ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก
บทที่หก
ไม่ฝักใฝ่ตำแหน่งฮองเฮา
อาการประชวรของฮ่องเต้ดีขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่ใช้สะสางพระราชกิจเพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ ทว่าพระองค์ยังมิได้เรียกให้สนมชายาเข้าถวายงาน เพียงแต่รับสั่งให้เหลียงเฟยคอยรับใช้ปรนนิบัติในห้องทรงพระอักษรทุกๆ วันสองวัน ส่วนอำนาจหน้าที่ในราชสำนักของราชครูเสิ่นนับวันก็ยิ่งมากขึ้นทุกที มีแนวโน้มส่อเค้าว่าจะต้องประจันหน้ากับหลี่เซียง
คนมีตาล้วนดูออกทั้งนั้น คราวนี้สกุลเสิ่นกำลังจะโผทะยานขึ้นฟ้า วังจงชุ่ยของเหลียงเฟยคึกคักจอแจราวกับท้องตลาด ผู้นั้นมาผู้นี้ไปตลอดทั้งวัน แตกต่างจากความเงียบเหงาในกาลก่อนโดยสิ้นเชิง
ภายในวังปี้เซียว เมิ่งซังอวี๋มือหนึ่งอุ้มอาเป่า มือหนึ่งถือบันทึกการเดินทาง นอนเอกเขนกอ่านอยู่บนตั่งนุ่มอย่างเกียจคร้าน แสงอาทิตย์อันอบอุ่นลอดเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดอ้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง สาดส่องลงบนร่างหนึ่งคนหนึ่งสุนัข อาบร่างของพวกเขาจนเป็นรัศมีสีทองบางๆ หนึ่งชั้น เป็นภาพที่ดูละมุนละไมอย่างบอกไม่ถูก
ลูกสุนัขตัวกลมๆ เท่าฝ่ามือหลับตาพริ้มน้อยๆ นอนซบอยู่ในอ้อมอกของหญิงสาวอย่างเงียบสงบ เสพสุขกับภูเขาแม่น้ำอันงดงามตระการตา ขนบธรรมเนียมพื้นบ้านในบันทึกการเดินทางร่วมกันกับนาง จิตใจสุขสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในยามนี้เขาลืมสถานภาพ ลืมหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง เพียงจดจ่ออยู่กับความสงบและอ่อนโยนนี้
“เต๋อเฟยเพคะ พระองค์ทรงอ่านตรงไหนอาเป่าก็อ่านตรงนั้น ทรงพลิกหน้าอาเป่าก็หันหน้าตาม เหมือนว่ามันรู้หนังสือเลยเพคะ ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ!” อิ๋นชุ่ยยกชาหนึ่งกาและขนมหนึ่งจานเดินเข้ามา พร้อมเอ่ยอย่างขำขัน
กู่เซ่าเจ๋อตัวแข็งชะงักไป กลัวว่าการแสดงออกอย่างผิดปกติของเขาจะทำให้เมิ่งซังอวี๋บังเกิดความสงสัย หากนางเห็นว่าอาเป่าเป็นภูตผีปีศาจ จุดจบของเขาจะเป็นอย่างไรแค่คิดดูก็รู้แล้ว
“อาเป่าของข้าฉลาดที่สุดอยู่แล้ว คราวนี้แค่อ่านหนังสือเป็นเพื่อน ต่อไปข้าจะสอนให้มันวาดภาพเขียนอักษร ร้องเพลงร่ายรำ แก้โจทย์ปัญหา” เมิ่งซังอวี๋วางบันทึกการเดินทางลง อุ้มอาเป่าขึ้นมาแล้วจุมพิตแรงๆ หนึ่งทีพลางประกาศอย่างโอ้อวดลำพองใจ นางไม่รู้ว่าท่าทางเอ็นดูไร้ขีดจำกัด เชื่อมั่นอย่างหน้ามืดตามัวในตอนนี้ได้ประทับลงในหัวใจของกู่เซ่าเจ๋อลึกซึ้งเพียงไร
