ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก
บทที่สี่
ฮ่องเต้คือตัวปลอม
ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บอาเป่าก็สงบเสงี่ยมขึ้นมาก ถึงแม้ว่ามันจะยังคงชอบวิ่งเล่นไปทั่วเช่นเคย แต่พอตกกลางคืนก็มักจะกลับมาอยู่ข้างกายเมิ่งซังอวี๋อย่างว่าง่าย
พักรักษาตัวเช่นนี้อยู่หกเจ็ดวัน ในที่สุดรอยช้ำบนคอของมันก็หายสนิท เพียงแต่ขนปุกปุยที่หายไปทำให้ดูคล้ายกับว่าหัวกับตัวหลุดออกจากกันแล้วประกอบขึ้นใหม่ ดูแล้วน่ารักน่าชังยิ่งนัก
สารทฤดูค่อยๆ ล่วงล้ำเข้ามา ไอเย็นเหน็บหนาวเสียดกระดูก เมิ่งซังอวี๋กังวลว่าพออาเป่าไม่มีขนแล้วจะไม่สบาย ยามว่างจึงถักผ้าพันคอผืนน้อยและเสื้อผ้าฝ้ายตัวเล็กไว้หลายตัว เตรียมสวมใส่ให้อาเป่าเพื่อดูว่าพอดีกับตัวหรือไม่ แต่ไม่คาดคิดว่าอาเป่ากลับไม่รับน้ำใจ ครั้นเพิ่งจะสวมอุ้งเท้าได้ข้างหนึ่งก็เริ่มดิ้นหนีอย่างรุนแรง สลัดจนผ้าพันคอและเสื้อผ้าฝ้ายกระจัดกระจาย แถมยังมีชิ้นหนึ่งถูกเล็บของมันข่วนจนเส้นด้ายหลุดออกมาจนขาดกระจุยกระจาย
แม่นมเฝิงยกมือทำท่าจะตีอาเป่าที่ไม่เชื่อฟัง แต่มันกลับนั่งนิ่งอยู่ข้างกายเมิ่งซังอวี๋ ท่าทางไม่กลัวเกรงเพราะมีคนคอยส่งเสริมให้ท้าย
แล้วก็เป็นดังคาด เมิ่งซังอวี๋ที่เห็นเช่นนั้นรีบร้อนดึงแม่นมเฝิงเอาไว้ โบกมือพลางกล่าว “ช่างเถอะ ขาดแล้วก็ขาดไป ประเดี๋ยวข้าปะชุนใหม่ก็ใช้ได้แล้ว”
อาเป่าก้มหน้า แอบซ่อนความลำพองใจในดวงตา
“แต่เต๋อเฟยเพคะ แม้กระทั่งฝ่าบาทก็ยังมิเคยสวมอาภรณ์ที่พระองค์ตัดเย็บด้วยพระองค์เองมาก่อนเลยนะเพคะ! เจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้อยู่ท่ามกลางวาสนาแต่ไม่รู้จักวาสนาจริงๆ” แม่นมเฝิงยังคงหงุดหงิดโมโหไม่หาย
ความลำพองใจในดวงตาของอาเป่าหายวับไปในทันใด หว่างคิ้วขมวดมุ่นเป็นเส้น รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจอย่างยิ่ง หากไม่ได้ยินเขาก็มิทันคิด เป็นความจริงที่ว่าเขาไม่เคยสวมใส่อาภรณ์ที่เต๋อเฟยตัดเย็บเองมาก่อนเลย
ปี้สุ่ยเก็บเสื้อผ้าฝ้ายตัวน้อยที่ร่วงหล่นกระจัดกระจายขึ้นมา เอ่ยคาดเดาว่า “เต๋อเฟยเพคะ พออาเป่าสวมชุดแล้วคงจะรู้สึกไม่คุ้นชินกระมัง หม่อมฉันคิดว่าหากใส่แล้วแม้แต่เดินมันก็ยังเดินไม่ได้ เสื้อผ้าฝ้ายนี้ขาดไปแล้วก็ช่างเถอะเพคะ ถึงพระองค์จะสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงปะซ่อมมันก็คงไม่ยอมใส่อยู่ดี”
“น่าเสียดายจริงๆ หม่อมฉันอยากเห็นตอนที่อาเป่าสวมเสื้อผ้าพวกนี้ยิ่งนัก จะต้องน่ารักมากแน่ๆ เลยเพคะ ฝีพระหัตถ์ของเต๋อเฟยเป็นเลิศจริงๆ หูกระต่ายคู่นี้ทำได้เหมือนของจริงไม่มีผิดเพี้ยน พออาเป่าสวมมันก็กลายร่างเป็นกระต่ายน้อยได้เลย” อิ๋นชุ่ยหยิบชุดคลุมตัวน้อยขนหนานุ่มขึ้นมาเล่น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย
เมิ่งซังอวี๋ถลึงตามองตัวก่อกวนที่ซุกอยู่ในอ้อมแขนตนแวบหนึ่ง จิ้มศีรษะของมันพลางกล่าว “วางใจเถอะอิ๋นชุ่ย เจ้าจะได้เห็นอาเป่าของพวกเราแปลงกายแน่นอน อาภรณ์พวกนี้ต่อให้มันไม่อยากใส่ก็ต้องใส่ ไม่ใช่แค่เพื่อให้น่ามอง แต่เพื่อสุขภาพของมันด้วย ตอนนี้อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อีกทั้งมันยังถูกตัดขนรอบคอออกไปอีก หากไม่สวมเสื้อผ้าเพื่อให้ความอบอุ่นก็จะป่วยเอาได้ มิหนำซ้ำมันยังชอบเล่นสนุกเป็นที่สุด วิ่งวุ่นทั้งวัน ตอนนี้มันยังเล็กอยู่ ไม่สามารถอาบน้ำให้ได้ ถ้าสวมเสื้อผ้าไว้จะช่วยรักษาความสะอาดของขนได้ ป้องกันไม่ให้ถูกเห็บมันกัดเอา มีประโยชน์มากมาย ตอนนี้ปล่อยให้มันมีอิสระไปสักสองสามวันก่อน พอหลังจากอากาศหนาวขึ้นอีก ยามพวกเจ้าพามันออกไปเล่น จำไว้ให้ดีว่าต้องใส่เสื้อผ้าให้ด้วย”
เหล่านางกำนัลขานรับอย่างพร้อมเพรียง
ที่แท้หาใช่เพราะแกล้งให้เราทุกข์ทรมาน แต่เป็นเพราะห่วงใย? บางทีหากครั้งหน้าอารมณ์ดีเราอาจจะยอมใส่ก็ได้ กู่เซ่าเจ๋อนิ่งงัน ลอบครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
