ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก – หน้า 7 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก

บทที่เจ็ด

ฮูหยินเมิ่งเข้าวัง

ในราชสำนัก การต่อสู้ระหว่างสกุลเสิ่นและสกุลหลี่ยิ่งทวีความดุเดือดมากขึ้นทุกที หลี่เซียงมีฐานอำนาจมากมาย พรรคพวกกว้างขวาง ส่วนราชครูเสิ่นก็เป็นขุนนางคนสนิทของฮ่องเต้ กำลังคนของทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับที่พอจะทัดทานกันได้ หากจะทำลายสภาพการณ์ซึ่งคุมเชิงกันอยู่เช่นนี้มิใช่เรื่องง่าย

ในช่วงเวลานี้เองเสิ่นฮุ่ยหรูก็ดำเนินแผนการยืมแรงผู้อื่นดังที่คาดเอาไว้ นางเสนอแนะให้ฮ่องเต้ทรงถอนคำสั่งกักบริเวณเต๋อเฟยเพื่อให้เข้าร่วมการต่อสู้แก่งแย่งครั้งนี้ แต่ไรมาเต๋อเฟยไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา ไม่มีทางเห็นนางเป็นคู่แข่งแน่นอน ดังนั้นจะต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงเล่นงานหลี่กุ้ยเฟยเป็นแน่ พอถึงเวลานางก็แค่ดูไฟชายฝั่ง แล้วค่อยฉวยโอกาสรวบผลประโยชน์เป็นพอ

แล้วก็เป็นจริงดังคาด ผ่านไปไม่กี่วันเมิ่งซังอวี๋ก็ได้รับป้ายขออนุญาตเข้าวังที่มารดาส่งมาเพื่อขอเข้าเฝ้า อีกทั้งฮ่องเต้ก็พระราชทานอนุญาตด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง นี่ก็คือสัญญาณยกเลิกคำสั่งกักบริเวณนาง

ฮูหยินเมิ่งหลินซื่อ อายุใกล้จะสี่สิบ ละม้ายคล้ายคลึงกับเต๋อเฟยถึงหกเจ็ดส่วน นับว่าเป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังคงงามสะพรั่งเฉิดฉัน เพียงแต่หว่างคิ้วมีรอยตื้นๆ หลายเส้น คล้ายกับว่าเกิดจากการขมวดคิ้วมาเป็นเวลายาวนานแรมปี เห็นได้ว่าปกติต้องเหน็ดเหนื่อยตรากตรำไม่น้อยเลยทีเดียว

“คารวะเต๋อเฟย…” เมื่อเห็นบุตรสาวเดินเข้ามาในตำหนักกลาง หลินซื่อก็รีบร้อนลุกขึ้นย่อกายถวายบังคม ทว่ากลับถูกเมิ่งซังอวี๋ชิงประคองเอาไว้

“ท่านแม่มิต้องมากพิธี เชิญนั่ง” เมิ่งซังอวี๋ประคองหลินซื่อไปยังที่นั่งรับรองแขก ส่วนตนก็นั่งบนที่นั่งตำแหน่งประธาน

แม่นมเฝิงอุ้มอาเป่าไว้หมายจะถอยออกไป แต่มันกลับร้องหงิงๆ ตะกุยแขนแม่นมเฝิงพลางใช้ดวงตาใสแป๋วกะพริบปริบๆ ใส่เมิ่งซังอวี๋ ในดวงตาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

พออยู่ร่วมกันนานวันเข้ากู่เซ่าเจ๋อก็พบว่าเมิ่งซังอวี๋ไม่อาจต้านทานสีหน้าเช่นนี้ของอาเป่าได้เลยแม้แต่น้อย แค่แสดงท่าทางเช่นนี้ออกมานางก็จะตามใจเขาทุกอย่างทันที