หางปุกปุยของอาเป่าส่ายไปมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ในทันที
“ลูกสุนัขจะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้หรือเพคะ” อิ๋นชุ่ยประหลาดใจเล็กน้อย
“ได้อย่างแน่นอน” เมิ่งซังอวี๋บีบหางน้อยๆ ของอาเป่า กล่าวอย่างแน่วแน่
นับว่าเจ้ามีตา! นอกจากร้องเพลงร่ายรำแล้ว ยังจะมีอะไรที่เราทำไม่ได้บ้าง กู่เซ่าเจ๋อใช้ฟันงับปลายนิ้วของนาง ลอบครุ่นคิดอย่างเย่อหยิ่ง
“แต่ว่าเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ สอน ยังไม่ต้องรีบ ตอนนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พวกเราสอนอาเป่าใส่เสื้อผ้าก่อนดีกว่า เจ้าดูคอที่ไม่มีขนของมันสิ หากลมพัดมาจะต้องไม่สบายแน่ๆ ไปหยิบชุดกันหนาวกับผ้าพันคอของอาเป่ามาซิ ข้าจะลองใส่ให้มันดู” เมิ่งซังอวี๋สั่งด้วยอารมณ์คึกคัก
“เพคะ” ดวงตาของอิ๋นชุ่ยเป็นประกายวาบ เดินไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ของอาเป่าเข้ามาทันที
“อาเป่า ตอนนี้ข้าจะสวมเสื้อผ้าและผ้าพันคอให้เจ้า เจ้าก็เป็นเด็กดีอยู่นิ่งๆ อย่าขยับนะ ประเดี๋ยวจะมีขนมให้กิน ในตำหนักอากาศอบอุ่น หากเจ้าไม่คุ้นพวกเราก็จะไม่ใส่ให้ แต่ตอนออกไปเดินเล่นข้างนอกจำเป็นต้องใส่ ได้ยินหรือไม่” เมิ่งซังอวี๋หยิบชุดกันหนาวหนังเสือตัวน้อยมา จิ้มจมูกชื้นแฉะของอาเป่าพร้อมกับกำชับกำชาอย่างจริงจังเป็นเรื่องเป็นราว
กู่เซ่าเจ๋อส่งเสียงร้องครวญ อยากจะวิ่งหนีไปแต่สุดท้ายก็นั่งตัวตรงอยู่ตรงหน้าเมิ่งซังอวี๋ แสดงท่าทางประหนึ่งว่าปล่อยให้เจ้าจัดการเอาตามสบาย
ช่างเถิด! เป็นเราที่ติดค้างนาง นางอยากจะทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้นเถิด! ความจำใจบางเบาลอยวนเวียนอยู่ในหัวใจ ตั้งแต่รู้ว่านางมีสายตาอ่อนโยนกระจ่างแจ้งดุจกระจกใส หัวใจเปราะบางดั่งแก้ว เขาก็ทำใจแข็งกับนางไม่ลง
“อาเป่าเป็นเด็กดีจริงๆ!” เมิ่งซังอวี๋ประหลาดใจ ก้มหน้าลงประทับจุมพิตที่ปลายจมูกของมัน ทำให้หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง
ยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจกับความรู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาดฟันเช่นนี้อย่างละเอียดลึกซึ้ง เขาก็ถูกเมิ่งซังอวี๋จับใส่ชุดกันหนาวหนังเสือตัวน้อยที่มีหมวกเย็บติดกัน บนหมวกยังเย็บหูเสือเอาไว้ด้วย เมื่อประกอบเข้ากับศีรษะสุนัขของอาเป่า จะมองอย่างไรก็น่าขบขัน
