ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก
บทที่ห้า
เบื้องหลังการเป็นที่โปรดปราน
ยามนี้ฮ่องเต้แห่งต้าโจวตัวจริงกำลังอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋ หากมิใช่เพราะมีเส้นขนปกคลุมอยู่ ท่าทางอกสั่นขวัญหายของอาเป่าคงทำให้คนรอบข้างสงสัยเป็นแน่
เมื่อครู่นี้ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มาถึงตอนนี้กู่เซ่าเจ๋อถึงเพิ่งจะเข้าใจว่าตนถูกเสิ่นฮุ่ยหรูใช้เป็นเครื่องมือโจมตีเต๋อเฟย เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เหมือนกับความทรงจำที่ผ่านมาของเขาอยู่บ้าง แม้ว่าเต๋อเฟยจะไม่เคยทำร้ายเสิ่นฮุ่ยหรูมาก่อน แต่การกระแหนะกระแหนทางวาจาย่อมมีบ้าง เสิ่นฮุ่ยหรูมีจิตใจสูงส่ง แต่ไรมาไม่เคยเหยียดหยันคิดเล็กคิดน้อย เพราะความใจกว้างเช่นนี้ของนางทำให้เขายิ่งทวีความรู้สึกผิดมากขึ้น
ทว่าการกระทำของเสิ่นฮุ่ยหรูในวันนี้กลับปัดเป่าความรู้สึกผิดในใจของเขาให้หายไปกว่าครึ่ง ที่แท้นางก็พูดจาแฝงความนัยเสียดสีเป็น กล่าววาจาใส่ร้ายสาดโคลนเป็น พูดกลับขาวให้เป็นดำเป็น ยิ่งกว่านั้นยังให้ร้ายผู้อื่นโดยไม่เลือกวิธีการเป็นเช่นกัน ไม่มีอันใดแตกต่างกับนางสนมคนอื่นๆ หากเป็นเมื่อก่อนยามเขาเห็นเสิ่นฮุ่ยหรูมีความสามารถในการปกป้องตัวเองคงจะรู้สึกชื่นชม แต่บัดนี้ผู้ที่ถูกทำร้ายกลับกลายเป็นตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางบังเกิดความรู้สึกในทางดีได้
ครั้นรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ลามมาจากคาง หว่างคิ้วของกู่เซ่าเจ๋อก็ขมวดมุ่น ทั้งยังนึกถึงที่ฮ่องเต้ตัวปลอมผู้นั้นเอ่ยคำหนึ่งก็ ‘เรา’ สองคำก็ ‘เรา’ แล้วยังสั่งลงโทษกักบริเวณเต๋อเฟย ความรู้สึกไม่สบายใจก็แปรเปลี่ยนเป็นเพลิงโทสะที่ลุกโชนอย่างรวดเร็ว เป็นแค่ตัวปลอมแต่ถึงกับกล้าแตะต้องผู้หญิงของเรา รอให้เรากลับคืนร่างได้เมื่อไรก็จะเป็นวันตายของเจ้า!
กู่เซ่าเจ๋อที่มีเพลิงโทสะสูงเสียดฟ้ามองข้ามภาพฉากที่ฮ่องเต้ตัวปลอมโอบกอดเสิ่นฮุ่ยหรูไปอย่างเห็นได้ชัด ตาชั่งในใจของเขากำลังเอนเอียงไปหาผู้เป็นเจ้านายของอาเป่าทีละนิดทีละน้อย ทว่าเขากลับไม่รู้ตัวเลย
เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่ากลับวังปี้เซียวด้วยใจที่ร้อนรุ่มกระวนกระวาย ยังไม่ทันเดินเข้าประตูก็เร่งเร้าให้นางกำนัลไปเรียกตัวหมอหลวงที่สำนักแพทย์หลวงมาไม่ขาดปาก
“เต๋อเฟยเพคะ แค่ตกกระแทกพื้นเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงถึงเพียงนี้เลยนะเพคะ เมื่อครู่ฝ่าบาทเพิ่งรับสั่งกักบริเวณพระองค์เพราะอาเป่า หากตอนนี้ทรงเรียกหมอหลวงเพื่ออาเป่า หากฝ่าบาททรงทราบเข้าจะไม่พอพระทัยเอานะเพคะ” แม่นมเฝิงเอ่ยห้ามปราบอย่างเป็นกังวล
“อาเป่ายังเล็ก ถูกเหลียงเฟยโยนลงพื้นเช่นนั้นเกรงว่าจะช้ำในได้ ให้หมอหลวงมาดูอาการก่อนข้าถึงจะวางใจ อย่างไรเสียก็ทรงรับสั่งกักบริเวณไปแล้ว ฝ่าบาทไม่พอพระทัยก็ช่างปะไร” เมิ่งซังอวี๋ลูบคลำร่างของอาเป่าอย่างระมัดระวัง คิ้วงามที่ขมวดแน่นเผยให้เห็นถึงความรักใคร่สงสาร
เมื่อสบกับดวงตาหงส์ที่วาววับดุจสายธารคู่นี้ จิตใจอันสับสนวุ่นวายของกู่เซ่าเจ๋อก็ค่อยๆ สงบลงทีละน้อย ความรู้สึกด้านลบที่ล้นปริ่มในหัวใจถูกกวาดหายไปจนหมดสิ้น เขาขดตัวเข้าสู่อ้อมกอดอันหอมกรุ่นนุ่มละมุนของนาง ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกสบายใจและอบอุ่นหาใดเปรียบในตอนนี้เรียกว่า ‘การบำบัดเยียวยา’