หากฮูหยินเมิ่งเข้าวังย่อมต้องนำข่าวคราวของเมิ่งจ่างสยงบิดาของเต๋อเฟยมาด้วยเป็นแน่ เขาจะต้องอยู่ฟังให้จงได้ จิตใจเขาสับสนวุ่นวายยิ่งนัก การหลอกใช้และทำร้ายจิตใจอย่างไม่ลังเลเช่นที่เคยผ่านมานั้นเขาทำไม่ได้อีกแล้ว ขอเพียงเมิ่งจ่างสยงยินยอมมอบอำนาจทางการทหารให้เขา ความยกย่องเมตตาที่เขามอบให้เต๋อเฟยจะไม่มีทางเรียกคืนเด็ดขาด อีกทั้งยังจะชดเชยให้มากเป็นเท่าทวี จิตใต้สำนึกของเขาไม่อยากจะคิดถึงท่าทางยามเศร้าโศกผิดหวังของเมิ่งซังอวี๋ในภายภาคหน้า ดวงหน้าแย้มยิ้มงามกระจ่างถึงจะเป็นสีหน้าที่เหมาะสมกับนางที่สุด

“แม่นม นำอาเป่ามาให้ข้า ส่วนเจ้าก็ไม่ต้องออกไปหรอก คอยอยู่ปรนนิบัติที่นี่ก็แล้วกัน” เป็นดังคาด เมิ่งซังอวี๋พลันแสดงสีหน้าอ่อนใจ ก่อนจะรวบอาเป่าเข้าสู่อ้อมกอดพลางหอมซ้ายหอมขวาทันที

หางของอาเป่าส่ายไปมาด้วยความยินดีปรีดาอย่างไม่อาจควบคุม ยามนี้กู่เซ่าเจ๋อใช้กลวิธีในการเอาใจเจ้านายได้ชำนิชำนาญขึ้นทุกที

“น้อมรับบัญชาเพคะ” แม่นมเฝิงเผยสีหน้าประหลาดใจ แต่ในใจกลับดีใจเป็นอย่างมาก แต่ก่อนยามฮูหยินเมิ่งเข้าวังเพื่อขอเข้าเฝ้า ผู้เป็นนายไม่เคยให้นางคอยอยู่ปรนนิบัติมาก่อน นางยังคิดว่าผู้เป็นนายไม่เชื่อใจนางเสียอีก

“เจ้าตัวน้อยนี่คือตัวการที่ทำให้เจ้าถูกกักบริเวณ?” เมื่อเห็นบุตรสาวยิ้มแย้ม ท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนยามที่ยังมิได้ออกเรือน ใบหน้าเคร่งเครียดของหลินซื่อก็นุ่มนวลลง ชี้ไปยังอาเป่าพลางถาม

“ไม่เกี่ยวกับอาเป่าหรอก เหลียงเฟยคิดเคียดแค้นข้ามานานแล้ว อาเป่าก็เป็นแค่ข้ออ้าง หากไม่มีอาเป่า นางก็จะหาเหตุผลอื่นมาตบหน้าข้าอยู่ดี” เมิ่งซังอวี๋นวดอุ้งเท้าน้อยๆ ของอาเป่า น้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่ทุกข์ร้อน เห็นได้ชัดว่านางมิได้เก็บเอาเรื่องที่ถูกกักบริเวณมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

กู่เซ่าเจ๋อนอนซบอยู่ในอ้อมแขนของเมิ่งซังอวี๋ หูตั้งแอบฟังทั้งคู่สนทนากัน เขามิได้ใจเต้นระรัวเพราะได้ยินคำว่า ‘เหลียงเฟย’ อีกแล้ว แต่กลับรู้สึกอบอุ่นใจเพราะคำพูดปกป้องของเมิ่งซังอวี๋

“นางมีสิทธิ์อะไรมาเคียดแค้นเจ้า” น้ำเสียงของหลินซื่อโกรธเกรี้ยว “สามปีมานี้เจ้าต้องต้านภัยอันตรายแทนนางตั้งมากมายเท่าไร กำจัดศัตรูไปมากมายเท่าไร นางก็แค่รอความรักใคร่เวทนาจากฮ่องเต้อยู่ในวังจงชุ่ยอย่างสบายอกสบายใจ นางยังมีอันใดไม่พอใจอีก”