“คิก…ฮ่าๆๆ…” ในทีแรกนางอยากจะกลั้นหัวเราะ แต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมาเต็มเสียง เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าไว้แล้วกลิ้งไปมาบนตั่งนุ่ม ใบหน้าเรียวแดงก่ำ ดวงตาหงส์ทอประกายยิ่งกว่าเดิม สะกดสายตาของกู่เซ่าเจ๋อไว้ได้อย่างสิ้นเชิง “อืม เหมือนยังขาดอะไรไปนิดหน่อย…”
หลังจากกลิ้งไปได้พักหนึ่ง นางก็วางอาเป่าที่เหม่อลอยลงบนโต๊ะเล็กๆ พลางประเมินดู ครั้นเหลือบเห็นแจกันเครื่องเคลือบสีขาวซึ่งตั้งอยู่อีกด้าน ดวงตาก็สว่างวูบทันใด
“เท่านี้ก็สมบูรณ์แบบแล้ว!” นางตัดดอกชาภูเขา อันสวยสดงดงามดอกหนึ่งมาทัดไว้ข้างหูอาเป่า เมิ่งซังอวี๋บีบอุ้งเท้าน้อยๆ ของมัน แล้วหัวเราะจนล้มกลิ้งลงไปบนตั่งอีกครั้ง
เสียงหัวเราะกังวานใสกระทบจิตใจคนดังสะท้อนไปมาภายในตำหนัก ทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้นมาหลายส่วน กู่เซ่าเจ๋อมุ่นคิ้ว อยากจะดึงดอกชาภูเขาออกมา แต่พอเห็นดวงหน้ายิ้มแย้มอันงามเลิศล้ำเหนือผู้ใดของเมิ่งซังอวี๋หัวใจเขาก็พลันสั่นไหว สุดท้ายจึงวางอุ้งเท้าลง ลอบคิดในใจว่าตามใจนางก็แล้วกัน ยากที่จะได้เห็นนางหัวเราะอย่างสบายอกสบายใจเช่นนี้
สำหรับเต๋อเฟย เขาตามใจนางจนแทบจะเลยขีดจำกัดของตัวเอง กล่าวได้ว่าเป็นเพราะในใจรู้สึกผิดจึงชดเชยให้เป็นเท่าทวี ทว่าเหตุผลที่แท้จริงเกรงว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแยกแยะไม่ออกเช่นกัน
อิ๋นชุ่ยและปี้สุ่ยซึ่งอยู่อีกด้านหัวเราะจนเจ็บหน้าอก กว่าจะหยุดหัวเราะได้ก็ยากลำบากเอาการ ปี้สุ่ยเสนอแนะอย่างจริงจังว่า “เต๋อเฟยเพคะ อาเป่าแต่งตัวแบบนี้แล้วน่ารักจริงๆ พระองค์ทรงวาดรูปมันเอาไว้สิเพคะ วันหลังจะได้เอาออกมาทอดพระเนตร”
“เป็นความคิดที่ดี” เมิ่งซังอวี๋นวดแก้มที่หัวเราะจนปวด อุ้มอาเป่าที่ทั้งหงุดหงิดและทั้งชอบใจอยู่นิดๆ ลงมาจากโต๊ะเตี้ย
“อาเป่ามานี่เร็ว ตามข้าไปที่ห้องหนังสือ” นางวางมันลงบนพื้น แล้วเดินนำไปยังห้องปีก เมื่อเห็นอาเป่าซึ่งสวมเสื้อผ้าแล้วไม่มีตรงไหนที่เดินไม่สะดวก ฝีเท้าของนางจึงเร็วขึ้นเล็กน้อย
หน้าต่างในห้องหนังสือเปิดกว้างให้แสงแดดส่องเข้ามาอย่างเต็มที่ ตรงหน้าต่างด้านหน้ามีต้นจำปีต้นหนึ่งปลูกไว้ เมื่อมองดูกิ่งก้านอันแข็งแรงแล้วก็ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวายิ่งนัก สามารถจินตนาการได้ว่ายามต้นจำปีผลิดอกในช่วงวสันตฤดูปีหน้าจะงามงดจับตาเพียงไร ส่วนทางหน้าต่างด้านหลังก็มีต้นดอกกุ้ยและต้นเหมยปลูกไว้หลายต้น ทำให้ไม่ว่าจะเป็นช่วงสารทฤดูหรือเหมันตฤดูก็สามารถสูดกลิ่นหอมกรุ่นพร้อมกับชื่นชมทัศนียภาพ เพลิดเพลินกับสิ่งต่างๆ แตกต่างกันไปตลอดทั้งสี่ฤดูในหนึ่งปีได้