ยังคงเป็นหมอหลวงคนเดิมที่มาเมื่อครั้งที่แล้ว เขาถวายบังคมอย่างรีบร้อนแล้วเข้าไปตรวจรักษาอาเป่าที่นอนอยู่บนตั่งนุ่ม ได้รับบาดเจ็บไม่เว้นแต่ละวัน ช่างเป็นลูกสุนัขที่โชคชะตาอาภัพเสียจริง! หมอหลวงเวินทอดถอนใจ ตรวจดูอาการอย่างละเอียดลออมากขึ้น
“ทูลเต๋อเฟย อาเป่ามิได้บาดเจ็บภายใน ทว่าตรงคางถูกของมีคมกรีดเป็นแผลยาวครึ่งชุ่น หากทายารักษาบาดแผลสักเล็กน้อย ห้าหกวันก็หายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเวินค้อมกายรายงาน
“อะไรนะ คางถูกกรีดเป็นแผล?” เมิ่งซังอวี๋ขมวดคิ้ว น้ำเสียงทั้งตื่นตกใจทั้งโกรธกริ้ว รอจนหมอหลวงเวินใส่ยาให้อาเป่าเสร็จสิ้นแล้วนางก็มองดูคอของอาเป่าที่เส้นขนขาดแหว่งเป็นหย่อมๆ ด้วยความเจ็บปวดหัวใจอย่างเหลือแสน นางจุมพิตศีรษะของอาเป่าติดๆ กันหลายครั้งพลางเอ่ยพึมพำ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าอาเป่าไม่ทำร้ายคนโดยไม่มีสาเหตุ ที่แท้เป็นเพราะเหลียงเฟยแอบใช้เล่ห์เหลี่ยม! น่าชังนัก!”
หลังจากสบถด่าเสร็จสิ้นนางก็คล้ายกับนึกอะไรขึ้นมาได้ บนใบหน้าจึงปรากฏสีหน้าอับจนเล็กน้อย หากเป็นผู้อื่น นางคงต้องทวงความยุติธรรมคืนให้อาเป่าเป็นแน่ แต่อีกฝ่ายเป็นเสิ่นฮุ่ยหรู นางก็จนปัญญาจริงๆ
“ปกติเหลียงเฟยทรงไม่มีปากมีเสียง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนเช่นนี้!” แม่นมเฝิงเอ่ยปากอย่างขุ่นข้อง “ที่ผ่านมาเต๋อเฟยมิเคยข้องแวะกับนาง ไฉนนางถึงพุ่งเป้ามาที่พระองค์ได้เล่าเพคะ”
“ที่ผ่านมามิเคยข้องแวะ? เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าครึ่งปีก่อนหน้านี้พี่ชายของข้าทำร้ายพี่ชายร่วมอุทรของเหลียงเฟยจนบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งใบหน้ายังเสียโฉม ความแค้นนี้ใหญ่หลวงนัก หากนางไม่พุ่งเป้ามาที่ข้าสิถึงจะแปลก” เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจ นวดคลึงหว่างคิ้วที่ปวดตุบๆ อันที่จริงเบื้องหลังยังมีสาเหตุอื่นอีก แต่นางไม่สะดวกใจที่จะบอกแม่นมเฝิง เพราะแม่นมเฝิงเก็บความลับไม่อยู่ หากให้รู้มากเกินไปคงไม่ดีนัก
ที่แท้ยังมีมูลเหตุนี้อยู่ด้วย เราก็เกือบจะลืมไปแล้วเช่นกัน! เมื่อเห็นเมิ่งซังอวี๋เผยสีหน้าเหนื่อยล้า กู่เซ่าเจ๋อก็พลันบังเกิดความรู้สึกชิงชังต่อพี่ชายผู้ไม่เอาไหนของนางผู้นั้น
เมิ่งซังอวี๋วางมือที่นวดคลึงหว่างคิ้วลง กล่าวเสริมด้วยความไม่วางใจ “ตอนนี้ราชครูเสิ่นกลับสู่ราชสำนักอีกครั้ง กุมอำนาจไว้ในมือ พวกเจ้าทุกคนต้องอยู่ให้ไกลจากเหลียงเฟยเอาไว้ ห้ามกระทบกระทั่งกับนางเป็นอันขาด”
เมื่อพูดถึงพี่ชายจอมเหลาะแหละของผู้เป็นนาย แม่นมเฝิงก็รู้สึกจนใจเช่นเดียวกัน นางถอนหายใจเฮือก กล่าวเสียงต่ำ “ปีนั้นที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น ราชครูเสิ่นเป็นขุนนางที่มีความดีความชอบมากที่สุด ทุกคนล้วนคิดว่าสกุลเสิ่นต้องก้าวหน้าเป็นแน่ ทว่าราชครูเสิ่นกลับยื่นหนังสือกราบทูลขอลาออกจากหน้าที่ราชการทั้งมวล คนที่ไม่สนใจลาภยศสรรเสริญเช่นเขาเหตุใดจู่ๆ ถึงกลับมายังราชสำนักเล่าเพคะ”
“ฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังพักรักษาพระวรกาย ไม่มีผู้ใดที่ไว้พระทัยได้ เขาย่อมต้องกลับมา ยิ่งกว่านั้นต่อให้ไม่กลับมาครั้งนี้ แต่เขาก็จะหาโอกาสอื่นกลับมากุมอำนาจจนได้ แม่นมเฝิง เจ้าคิดว่าราชครูเสิ่นเป็นคนที่มีความประพฤติสูงส่ง ไม่สนใจลาภยศสรรเสริญเช่นนั้นหรือ ผิดแล้ว ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วทั้งราชสำนักนี้ ถ้ากล่าวถึงเล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย ผู้ใดจะเอาชนะเขาได้”
กู่เซ่าเจ๋อลืมตาขึ้นทันใด มองไปทางนางด้วยสายตาวาววับ เขาอยากรู้ว่าเมิ่งซังอวี๋จะพูดถึงราชครูเสิ่นผู้ซื่อสัตย์ภักดี ไม่ใฝ่ใจหาอำนาจผู้นี้อย่างไร
เมิ่งซังอวี๋ไม่ได้รู้สึกถึงสายตาเร่าร้อนของอาเป่า นางกล่าววาจาต่อไป “ไม่สนใจลาภยศสรรเสริญ ดื่มด่ำหลงใหลในภูผาและธารา นี่เป็นแค่แผนการถอยเพื่อรุกของราชครูเสิ่นเท่านั้น หากปีนั้นเขาไม่ชิงเกษียณอายุเสียก่อนกำหนด อำนาจบารมีของราชครูเสิ่นต้องเหนือกว่าครอบครัวฝั่งมารดาของฮองเฮาเป็นแน่ คงจะโผทะยานกลายเป็นสกุลอันดับหนึ่งในแผ่นดินต้าโจว แต่เจ้าลองคิดดูสิว่าอดีตสกุลอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าโจวอย่างสกุลของฮองเฮามีจุดจบเช่นไร มิใช่เพราะมีคุณงามความดีสะท้านสะเทือนบัลลังก์หรอกหรือ ถึงได้ถูกฝ่าบาททรงกำจัดเพราะความหวาดระแวงและตกต่ำจนไม่อาจฟื้นตัวได้เช่นนี้
ราชครูเสิ่นคาดเดาพระทัยของฝ่าบาทได้อย่างแม่นยำตั้งแต่แรก จึงใช้อำนาจแลกความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทและเพื่อปูทางเจริญก้าวหน้าให้แก่คนรุ่นหลังของสกุลเสิ่น หากพี่ชายของเหลียงเฟยมิได้เสียโฉม หลังการสอบคัดเลือกในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ก็คงจะได้รับตำแหน่งแล้ว ฝ่าบาททรงต้องพระราชทานอนาคตอันดีงามรุ่งโรจน์ให้เขาเพื่อเป็นการชดเชยแก่สกุลเสิ่นเป็นแน่ ความเจริญรุ่งเรืองของสกุลเสิ่นคงมาถึงไม่ช้าก็เร็ว แต่น่าเสียดายที่เขาโชคไม่ดี ต้องมาพบเจอกับพี่ชายของข้าในช่วงสำคัญเช่นนี้ ทั้งยังถูกทำร้ายจนเสียโฉม เส้นทางขุนนางจึงต้องจบสิ้นตั้งแต่บัดนั้น”
ราชสำนักต้าโจวบัญญัติไว้ว่าผู้ที่ร่างกายมีตำหนิไม่อาจดำรงตำแหน่งขุนนาง ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็มิสามารถทำลายกฎระเบียบตามใจชอบได้
“ชั่วชีวิตนี้สกุลเสิ่นไม่มียอดคนที่ดูมีอนาคตอีกแล้ว หนทางสู่ความรุ่งโรจน์ของสกุลเสิ่นก็ถูกตัดขาดด้วยเช่นกัน ผลลัพธ์เช่นนี้ราชครูเสิ่นจะยอมรับได้อย่างไร เขาย่อมต้องลงสนามรบด้วยตัวเอง พวกเจ้ามิได้สังเกตหรอกหรือว่าตั้งแต่ครึ่งปีก่อนราชครูเสิ่นก็ไม่ได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่ไหนไกลๆ อีก เอาแต่พำนักอย่างสงบในเมืองหลวง นอกจากนั้นยังเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าผูกสัมพันธ์กับฝ่าบาทเป็นประจำ เขากำลังปูเส้นทางขุนนางให้ตัวเองใหม่อีกครั้งอย่างไรเล่า เหลียงเฟยเองก็เปลี่ยนท่าทีจากเคยสงบเสงี่ยมอย่างแต่ก่อนกลายเป็นมักจะร้องขอความรักใคร่อยู่บ่อยครั้ง พระโอรสและความโปรดปรานจากฝ่าบาทเป็นความหวังที่จะทำให้สกุลเสิ่นฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาจะต้องช่วงชิงสิ่งเหล่านั้นมาให้ได้อย่างแน่นอน ละครฉากนี้ในวันนี้เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น สกุลเมิ่งกับสกุลเสิ่นผูกความแค้นกันอย่างล้ำลึก ตอนนี้พวกเราต้องรอบคอบระมัดระวัง ไม่อาจทำการผิดพลาดได้แม้แต่นิดเดียว พวกเจ้าทุกคนจำเอาไว้!”
