน้าสบายอกสบายใจอย่างยิ่ง ไม่แยแสเรื่องของเขามากเกินไปแล้วหรือไม่

พอคิดถึงตรงนี้เขาก็เริ่มอึดอัดในอกขึ้นมาอีกครา

ถึงแม้จะเดาเรื่องราวได้ ทว่าความกังวลในใจของกู่เซ่าเจ๋อก็มิได้หมดไป ต่อให้ร่างกายของเขาไม่ได้ถูกภูตผีปีศาจยึดครอง และอำนาจของฮ่องเต้ก็ไม่ได้เสี่ยงถูกช่วงชิงไป แต่ถ้าหากเขายังไม่รีบฟื้นขึ้นมา แผ่นดินต้าโจวคงจะโกลาหลวุ่นวายในไม่ช้าก็เร็ว

แต่ยามนี้เขาอาศัยอยู่ในร่างลูกสุนัขที่เพิ่งเกิดตัวหนึ่ง แค่ปกป้องตัวเองยังทำได้ยาก ไม่ต้องพูดถึงการชิงร่างกายกลับคืนมา เขารู้อย่างกระจ่างแจ้งว่าตนจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ

ในทีแรกเขาเคยคาดเดาว่าบางทีหากร่างกายนี้ตายไปแล้ว เขาก็จะสามารถกลับคืนร่างเดิมได้ แต่การคาดเดาก็เป็นแค่การคาดเดา หากเขากลับคืนร่างไม่ได้ทุกอย่างก็คงจบ เขาเคยชินกับการวางแผนสู้รบในกระโจมค่ายทหาร แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จ ดังนั้นหลังจากอดอาหารสองวันจึงยอมปล่อยความคิดที่จะฆ่าตัวตายทิ้ง

ตอนนี้เขาต้องไปพบคนที่ตนไว้ใจได้มากที่สุดโดยเร็ว หาทางติดต่อกับคนเหล่านั้น และบอกให้คิดหาวิธีนำร่างของเขากลับคืนมา

ในวังหลวงแห่งนี้คนที่เขาไว้ใจได้คือหัวหน้าขันทีฉางสี่ อีกคนหนึ่งคือผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับเหยียนจวิ้นเหว่ย ยังมีอีกคนก็คือสตรีหนึ่งเดียวที่เขารักใคร่ทะนุถนอม เหลียงเฟยเสิ่นฮุ่ยหรู ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ ผู้ที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดก็คือเสิ่นฮุ่ยหรู หากตั้งแต่แรกเขาถูกส่งไปยังวังจงชุ่ย (แว่วกระพรวน) ของเสิ่นฮุ่ยหรู เขาก็คงไม่ต้องเปลืองสติปัญญาเช่นนี้ ถึงแม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถใช้เท้าจุ่มหมึกเขียนเป็นตัวอักษรได้ เสิ่นฮุ่ยหรูขวัญกล้าเหนือคนธรรมดา คงจะไม่ถูกทำให้ตกใจจนเสียขวัญ

ในใจเขาครุ่นคิดว่าจะต้องสืบเสาะหาความจริงที่วังเฉียนชิงให้เร็วที่สุด จึงจงใจรั้งอยู่ในสวนดอกไม้ แสร้งทำทีว่ากำลังเล่นอย่างสนุกสนาน หมายหลอกให้นางกำนัลตายใจ จากนั้นค่อยฉวยโอกาสหนีไป

แต่ไม่เสียทีที่เมิ่งซังอวี๋ถือกำเนิดในสกุลขุนศึก ข้ารับใช้ต่างก็มีฝีมือล้ำเลิศ หากนางออกคำสั่งให้คนคอยเฝ้าอาเป่าไว้ให้ดี นางกำนัลที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ย่อมไม่ปล่อยให้คลาดจากสายตาเป็นแน่

วุ่นวายมาตลอดทั้งบ่าย กู่เซ่าเจ๋อซึ่งหาช่องโหว่ไม่ได้เลยแม้แต่น้อยก็จำต้องยอมแพ้ ปล่อยให้เมิ่งซังอวี๋อุ้มกลับเข้าไปในตำหนัก

 