เมิ่งซังอวี๋เห็นว่าพอตนพูดจบอาเป่าก็ถูไถไปมาในอ้อมกอดนางอย่างรักใคร่ หางน้อยๆ สะบัดไปมา ท่าทางดูมีความสุขอย่างยิ่ง จึงอดตื่นตะลึงเล็กน้อยมิได้ หรือว่าอาเป่าจะเข้าใจคำพูดของข้า? นางยกชูมันไว้ตรงหน้า สบกับดวงตาใสกระจ่างของมัน ในใจสั่นไหวน้อยๆ
“อาเป่า พวกเรามาเล่นอะไรกันเถิด” นางวางมันลงแล้วหยิบลูกหนังผ้าปักลูกเล็กๆ ออกมาจากกล่องอุปกรณ์เย็บปักถักร้อย แกว่งไปมาพลางเอ่ย “เห็นลูกหนังผ้าปักลูกนี้หรือไม่ พอข้าโยนมันออกไป เจ้าก็ไปเก็บกลับมาให้ข้า เข้าใจหรือไม่”
เมื่อเห็นอาเป่าเงยหน้า แววตาที่มองมาจดจ่อแน่วแน่อย่างยิ่ง เมิ่งซังอวี๋ก็หัวเราะเบาๆ แล้วโยนลูกหนังผ้าปักออกไปไกลลิบ ปากก็ตะโกนร้องด้วยความเบิกบานใจ “อาเป่าเด็กดี รีบไปเก็บมาสิ หากเก็บมาได้ข้าจะให้เจ้ากินขนมวุ้นนมหนึ่งชิ้นเป็นรางวัล”
เราน่ะหรือจะอยากกินขนมวุ้นนมของเจ้าถึงเพียงนั้น? เห็นฮ่องเต้ผู้สูงส่งอย่างเราเป็นตัวอะไร กระไอสีดำผุดพรายขึ้นทั่วทั้งร่างของกู่เซ่าเจ๋อ เขานั่งตัวแข็งอยู่บนพื้น ท่าทางราวกับว่าแม้มีลมแปดทิศพัดมาก็ไม่สะท้านสะเทือน
เขาไม่ยอมให้ตนถูกสตรีผู้นี้สั่งสอนจนกลายเป็นสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งไปจริงๆ เด็ดขาด!
“อาเป่า ไปสิ!” รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งซังอวี๋ชะงักค้าง เห็นได้ชัดว่าปฏิกิริยาของอาเป่ามิได้อยู่ในการคาดการณ์ของนาง
อาเป่ายังคงไม่ขยับเขยื้อน
เมิ่งซังอวี๋จิ้มก้นหนั่นแน่นของมัน เพื่อกระตุ้นอีกครั้ง
คราวนี้อาเป่าขยับแล้ว มันเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปสองก้าว เปลี่ยนที่แล้วนั่งลงเงียบๆ อีกครั้ง
เมิ่งซังอวี๋เหนื่อยใจ นางมีความรู้สึกว่าแววตาของอาเป่าที่เหลือบมองมาเมื่อครู่แฝงไว้ด้วยอำนาจเผด็จการอย่างเต็มเปี่ยม ราวกับกำลังถอนใจด้วยท่าทีดูถูกว่านางเป็นมนุษย์ที่โง่เขลา!
ภาพจินตนาการนี้ช่างเกินขอบเขตจริงๆ ต้องเป็นเพราะนางคิดมากเกินไปแน่ๆ! เมิ่งซังอวี๋ส่ายศีรษะ วิ่งไปเก็บลูกหนังผ้าปักกลับมาด้วยตัวเอง
แม่นมเฝิงทนดูบทบาทซึ่งสลับกันของผู้เป็นนายและสัตว์เลี้ยงต่อไปไม่ไหว จึงเอ่ยปากขึ้นอย่างไม่พอใจ “อาเป่า เจ้านี่เป็นหมาตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ วิ่งเล่นไม่เห็นเงาตลอดทั้งวัน เรียกก็ไม่ได้ยิน อุ้มก็ไม่ยอมให้อุ้ม ซ้ำยังไม่ยอมเล่นเป็นเพื่อนเต๋อเฟยอีก สัตว์เดรัจฉานไร้ประโยชน์พรรค์นี้จะเลี้ยงไว้ทำไมอีก น่าจะส่งกลับโรงเลี้ยงสัตว์ไปเสีย”
แผ่นหลังหยิ่งยโสของอาเป่าแข็งชะงัก อยากหันไปดูปฏิกิริยาของเมิ่งซังอวี๋แต่ก็ทนนั่งนิ่งเอาไว้ เขาไม่ยอมรับเด็ดขาดว่ายามนี้รู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งนัก
“จริงๆ แล้วอาเป่าเป็นเด็กดีมาก ข้าเรียกมันก็ตอบสนองทุกครั้ง ข้าอุ้มมันก็ไม่ได้ดิ้นหนี ดีกว่าตอนที่เพิ่งมามากนัก มันแค่ไม่ชอบเข้าใกล้คนแปลกหน้าเท่านั้นเอง ความซื่อสัตย์ภักดีเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง มิหนำซ้ำอาเป่ายังรักสะอาด ยามกินอาหารก็ไม่เคยทำให้โต๊ะสกปรก และไม่เคยถ่ายหนักถ่ายเบาไปทั่ว เป็นลูกสุนัขที่รู้ความมากที่สุดที่ข้าเคยพบเจอมา”
จากนั้นนางก็โบกมืออย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก เพื่อพิสูจน์วาจาของตนเอง นางจึงคีบขนมวุ้นนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับกวักมือเรียกอาเป่า “อาเป่ามานี่เร็ว กินขนมกัน”
กู่เซ่าเจ๋อนั่งนิ่ง แต่ในที่สุดก็เดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า คาบขนมวุ้นนมจากในมือเมิ่งซังอวี๋งับกินทีละคำเล็กๆ เขาจำเป็นต้องสละทิฐิของตนทิ้งเพื่อไม่ให้ถูกส่งกลับไปยังสถานที่เช่นโรงเลี้ยงสัตว์ ทว่าหางที่ส่ายน้อยๆ กลับแสดงให้เห็นว่าเขามิได้กล้ำกลืนฝืนใจอย่างที่ตนคิด