พวกแม่นมเฝิงมีสีหน้าหวั่นเกรง กระวีกระวาดก้มหน้าขานรับ
ส่วนกู่เซ่าเจ๋ออ้าปากค้าง ยากจะปกปิดความตื่นตระหนก ในครึ่งปีที่ผ่านมา เป็นความจริงที่ราชครูเสิ่นมักจะเข้าวังเพื่อขอเข้าเฝ้า ถกเถียงราชกิจกับเขาอยู่เสมอ และเป็นความจริงที่ว่าครึ่งปีที่ผ่านมาเสิ่นฮุ่ยหรูเริ่มมีท่าทีผิดแผกไปจากปกติ อาลัยอาวรณ์เขามากเป็นพิเศษ แต่เพราะความไว้ใจที่มีต่อราชครูเสิ่นและความรักใคร่สงสารที่มีให้เสิ่นฮุ่ยหรู เขาจึงไม่เคยคิดไปในทางอื่น แต่ยามนี้วาจาของเมิ่งซังอวี๋ช่างเฉียบคมเกินไป มีเหตุมีผลมากเกินไป เขาอยากจะโต้แย้งแต่ก็หาคำพูดเหมาะๆ มิได้
เพียงแค่คิดว่าความจงรักภักดีของราชครูเสิ่นและความรักใคร่ของเสิ่นฮุ่ยหรูสอดแทรกไว้ด้วยใจมุ่งหวังในอำนาจบารมีถึงเพียงนี้ เขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ความตั้งใจที่ว่าจะหาทางติดต่อกับเสิ่นฮุ่ยหรูก็เริ่มสั่นคลอนด้วยเช่นกัน
ในอกเขาปวดแปลบเป็นระลอก กู่เซ่าเจ๋อไม่มีที่ให้ระบาย จึงหันไปงับปลายนิ้วของเมิ่งซังอวี๋ ใช้ฟันขบกัดอย่างรุนแรง สตรีผู้นี้ฉลาดเกินไป มองทะลุปรุโปร่งเกินไป! เปิดเผยความจริงที่เขาไม่อยากจะครุ่นคิดให้ลึกซึ้งและไม่อยากจะยอมรับออกมาทีละอย่างๆ ช่างน่าชิงชังยิ่งนัก!
เดี๋ยวก่อน! ในเมื่อนางมองสภาพสกุลฝั่งมารดาของฮองเฮา สกุลหลี่ และสกุลเสิ่นได้อย่างกระจ่างแจ้ง ดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลใดที่นางจะมองสภาพของสกุลเมิ่งไม่ออก หรือว่าที่แท้แล้วนางจะเข้าใจหมดทุกอย่าง เพียงแต่ปิดบังซ่อนเอาไว้แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ความโกรธเกรี้ยวและความทุกข์ตรมในใจเขาก็พลันสลายหายไปในทันใด กลับถูกความรู้สึกผิดอันหนักอึ้งเข้ามาแทนที่
ฟันของลูกสุนัขยังขึ้นไม่ครบ ยามกัดคนจึงไม่ทำให้รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว เมิ่งซังอวี๋คิดว่าอาเป่ากำลังเล่นสนุกกับตนเสียด้วยซ้ำ ปลายนิ้วจึงเกาลงบนฝ้าที่ลิ้นของมันเบาๆ สองที เอ็ดดุอย่างรักใคร่ “เด็กดื้อ!”
กู่เซ่าเจ๋อซึ่งกำลังรู้สึกผิดส่ายหางขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ ถึงแม้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่ก็สามารถใช้กระบวนท่าเอาใจเจ้านายได้อย่างเต็มที่ เขาได้ก้าวเท้าข้างหนึ่งลงไปเหยียบบนเส้นทางสุนัขผู้จงรักภักดีอย่างไม่อาจหวนกลับโดยที่ไม่รู้ตัว
ข่าวที่เต๋อเฟยถูกกักบริเวณเพราะสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งแพร่กระจายไปทั่ววังหลวงอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมายเท่าใดที่แอบยินดีในหายนะของเต๋อเฟยอย่างลับๆ อีกทั้งเหลียงเฟยซึ่งแต่ก่อนไม่เป็นที่สนใจก็พลันกลายเป็นเป้าหมายให้สนมชายาจากวังต่างๆ พากันแย่งประจบประแจง ช่วยไม่ได้ที่ยามนี้ฝ่าบาททรงกำลังพักรักษาพระอาการ จึงมิได้เสด็จประทับตำหนักในเกือบหนึ่งเดือนแล้ว แม้แต่หลี่กุ้ยเฟยซึ่งนั่งคุกเข่าขอเข้าเฝ้าอยู่นอกวังเฉียนชิง พระองค์ก็มิเคยให้เห็นพระพักตร์ ตอนนี้เหลียงเฟยเป็นสนมเพียงคนเดียวที่มีสิทธิ์พูดต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท หากไม่ประจบนางแล้วจะให้ประจบผู้ใด
เป็นที่รักใคร่เพียงหนึ่งไม่มีสอง อยู่ในตำแหน่งสูงส่งเหนือผู้ใด นี่สิถึงจะเป็นสิ่งที่ข้าควรครอบครอง! เสิ่นฮุ่ยหรูหวนรำลึกถึงรสชาติอันน่าอัศจรรย์ของอำนาจบารมีขณะเดินไปในทางใต้ดินเพื่อเข้าไปในห้องลับในวังเฉียนชิง