อาเป่ากระดิกหู อุ้งเท้าที่พาดอยู่บนแขนของเมิ่งซังอวี๋ชะงักเล็กน้อย

ส่วนแม่นมเฝิงกลับเผยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ ไม่เข้าใจว่าบทสนทนาของเจ้านายทั้งสองหมายความว่าอย่างไร อะไรคือการที่เต๋อเฟยต้านภัยอันตรายแทนเหลียงเฟย

“เพราะไม่พอใจนางถึงได้เคียดแค้นอย่างไรเล่า ตำแหน่งสูงสุดในบรรดาราชชายาทั้งสี่ของข้าเดิมทีก็สมควรเป็นของนาง อำนาจในการช่วยจัดการสะสางงานกิจภายในวังก็ควรเป็นของนาง วังปี้เซียว คลังส่วนตัว ทุกสิ่งทุกอย่างของข้าเดิมทีควรจะเป็นของนาง ท่านว่านางจะเคียดแค้นข้าหรือไม่เล่า” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะหยัน แววเสียดสีและความจนใจที่อัดแน่นในน้ำเสียงทำให้กู่เซ่าเจ๋อใจสั่นสะท้าน

“ไร้สาระ! เหตุใดนางถึงไม่ดูบ้างว่าเจ้าถูกวางยาพิษมาตั้งกี่ครั้ง ถูกคนปองร้ายมาตั้งกี่ครา ถูกกรอกน้ำแกงคุมกำเนิดมาตั้งเท่าไร หากนางเก่งกาจนักก็เรียกนางมาเปลี่ยนที่กับเจ้าดูสิ ดูซิว่านางจะมีชีวิตอยู่ในวังปี้เซียวนี้ได้กี่วัน!? คนสกุลเสิ่นล้วนจิตใจต่ำช้าจริงๆ ทั้งยังวางท่าเป็นคนดีหลอกลวงผู้คนอีก! ฮ่องเต้ทรงพระเนตรมืดบอดไปแล้วกระมัง” พวงแก้มของหลินซื่อขึ้นสีแดงก่ำ น้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้นเรื่อยๆ

คำพูดทุกคำของหลินซื่อทำให้ร่างของกู่เซ่าเจ๋อแข็งทื่อ ถูกวางยาพิษ ถูกปองร้าย ถูกกรอกน้ำแกงคุมกำเนิด เรื่องเหล่านี้เขาล้วนรู้ดี แต่บัดนี้พอได้ยินกลับเหมือนมีดาบเหล็กกล้าแล่หัวใจของเขาทีละนิดทีละน้อย ความรู้สึกอึดอัดจนเจ็บแน่นในอกทำให้เขาละอายมากจนไม่อาจจะมากไปกว่านี้อีกแล้ว

“ท่านแม่ระวังวาจาด้วย” เมิ่งซังอวี๋รีบโบกมือ เตือนมารดาที่ไม่ระวังคำพูด

ใบหน้าหลินซื่อพลันเครียดเขม็ง สีหน้าโกรธแค้นสงบลงในทันใด

“ลูกสาวคนดีของข้า เดิมทีเจ้าควรถูกรักถูกทะนุถนอม ทว่ากลับถูกส่งเข้าวังมาให้ผู้อื่นเหยียบย่ำ…” หลินซื่อสะอื้นไห้พร้อมส่ายศีรษะ ไม่อาจเอ่ยวาจาใดๆ ออกมาอีก ดวงหน้าซูบเซียวคล้ายกับแก่ชราขึ้นสิบกว่าปีในชั่วพริบตาเดียว

กู่เซ่าเจ๋อใช้อุ้งเท้าอุดหูเอาไว้ แทบจะไม่กล้าฟังต่ออีก ‘เหยียบย่ำ’ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำกับเต๋อเฟยสามารถใช้สองคำนี้อธิบายได้อย่างชัดเจนที่สุด เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธกริ้วเพราะวาจาของฮูหยินเมิ่งเลยแม้เพียงนิด