ขอบฟ้านอกหน้าต่างปรากฏเมฆาสีแดงฉานทอดยาวไม่สิ้นสุด ขับเน้นให้ยามสนธยาของสารทฤดูงามตระการตาหาใดเปรียบ

เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่า มองก้อนเมฆที่ขอบฟ้าอย่างเหม่อลอย สีหน้าของนางสงบนิ่ง สายตาทอดมองออกไปแสนไกล ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่กลับทำให้กู่เซ่าเจ๋อรู้สึกว่าสตรีที่กำลังอุ้มตนอยู่คล้ายกับมีเพียงร่างกลวงเปล่าที่ไร้ซึ่งวิญญาณ ความเดียวดายเข้มข้นรุนแรงที่แผ่ซ่านออกมาจากกายนางทำให้เขาใจสั่นสะท้าน

ความรู้สึกอึดอัดเข้าจู่โจมในอกอีกครา เขาร้องครวญ เรียกสติสัมปชัญญะของเมิ่งซังอวี๋กลับมา

“อาเป่าหิวแล้วกระมัง เราไปกินข้าวกันเถิด คืนนี้กินไข่ตุ๋นหมูสับดีหรือไม่ เปลี่ยนรสชาติให้เจ้าบ้าง” เมิ่งซังอวี๋รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในอ้อมอก นางจึงสบดวงตาสุกใสของอาเป่า จากนั้นก็ผลิยิ้มอย่างอ่อนโยน

ความรู้สึกเดียวดายห่างไกลจนไม่อาจเอื้อมถึงพลันหายไปในทันใด รอยยิ้มไม่ยินดียินร้ายนี้สะท้อนเข้าสู่ดวงตาของกู่เซ่าเจ๋อ ทำให้เขาเหม่อลอยไปชั่วขณะ สะบัดหางแล้วก็หยุดชะงักอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว ก้มหน้าหลบสายตาหญิงสาว

อาหารเย็นมีมากมายยิ่ง นอกจากไข่ตุ๋นหมูสับ เมิ่งซังอวี๋ยังสั่งให้ห้องเครื่องอุ่นนมแพะมาหนึ่งถ้วย กู่เซ่าเจ๋อรู้สึกหิวตั้งแต่แรกแล้วจึงกินอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งนมแพะซึ่งมีกลิ่นคาวเล็กน้อยซึ่งแต่ก่อนตอนเป็นฮ่องเต้ไม่เคยแตะก็ดื่มไปถึงครึ่งถ้วย

หลังจากกินอาหารเสร็จ ท้องของอาเป่าก็ป่องจนกลายเป็นลูกกลมๆ พอเริ่มออกเดินก็โซซัดโซเซ น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก ทำให้เมิ่งซังอวี๋หัวเราะไม่หยุด อุ้มมันขึ้นมากอดรัดเสียหนึ่งยก

กู่เซ่าเจ๋อดิ้นจนสุดแรงเกิด หนีเตลิดท่ามกลางเสียงหัวเราะดุจระฆังเงินของเมิ่งซังอวี๋ มุดเข้าไปในตะกร้าของตน แล้วขยับผ้าฝ้ายผืนน้อย แสร้งทำทีเป็นหลับ อากัปกิริยาคล้ายมนุษย์ของอาเป่าทำให้เกิดเสียงหัวเราะเบาๆ ในตำหนักขึ้นทันใด

กู่เซ่าเจ๋อถูกยั่วโทสะจนโมโห เขาขบฟันน้ำนมที่ยังขึ้นไม่ครบ สาบานอย่างแน่วแน่ว่าหากกลับคืนร่างเดิมได้จะต้องสั่งสอนสตรีผู้นี้ให้หนักๆ แต่ตัวเขาในตอนนี้กลับมิได้สังเกตว่ายามเผชิญหน้ากับเมิ่งซังอวี๋ หัวใจของตนก็ได้อ่อนยวบไปเสียแล้ว หากเมื่อก่อนได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เขาคงไม่คิดจะสั่งสอนฝ่ายตรงข้ามเพียงเท่านี้กระมัง

เมื่อเห็นอาเป่าหลับแล้ว เมิ่งซังอวี๋จึงรับสมุดบัญชีที่แม่นมเฝิงยื่นให้ เริ่มต้นจัดการงานกิจภายในวัง