เพราะมีโอสถเลอค่าเลื่องชื่อมากมายหลายชนิดยื้อชีวิตเอาไว้ กู่เซ่าเจ๋อที่อยู่บนเตียงจึงแค่ผ่ายผอมไปเล็กน้อยเท่านั้น ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ลมหายใจแผ่วเบาจนแทบจะไม่รู้สึก ทำให้เมื่อมองไกลๆ แล้วเขาดูเหมือนกับศพร่างหนึ่ง เมื่อมาถึงหน้าเตียง เสิ่นฮุ่ยหรูก็จ้องมองบุรุษที่สลบไสลไม่ได้สติตรงหน้าอย่างนิ่งงัน นางพลันเกิดความคิดว่าหากคนผู้นี้ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกตลอดกาลก็คงดี
ในปีที่มีการคัดเลือกสาวงามตอนที่นางอายุสิบหก มารดาได้เสียชีวิตพอดี เพื่อไว้ทุกข์ให้มารดา นางจึงพลาดโอกาสเข้าวัง เมื่อผ่านพ้นช่วงไว้ทุกข์ไปแล้ว เดิมทีนางสามารถแต่งงานเป็นภรรยาหลวงของเจ้าบ้านสกุลผู้ดีก็ได้ แต่นางกลับปฏิเสธข้อเสนอแนะของบิดา รอคอยให้กู่เซ่าเจ๋อมารับนางเข้าวัง นั่นคือสัญญาตั้งแต่วัยเยาว์ของนางและเขา ปีที่อายุสิบเก้า ในที่สุดการคัดเลือกสาวงามครั้งต่อมาก็มาถึงในที่สุด นางได้มาอยู่ข้างกายเขาดังปรารถนา
แต่ความจริงอันโหดร้ายทารุณจู่โจมนางอย่างรุนแรง นางตื่นขึ้นมาจากภาพฝันลวงตาอันงดงาม ได้แต่มองกู่เซ่าเจ๋อรักใคร่โปรดปรานเต๋อเฟยแต่เพิกเฉยต่อตน มองดูเต๋อเฟยปีนไต่ขึ้นไปทีละก้าวๆ กดหัวนางในทุกๆ ด้าน ส่วนนางทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทน แสร้งทำเป็นมีจิตใจกว้างขวาง
กู่เซ่าเจ๋อได้แต่ให้นางอดทนรอคอย ตั้งแต่ตอนอายุสิบหก นางก็รอมาแล้วสามปี พออายุสิบเก้าก็รออีกสามปี นับแล้วนางรอมาทั้งสิ้นหกปีเต็มๆ จะมีสตรีสักกี่คนที่สามารถปล่อยเวลาหกปีให้ผ่านเลยไปเช่นนี้ อีกทั้งเต๋อเฟยผู้ช่วงชิงทุกอย่างไปจากนางยังอยู่ในวัยแรกแย้มดั่งบุปผา ดวงหน้าเรียวงามสะพรั่งเสียยิ่งกว่าดอกบัว พาให้คนไม่อาจถอนสายตา นางมักจะหวาดหวั่นไม่เป็นสุข กลัวแต่ว่ากู่เซ่าเจ๋อจะทนเสน่ห์เย้ายวนไม่ไหว สุดท้ายก็ทิ้งนางไป
ครึ่งปีก่อนพี่ชายของนางถูกเมิ่งเหยียนโจวทำร้ายจนเสียโฉม ทำลายชีวิตทั้งชีวิต แต่กู่เซ่าเจ๋อกลับปล่อยสกุลเมิ่งไปง่ายๆ ยืนยันเด็ดขาดว่ามิให้นางเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ตอนนั้นนางก็รู้สึกได้รางๆ แล้วว่าความอดทนของตนได้ถึงขีดสุดแล้ว
เสิ่นฮุ่ยหรูพลันได้สติกลับมาจากภวังค์ นางใช้สายตาสลับซับซ้อนจ้องไปยังใบหน้าของกู่เซ่าเจ๋อซึ่งกำลังหลับใหลอย่างสงบ สีหน้าของนางผันแปรไม่หยุด ใจเต้นเร็วรัวขึ้นเรื่อยๆ ยืนนิ่งอยู่เป็นนาน ก่อนจะยื่นมือออกไปอย่างสั่นเทา บีบจมูกของเขาเบาๆ
ลมหายใจออกของเขาเป่ารดฝ่ามือนาง เนิบนาบและแผ่วเบา แค่ออกแรงเพียงน้อยนิดก็สามารถดับลมหายใจได้อย่างง่ายดาย ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจนางราวกับเป็นเงาตามตัว ไม่อาจสลัดทิ้งออกไปได้ มือนางออกแรงมากขึ้นอีกเล็กน้อย คนใต้ฝ่ามือยังคงหลับตาสนิท ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้เพียงนิด ดวงตาทั้งสองของนางเบิกกว้างจนถึงขีดสุด จ้องใบหน้าของกู่เซ่าเจ๋อตาไม่กะพริบ
เปลวเทียนในห้องไหววูบสองครา เงามืดใต้ขนตาเป็นแพยาวของกู่เซ่าเจ๋อแปรเปลี่ยนรูปร่างท่ามกลางแสงเทียน คล้ายกับกำลังสั่นไหวเบาๆ เสิ่นฮุ่ยหรูถูกภาพลวงตาที่เกิดจากแสงและเงาหลอกตา นางชักมือออกทันใด หอบหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าที่ขาวซีดดูดุร้ายราวกับภูตผี
ข้าเป็นอะไรไป ไฉนข้าถึงอยากสังหารฮ่องเต้ ข้าต้องถูกมนตร์สะกดแน่ๆ! นางกุมอก พยายามกดคลื่นที่โถมกระหน่ำในหัวใจลงไปอย่างสุดชีวิต
ไม่ผิด นางต้องมนตร์สะกดจริงๆ วันคืนกว่าสองพันวันในช่วงเวลาหกปี ความเคียดแค้นและความกล้ำกลืนที่สะสมอยู่ในใจของนางได้ถึงขีดสุดแล้ว หากพบช่องโหว่ก็จะระบายออกมา กัดกร่อนตนจนสิ้น และกัดกร่อนเป้าหมายที่นางโกรธแค้น เดิมทีนางมีนิสัยเย่อหยิ่งทะนงตน คนเช่นนี้หากระเบิดโทสะออกมาจะยิ่งน่ากลัวกว่าปกติ