พอก้าวข้ามธรณีประตูก็เห็นชั้นวางหนังสือสามด้านอันใหญ่โตมโหฬารได้ในทันที หนังสือบนชั้นมีมากมายหลายแขนง ครอบคลุมหลากหลายหมวดหมู่ ตั้งแต่บทละครพื้นบ้าน บันทึกการเดินทาง ไปจนถึงคัมภีร์และตำราต่างๆ ทุกสิ่งมีพรั่งพร้อม จัดวางแยกประเภทหมวดหมู่ไว้คนละช่อง กลิ่นน้ำหมึกหอมเข้มข้นลอยปะทะเข้ามา ชวนให้จิตใจของผู้คนผ่อนคลายลง
มุมหนึ่งบนชั้นหนังสือวางแจกันเครื่องเคลือบขนาดใหญ่เอาไว้ใบหนึ่ง เป็นแจกันสีดำที่ทั้งใหญ่และหนัก สิ่งที่ปักอยู่ในแจกันมิใช่ดอกไม้สดงามสะพรั่ง แต่เป็นกิ่งไม้แห้งๆ อับเฉา การจัดวางอันแปลกพิกลเช่นนี้กู่เซ่าเจ๋อเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก แต่เขากลับรู้สึกว่ากลมกลืนอย่างคาดไม่ถึง ขับเน้นให้ห้องหนังสือราวกับอยู่ในภาพวาด โต๊ะซึ่งทำจากไม้หวงหลี ตัวหนึ่งถูกวางไว้ชิดหน้าต่าง พู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึก ล้วนถูกจัดวางไว้อย่างพร้อมสรรพ ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งที่เกินความจำเป็นแม้แต่ชิ้นเดียว แม้แต่เตากำยานก็ยังไม่มีด้วยซ้ำไป
ห้องหนังสือนี้เรียบง่ายอย่างที่สุด ทว่าทุกๆ สิ่งกลับแฝงไว้ด้วยความคิดอันปราดเปรื่อง เป็นการจัดวางที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนผู้ใดมากที่สุดตั้งแต่ที่กู่เซ่าเจ๋อเคยพบเจอมา เมื่อดูจากสิ่งเหล่านี้ก็เห็นได้ว่าเจ้าของห้องหนังสือแห่งนี้เป็นคนฉลาดเฉลียว ความคิดเฉียบคมอย่างยิ่ง เขายืนนิ่งอึ้งอยู่หน้าประตูเนิ่นนานกว่าจะก้าวเข้าไป ใช้สายตาซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์สลับซับซ้อนมองไปยังเมิ่งซังอวี๋ที่กำลังจัดอุปกรณ์เตรียมวาดภาพ
แต่ก่อนการมาเยือนวังปี้เซียวก็เหมือนกับสิ่งที่ต้องทำเป็นกิจวัตร เมื่อเห็นเต๋อเฟยที่เปี่ยมไปด้วยจริตมารยา แต่งองค์ทรงเครื่องเสียเต็มยศ เขาก็มักจะรู้สึกเบื่อหน่ายมากเป็นพิเศษ ไหนเลยจะเคยสิ้นเปลืองจิตใจไปทำความเข้าใจนาง ไหนเลยจะเคยยอมอยู่ร่วมกับนางมากขึ้นแม้เพียงครู่เดียว ดังนั้นห้องหนังสือแห่งนี้เขาจึงเพิ่งได้เข้ามาเป็นครั้งแรก ซึ่งก็เห็นได้ชัดเจนยิ่งว่านางเองก็ไม่ได้อยากต้อนรับเขาเช่นกัน มิเช่นนั้นสามปีมานี้คงมิได้ไม่เคยเอ่ยถึงแม้แต่คำเดียวเช่นนี้
ในวังหลวง ผู้ใดจะไม่รู้บ้างว่าฮ่องเต้ทรงชอบเสวนาเรื่องบทกลอน ภาพวาด และหนังสือโบราณเป็นที่สุด เพื่อจะสนองตอบความโปรดปรานของเขา สนมชายาทั้งหลายในตำหนักในมีผู้ใดบ้างไม่ยื้อแย่งกันชโลมกายด้วยกลิ่นหนังสือเพื่อให้ตัวเองดึงดูดความสนใจจากเขา แต่เต๋อเฟยกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม หากมิใช่เพราะประสบชะตากรรมครั้งนี้เขาก็คงจะถูกสตรีผู้นี้หลอกลวงไปตลอดชีวิต!