“ท่านพ่อบัญชาการกองทหารกว่าร้อยหมื่นนาย หากรับข้าเป็นภรรยาก็เท่ากับว่ารับดาบมาแขวนคอ ในแผ่นดินต้าโจวนี้นอกจากฮ่องเต้แล้วใครจะกล้าแต่งข้าเป็นภรรยาเล่า” เมิ่งซังอวี๋ยิ้มเยาะตัวเอง ประโยคต่อมาน้ำเสียงก็ผ่อนคลายขึ้น “ท่านแม่ไม่ต้องเสียใจเพราะข้า ข้าสบายดี มีตำแหน่งอยู่สูงเหนือผู้อื่น มีข้ารับใช้ติดตามมากมาย มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ทุกอย่างที่สตรีบนโลกนี้ปรารถนามากที่สุดข้าล้วนมีหมดทุกสิ่ง ยังจะมีอันใดไม่พอใจอีกเล่า ไม่เห็นหรือว่าแม้กระทั่งเสิ่นฮุ่ยหรูแห่งตำหนักเจียวฝาง (ห้องพริกหอม) ที่ได้รับความรักแต่เพียงผู้เดียวยังอิจฉาริษยาข้า”

น้ำเสียงของนางเบิกบานถึงเพียงนั้น สีหน้าก็ร่าเริงสดใสถึงเพียงนั้น จึงทำให้เกิดบรรยากาศน่าประหลาดใจขึ้น หลินซื่อสีหน้าอ่อนลงในทันที

กู่เซ่าเจ๋อนอนฟุบในอ้อมกอดนาง ไม่รู้เลยว่าควรจะใช้คำใดมาบรรยายสตรีผู้นี้ นางทำราวกับว่าความทุกข์ตรมที่ต้องประสบเป็นเสมือนพระมหากรุณาธิคุณอย่างหนึ่ง เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่ต้องผ่านเพื่อก้าวไปสู่การเติบโต ไม่เคยอาฆาตแค้นและไม่เคยให้ตัวเองจมอยู่กับความขมขื่น ยามอยู่ข้างกายนาง ทุกๆ วันล้วนเต็มไปด้วยความสุข ความทุกข์ใจหนักหนาแค่ไหนก็สามารถลืมเลือนไปได้ หากไม่มีนางอยู่เคียงข้าง เขาก็ไม่รู้ว่าตนจะผ่านวันคืนที่ต้องติดอยู่ในร่างสัตว์เดรัจฉานนี้ไปได้หรือไม่

ถ้าหากตอนนี้เขามีมือสองข้าง เขาก็อยากจะโอบกอดสตรีผู้นี้ให้แน่นๆ ในยามนี้กู่เซ่าเจ๋อคิดอยากจะคืนร่างเดิมให้ได้โดยเร็วที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยประทับของเสิ่นฮุ่ยหรูในใจเขาเลือนรางลงไปทุกที แล้วแทนที่ด้วยใบหน้าแย้มยิ้มอันงดงามเฉิดฉายของเมิ่งซังอวี๋

หลินซื่อนิ่งเงียบไปชั่วครู่เพื่อปรับสภาพจิตใจ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหยดน้ำที่หางตา ค่อยๆ เอ่ยเรื่องสำคัญขึ้นมา “คราวนี้ข้าเข้าวังมาเพราะเรื่องการแต่งงานของพี่ชายเจ้า”

“อ้อ? คราวนี้ท่านพี่ต้องตาบุตรสาวบ้านใดอีกหรือ” เมิ่งซังอวี๋จับหูของอาเป่าเล่น เอ่ยถามด้วยความสนใจ