แม่นมเฝิงจนปัญญา เพียงกล่าวดุๆ ว่า “เกิดมาอัปลักษณ์แถมสีขนก็น่าเกลียด หม่อมฉันมองไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าเดรัจฉานตัวน้อยนี้มีดีตรงไหน แต่หากเต๋อเฟยทรงชอบก็เอาเถิด”
แม่นมเฝิงมิได้สังเกตเลยว่าอาเป่าซึ่งกำลังกินขนมวุ้นนมอยู่พลันเงยหน้าขึ้นมาเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ในแววตาเจือด้วยไอสังหารหลายส่วน
เมิ่งซังอวี๋เตรียมจะดื่มชา พอได้ยินคำต่อว่าของแม่นมเฝิงก็วางถ้วยชาลงทันใด กล่าวอย่างเคร่งขรึม “แม่นม ต่อไปเจ้าอย่าได้เรียกอาเป่าว่าสัตว์เดรัจฉานเด็ดขาด ในสายตาพวกเจ้าอาเป่าอาจจะเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่ง แต่ในสายตาข้า มันเหมือนดั่งสหายและคนในครอบครัว”
แม่นมเฝิงอ้าปากพะงาบๆ เมื่อสบเข้ากับสายตาจริงจังของผู้เป็นนาย สุดท้ายจึงเลือกกลืนคำพูดโต้แย้งลงไป
อาเป่าเก็บสายตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารแล้วก้มหน้ากินขนมวุ้นนมต่อไป ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าหางของตนสะบัดเร็วกว่าก่อนหน้านี้มาก
อากาศในช่วงสารทฤดูมักจะแจ่มใสปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์สีทองมิได้ร้อนระอุเช่นคิมหันตฤดู เมื่อสาดส่องลงบนร่างช่างทำให้อบอุ่นแสนสบายเป็นหนักหนา ต้นดอกกุ้ย หลายต้นนอกวังปี้เซียวออกดอกเล็กๆ สีขาวดุจน้ำนมมากมายหลายช่อ สายลมเอื่อยๆ พัดโชยมา ทำให้กลิ่นหอมกรุ่นกำจรไปทั่วทั้งสวน อบอวลจนพาให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มมึนเมา
ใต้ต้นดอกกุ้ย เมิ่งซังอวี๋สวมชุดเกาะอกกระโปรงยาวสีม่วงเข้ม ชุดคลุมตัวนอกเป็นอาภรณ์โปร่งบางสีม่วงอ่อนปักลายเมฆมงคลด้วยด้ายเงิน ชายแขนเสื้อสะบัดพลิ้ว นอนอาบแสงแดดอยู่บนตั่งอ่อนนุ่มอย่างเกียจคร้าน
อาเป่าซึ่งขดตัวเป็นก้อนกลมเล็กๆ นอนคว่ำอยู่บนอกของนาง อุ้งเท้านุ่มนิ่มวางอยู่ที่ร่องอกอันเย้ายวนของนาง ย้ายไปซ้ายที จากนั้นก็ขยับยุกยิกไปขวาที อยู่ไม่สุขอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเต๋อเฟยที่ยังไม่ได้แต่งเครื่องประทินโฉมปรากฏอยู่ตรงหน้า สันจมูกของนางตั้งตรง ขนตางอนยาว ผิวพรรณขาวหมดจดเนียนละเอียด ริมฝีปากที่มองสีไม่ออกกลับดูงดงามเป็นพิเศษ รวมถึงกระดูกไหปลาร้าอันเย้ายวนและอกที่อิ่มเอิบ…ทุกที่บนร่างนางล้วนงามงดอย่างพอเหมาะ ดึงดูดสายตาของกู่เซ่าเจ๋อครั้งแล้วครั้งเล่า
ที่ผ่านมาเขารู้ดีว่าเต๋อเฟยเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง แต่ไม่คาดคิดว่าเต๋อเฟยที่ถอดเครื่องแต่งกายเต็มยศออกจะงามล้ำกว่ายามปกติเป็นร้อยเท่า รูปโฉมเป็นอาวุธที่มีประโยชน์ที่สุดที่จะทำให้สตรีผู้หนึ่งมีที่ยืนในตำหนักในมิใช่หรือ ทว่าเต๋อเฟยผู้นี้คล้ายกับจงใจเก็บงำประกายแสงของตน นางกำลังคิดอะไรกันแน่ กู่เซ่าเจ๋อยิ่งมาก็ยิ่งไม่เข้าใจนาง
“อาเป่านอนไม่หลับหรือ หิวใช่หรือไม่” เมิ่งซังอวี๋ตบก้นของอาเป่าที่ยุกยิกอยู่ในอ้อมอกของตนไม่หยุด
กู่เซ่าเจ๋อส่งเสียงอิ๋งๆ อุ้งเท้าเบนออกจากร่องอกของนาง แต่ผ่านไปครู่เดียวก็วางกลับลงไปใหม่ กดไปมาคล้ายกับไม่ได้ตั้งใจ
“หิวแล้วจริงๆ ด้วย กินขนมเสีย” เมิ่งซังอวี๋ยื่นมือออกไปหยิบขนมอ่อนนิ่มชิ้นหนึ่งจากบนโต๊ะเล็ก จากนั้นก็ค่อยๆ แบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วป้อนใส่ปากอาเป่า
กู่เซ่าเจ๋อคาบขนมไว้อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว เขาเคยชินกับการให้นางป้อนอาหารเสียแล้ว
เมิ่งซังอวี๋ใช้ผ้าเช็ดหน้าปัดเศษขนมที่เปรอะเปื้อนอยู่บนหนวดของอาเป่า ส่วนตัวเองก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งเข้าปาก หนึ่งคนหนึ่งสุนัขแบ่งกันกินเจ้าคำข้าคำ เหนือศีรษะมีเศษกลีบดอกกุ้ยร่วงหล่นลงมาอย่างต่อเนื่อง ช่างเป็นภาพที่ดูอบอุ่นและงดงามยิ่ง
เมิ่งซังอวี๋ถูกทัศนียภาพตรงหน้าพาให้จิตใจสั่นไหว นางแบฝ่ามือออก รองรับบุปผาสีขาวดอกน้อยที่ร่วงลงมาเอาไว้ ดวงตาหงส์ที่ทอประกายพร่างพราวค่อยๆ ปิดพริ้มลง คลอท่วงทำนองอันอ่อนหวานและแปลกประหลาดออกมา