เต๋อเฟยจงใจสร้างลักษณะท่าทางให้ตนดูเป็นคนหุนหันเจ้าอารมณ์ ในใจไร้เล่ห์เหลี่ยม มีเพียงกลอุบายหยาบกระด้างเพื่อตบตาผู้คน ดังนั้นตอนแรกเขาถึงได้หลอกใช้นางอย่างวางใจ มอบอำนาจและตำแหน่งให้ แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าความจริงกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง สตรีผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่โง่เขลา ทั้งยังฉลาดจนน่ากลัว ผู้ใดจะไปคิดว่าแม่นางน้อยเมื่อสามปีก่อนที่อายุเพิ่งจะครบสิบสี่ปีเต็มผู้หนึ่งจะมีความคิดลึกล้ำและมองโลกได้อย่างกว้างไกลเช่นนี้
หากกู่เซ่าเจ๋อเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้าค้นพบความจริงนี้เข้า เขาจะต้องแอบพระราชทานโทษตายให้เต๋อเฟยอย่างแน่นอน กำจัดภัยอันตรายที่แอบแฝงมา ทว่าหลังจากกลายเป็นสุนัข เขาก็ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เข้าใจเต๋อเฟยผิดครั้งแล้วครั้งเล่า จากความรู้สึกต่อต้านกลายเป็นชื่นชม จากหนีห่างกลายเป็นเข้าใกล้ ความคิดของเขาในตอนนี้นอกจากความผิดหวังอันน่าประหลาดใจแล้วก็ไม่มีโทสะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ช่างเถิด ถึงแม้เจ้าจะปิดบังเรามากมาย แต่ดูไปแล้วก็มิได้มีใจคิดคดใด เราจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าก็แล้วกัน กู่เซ่าเจ๋อถอนหายใจยาว เริ่มเดินดูในห้องหนังสือ เขาอยากเข้าใจสตรีผู้นี้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน อยากสืบหาโฉมหน้าที่แท้จริงที่นางปิดบังซ่อนเอาไว้
สองข้างของชั้นหนังสือแขวนภาพเขียนตัวอักษรเอาไว้หลายภาพ นามประทับล้วนเป็นชื่อเมิ่งซังอวี๋ ลายมือแกร่งกร้าวทว่าอ่อนช้อย มีพลัง รังสรรค์ขึ้นมาได้อย่างวิจิตรงดงาม ล้วนเป็นผลงานอันล้ำเลิศที่ยากจะหาได้ เมื่อมองดูภาพเขียนตัวอักษรและหนังสือซึ่งเต็มชั้นทั้งสามด้าน ใครยังจะกล้าบอกว่าเมิ่งซังอวี๋เป็นแม่เสือจากสกุลขุนศึกที่ไม่แตกฉานด้านอักษรอีกเล่า เกรงว่าแม้แต่เสิ่นฮุ่ยหรูเองก็ยังห่างชั้นอีกไกลนัก
กู่เซ่าเจ๋อกำลังจดจ้องภาพวาดอันปราดเปรียวมีชีวิตชีวาภาพหนึ่ง ในใจรู้สึกห่อเหี่ยว สตรีที่สมควรตาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเราชอบยอดหญิง จะประจบเอาใจเราสักนิดไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ ไยต้องปิดบังต้องแอบซ่อนเอาไว้ เขาย่นจมูก พ่นลมหายใจสายหนึ่งออกมา จากนั้นจึงปัดดอกชาภูเขาที่ข้างหูออก ปล่อยให้มันร่วงลงบนพื้นคล้ายกับระบายความโกรธเกรี้ยว