หลี่กุ้ยเฟยมีตำแหน่งสูงสุด อีกทั้งยังมีโอรสหนึ่งธิดาหนึ่ง เป็นคนที่มีโอกาสสูงสุดในการชิงตำแหน่งฮองเฮา ทว่าฮ่องเต้ทรงกลัวว่าฝ่ายญาติของหลี่กุ้ยเฟยจะมีใจคิดช่วงชิงพระราชอำนาจ แล้วจะทรงยอมให้อำนาจในการปกครองตำหนักในตกอยู่ในมือหลี่กุ้ยเฟยได้อย่างไร ดังนั้นเมิ่งซังอวี๋ซึ่งมีพื้นเพครอบครัวคล้ายคลึงกับหลี่กุ้ยเฟยจึงชิงอำนาจส่วนหนึ่งมาได้โดยมีฮ่องเต้ทรงคอยให้ท้ายในฐานะที่เป็นหมากตัวหนึ่ง แม้จะน่าเวทนา แต่เพราะมีคุณค่าให้ใช้ประโยชน์ได้ นางถึงได้ดำเนินชีวิตในวังหลวงที่กัดกินผู้คนนี้ต่อไปได้อย่างสบายใจ สำหรับเรื่องนี้นางไม่มีคำต่อว่าต่อขานใด มีแต่ต้องคว้าโอกาสทุกอย่างไว้อย่างสุดกำลัง สร้างอนาคตที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นให้ตัวเอง

ในขณะที่เมิ่งซังอวี๋กำลังจดจ่อกับการจัดการงานกิจภายในวังอยู่นั้น นางไม่ได้รู้ตัวเลยว่าอาเป่าซึ่งเดิมทีควรจะหลับสนิทไปแล้วกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย เส้นขนสีน้ำตาลเข้มและร่างกายเล็กจ้อยของมันกลายเป็นเครื่องกำบังที่สมบูรณ์แบบ ครั้นถึงยามค่ำคืน นางกำนัลข้าหลวงบางคนที่ย่อหย่อนต่อหน้าที่ก็ไม่สังเกตเห็นว่าตรงเท้ามีก้อนกลมเล็กๆ กลิ้งออกจากธรณีประตู วิ่งตะบึงเข้าไปในความมืดมิดยามค่ำคืน

เพิ่งจะวิ่งออกจากเขตที่โคมไฟสีแดงดวงใหญ่ส่องสว่าง กู่เซ่าเจ๋อก็พบว่าตนได้ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง เดิมทีเขาคิดว่าสุนัขก็คงเหมือนกับหมาป่า ต่อให้เป็นตอนกลางคืนก็สามารถมองเห็นสรรพสิ่งรอบด้านได้อย่างแจ่มชัด เพราะพวกมันถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ความเป็นจริงกลับบอกให้เขารู้ว่ามิได้เป็นเช่นนั้น

สุนัขไม่ได้มีความสามารถในการมองเห็นยามค่ำคืน มันอาศัยเพียงประสาทดมกลิ่นและความสามารถในการได้ยินที่เฉียบไว แต่โชคร้ายยิ่งนักที่ตอนนี้อาเป่ายังเป็นแค่ลูกสุนัขตัวหนึ่ง ประสาทดมกลิ่นและความสามารถในการได้ยินยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่ถึงต่อให้เจริญเติบโตสมบูรณ์แล้ว ในชั่วเวลาสั้นๆ เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะใช้มันอย่างไร

กู่เซ่าเจ๋อมองความมืดมิดไร้จุดสิ้นสุดที่อยู่ตรงหน้า หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่เขาก็สาวเท้าไปยังทิศทางเบื้องหน้าที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไรมาเขามิเคยทำเรื่องจวนตัวเช่นนี้มาก่อน

ทางเดินเล็กๆ ซึ่งปูด้วยเศษหินทำให้เจ็บเท้าเป็นที่สุด ธรณีประตูและขั้นบันไดที่แต่ก่อนแค่ยกเท้าก็ก้าวข้ามได้ดูราวกับเป็นยอดเขาที่ต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลถึงจะข้ามผ่านไปได้ พุ่มไม้และหญ้าต่ำเตี้ยกลายเป็นป่าไพรสูงระฟ้า ดวงตาที่ไม่อาจแยกแยะสีเห็นเพียงสีดำอ่อนๆ เข้มๆ เพียงเท่านั้น