“คารวะเหลียงเฟย พระองค์ไม่สบายหรือพ่ะย่ะค่ะ” ผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับเหยียนจวิ้นเหว่ยโผล่มาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง เพ่งมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นของเสิ่นฮุ่ยหรูพลางเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร แค่ผ่านมาเดือนกว่าแล้วแต่ฝ่าบาทก็ยังไม่ทรงฟื้นขึ้นมา ข้าจึงรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อยเท่านั้น” เสิ่นฮุ่ยหรูตื่นตระหนก หัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นอย่างรุนแรง โชคดีที่นางยั้งมือได้ทันเวลา! ตอนนี้นางนึกเสียใจแล้ว
“โชคดีที่มีเหลียงเฟยทรงคอยดูแลฝ่าบาท พระองค์เองก็เหนื่อยมากแล้ว ทรงรีบกลับไปพักผ่อนเถิด” เหยียนจวิ้นเหว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความขอบคุณ
“ต้องเสาะหาหมอชื่อดังทั่วทุกสารทิศเพื่อฝ่าบาท ใต้เท้าเหยียนเองก็ลำบากเช่นกัน ข้าไม่ค่อยสบายตัวนิดหน่อยจริงๆ เกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาทประชวรไปด้วย ต้องรบกวนให้ใต้เท้าเหยียนดูแลแล้ว” เสิ่นฮุ่ยหรูไม่กล้ารั้งรออยู่เป็นนาน ฉวยโอกาสออกไปทันที
รอจนนางจากไป เหยียนจวิ้นเหว่ยจึงค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปข้างกายกู่เซ่าเจ๋อ จ้องมองดวงหน้าหล่อเหลาอ่อนเยาว์จนใจลอย ทันใดนั้นแววตาของเขาก็พลันค้างแข็ง โน้มกายลงไปตรวจดูอย่างละเอียด จนกระทั่งยามยืดกายขึ้นตรง บนใบหน้าเยือกเย็นจึงเผยไอสังหารเข้มข้นออกมา
บนพระนาสิกของฝ่าบาทมีรอยเขียวช้ำอยู่สองสามแห่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเกิดจากการถูกคนใช้นิ้วกดอย่างรุนแรง เป็นผู้ใดกัน ถึงกับอยากจะทำให้ฝ่าบาทหายพระทัยไม่ออกจนสิ้นพระชนม์?
ในสมองของเหยียนจวิ้นเหว่ยพลันปรากฏภาพสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติของเหลียงเฟยขึ้นมาทันที เขาเดินออกไปนอกห้องลับ เอ่ยถามฉางสี่ที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตู “เมื่อครู่นอกจากเหลียงเฟยแล้วยังมีผู้อื่นเข้ามาอีกหรือไม่”
“เรียนใต้เท้าเหยียน ไม่มีขอรับ เหลียงเฟยตรัสว่าอยากอยู่กับฝ่าบาทตามลำพังสักครู่” ฉางสี่เอ่ยตอบอย่างพินอบพิเทา เหยียนจวิ้นเหว่ยมีตำแหน่งสูงส่งเหนือผู้ใด กระไอดุดันแผ่กำจายทั่วทั้งร่าง ทั้งยังสนิทสนมแน่นแฟ้นกับฮ่องเต้ยิ่ง เขาไม่กล้าวางท่าต่อหน้าเหยียนจวิ้นเหว่ยผู้นี้
“นางบอกว่าอยากอยู่กับฝ่าบาทตามลำพัง เจ้าก็เห็นชอบด้วยอย่างนั้นหรือ หากเกิดเรื่องกับฝ่าบาทขึ้น เจ้าจะรับโทษเช่นไร” เหยียนจวิ้นเหว่ยซักถามเสียงเย็น
“นี่…เหลียงเฟยกับฝ่าบาททรงรู้จักรักใคร่กันตั้งแต่เยาว์วัย จะทรงปองร้ายฝ่าบาทได้อย่างไรขอรับ ใต้เท้าเหยียนคิดมากไปแล้ว” ฉางสี่โต้กลับ
“ใจคนเปลี่ยนง่าย ผู้ใดก็มิอาจคาดเดาได้ทั้งนั้น ต่อไปส่งคนมาดูแลฝ่าบาทเพิ่มอีกสักสองสามคน อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาด” สุ้มเสียงของเหยียนจวิ้นเหว่ยทุ้มต่ำ เขาหยุดชะงักเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายก็มิได้เปิดโปงการกระทำของเหลียงเฟยออกมา ตอนนี้เขายังไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น หากบีบบังคับจนเหลียงเฟยกลายเป็นสุนัขจนตรอกคงไม่ดีแน่