ฮึ! ในเมื่อเจ้าไม่เอาใจเรา เหตุใดเราต้องเอาใจเจ้าด้วย! อุ้งเท้านุ่มนิ่มเหยียบขยี้ดอกชาภูเขา เขายิ่งคิดก็ยิ่งโกรธแค้น
“อาเป่า เจ้าซนอีกแล้วนะ!” เมิ่งซังอวี๋วาดรูปพลางมองดูท่าทางหงุดหงิดโมโหของอาเป่า ซึ่งทำเอานางเกือบกระอักเลือดเพราะความน่ารัก
กู่เซ่าเจ๋อที่กำลังเหยียบดอกชาภูเขาชะงักไปทันใด แทบจะไม่อยากเชื่อว่าคนที่ทำตัวเป็นเด็กจนน่าหัวเราะเมื่อครู่คือตัวเอง หรือว่าเมื่อกลายเป็นสุนัขนานเข้า ความคิดและการกระทำก็จะกลายเป็นสุนัขไปด้วย…
เมิ่งซังอวี๋วางพู่กันลง เดินมาอุ้มอาเป่าวางลงบนโต๊ะหนังสือพลางหัวเราะคิกคัก แล้วชี้ไปยังผ้าไหมสีขาวผืนหนึ่งพลางกล่าว “อาเป่า ดูซิว่าเหมือนเจ้าหรือไม่”
ภาพลูกสุนัขบนผืนผ้าไหมสีขาวสวมชุดกันหนาวหนังเสือตัวน้อย ข้างหูทัดดอกชาภูเขา กำลังยกขาหน้าขึ้นปัดหู สีหน้าท่าทางกลุ้มอกกลุ้มใจยิ่ง แม้จะเป็นเพียงการตวัดลากไม่กี่เส้น แต่ภาพลูกสุนัขฉลาดเฉลียวก็ได้โลดแล่นอยู่บนกระดาษแล้ว ปราดเปรียวเสมือนมีชีวิตจริง
รูปลักษณ์ของอาเป่าก็ไม่ได้น่ามองสักเท่าไรนัก เทียบกับสุนัขพันธุ์ซีซือและพันธุ์จิงปาก็มิได้ ไฉนเต๋อเฟยถึงได้ชมชอบถึงเพียงนี้นะ กู่เซ่าเจ๋อลอบครุ่นคิดอย่างขมขื่น
ครั้นเห็นอาเป่าก้มหน้าพินิจพิเคราะห์ภาพวาดของตนอย่างละเอียดลออริมฝีปากของเมิ่งซังอวี๋ก็ยกยิ้ม นางหยิบพู่กันขนหมาป่าขึ้นมาจรดเขียนชื่อและอายุของอาเป่าลงไปบนผ้าไหม จากนั้นจึงจับอุ้งเท้าน้อยๆ ของมันไว้ แต้มด้วยหมึกสีแดงเล็กน้อย แล้วประทับรอยเท้าลงไปบริเวณที่ลงนามประทับชื่อ
“อาเป่าก็ลงชื่อด้วยเหมือนกัน ต่อไปข้าจะวาดภาพเหมือนให้เจ้าอีก ทำเป็นบันทึกการเจริญเติบโตของเจ้า เก็บเอาไว้ย้อนดูวันหลัง” เมิ่งซังอวี๋เช็ดหมึกสีแดงบนฝ่าเท้าของมันออกจนสะอาด จากนั้นจึงอุ้มเจ้าก้อนกลมๆ ขึ้นมา น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่และคาดหวัง
เจ้าเห็นอาเป่าเป็นลูกของตนอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะเราไม่อาจมอบบุตรให้แก่เจ้าได้ใช่หรือไม่ กู่เซ่าเจ๋อกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด ในอกรู้สึกอึดอัดอย่างรุนแรงยิ่งกว่าครั้งใดๆ ที่ผ่านมา
ตั้งแต่วันที่วาดภาพเหมือนวันนั้น อาเป่าก็เป็นเด็กดีสงบเรียบร้อยขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าเมิ่งซังอวี๋จะจับพลิกไปพลิกมาอย่างไรก็เชื่อฟังและทำตามเป็นอย่างดี ไม่วิ่งเล่นไปทั่วอีก เป็นเพราะกู่เซ่าเจ๋อรู้ว่าเต๋อเฟยถูกกักบริเวณเพราะตน หากเขาโผล่ออกไปนอกวังปี้เซียว นางจะต้องถูกคนที่คิดร้ายใช้เป็นข้ออ้างเล่นงานเป็นแน่