“มิใช่เขาต้องตา แต่เป็นข้าที่ต้องตา นางเป็นบุตรสาวคนโตของรองเสนาบดีกรมพิธีการฟู่ก่วงต๋า ถึงแม้รูปโฉมจะธรรมดาไปสักหน่อย แต่ก็มีดีที่เข้มแข็ง สมองปราดเปรื่อง อายุยังน้อยก็สามารถจัดการงานกิจภายในบ้านได้แล้ว ดูแลเลี้ยงดูน้องชายที่ยังเล็ก ใช้ชีวิตได้อย่างน่าชื่นชมภายใต้เงื้อมมือของแม่เลี้ยงที่ใจดำโหดเหี้ยม สตรีเช่นนี้แต่งเข้ามาคอยควบคุมพี่ชายเจ้าได้พอดี เขาจะได้หาเรื่องใส่ตัวให้น้อยลงบ้าง” หลินซื่อหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าถูกใจคุณหนูฟู่ผู้นี้เป็นที่สุด

“รูปโฉมธรรมดาสามัญก็คงจะจัดการยากหน่อย ท่านพี่ชมชอบหญิงงามเป็นที่สุด แล้วจะต้องตานางได้อย่างไร หากมิใช่เพราะนิสัยแบบนี้ของเขา ครึ่งปีก่อนคงไม่ก่อหายนะใหญ่หลวงเช่นนั้นหรอก” เมิ่งซังอวี๋นวดขมับ พอพูดถึงพี่ชายก็ปวดหัวแปลบ

กู่เซ่าเจ๋องับนิ้วมือนิ้วหนึ่งของนางไว้ด้วยความเคยชิน ขบกัดเบาๆ อยากให้นางเบิกบานใจขึ้นสักหน่อย ซึ่งเมิ่งซังอวี๋ก็ผลิยิ้มอ่อนโยนออกมาทันที

“จะโทษเขาได้อย่างไร หากมิใช่เพราะเสิ่นซีเหยียนหลอกลวงชิงความบริสุทธิ์ของหลิ่วฉีซือไปแล้วไม่ยอมไถ่ตัวนาง ทำให้นางผูกคอปลิดชีพตัวเอง พี่ชายของเจ้าก็คงไม่ทำร้ายเสิ่นซีเหยียนจนเสียโฉม เจ้าไม่เห็นจดหมายรักที่สาวใช้ของหลิ่วฉีซือนำออกมาหรือ เสิ่นซีเหยียนสาบานว่าจะรักมั่น ไม่สนใจหญิงอื่นใด สัญญาว่าจะช่วยนางออกมา แล้วสุดท้ายเป็นเช่นไรเล่า พอช่วงชิงความบริสุทธิ์ของผู้อื่นไปก็หายตัวไม่เห็นแม้แต่เงา หลิ่วฉีซือผู้นั้นก็ก่อกรรมให้ตัวเองเช่นกัน คราแรกพี่ชายของเจ้าจะช่วยไถ่ตัวนาง นางก็ดึงดันปฏิเสธ ไม่รู้บัดนี้ไปอยู่ในบ่อน้ำพุเหลือง* แล้วจะเสียใจแค่ไหน!” หลินซื่อสะบัดผ้าเช็ดหน้า สะอึกสะอื้นอย่างอดรนทนไม่ไหว

“แต่ก่อนนางก็เป็นถึงคุณหนูสกุลขุนนาง เคยเรียนหนังสือมาก็หลายปี จะไปนึกชอบท่านพี่ที่วิชาบุ๋นไม่ได้เรื่อง วิชาบู๊ก็ไม่ได้ความได้อย่างไร อย่างที่ข้าเคยบอกอย่างไรเล่าว่าเป้าหมายสูงเกินไปก็ไม่ดี หากอยากจะมีชีวิตอย่างอิสรเสรี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรู้กาลเทศะ มองเห็นสถานภาพของตัวเองให้กระจ่างแจ้ง” เมิ่งซังอวี๋กล่าวอย่างมีอารมณ์