ดีร้ายอย่างไรฉางสี่ก็เป็นหัวหน้าขันทีดูแลวังหลวง แม้แต่สนมชายาตำแหน่งสูงส่งยังต้องคอยดูสีหน้าของเขา ดังนั้นเขาเคยถูกสั่งสอนตักเตือนเช่นนี้เสียที่ไหน แม้ในใจจะรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่ด้วยไม่กล้าขัดขืนเทพมรณะองค์นี้ จึงได้แต่จำต้องรับคำ
เมื่อฉางสี่เดินจากไปไกลแล้ว เหยียนจวิ้นเหว่ยก็ยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าประตูห้องลับ ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด เหลียงเฟยบังเกิดใจคิดคด ทั้งยังควบคุมฮ่องเต้ตัวปลอมไว้ในมือ ส่วนฉางสี่มีท่าทีว่าจะเข้าเป็นพวกกับเหลียงเฟย ราชครูเสิ่นก็ฉวยโอกาสยึดกุมราชสำนัก หากสถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ การปล่อยให้ฝ่าบาทประทับอยู่ในวังหลวงเกรงว่าจะเป็นอันตรายยิ่ง ต้องพาพระองค์ออกไปให้เร็วที่สุด ไปซ่อนยังสถานที่ที่ปลอดภัย หากฝ่าบาทไม่ทรงฟื้นขึ้นมา เขาซึ่งอยู่ในราชสำนักก็ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ถ้าเกิดฮ่องเต้ตัวปลอมผู้นั้นพูดออกมาว่าเขาคิดจะกบฏ ต่อให้มีร้อยปากเขาก็ไม่อาจแก้ต่างให้ตัวเองได้ เหตุการณ์ขโมยมังกรสลับหงส์ ที่ชวนให้ผู้คนตื่นตระหนกเช่นนี้ หากเปิดเผยออกไปแม้เพียงนิดก็มากพอที่จะสั่นคลอนแผ่นดินต้าโจวได้แล้ว หากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาพบกับสถานการณ์เช่นนั้น ต่อให้เขาตายเป็นหมื่นครั้งก็ยากจะลบล้างความผิด
พอคิดถึงตรงนี้เหยียนจวิ้นเหว่ยก็เรียกราชองครักษ์ลับหน่วยหนึ่งออกมา ออกคำสั่งให้พวกเขาซ่อนตัวและคอยเฝ้าสังเกตบริเวณโดยรอบห้องลับ อย่าให้เหลียงเฟยและนางกำนัลอยู่กับฮ่องเต้โดยลำพังเด็ดขาด แม้แต่ฉางสี่ที่ดูแลฮ่องเต้มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ก็ไม่ได้ ส่วนเขาก็ไปตระเตรียมจัดการเรื่องพาฮ่องเต้ออกนอกวัง
เวลานี้กู่เซ่าเจ๋อไม่รู้เลยว่าร่างกายของตนได้เลี้ยววนกลับมาจากประตูผีแล้วรอบหนึ่ง เขายังคงดำดิ่งอยู่ในวาจาอันแหลมคมของเมิ่งซังอวี๋จนไม่อาจถอนตัว รู้สึกผิดหวังและโกรธแค้นกับการตีสองหน้าของราชครูเสิ่นและเสิ่นฮุ่ยหรู
สตรีสองคนเสแสร้งเช่นเดียวกัน ทว่าความรู้สึกที่เขาได้รับกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สำหรับเมิ่งซังอวี๋ เขาเริ่มจากต่อต้านจากนั้นก็กลายเป็นชื่นชม แต่สำหรับเสิ่นฮุ่ยหรู เขากลับไม่รู้ว่าควรจะมองนางอย่างไรดี แต่สิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็คือเมล็ดพันธุ์ที่ชื่อว่าความหวาดระแวงค่อยๆ ถูกเพาะลงในใจเขา จากนั้นก็หยั่งรากแตกหน่อออกมาตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นล่วงเลยไป
เมิ่งซังอวี๋ย่อมไม่รู้ว่าตนได้สร้างปัญหาให้กับราชครูเสิ่นและเสิ่นฮุ่ยหรูโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากเอ่ยเตือนคนสนิทของตน นางก็หยิบกล่องเครื่องมือเย็บปักถักร้อยออกมา ตัดเย็บชุดกันหนาวผ้าฝ้ายตัวน้อยให้อาเป่าต่อไป
“คารวะเต๋อเฟย ได้เวลาเสวยโอสถแล้วเพคะ” ไม่นานนักนางกำนัลประจำห้องเครื่องผู้หนึ่งก็ประคองน้ำแกงยาที่มีควันร้อนฉุยถ้วยหนึ่งเข้ามา
“วางไว้ก่อน รอให้เย็นอีกหน่อยแล้วข้าค่อยดื่ม” เมิ่งซังอวี๋โบกมือ สีหน้าเรียบเฉยชะงักค้างไปชั่ววูบ
“เต๋อเฟยเสวยตอนร้อนๆ เถอะเพคะ นี่เป็นโอสถที่ฝ่าบาททรงให้ยอดฝีมือด้านโรคสตรีจัดให้ท่านโดยเฉพาะ ตัวยาในนี้ทุกชนิดล้วนหายากมีค่ากว่าพันตำลึงทอง หากเย็นแล้วสรรพคุณของยาจะลดลงนะเพคะ”