กู่เซ่าเจ๋อสะกดกลั้นความกระวนกระวายในใจลงไปอย่างยากลำบาก อดทนครุ่นคิดถึงวิธีการที่จะออกไปนอกวังปี้เซียวโดยไม่ทำให้เมิ่งซังอวี๋เดือดร้อน เขาเริ่มเกิดความคิดที่จะปกป้องสตรีผู้นี้โดยไม่รู้ตัว
ราชครูเสิ่นและเสิ่นฮุ่ยหรูเป็นดังที่เมิ่งซังอวี๋คาดการณ์ไว้ ทั้งคู่เหยียบไปบนเส้นทางของขุนนางใหญ่ผู้กุมอำนาจและชายาคนโปรดโดยไม่อาจหวนกลับมา ทั้งสองคนรวบอำนาจทั้งในราชสำนักและในตำหนักในอย่างกำเริบเสิบสาน ค่อยๆ เหยียบย่างลงบนขีดจำกัดของกู่เซ่าเจ๋อทีละนิดๆ กัดเซาะความรู้สึกของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นเพียงแค่เมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดระแวงเท่านั้น แต่ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือนก็ได้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้าไปเสียแล้ว
ผ่านไปอีกครึ่งเดือน ร่างกายของอาเป่าก็เติบใหญ่แข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก ประสาทรับเสียงและประสาทดมกลิ่นก็เฉียบไวมากยิ่งขึ้น วิ่งเล่นอยู่ในวังปี้เซียวตัวเดียวทั้งวันก็ไม่เป็นปัญหาใดแม้แต่น้อย
ระยะหลังมานี้กู่เซ่าเจ๋อมักจะเดินวนไปวนมาตรงประตูวัง ในใจยิ่งมาก็ยิ่งร้อนรน เพราะร่างกายของเขาสลบไสลไปสองเดือนกว่าแล้ว หากยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก แผ่นดินต้าโจวก็พร้อมจะวุ่นวายขึ้นมาได้ทุกเมื่อ อีกทั้งราชครูเสิ่นและเสิ่นฮุ่ยหรูก็ยิ่งทำการรวบอำนาจอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาได้กลิ่นอายอันตราย ถ้าหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าราชครู่เสิ่นและเสิ่นฮุ่ยหรูอาจจะเกิดความคิดกบฏก็เป็นได้ เวลานี้เขาไม่อาจเชื่อใจสกุลเสิ่นได้ดังเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว
คนที่ร้อนรนยิ่งกว่าเขาก็คือแม่นมเฝิง ครั้นเห็นว่าตั้งแต่โดนกักบริเวณ ฮ่องเต้ทรงไม่สนพระทัยไต่ถามข่าวคราวของผู้เป็นนายเลย คล้ายกับลืมนางไปโดยสิ้นเชิง แม่นมเฝิงก็ยิ่งกังวลใจมากขึ้นทุกขณะ แทบจะนั่งไม่ติดที่
“เต๋อเฟยทรงเย็บถุงหอมถวายให้ฝ่าบาทเถอะเพคะ ให้ฝ่าบาททรงรู้ว่าพระองค์คิดถึงฝ่าบาทอยู่ตลอด มิเช่นนั้นพระองค์จะต้องถูกกักบริเวณเช่นนี้ไปถึงเมื่อไรกันเพคะ” แม่นมเฝิงนวดไหล่ให้เมิ่งซังอวี๋ เอ่ยโน้มน้าวไม่ขาดปาก
ครั้นกู่เซ่าเจ๋อที่เพิ่งจะวิ่งเข้ามาในตำหนักบรรทมได้ยินเข้าก็ถลึงตาใส่แม่นมเฝิงด้วยสายตาที่แฝงไอสังหาร เต๋อเฟยเป็นผู้หญิงของเรา บ่าวสารเลวผู้นี้ถึงกับให้เต๋อเฟยเย็บถุงหอมให้เจ้าตัวปลอมนั่น สมควรตายยิ่งนัก!