ส่วนกู่เซ่าเจ๋อถูกความเศร้าเสียใจและความรู้สึกผิดทรมานอีกคราจนหัวใจเจ็บปวดดุจโดนเข็มทิ่มแทง เพราะไว้ใจราชครูเสิ่นและเสิ่นฮุ่ยหรู เขาจึงมิได้ส่งคนไปสอบสวนเรื่องนี้ให้ละเอียด จึงหาได้รู้ว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังอันน่ารังเกียจเช่นนี้ เวลานี้พอย้อนนึกได้ว่าเสิ่นฮุ่ยหรูมักจะพูดชมเชยสรรเสริญพี่ชายร่วมอุทรอยู่เสมอ ในใจเขาก็พลันรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ เมิ่งเหยียนโจวที่น่าสงสารถูกเขาสั่งโบยถึงหกสิบไม้ ต้องนอนซมอยู่บนเตียงถึงสามเดือนเต็มๆ กว่าจะหายดี

พอเห็นอาเป่าขดตัวเข้าหาอ้อมกอดของตนคล้ายกับหนาวเล็กน้อยเมิ่งซังอวี๋ก็รีบเลิกอาภรณ์ตัวนอกออก ห่อหุ้มตัวมันเอาไว้อย่างระมัดระวัง กลิ่นหอมกรุ่นจางๆ และความอบอุ่นจากกายของนางช่วยรักษาเยียวยาจิตใจที่สับสนวุ่นวายของกู่เซ่าเจ๋อได้

หลินซื่อเองก็ขยับเข้ามาลูบหัวอาเป่า เอ่ยปากด้วยสีหน้าคาดหวัง “ข้าแค่กลัวว่าพี่ชายของเจ้าจะไม่ยินยอม เลยอยากจะขอให้เจ้าประทานสมรสให้ ข้าบังคับเขาไม่ได้ ก็มีแต่เจ้ากับท่านพ่อของเจ้าที่จัดการเขาได้ ทว่ายามนี้ท่านพ่อของเจ้าอยู่ไกลถึงชายแดน แม่ก็ได้แต่พึ่งเจ้าแล้ว”

เมิ่งซังอวี๋พยักหน้า “ท่านแม่วางใจเถิด เรื่องของท่านพี่ให้ข้าจัดการเอง ตอนนี้ข้ายังไม่สิ้นความโปรดปรานไปเสียทั้งหมด หากแค่ไปทูลขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทนั้นยังคงทำได้อยู่ สกุลฟู่เป็นแค่สกุลบัณฑิต ไม่มีอำนาจอยู่ในมือ ฝ่าบาทน่าจะทรงเห็นชอบด้วย”

กู่เซ่าเจ๋อได้ยินดังนั้นในอกก็เริ่มอึดอัด เพียงแค่คิดว่าหญิงสาวผู้นี้จะใช้ท่าทางเร่าร้อนดุจเปลวเพลิง หรือแม้แต่อ่อนโยนนุ่มละมุนไปขอร้องเจ้าตัวปลอมนั่น เขาก็รู้สึกทนรับไม่ได้ ถึงแม้จะรู้ว่านางเสแสร้งแกล้งทำก็ตาม

เมื่อสรุปเรื่องการแต่งงานของเมิ่งเหยียนโจวได้แล้ว เมิ่งซังอวี๋ก็ไถ่ถามถึงความเป็นอยู่ของบิดา กู่เซ่าเจ๋อรีบกดความเศร้าซึมในใจลงทันที หูตั้งชันคอยฟัง

“ท่านพ่อของเจ้าสบายดี เอาแต่กลั่นแกล้งเจ้าหานชังผิงผู้นั้นทั้งวัน สนุกสนานยิ่งเชียวล่ะ! ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เพิ่งจะถอดเจ้าเด็กหานออกจากตำแหน่งแม่ทัพฝ่ายขวา ให้เขาไปเป็นทหารเฝ้ายามเล็กๆ ในหน่วยทหาร” พอพูดถึงสามีสีหน้าของหลินซื่อก็อ่อนโยนยิ่งนัก

กู่เซ่าเจ๋อแอบขมวดคิ้ว ไม่พอใจกับการกระทำของเมิ่งจ่างสยงเป็นอย่างมาก หานชังผิงเป็นคนสนิทของเขา เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะมารับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เจี้ยนเวยแทนเมิ่งจ่างสยงในวันข้างหน้า เมิ่งจ่างสยงแอบถอดเขาออกจากตำแหน่งแม่ทัพฝ่ายขวาเช่นนี้ เห็นได้ว่าต้องการกำจัดคนนอก มีใจคิดคด!