ทำนองเพลงนี้ไม่มีเนื้อร้อง มีเพียงเสียงขับขานสูงๆ ต่ำๆ ก้องกังวานราวกับสายลมและหมอกควัน อีกทั้งยังเลือนรางราวกับเสียงเพลงสวรรค์จากตำหนักจันทราบนชั้นฟ้า ประหนึ่งว่าจะสามารถไหวคลอนได้แม้กระทั่งวิญญาณ…
กู่เซ่าเจ๋อลืมเคี้ยวขนมที่อยู่ในปาก มองดูหญิงสาวที่ดื่มด่ำกับตัวเองอย่างสุขสำราญท่ามกลางดอกไม้ที่ร่วงโรยอย่างเหม่อลอย ทันใดเขาพลันรู้สึกเมามายอยู่เล็กน้อย
บรรดานางกำนัลซึ่งอยู่อีกด้านยังคงก้มหน้ายืนนิ่งเงียบ แต่ดวงตาของทุกคนต่างพร่าเลือน มุมปากยกยิ้ม เห็นได้ชัดว่ากำลังจมดิ่งอยู่ในภาพอันงดงามนี้
“เต๋อเฟยเพคะ เมื่อครู่บ่าวได้ข่าวมาว่าตอนนี้ฝ่าบาททอดพระเนตรดอกเบญจมาศอยู่ในอุทยานหลวงเพคะ” แม่นมเฝิงเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ หลังจากคารวะอย่างรีบร้อนเสร็จก็เอ่ยขึ้น
บรรยากาศล่องลอยราวกับความฝันถูกทำให้แตกออกราวกับฟองอากาศ กู่เซ่าเจ๋อหันศีรษะ เหลือบมองไปยังแม่นมเฝิงด้วยแววตาเจือไอสังหาร บ่าวที่น่ารำคาญผู้นี้ได้รับเลือกมาปรนนิบัติเต๋อเฟยได้อย่างไร รอให้เขากลับสู่ร่างมนุษย์ก่อน เขาจะสั่งย้ายนางไปอยู่โรงซักผ้าทันที!
“อ้อ…” เมิ่งซังอวี๋โยนดอกไม้ในมือทิ้ง ลูบแผ่นหลังอาเป่าแผ่วเบาพร้อมขานรับอย่างคลุมเครือ
“เต๋อเฟยทรงรีบแต่งกายสิเพคะ ป่านนี้วังอื่นคงทราบข่าวแล้ว จะให้พวกนางแย่งโอกาสไปไม่ได้นะเพคะ” แม่นมเฝิงเร่งเร้าไม่หยุดหย่อน
เมิ่งซังอวี๋มิได้ขยับเขยื้อน เพียงถามเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้ฝ่าบาทประทับอยู่กับใคร”
แม่นมเฝิงรายงานเสียงต่ำ “ประทับอยู่กับเหลียงเฟยเพคะ”
“เสิ่นฮุ่ยหรู?” เมิ่งซังอวี๋พึมพำ จากนั้นจึงโบกมือ เอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ไป!”
กู่เซ่าเจ๋อที่มองไปยังนางด้วยสายตาเป็นประกายพลันอึ้งไป เขาไม่คาดคิดว่านางจะมีท่าทีเช่นนี้ ในใจจึงรู้สึกกระวนกระวายอย่างอดไม่ได้ เขาอยากจะไปดูให้เห็นเพื่อพิสูจน์การคาดเดาของตัวเองจึงรีบร้องหงิงๆ ตะกุยทั้งสี่เท้าอยู่ในอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋ไม่หยุด
“เต๋อเฟยทอดพระเนตรสิเพคะ วันนี้อากาศดีถึงเพียงนี้ พระองค์พาอาเป่าไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงก็ดีนะเพคะ อาเป่ายังไม่เคยไปอุทยานหลวงเลย!” ครั้นเหลือบเห็นอาเป่าที่กำลังกระสับกระส่าย แม่นมเฝิงจึงเปลี่ยนคำพูดที่เอ่ยโน้มน้าวทันที
เมื่อสบเข้ากับดวงตาเงาวับเปี่ยมล้นไปด้วยความวาดหวังของอาเป่า เมิ่งซังอวี๋ก็ถอนหายใจเฮือก ออกคำสั่งเสียงต่ำลึก “เช่นนั้นก็ปรนนิบัติข้าแต่งหน้าทำผมเถอะ” นางยืนขึ้น เดินเชิดหน้าเข้าไปในตำหนัก รัศมีดุดันเฉียบขาดอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเต๋อเฟยปรากฏออกมาในชั่วพริบตา
บรรดานางกำนัลรับคำอย่างพร้อมเพรียง กิ่งเดินกิ่งวิ่งตามหลังนางไป
กู่เซ่าเจ๋อนั่งอยู่หน้าประตูของตำหนักบรรทม แววตาลึกล้ำจ้องมองเงาร่างอันโปร่งบางที่เลือนรางหลังฉากกันลมอย่างแน่วนิ่ง ความรู้สึกของเขาไม่มีทางผิดพลาด ที่แท้เต๋อเฟยไม่ได้รักใคร่แยแสเขาจริงๆ ในใจของนางเขาเทียบกับสุนัขตัวหนึ่งยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ความอ่อนโยน น้ำจิตน้ำใจ ความร้อนแรงดุจเปลวเพลิงในวันวานล้วนเป็นการเสแสร้งแกล้งทำของนาง เมื่อพูดถึงฮ่องเต้กับเหล่าข้ารับใช้ ความหนาวเหน็บเย็นชาในดวงตาของนางถึงกับทำให้เขาตื่นตกใจ
ช่างน่าตายนัก! หรือว่าเรายังดีกับเจ้าไม่พอ? เรามอบตำแหน่งสูงส่งให้ มอบความรักใคร่โปรดปรานให้ มอบอำนาจให้ แต่เจ้ากลับตอบแทนเราเช่นนี้หรือ หากมิใช่เพราะอุบัติเหตุครานี้ เจ้ายังจะหลอกลวงเราไปอีกนานแค่ไหนกัน กู่เซ่าเจ๋อก่นด่าอย่างดุดัน สิ่งที่โหมสาดซัดอยู่ในใจคือเพลิงโทสะ และยังมีความเจ็บปวดที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่ด้วย