เขาคิดว่าตัวเองเดินมาไกลมากแล้ว แต่เมื่อดูจากขนาดตัวที่ใหญ่ราวฝ่ามือของอาเป่า เขาเพิ่งจะเดินได้เพียงร้อยกว่าจั้ง เท่านั้น โชคดีที่เขามีความจำล้ำเลิศเหนือคนทั่วไป เส้นทางไปประตูข้างประทับอยู่ในสมองอย่างแม่นยำแล้ว หลังจากล้มลุกคลุกคลานมาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ในที่สุดประตูข้างซึ่งลงกลอนไว้ก็ปรากฏอยู่ใกล้ๆ ตรงหน้า

กู่เซ่าเจ๋อยินดียิ่งนัก รีบวิ่งตะบึงเข้าไปแล้วมุดออกทางจากช่องใต้ประตู ลมเย็นๆ สายหนึ่งพัดมาปะทะหน้า ระคนด้วยกลิ่นไหม้จากโคมไฟที่กำลังเผาไหม้ ห่างออกไปไม่ไกลมีเสียงฝีเท้าอันเป็นระเบียบพร้อมเพรียงของกองกำลังอวี้หลิน ซึ่งเดินยามตรวจตราดังขึ้นแว่วๆ

หากผ่านอุทยานหลวงไปทางทิศเหนือก็จะเป็นวังเฉียนชิงแล้ว เขาแอบลอบยินดี สาวเท้าให้เร็วขึ้นทันใด แต่ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่าพอออกจากประตูข้างมาก็ยังมีบันไดอีกหลายสิบขั้น ขั้นบันไดเหล่านี้มิได้สูงมากเท่าไร แต่สำหรับลูกสุนัขที่มีขนาดตัวเท่าฝ่ามือมันคือหน้าผาสูงชันอย่างไม่ต้องสงสัย

เท้าของกู่เซ่าเจ๋อพลันเหยียบลงบนอากาศ ร่างกลิ้งคะมำลงไปเบื้องล่าง ยามนี้เขาถึงฉุกใจขึ้นมาได้และรู้สึกเสียใจไม่หยุด เขาตะกุยสี่เท้าอย่างสุดแรงเกิด หมายจะให้ร่างกายหยุดนิ่งหากแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ กลับทำให้เปลี่ยนทิศทางที่ล้มลงไปแทน เขาจึงกลิ้งหล่นลงไปในพงต้นตงชิงเตี้ยๆ ข้างบันได

เมื่อมีกิ่งไม้ใบหญ้าพุ่มดกหนาเป็นตัวลดแรงปะทะ เขาจึงตกลงมาไม่แรงมาก แต่สวรรค์กลับมิได้เมตตาเขาเลย เพราะคอของเขาเข้าไปติดตรงช่องระหว่างกิ่งไม้ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งติดแน่น อากาศที่ค่อยๆ เบาบางลงกำลังช่วงชิงสติสัมปชัญญะของเขาไป

ความเจ็บปวดรุนแรงในอกผุดขึ้นเป็นระลอก มีบางสิ่งบางอย่างกำลังฉุดกระชากร่างน้อยนี้ทีละนิดๆ เชื่องช้าและเจ็บปวด เขาดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ จู่ๆ ดวงตาสีดำก็ผุดแสงสว่างสีขาวที่ประเดี๋ยวสว่างวาบประเดี๋ยวพลันมืดมน เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจตาย ความรู้สึกนี้ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

เต๋อเฟยจะรู้หรือไม่ว่าเขาหายตัวไป จะมาช่วยหรือไม่ ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมาเขาก็อยากจะหัวเราะอย่างสิ้นหวัง ประตูวังลงกลอนไปแล้ว เขาหนีออกมาจากวังปี้เซียว ต่อให้มาหาจริง นางจะยอมลำบากลำบนหาละเอียดถี่ถ้วนถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าโจวผู้สูงส่งน่าเกรงขามตายอยู่ในมุมหนึ่งของวังหลวงอย่างเงียบเชียบและไม่มีผู้ใดรู้เรื่อง ช่างเป็นเรื่องน่าขำขันอย่างร้ายกาจ กู่เซ่าเจ๋อกล่าวเสียดสีในใจ