“วางใจเถิด อีกไม่นานข้าก็จะถูกยกเลิกการกักบริเวณแล้วล่ะ สองเดือนมานี้ฮ่องเต้ยังมิได้เสด็จประดับตำหนักในเลย บัดนี้ข้างนอกลือกันว่าฮ่องเต้ทรงได้รับบาดเจ็บที่ตรงนั้น ไม่อาจให้กำเนิดโอรสธิดาได้อีก พวกหลี่เซียงก็ยื่นหนังสือกราบทูลครั้งแล้วครั้งเล่า โน้มน้าวให้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮาและรัชทายาทโดยเร็ว ตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะได้รับตำแหน่งฮองเฮาและรัชทายาทย่อมต้องเป็นหลี่กุ้ยเฟยกับองค์ชายรอง เหลียงเฟยมองออกว่าตำแหน่งฮองเฮาเสมือนดั่งอยู่ในกำมือของนางอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นคนเฉลียวฉลาด ถนัดการยืมเรี่ยวแรงผู้อื่นมาใช้ คราวนี้นางต้องปล่อยข้าออกไปแน่ จะได้กวนน้ำในสระให้ขุ่นยิ่งขึ้น แต่น่าเสียดายที่ข้ามิเคยปรารถนาตำแหน่งฮองเฮาเลย คงไม่ไปต่อสู้แก่งแย่งกับหลี่กุ้ยเฟยเหมือนที่นางปรารถนา แต่ถ้านางไม่ปล่อยข้าออกไปก็ดีเช่นกัน อยู่แบบนี้ข้าก็สุขกายสบายใจดี” เมิ่งซังอวี๋โบกมือ เต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
“คนที่ทำให้ฝ่าบาททรงกักบริเวณพระองค์คือนาง คนที่อยากให้ฝ่าบาททรงยกเลิกการกักบริเวณก็คือนาง นางมีอำนาจต่อการตัดสินพระทัยของฝ่าบาทมากมายถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันเพคะ แค่พริบตาเดียวก็ได้รับความโปรดปรานอย่างคาดไม่ถึง คงมิใช่ว่านางใช้มนตร์คาถาล่อลวงฝ่าบาทกระมัง มีหลี่กุ้ยเฟย เสียนเฟย และพระองค์อยู่ ไม่ว่าอย่างไรตัวเลือกตำแหน่งฮองเฮาก็คงไปไม่ถึงนางหรอกเพคะ!” แม่นมเฝิงรู้สึกไม่เข้าใจความคิดเห็นของเมิ่งซังอวี๋เป็นอย่างมาก
“นางไม่มีมนตร์คาถา แม่นมเฝิง เจ้าคิดมากไปแล้ว” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะ ก่อนจะพึมพำเสียงเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน “ตำแหน่งฮองเฮานี้เป็นของนางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไหนเลยจะตกไปถึงผู้อื่น”
“เอ๊ะ? เต๋อเฟยตรัสว่าอะไรนะเพคะ” แม่นมเฝิงได้ยินไม่ชัดจึงรีบซักถาม
ทว่าความสามารถในการได้ยินของสัตว์จำพวกสุนัขเฉียบไวเหนือคนปกติ กู่เซ่าเจ๋อจึงได้ยินคำพูดพึมพำของเมิ่งซังอวี๋ชัดแจ้งเต็มสองหู ทำให้ร่างกายชะงักกึก ในใจก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง สตรีผู้นี้คงมิได้ดูออกแม้กระทั่งความรักที่เรามีต่อเหลียงเฟยกระมัง ดวงตาคู่นั้นของนางเฉียบคมเพียงใดกันแน่…
ในหัวใจของเขาเอ่อล้นไปด้วยความโกรธเคืองที่ถูกผู้อื่นมองออกทะลุปรุโปร่ง จากนั้นก็ตามมาด้วยความรู้สึกผิดอย่างแรงกล้า หางของอาเป่าสะบัดพึ่บ สุดท้ายก็วิ่งเตลิดหนีไป
ในยามนี้เขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับสตรีผู้นั้นอย่างไร ที่แท้นางรู้มากกว่าที่เขาคิดไว้มากมายนัก ที่แท้แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมานางไม่มีใจฝักใฝ่ในตำแหน่งฮองเฮา วิธีการป้องกันและเรื่องที่เขาหลอกใช้นางแทบจะกลายเป็นเหมือนเรื่องตลกเลยทีเดียว
เมิ่งซังอวี๋ไม่ได้สังเกตเห็นก้อนกลมๆ ปุกปุยที่เข้ามาแล้วก็ออกไป นางโบกมือให้แม่นมเฝิง บอกเป็นนัยว่าไม่อยากสนทนาเรื่องนี้อีกต่อไป