ขณะที่ความคิดและความรู้สึกของเขากำลังเดือดพล่าน เมิ่งซังอวี๋ก็แต่งกายเสร็จสิ้น เมื่อเดินออกมาจากหลังฉากกั้นกันลมก็ยอบตัวลงอุ้มอาเป่าขึ้น
กู่เซ่าเจ๋อได้สติกลับคืนมาจึงดิ้นรนขัดขืนสุดแรง
“อาเป่า อย่าทำตัววุ่นวายสิ ข้าจะพาเจ้าออกไปเที่ยวนะ” เมิ่งซังอวี๋ตบศีรษะของมันพลางเอ่ยปลอบโยนเสียงแผ่วเบา พูดจบก็จุมพิตที่ข้างๆ ปากของมันอีกด้วย
กลีบปากอ่อนนุ่มเจือด้วยกลิ่นหอมกรุ่นระผ่านปลายจมูกและมุมปาก รสสัมผัสร้อนผะผ่าวเป็นพิเศษ แถมยังทำให้รู้สึกชาวาบน้อยๆ ตามมา กู่เซ่าเจ๋อนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็นอนซบอยู่ในอ้อมกอดของนางไม่ขยับเขยื้อนอีก หางปุกปุยส่ายไปมาอย่างไม่อาจควบคุม
ไม่ว่าแต่ก่อนกู่เซ่าเจ๋อจะเก็บซ่อนความรู้สึกไว้มิดชิดไม่เปิดเผยให้ใครเห็นอย่างไร หรือมีความคิดจิตใจยากจะคาดคะเนเพียงไร แต่หลังจากกลายเป็นสุนัข การปิดบังหลบซ่อนทั้งหมดก็ล้วนเปล่าประโยชน์ หางของสุนัขเชื่อมต่อโดยตรงกับจิตใจมิใช่สมอง ดังนั้นจึงไม่มีการเสแสร้งเหมือนอย่างมนุษย์
เพลิงโทสะของเขาถูกนางปัดเป่าจนมอดดับในพริบตา กู่เซ่าเจ๋อหน้าม่อยเล็กน้อย ยอมจำนนให้นางอุ้มเดินออกไป
ในใจเมิ่งซังอวี๋รู้สึกเอือมระอายิ่ง นางขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ เหล่านางสนมเพียรทำทุกวิถีทางเพื่อบุรุษผู้หนึ่ง แก่งแย่งชิงดีกันไปมา นางเหนื่อยล้ามานานแล้ว โชคดีที่ตอนนี้มีอาเป่า วันคืนที่ผ่านมายังนับว่าพอจะทนได้ นางใช้นิ้วลูบก้อนกลมอุ่นๆ ในอ้อมกอด คิ้วจึงค่อยๆ คลายลง เดินไปทางอุทยานหลวงอย่างเชื่องช้า
ข้างศาลาริมน้ำในอุทยานหลวง ดอกเบญจมาศช่อแล้วช่อเล่าแย่งกันผลิบานอวดโฉม ดูแล้วช่างสดใสคึกคักยิ่งนัก แม้จะอยู่ห่างออกไปแต่ก็สามารถได้กลิ่นหอมสดชื่นซึ่งแฝงด้วยกลิ่นขมๆ สิ่งที่ตามมาคือเสียงพิณอันกังวานนุ่มนวล สอดแทรกด้วยเสียงร้องขับขานอันแผ่วเบาน่าหลงใหล นี่เป็นงานเลี้ยงเพื่อการรับชมและรับฟังอย่างไม่ต้องสงสัย สามารถเห็นได้ชัดว่าผู้ที่ดีดพิณชมดอกเบญจมาศนี้จะงดงามล้ำเลิศถึงเพียงใด
หลังจากเลี้ยวผ่านภูเขาจำลอง เมิ่งซังอวี๋ก็มองเห็นแต่ไกลว่ามีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งเคียงกันอยู่ในศาลารับลม นางเลิกคิ้วพร้อมกับหยุดฝีเท้าลง
ผู้ที่เป็นบุรุษมีรูปร่างสูงใหญ่อย่างยิ่ง เมื่ออยู่ในชุดคลุมลายมังกรสีเหลืองอร่ามก็ยิ่งดูมีอำนาจบารมีข่มขวัญผู้คน เครื่องหน้าอันหล่อเหลาราวกับถูกบรรจงแกะสลักสามารถดึงดูดสตรีทั้งมวลในใต้หล้าได้ เขาก็คือฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าโจว กู่เซ่าเจ๋อ ปีนี้มีพระชนมพรรษายี่สิบเจ็ดพรรษา เป็นช่วงวัยที่กำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟู
ตรงข้ามเขามีพิณโบราณวางไว้หนึ่งคัน มือนุ่มอันเรียวยาวขาวหมดจดคู่หนึ่งกำลังลูบไล้พิณ เมื่อไล่สายตาขึ้นไปจากมืองามราวกับหยกสลักก็จะพบหญิงงามในชุดชาววังสีเหลืองนวลสวยสง่ากำลังดีดพิณพลางขับขาน นัยน์ตาใสอ่อนโยนหยาดเยิ้มกระจ่างราวกับสายธารมองสบสายตากับฮ่องเต้ผู้หล่อเหลาเป็นระยะๆ เป็นภาพที่งามล้ำที่สุด ทำให้สนมชายาหลายนางที่นั่งล้อมอยู่อีกด้านกลายเป็นเครื่องประดับไปเสียหมด
“ช่างเหมาะสมราวกับสวรรค์สร้างโดยแท้” เมิ่งซังอวี๋ใช้ปลายนิ้วจัดแต่งขนปุกปุยบนหลังของอาเป่า กล่าวเสียงแผ่วเบาอย่างทอดถอนใจ
“นั่นเป็นเพราะเต๋อเฟยยังเสด็จไม่ถึงอย่างไรเล่าเพคะ หากพระองค์เข้าไปล่ะก็ จะมีที่ให้เหลียงเฟยได้ประจบเอาพระทัยที่ไหนกัน เหลียงเฟยทรงโอ้อวดว่าฝีมือบรรเลงพิณโบราณของตนไม่ธรรมดา ทว่าเทียบฝีมือการขับร้องของพระองค์ไม่ได้ด้วยซ้ำ เต๋อเฟยทรงร้องเพลงถวายฝ่าบาทสักเพลงสิเพคะ หักหน้าเหลียงเฟยเสียเลย” แม่นมเฝิงเอ่ยยุยง
“ข้ามิใช่นักแสดงงิ้วที่เร่ขายศิลปะนะ” ความรังเกียจเดียดฉันท์วูบหนึ่งวาบผ่านดวงตาของเมิ่งซังอวี๋อย่างรวดเร็ว นางสาวเท้าเดินไปยังศาลารับลม