“หานชังผิงเป็นคนสนิทของฝ่าบาท ทรงส่งเขาไปอยู่ข้างกายท่านพ่อเพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์ จุดประสงค์เพื่อให้มาแทนที่ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่ท่านพ่อก็รู้ดีแต่กลับกลั่นแกล้งเขาเช่นนี้ ก็เลี่ยงมิได้ที่จะทำให้ฝ่าบาททรงหวาดระแวง ท่านแม่ ท่านเขียนจดหมายสักฉบับเถิด บอกให้ท่านพ่อเลิกเที่ยวก่อกวนสร้างปัญหาได้แล้ว” เมิ่งซังอวี๋นวดขมับ บิดาของนางผู้ดื้อรั้นเป็นคนที่ทำให้นางปวดหัวมากที่สุดเป็นอันดับสองในสกุลเมิ่ง

“เมื่อวันก่อนท่านพ่อของเจ้าส่งจดหมายกลับมาบ้าน ในจดหมายเขียนไว้ว่าเจ้าจะต้องมีการตอบสนองเช่นนี้ เขาบอกว่าเขามีความคิดของเขาเอง ให้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล หานชังผิงผู้นั้นเป็นศิษย์ของยอดฝีมือด้านการทหารอย่างอาจารย์ผิงฟู่จื่อ ความสามารถนั้นย่อมมีอยู่ แต่อายุยังน้อยจึงจำเป็นต้องลับฝีมือให้คม ฝ่าบาททรงให้เขารับตำแหน่งแม่ทัพฝ่ายขวาตั้งแต่แรกเริ่ม ในกองทัพจึงยังมีคนที่ไม่เคารพอยู่มากมาย ที่ท่านพ่อเจ้าลดขั้นเขาไปเป็นทหารเฝ้ายาม หนึ่งก็เพื่อทำให้ผู้คนเคารพยำเกรงในตัวเขา สองเพื่อให้เขาได้ฝึกฝนมากขึ้นอีกสักหน่อย มีแต่ต้องให้เขาอาศัยความสามารถของตนปีนขึ้นมาทีละก้าวๆ เท่านั้น วันข้างหน้าถึงจะนั่งอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เจี้ยนเวยนี้ได้อย่างมั่นคง ในปีนั้นท่านพ่อของเจ้าก็เริ่มไต่เต้าจากหัวหน้ากองเช่นกัน การวางกองกำลังป้องกันชายแดนเกี่ยวพันถึงความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของแผ่นดินต้าโจว และยังเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของประชาชนต้าโจวอีกนับไม่ถ้วน ท่านพ่อของเจ้าไม่มีทางปฏิบัติหน้าที่โดยเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งเด็ดขาด หากหานชังผิงผู้นั้นสามารถแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้ได้ คราวนี้ท่านพ่อของเจ้าก็จะกลับราชสำนักแล้วมอบตำแหน่งให้เขาทันที” น้ำเสียงของหลินซื่อเหนื่อยหน่ายใจยิ่ง