ทว่าในขณะนั้นเอง หลังประตูข้างก็พลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นระลอกหนึ่ง เขาได้ยินเสียงนางกำนัลพูดเบาๆ “ทูลเต๋อเฟย ตอนกลางวันอาเป่าชอบวิ่งไปเล่นที่ประตูข้าง หม่อมฉันจำได้ไม่ผิดแน่เพคะ”

“เร็ว รีบหาเร็วเข้า!” สุ้มเสียงร้อนรนของหญิงสาวเจอเสียงสะอื้นไห้ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงอลหม่านวุ่นวาย

“เอ๋งๆ…” ครั้นได้ยินเสียงประหนึ่งเสียงสวรรค์นี้ ความรู้สึกราวกับว่าวิญญาณถูกดึงหลุดออกจากร่างก็พลันหยุดลงทันใด เรี่ยวแรงที่เลือนหายไปคล้ายกับค่อยๆ ถ่ายเทเข้ามาอีกครา กู่เซ่าเจ๋อร้องสุดกำลัง

“ทุกคนหยุด! เหมือนว่าข้าจะได้ยินเสียงของอาเป่าแล้ว!” เมิ่งซังอวี๋เอ็ดเสียงเฉียบ บรรดานางกำนัลเงียบเสียงลงโดยพลัน

เสียงร้องครวญดังขึ้นอย่างชัดเจนอีกครั้ง ทว่ายิ่งมาก็ยิ่งอ่อนแรง

“อยู่หลังประตูข้าง!” ดวงตาหมองหม่นคู่นั้นของเมิ่งซังอวี๋เปล่งแสงลุกวาบราวกับดวงไฟสองดวง นางออกคำสั่งอย่างเร่งร้อน “เร็วเข้า เปิดประตูข้างให้ข้า!”

“เต๋อเฟย แต่กฎวังกล่าวไว้ว่าหลังจากลงกลอนประตูวังแล้วไม่อาจเปิดประตูได้ตามใจชอบนะพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้หนึ่งรีบกล่าวห้าม

“เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอันใด ไม่ได้ยินหรือไรว่าเสียงของอาเป่าเจ็บปวดเพียงใด หากมันเข้ามาเองได้มันก็เข้ามานานแล้ว ตอนนี้มันคงเจอเรื่องอันตรายเป็นแน่ รีบเปิดประตูให้ข้าโดยเร็ว ทุกอย่างข้าจะรับผิดชอบเอง!” เมิ่งซังอวี๋กลับคืนสู่ท่าทีวางอำนาจบาตรใหญ่

น้ำเสียงที่ปกติได้ยินแล้วน่าสะอิดสะเอียนเป็นนักหนายามนี้กลับน่ารักเป็นพิเศษ กู่เซ่าเจ๋อพยายามรักษาลมหายใจและสติสัมปชัญญะเอาไว้ เขารู้ดีว่าสตรีผู้นั้นจะต้องมาช่วยชีวิตเขาเป็นแน่

เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น จากนั้นก็ตามด้วยเสียงดังแอ๊ด ประตูข้างถูกผลักเปิดออก เสียงฝีเท้าอันสับสนวุ่นวายและถี่กระชั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไล่เสาะหาตามหาเสียงร้องคร่ำครวญของเจ้าลูกสุนัข

กิ่งไม้ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องแขวนคอถูกหักออก มืออันอบอุ่นคู่หนึ่งช้อนอาเป่าขึ้นมาอย่างระมัดระวัง โอบเข้าสู่อ้อมกอดที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นจางๆ กู่เซ่าเจ๋อย่นจมูกฟุดฟิด เปลือกตาที่ปิดลงไปตั้งนานแล้วชื้นแฉะเล็กน้อย ยามนี้อ้อมกอดของนางช่างอบอุ่นใจและเงียบสงบถึงเพียงนี้ เขาปล่อยให้ตัวเองสลบไสลหมดสติไป