แม่นมเฝิงหุบปากอย่างหน้าเสีย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้เป็นนายถึงไม่กระตือรือร้นกับการเอาอกเอาใจฮ่องเต้ถึงเพียงนี้ หากผู้เป็นนายตั้งใจล่ะก็ ไม่แน่ว่าป่านนี้คงได้ครองตำแหน่งฮองเฮาไปแล้ว
นางยังคงนึกเสียดาย จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นความเหนื่อยหน่ายใจบนใบหน้าของอิ๋นชุ่ยกับปี้สุ่ยแม้แต่น้อย
จิตใจทั้งหมดทั้งมวลของกู่เซ่าเจ๋อถูกชายหญิงในศาลารับลมช่วงชิงไปจนหมดสิ้น เขาตะกุยเท้าทั้งสี่ ดิ้นอย่างรุนแรง ประจวบเหมาะกับที่เมิ่งซังอวี๋เดินเข้ามาใกล้หมายจะย่อตัวถวายบังคม จึงวางอาเป่าลง สะบัดผ้าเช็ดหน้าพร้อมกับกล่าว “ทรงพระเจริญ”
เมื่อเห็นเต๋อเฟยที่ค่อยๆ เดินนวยนาดเข้ามา บรรดาสนมชายาในศาลารับลมล้วนเผยสีหน้าสนุกสนาน ในกาลก่อนเต๋อเฟยเรียกได้ว่าได้รับความรักใคร่โปรดปรานแต่เพียงผู้เดียว ถวายการปรนนิบัติหลายครั้งหลายครา สิ่งที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ล้วนมีเพียงชิ้นเดียวในวังหลวง เมื่อเจอนาง แม้กระทั่งฮองเฮาและหลี่กุ้ยเฟยก็ยังต้องหลบไปยืนด้านข้าง ช่างชวนให้ผู้คนอิจฉาตาร้อนเสียจริง ทว่าหลังจากฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมา ความชื่นชอบของพระองค์ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป ผู้ที่ถูกเรียกให้เข้าเฝ้าคนแรกมิใช่เต๋อเฟยผู้ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด แต่กลับเป็นเหลียงเฟยผู้สงบเสงี่ยม นิสัยเย่อหยิ่งปลีกตัว อีกทั้งฮ่องเต้ยังให้เหลียงเฟยคอยถวายการรับใช้อยู่ในห้องทรงพระอักษรติดต่อกันถึงครึ่งเดือน สกุลเสิ่นเองก็ค่อยๆ เป็นที่ไว้วางพระทัยมากขึ้นทุกวัน ความโปรดปรานนี้มีแนวโน้มว่าจะนำหน้าเต๋อเฟยอยู่รางๆ
สนมทั่วทั้งวังที่ได้รับความโปรดปรานเพียงเล็กน้อยมีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยถูกเต๋อเฟยผู้อวดดีเล่นงาน มีเพียงเหลียงเฟยผู้ไม่มีปากมีเสียงผู้นี้ที่ไม่เคยปะทะกับเต๋อเฟยตรงๆ มาก่อน ทว่าครานี้คงมีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว
ฮ่องเต้ทรงขมวดคิ้ว ทอดพระเนตรเมิ่งซังอวี๋อยู่เป็นนานทว่ามิได้ตรัสอันใด บรรยากาศพลันหยุดชะงักลงชั่วขณะ เสิ่นฮุ่ยหรูซึ่งอยู่อีกด้านยกมุมปากยิ้ม นัยน์ตาดุจสายธารมีประกายเย้ยหยันและสำราญใจวูบผ่าน
เมิ่งซังอวี๋ตาดูจมูก จมูกดูใจ นำเหล่านางกำนัลคุกเข่าอยู่ที่เดิม ทั้งมิได้เงยหน้าขึ้นมามองสีหน้าของฮ่องเต้ และมิได้แสดงความไม่พอใจแม้เพียงนิด
อาเป่าทิ้งนางแล้ววิ่งไปหาฮ่องเต้ตั้งนานแล้ว ก้อนกลมๆ ขนาดเท่าฝ่ามือถูกคนมองข้ามได้โดยง่าย มันจึงวิ่งมาอยู่ข้างพระวรกายของฮ่องเต้ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นเล็บมือของคนผู้นั้นปรากฏสีม่วงอ่อนๆ และริมฝีปากขาวซีด นัยน์ตาของกู่เซ่าเจ๋อก็ทอประกายเล็กน้อย ลอบคิดในใจว่าตนเดาได้ถูกต้องแล้ว คนผู้นี้คือตัวแทน ที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับเขาทุกกระเบียดนิ้วเช่นนี้คงเป็นเพราะใช้ยาแปลงโฉม
ปัจจุบันในแผ่นดินต้าโจวมียาแปลงโฉมอยู่เพียงเม็ดเดียวเท่านั้น หลังจากกินลงไปแล้วนวดคลึงผิวหนังบริเวณใบหน้าอย่างถูกวิธีก็จะทำให้หน้าตาแปรเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนได้ ไม่มีช่องโหว่ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แต่ยาชนิดนี้แฝงด้วยพิษร้ายแรง มันจะทำลายอายุขัย อีกทั้งหากยานี้ถูกทำขึ้นและแพร่ออกไป เกรงว่าจะถูกผู้ที่มีเจตนาร้ายนำไปใช้ในทางที่ผิด กู่เซ่าเจ๋อจึงสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ยาเม็ดนี้จึงถูกเก็บรักษาอยู่ในมือของผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับเหยียนจวิ้นเหว่ย ดูท่าคนผู้นี้คงเป็นลูกน้องคนหนึ่งของเหยียนจวิ้นเหว่ย