เมื่อเห็นถ้วยโอสถ สีหน้าเป็นกังวลของแม่นมเฝิงก็แปรเปลี่ยนเป็นยินดีปรีดาในทันใด เอ่ยปากคุยโว “ต่อให้เหลียงเฟยได้รับความโปรดปรานมากมายเพียงใดก็ยังไม่อาจจะเอาชนะพระองค์ได้กระมัง เพื่อบำรุงร่างกายของพระองค์ให้ทรงตั้งครรภ์พระโอรสโดยเร็ว ฝ่าบาททรงสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจนัก ความรักใคร่เมตตาเช่นนี้ทั่วทั้งวังหามีใครเทียบเทียมได้! ที่เหลียงเฟยได้รับความโปรดปรานเป็นเพราะอาศัยบารมีของราชครูเสิ่น รอให้ท่านกั๋วกงยกทัพกลับราชสำนัก นางก็ดีใจอยู่ได้ไม่นานหรอกเพคะ”
“อย่างนั้นหรือ…” เมิ่งซังอวี๋ตอบรับอย่างคลุมเครือ แววตาที่มองไปยังถ้วยยาแฝงซ่อนไว้ด้วยแววเยาะหยัน…เยาะหยันตัวเอง
ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยแลกเปลี่ยนสายตาอันมีความหมายลึกลับกันหนึ่งที
เมื่อได้ยินคำว่า ‘เสวยโอสถ’ สองคำนี้ กู่เซ่าเจ๋อซึ่งนอนอยู่บนต้นขาของเมิ่งซังอวี๋ก็สะดุ้งตื่นขึ้นทันที จากนั้นพอฟังคำชื่นชมเกินจริงของแม่นมเฝิงจบ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไป ความเป็นมาของยาถ้วยนั้นคืออะไร นอกจากยอดฝีมือด้านโรคสตรีแล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้ดียิ่งไปกว่าเขา เขากลิ้งตัวยืนขึ้น เท้าหน้าเกาะขอบโต๊ะเอาไว้แล้วย่นจมูกดมกลิ่นยา จากนั้นความรู้สึกผิดก็เกือบจะท่วมท้นเต็มหัวใจ
เมิ่งซังอวี๋เห็นเช่นนั้นจึงรีบอุ้มอาเป่ากลับมา ตีศีรษะมันพร้อมกับสั่งสอน “ยาชนิดนี้มีพิษสามส่วน นี่ไม่ใช่ของดี อาเป่าห้ามแตะมันเด็ดขาด!”
เพื่อป้องกันไม่ให้อาเป่ามีจิตใจอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป แล้วฉวยโอกาสยามที่นางไม่ทันสังเกตแอบเลียกิน เมิ่งซังอวี๋จึงยกถ้วยขึ้นดื่มอึกใหญ่ ยามส่งถ้วยคืนให้นางกำนัลประจำห้องเครื่องในดวงตาก็มีประกายรางเลือนบางอย่างพาดผ่าน รอยยิ้มที่มุมปากแฝงแววเย็นชา
สีหน้าเล็กๆ น้อยๆ นี้สะท้อนเข้าสู่ดวงตาของกู่เซ่าเจ๋อที่กำลังมองเมิ่งซังอวี๋อยู่อย่างใกล้ชิด ทำให้ทั้งร่างแข็งทื่อประดุจถูกอสนีบาตฟาดใส่
นางรู้! รู้หมดทุกอย่างจริงๆ ด้วย ทว่ากลับยอมรับทุกสิ่งโดยไม่ปริปาก! มิน่ายามเอ่ยถึงตัวเรานางถึงได้เย็นชาเฉยเมยถึงเพียงนั้น ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
ในอกของกู่เซ่าเจ๋อไม่เพียงแต่อึดอัดกลัดกลุ้ม ยังมีความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่าอีกด้วย
ทันใดนั้นเขาพลันกลัวที่จะเผชิญหน้ากับเมิ่งซังอวี๋ กลัวว่าจะมองเห็นความอาฆาตแค้นในดวงตาของนาง แต่ขณะเดียวกันก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาจะต้องรู้ความคิดความรู้สึกของนางให้ได้ก่อนถึงจะสบายใจ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาใส่ใจสตรีผู้หนึ่งถึงเพียงนี้ แม้แต่เสิ่นฮุ่ยหรูก็มิอาจเทียบเท่า
“อาเป่าเป็นอะไรไปหรือ มองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” ภาพที่ลูกสุนัขเงยหน้ามองอย่างเหม่อลอย ลูกตาสีดำคล้ายลูกองุ่นใสแป๋วนั้นน่ารักหาใดเปรียบ ทำให้เมิ่งซังอวี๋ผลิยิ้มสดใสอย่างอดไม่ไหว
มีการเยาะหยันตัวเอง มีการยอมรับชะตากรรม มีความเบิกบาน แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีคือความอาฆาตพยาบาท! ดีเหลือเกิน! หัวใจที่เสมือนห้อยแขวนอยู่กลางอากาศของกู่เซ่าเจ๋อค่อยๆ หล่นลงอย่างช้าๆ แอบลอบยินดีอยู่ในใจ ส่วนยินดีเรื่องอะไรนั้นเขาเองก็ไม่อยากไปครุ่นคิดให้ลึกซึ้ง
รอให้เรากลับคืนร่างได้เมื่อใด เราจะชดเชยให้เจ้าอย่างดี! เขาแอบสาบานในใจ ร้องครวญเสียงหนึ่งแล้วพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋ ถูไถตัวกับมืออันอบอุ่นด้วยความอาลัยโหยหายิ่งกว่าสิ่งใด