เมื่อเห็นอาเป่าฟุบอยู่ในอกตนไม่ขยับเขยื้อน เมิ่งซังอวี๋ก็ไม่กล้าไปแตะมัน เพียงใช้สองมือซึ่งสั่นเทาเบาๆ จนแทบมองไม่ออกประคองร่างเล็กจ้อยของมันไว้

“เร็วเข้า รีบไปเรียกหมอหลวงมา!” น้ำเสียงของนางแหบแห้ง

สำหรับคนอื่นแล้วนี่อาจเป็นเพียงแค่สุนัขตัวหนึ่ง ไว้ใช้เป็นของเล่นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ แต่สำหรับนางมันคือเพื่อนเล่น คือสหาย และถึงขั้นเป็นหนึ่งในครอบครัวของนาง เป็นการดำรงอยู่ที่ต่อให้แผ่นดินสะเทือน ภูเขาไฟปะทุ นางก็ไม่อาจโยนทิ้งไปได้ นางสามารถเข้าใกล้มันได้ตามใจชอบ ไม่ต้องระมัดระวังกิริยาของตน นางสามารถบอกเล่าความในใจให้มันฟังได้ทั้งหมด ไม่ต้องกลัวว่าวันใดวันหนึ่งมันจะหักหลัง

นางได้มอบตำแหน่งอันสำคัญยิ่งในใจตนให้กับอาเป่าไปเรียบร้อยแล้ว นางไม่อยากจะสูญเสียมันไป

 

เต๋อเฟยเป็นคนอวดดีเอาแต่ใจมาโดยตลอด ต่อให้ลอบเปิดประตูวังกลางดึก ต่อให้รีบเรียกหมอหลวงให้เข้าเฝ้าเพียงเพราะสุนัขตัวเดียว แม้คนรอบข้างจะมีคำตำหนิเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็มิกล้าขัดขืน

ไม่นานนักหมอหลวงก็มาถึง เขาแบกกล่องยาพลางโน้มศีรษะถวายบังคมอยู่หน้าประตู

“ไม่ต้องมากพิธี รีบมาดูอาการให้อาเป่าของข้าเร็วเข้า!” เมิ่งซังอวี๋เร่งเร้าไม่หยุด

ยามที่กู่เซ่าเจ๋อฟื้นขึ้น มือใหญ่ข้างหนึ่งก็กำลังลูบคลำอยู่ที่ซอกคอของเขา แตะถูกรอยแผลที่ถูกหนีบ ทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงระลอกหนึ่ง เขาส่งเสียงครวญคราง เงยหน้าถลึงตาใส่ผู้เป็นเจ้าของมือนั้น ตัวเขามีฐานะสูงศักดิ์ เคยได้รับการปฏิบัติอย่างหยาบกระด้างเช่นนี้เสียที่ไหนกัน?

“หมอหลวง เบามือหน่อย!” เมื่อเห็นอาเป่าสะดุ้งตื่นเพราะความเจ็บปวด เมิ่งซังอวี๋จึงเอ่ยปากขึ้นทันที จากนั้นก็ลูบศีรษะของอาเป่าเบาๆ ปลอบประโลมด้วยความรักใคร่ล้นหัวใจ “อาเป่าทนหน่อยนะ ให้หมอหลวงตรวจดูให้ละเอียด ประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

ความรู้สึกไม่สบายทั่วทั้งร่างและความทุกข์ตรมเต็มหัวใจพลันสลายหายไปในพริบตา ปากของกู่เซ่าเจ๋อเปล่งเสียงร้องออดอ้อนออกมาโดยไม่รู้ตัว หางด้านหลังสะบัดไปมา การที่ได้พบสตรีผู้นี้อีกครั้งแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าในหัวใจมีความสุขเพียงไร

เมิ่งซังอวี๋ลูบขนปุกปุยบนแผ่นหลังของอาเป่า ผลิยิ้มราวกับวางภูเขาทั้งลูกในใจลงได้

โชคดีที่อาเป่าถูกหนีบอยู่แค่ครึ่งเค่อ นอกจากมีรอยช้ำบนคอก็ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนอีก ครั้นหมอหลวงวินิจฉัยอาการเสร็จสิ้นก็ทิ้งยาแก้ฟกช้ำไว้ตลับหนึ่งแล้วจึงลาจากไป