หัวใจที่เครียดเขม็งของกู่เซ่าเจ๋อผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขามองไปทางเสิ่นฮุ่ยหรูซึ่งนั่งอยู่อีกด้าน ดวงหน้างามชดช้อยไร้รอยราคีดวงนี้เคยปรากฏให้เห็นในความฝันไม่รู้กี่ครั้งกี่ครา เขาอยากจะสาวเท้าวิ่งไปอยู่ข้างกายนาง ทว่าเดินออกไปได้สองก้าวก็นึกถึงเมิ่งซังอวี๋ที่ยังคุกเข่าอยู่ที่เดิมขึ้นมา จึงหันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้
ยามนี้เสิ่นฮุ่ยหรูมองเห็นอาเป่าซึ่งอยู่บนพื้นแล้ว มุมปากของนางยกยิ้มจากนั้นอุ้มมันขึ้นมา
“นี่คือสัตว์เลี้ยงของเต๋อเฟยอย่างนั้นหรือ ไฉนขนบนตัวมันถึงได้แหว่งเป็นวงเช่นนี้เล่า” นางลูบคอที่ว่างเปล่าไร้เส้นขนของอาเป่า ขมวดคิ้วพลางกล่าว
ฮ่องเต้ตรัสเรียกให้เมิ่งซังอวี๋ลุกขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย เหลือบมองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่งแล้วจึงหันพระพักตร์ไปทอดพระเนตรเสิ่นฮุ่ยหรู ในดวงตาซุกซ่อนไว้ด้วยแววรักใคร่จางๆ การปฏิบัติที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดนี้ทำให้บรรดาสนมชายาเผยสีหน้าเยาะเย้ยเหยียดหยัน
สงครามยังไม่เริ่มเต๋อเฟยก็ปราชัยไปแล้วกว่าครึ่ง ช่างทำให้หมดสนุกเสียจริง! ดูท่าว่าลมในตำหนักในกำลังจะเปลี่ยนทิศแล้ว
สีหน้าของเมิ่งซังอวี๋ยังคงราบเรียบเหมือนเคย นางเดินเข้าไปนั่งลงในตำแหน่งที่ต่ำกว่าฮ่องเต้ สบตาเสิ่นฮุ่ยหรูตรงๆ พร้อมกับเอ่ย “หลายวันก่อนถูกกิ่งไม้หนีบเอา ต้องโกนขนให้สะอาดจึงจะทายาได้”
“ถูกกิ่งไม้หนีบอะไรกัน อะไรจะหนีบได้พอเหมาะพอดีถึงเพียงนี้ หากเต๋อเฟยไม่บอก ข้ายังคิดว่ามีใครจิตใจโหดเหี้ยมลงมือกับมันเสียอีก” ในวาจาของเสิ่นฮุ่ยหรูมีความหมายแฝงเป็นนัยๆ
เมิ่งซังอวี๋ผลิยิ้มบางๆ ทว่ามิได้พูดตอบ หากสู้รบปรบมือกับเสิ่นฮุ่ยหรูต่อหน้าฮ่องเต้ นางไม่มีวันเอาชนะได้อย่างแน่นอน ฮ่องเต้ทรงอยากจะคิดเช่นไรก็ปล่อยให้พระองค์คิดเช่นนั้น นางไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ชื่อเสียงคือสิ่งใดกัน กินได้อย่างนั้นหรือ
อาเป่านอนฟุบอยู่ในอ้อมกอดของเสิ่นฮุ่ยหรูเงียบๆ เดิมทียังสูดดมกลิ่นหอมบนกายนางอย่างอาลัยรัก จนกระทั่งได้ยินนางพูดกล่าวโทษ เสกสรรปั้นเท็จ ความรู้สึกไม่คุ้นเคยก็ผุดขึ้นมาในใจ นี่ใช่เสิ่นฮุ่ยหรูที่อ่อนหวานเพียบพร้อมทั้งยังสูงส่งสันโดษของเขาจริงๆ หรือ กู่เซ่าเจ๋อขยับเท้าหน้า คิดจะหนีออกจากอ้อมกอดของนาง
เสิ่นฮุ่ยหรูกลับแอบหุบเล็บทั้งห้าคว้าอุ้งเท้าที่อยู่ไม่สุขของอาเป่าเอาไว้แน่น ปลอกเล็บบนนิ้วเล็กๆ ที่ส่องแสงแวววับจิกเข้าไปที่คางของมันอย่างแรง เพราะเป็นมุมอับจึงไม่มีผู้ใดเห็นการกระทำของนาง
ผิวนุ่มของลูกสุนัขถูกกรีดเป็นแผล หยาดโลหิตสีแดงสดซึมออกมาทันที แต่เป็นเพราะเส้นขนสีน้ำตาลเข้มของมันจึงทำให้มองไม่เห็น อาเป่าร้องด้วยความเจ็บปวด ข่วนเสิ่นฮุ่ยหรูด้วยสัญชาตญาณเข้าหนึ่งที
เสิ่นฮุ่ยหรูหวีดร้อง โยนอาเป่าออกไปไกลทันที
ฮ่องเต้และเมิ่งซังอวี๋ลุกขึ้นพร้อมกัน คนหนึ่งเข้าไปประคองเสิ่นฮุ่ยหรู อีกคนหนึ่งวิ่งไปหาอาเป่าที่ร่วงคะมำลงบนพื้นอย่างแรง
“ชายารัก เป็นอะไรหรือไม่” ฮ่องเต้ทรงโอบไหล่ของเสิ่นฮุ่ยหรู น้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนพระทัย
เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าที่ร่วงกระแทกพื้นจนมึนหัวตาลายเข้าสู่อ้อมอกเบาๆ ใบหน้าที่สงบเรียบเฉยเสมอมาปรากฏสีหน้ากราดเกรี้ยวเป็นครั้งแรก “เหลียงเฟย เจ้าเป็นอะไรของเจ้า!” นางไม่สนใจว่าฮ่องเต้จะประทับอยู่ที่นี่ด้วย น้ำเสียงเต็มไปด้วยการซักไซ้คาดคั้น ถึงแม้จะมีลำดับขั้นเดียวกัน แต่เต๋อเฟย เสียนเฟย เหลียงเฟย และซูเฟย อย่างไรเต๋อเฟยก็เป็นลำดับแรกในสี่ราชชายา ตำแหน่งของนางยังสูงกว่าเหลียงเฟยอยู่ครึ่งขั้น จึงมีสิทธิ์คาดคั้นถามอีกฝ่าย
เหล่าสนมชายาซึ่งคอยดูละครอยู่อีกด้านดวงตาพลันสว่างวาบ บุคลิกดุดันวางอำนาจเช่นนี้ถึงจะเป็นเต๋อเฟย! พวกนางยังหลงนึกว่าเต๋อเฟยเปลี่ยนแปลงนิสัยแล้วเสียอีก!
“ฝ่าบาทเพคะ เจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้มันข่วนหม่อมฉัน!” เสิ่นฮุ่ยหรูไม่ได้สนใจเมิ่งซังอวี๋ กุมหลังมือของตนไว้พร้อมกับเอ่ยฟ้องด้วยน้ำตาที่ไหลริน
ฮ่องเต้ทรงประคองมือขวาของเสิ่นฮุ่ยหรูอย่างระมัดระวัง เมื่อทอดพระเนตรเห็นรอยแผลสีแดงรอยหนึ่งบนหลังมือ พระพักตร์หล่อเหลาเหนือสามัญก็ปรากฏความโกรธกริ้วออกมาหลายส่วน “เต๋อเฟย สัตว์เดรัจฉานที่ยังไม่สั่งสอนให้เชื่องเช่นนี้ เจ้าก็กล้าพามาอยู่ต่อหน้าเราตามใจชอบ เจ้ารู้ความผิดตนหรือไม่”
“หม่อมฉันทราบดีเพคะ ขอฝ่าบาททรงลงอาญา” เมื่อเห็นอาเป่าลืมตาทั้งสองข้างขึ้นพร้อมทั้งมุดคอเสื้อนางพลางร้องครวญคราง สติสัมปชัญญะของเมิ่งซังอวี๋จึงกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว นางขานรับอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตอนนี้นางไม่มีเวลามาพูดพร่ำกับฮ่องเต้ อาการบาดเจ็บของอาเป่าสำคัญกว่า
“เช่นนั้นเจ้าก็นำสัตว์เดรัจฉานตัวนี้กลับไปเสีย สั่งสอนมันให้ดีได้เมื่อไรตอนนั้นค่อยออกมา” ฮ่องเต้สะบัดชายแขนฉลองพระองค์ พระพักตร์เต็มไปด้วยความรำคาญ
นี่เป็นการกักบริเวณกลายๆ ทั้งยังไม่มีกำหนดอีกด้วย ในใจของเมิ่งซังอวี๋เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง นางเดินจากไปท่ามกลางสายตายินดีในหายนะของผู้อื่นของบรรดาสนมชายาทั้งหลาย
เสิ่นฮุ่ยหรูลูบรอยแผลสีแดงบนหลังมือขวา พยักหน้าให้ฮ่องเต้เล็กน้อยจนเกือบจะมองไม่เห็น
หากถามว่าในวังหลวงนี้สตรีที่นางเกลียดชังที่สุดคือผู้ใด ผู้นั้นมิใช่ฮองเฮา มิใช่หลี่กุ้ยเฟย แต่เป็นเมิ่งซังอวี๋อย่างแน่นอนที่สุด ทั้งๆ ที่ตนเป็นสนมที่ฮ่องเต้รักใคร่โปรดปรานที่สุด แต่กลับต้องอยู่ในวังจงชุ่ยอย่างเงียบเชียบสงบเสงี่ยม ได้แต่มองดูเมิ่งซังอวี๋แย่งชิงเกียรติยศ ตำแหน่ง และอำนาจที่ควรจะเป็นของตนไปต่อหน้าต่อตา เมิ่งซังอวี๋อาศัยสิ่งใดกัน มีสิทธิ์อันใดกัน ฮ่องเต้ตรัสว่าทุกสิ่งอย่างล้วนทำไปเพื่อตัวนาง แต่นางได้มีชีวิตที่ดีแล้วจริงๆ หรือ เสิ่นฮุ่ยหรูมักจะเกิดคำถามเช่นนี้ขึ้นในใจทุกคราที่เห็นเมิ่งซังอวี๋ซึ่งฮึกเหิมวางอำนาจบาตรใหญ่
ทว่าต่อให้ไม่พอใจแค่ไหน นางก็จะไม่ลงมือกับเมิ่งซังอวี๋เป็นอันขาด เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ฮ่องเต้รักก็คือความอ่อนหวาน สูงส่ง และสะอาดบริสุทธิ์ของตน ยิ่งเมิ่งซังอวี๋กำเริบเหิมเกริม ความรู้สึกผิดและความสงสารที่ฮ่องเต้มีให้ตนก็ยิ่งลึกล้ำมากขึ้น ดังนั้นนางจึงได้แต่อดทน ซุ่มสังเกตอยู่ในวังจงชุ่ยอย่างเงียบเชียบ
แต่ว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงสลบไสลไม่ฟื้นเสียแล้ว ความอดทนของนางก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้วเช่นเดียวกัน
เสิ่นฮุ่ยหรูส่งสายตาให้ฮ่องเต้ พระองค์ทรงเข้าพระทัยได้ในทันใด จึงใช้ข้ออ้างว่ายังต้องชำระสะสางพระราชกิจ แล้วเสด็จกลับยังวังเฉียนชิงไป ทิ้งให้เสิ่นฮุ่ยหรูเผชิญหน้ากับเหล่าสนมชายาที่จู่ๆ ก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันใด
วันนี้เป็นแค่บททดสอบที่เสิ่นฮุ่ยหรูจัดขึ้นเพื่อฮ่องเต้พระองค์นี้ หากจะแสดงละครตบตาเป็นกู่เซ่าเจ๋อฮ่องเต้อย่างแนบเนียน อันดับแรกก็ต้องหลอกสายตาของเหล่าสนมชายาในตำหนักในให้ได้ก่อน
และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะทำได้ดียิ่งนัก