เมิ่งซังอวี๋หยิบกรรไกรเล่มเล็กออกมา จิ้มจมูกเปียกชื้นของอาเป่าเบาๆ พลางกล่าว “สหายตัวน้อย ขนบนคอของเจ้าต้องตัดออกถึงจะทายาได้ เจ้าต้องเป็นเด็กดี อยู่นิ่งๆ ห้ามขยับนะ ถ้าเจ้าเชื่อฟัง เดี๋ยวข้าจะให้ปี้สุ่ยไปทำของว่างให้กิน”

กู่เซ่าเจ๋อค่อยๆ คุ้นชินกับวาจาหลอกเด็กพรรค์นี้ของนาง จึงตอบรับอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

เสียงร้องหงิงๆ ของลูกสุนัขน่ารักอย่างยิ่ง เมิ่งซังอวี๋ยิ้มออกมา นางจับกรรไกรขึ้นมาแล้วตัดขนปุกปุยรอบคอของอาเป่าออก จากนั้นจึงค่อยๆ ทายาลงไปอย่างเอาใจใส่

การเคลื่อนไหวของนางทั้งแผ่วเบาทั้งอ่อนโยน แววตาจดจ่อคล้ายกับกำลังปกป้องบุตรของตนอยู่ นิ้วมือเกลี้ยงเกลาแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ซึมซาบจากคอเข้าสู่หัวใจ ทำให้สบายอย่างบอกไม่ถูก กู่เซ่าเจ๋อแหงนหน้าขึ้นจ้องดวงหน้างามกระจ่างหาใดเปรียบของนาง ชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกใจหวิวๆ อยู่บ้าง

“คิก” ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยซึ่งกำลังจัดการกับขนสุนัขอยู่หัวเราะขึ้นมาเสียงเบา ชี้ไปยังอาเป่าพลางเอ่ยล้อเลียน “เต๋อเฟยทอดพระเนตรสิเพคะ อาเป่าถูกตัดขนออกไปเป็นวงกลม ทำให้หน้าตาดูประหลาดจริงๆ พอเห็นก็อยากหัวเราะนัก”

“ที่จริงสุนัขพันธุ์กุ้ยปินต้องตัดขนทุกเดือนถึงจะโตมามีขนดกหนาและงดงาม ถ้าหากตอนนี้เป็นช่วงวสันตฤดู อีกหนึ่งเดือนข้าก็จะต้องตัดขนแรกเกิดของอาเป่าแล้ว ทว่าตอนนี้เข้าสู่ช่วงสารทฤดูแล้ว อีกไม่กี่วันสภาพอากาศจะหนาวอย่างฉับพลัน หากตัดขนแรกเกิดออกไปอาเป่าก็จะไม่สบาย” เมิ่งซังอวี๋ลูบแผ่นหลังของอาเป่าพลางกล่าว

แค่เลี้ยงสุนัขตัวเดียวเท่านั้น ไยต้องพิถีพิถันถึงเพียงนี้ สตรีผู้นี้ทำเรื่องเกินความจำเป็นนัก! กู่เซ่าเจ๋อลอบแค่นเสียงเย็นชากับตัวเอง จงใจเพิกเฉยต่อปราการหัวใจที่กำลังค่อยๆ หลอมละลายของตน

หลังจากทายาเสร็จ ลำคอที่ปวดแปลบๆ ก็พลันเย็นวาบ กู่เซ่าเจ๋อรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่กำลังรู้สึกหิว แม่นมเฝิงก็ยกโจ๊กไก่ที่ส่งกลิ่นหอมอวลและขนมวุ้นนมอ่อนนุ่มจานเล็กจานหนึ่งเข้ามา

“อาเป่าได้รับความตื่นตระหนก กินอะไรบำรุงร่างกายเสียหน่อยเถอะ” เมิ่งซังอวี๋ดันถ้วยโจ๊กไก่ไปตรงหน้าอาเป่า ตบศีรษะของมันพลางเอ่ยปลอบขวัญ ส่วนตัวเองก็คีบขนมวุ้นนมชิ้นหนึ่งเข้าปาก

เมิ่งซังอวี๋หรี่ตา มองดูอาเป่าที่ยังคงกินอย่างมีความสุข ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เริ่มนับสิ่งอันตรายในอุทยานหลวงอย่างละเอียด กิ่งไม้หนึ่งกิ่ง ขั้นบันไดหนึ่งขั้น ธรณีประตูหนึ่งอัน แม้กระทั่งแอ่งน้ำเล็กๆ ที่ลึกไม่ถึงครึ่งจั้งก็สามารถเป็นอาวุธฆ่าอาเป่าได้ ดังนั้นหากไม่มีนางอยู่ด้วยมันก็จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น นางพูดเรื่อยเปื่อยไปมากมาย ไม่สนใจว่าอาเป่าจะฟังรู้เรื่องหรือไม่

ลิ้นเล็กๆ ของกู่เซ่าเจ๋อเลียกินโจ๊ก แลดูคล้ายกับว่ารู้สึกเฉยชาต่อคำพร่ำบ่นของนาง ทว่าในใจกลับซาบซึ้งอย่างยิ่ง ความเป็นห่วงเป็นใยอย่างเอาใจใส่ในเรื่องปกติธรรมดาเช่นนี้เขามิได้สัมผัสมานานเท่าใดแล้ว…แม้แต่เสิ่นฮุ่ยหรูและเสด็จแม่ก็ไม่เคยมอบความรู้สึกที่สบายทั้งกายและใจเช่นนี้ให้เขาเลย

ต่อให้ลูกสุนัขตัวหนึ่งมีความรู้สึกมากล้นเพียงไรก็อย่าคิดว่าจะหาเจอจากบนใบหน้าที่มีขนดกปุยของมัน เพราะเหตุนี้เมิ่งซังอวี๋จึงไม่รู้สึกถึงอารมณ์อันแปรปรวนของกู่เซ่าเจ๋อแม้แต่น้อย เมื่อนางเห็นอาเป่ากินอิ่มแล้วจึงย้ายที่นอนของมันมาไว้ใต้ตั่งของตน วางมันลงไป ก่อนจะดึงผ้าฝ้ายผืนน้อยปิดคลุมท้องของมันไว้พร้อมกับเอ่ยตักเตือนเสียงเด็ดขาด “คืนนี้เจ้าต้องนอนอยู่ใต้เปลือกตาข้านี่แหละ หากแอบหนีออกไปอีก ข้าจะตีขาสุนัขของเจ้าให้หักเลยเชียว!”

เป็นน้ำเสียงดุร้ายแต่เปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของหญิงสาว มือที่ยกขึ้นสูงแล้วปล่อยลงช้าๆ รวมถึงสีหน้าที่จงใจทำให้ดูดุร้าย เมื่อมองแล้วกลับน่ารักอย่างไม่น่าเชื่อ กู่เซ่าเจ๋อยกยิ้มที่มุมปาก ร้องหงิง แล้วค่อยๆ ปิดดวงตาลง

เมิ่งซังอวี๋หมอบดูอาเป่าอยู่ข้างเตียงครู่หนึ่ง ครั้นเห็นมันหลับไปแล้วจริงๆ จึงล้มตัวลงกับหมอนอย่างวางใจ จนกระทั่งลมหายใจของนางสม่ำเสมอ ดวงตาที่ปิดสนิทของกู่เซ่าเจ๋อก็ลืมขึ้นทันใด ดวงตาสีดำสนิทเจือด้วยแสงสว่างโชติช่วงอันซับซ้อน เขามองสตรีบนเตียงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง อยากจะถอนหายใจแต่ก็รีบอดกลั้นเอาไว้

การหลบหนีในคืนนี้ล้มเหลว แต่เขายังคงไม่ยอมแพ้ กลางคืนไม่สำเร็จก็ต้องเป็นกลางวัน รอให้ร่างกายนี้เติบใหญ่แข็งแรงกว่านี้อีกสักหน่อย เขาจะต้องไปสืบหาความจริงที่วังเฉียนชิงและวังจงชุ่ย คิดหาหนทางเอาร่างกายของตนกลับคืนมาให้จงได้

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com