ครั้นฟังคำอธิบายจากหลินซื่อจบ สีหน้าของกู่เซ่าเจ๋อก็น่าเกลียดยิ่ง ราวกับถูกตบหน้าแรงๆ หนึ่งฉาด รู้สึกอึดอัดใจจนอยากตาย ความหวาดระแวงและการป้องกันของเขาเป็นเพียงเรื่องตลกจริงๆ! หากเป็นเมื่อก่อนต่อให้คนสกุลเมิ่งแสดงความจงรักภักดีเป็นหมื่นครั้งเขาก็ไม่เชื่อ ทว่าตอนนี้จะไม่เชื่อไม่ได้ เพราะผู้ใดจะไปคาดคิดว่าวิญญาณของฮ่องเต้จะสิงอยู่ร่างของสุนัขตัวหนึ่ง ผู้ใดจะมาเล่นละครต่อหน้าสุนัขเล่า วาจาของหลินซื่อไม่มีที่ให้เขาสงสัยได้เลยแม้แต่น้อย

เมิ่งซังอวี๋ตบหลังมือของมารดา เอ่ยปลอบโยนเสียงนุ่ม “ยามนี้ชายแดนเกิดความวุ่นวายจากภัยสงคราม ต่อให้ฝ่าบาททรงระแวงท่านพ่อก็คงไม่ทำอะไรท่านพ่อง่ายๆ หรอก ข้าเองก็ไม่ได้กังวลใจ ขอเพียงแค่ท่านพ่อรู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ก็พอ หากภายภาคหน้าท่านพ่อลาออกจากราชการแล้ว ท่านแม่กับท่านพ่อก็เอาอย่างราชครูเสิ่นบ้าง หลีกลี้จากเมืองหลวงไปให้ไกล ท่องเที่ยวชื่นชมภูผาธาราไปทั่วทุกแห่งหนเถอะ ต่อไปก็ปล่อยให้จวนกั๋วกงของพวกเรามีเพียงท่านพี่ผู้ไม่ได้ความคอยประคับประคองผู้เดียวก็พอแล้ว เท่านี้ฝ่าบาทก็ไม่ทรงหวาดระแวงสกุลเมิ่งของพวกเราอีก”

กู่เซ่าเจ๋อมุดศีรษะเข้าในอ้อมแขนของเมิ่งซังอวี๋ ละอายใจจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี

“ข้ากับท่านพ่อของเจ้าก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน ถึงได้อยากรีบหาสะใภ้ที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมให้พี่ชายเจ้าโดยเร็วที่สุด” หลินซื่อทอดถอนใจ จากนั้นใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าไม่เข้าใจราวกับว่าเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ในราชสำนักระยะนี้ราชครูเสิ่นกำเริบเหิมเกริมมากไปหน่อยกระมัง ผิดกับวิสัยของเขาที่แต่ก่อนต้องคอยระมัดระวังเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขาไม่กลัวว่าสกุลเสิ่นจะมีอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาล แล้วเดินซ้ำรอยเดิมกับสกุลฝั่งมารดาของฮองเฮาหรือ”

“ความเชื่อใจที่ฝ่าบาททรงมีต่อสกุลเสิ่นและความรักใคร่ที่ทรงมีให้แก่เหลียงเฟยเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดของพวกเขา ราชครูเสิ่นเองก็อายุมากแล้ว สองสามปีมานี้จึงพยายามส่งบุตรสาวไปสู่ตำแหน่งฮองเฮา กระทั่งนางให้กำเนิดบุตรคนโต เขาถึงได้จะลาออกจากราชการ ฝ่าบาทไม่เพียงแต่ไม่ระแวงสงสัย ซ้ำยังซาบซึ้งถึงคุณงามความดีที่เขาคอยช่วยเหลือเกื้อกูลในยามคับขันอีกด้วย ราชครูเสิ่นอบรมสั่งสอนฝ่าบาทมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนเติบใหญ่ หากจะให้คาดเดาพระทัยของพระองค์ ผู้ใดจะทำได้ดีไปกว่าเขา” เมิ่งซังอวี๋โบกมืออย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก

หลินซื่อพยักหน้า ลอบถอนใจว่าหากสามีของตนฉลาดลึกล้ำได้อย่างราชครูเสิ่นแม้เพียงนิดก็คงไม่ต้องมีจุดจบอย่างวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน เมื่อนึกขึ้นอีกว่าบุตรชายของตนเคยไปทำร้ายเสิ่นซีเหยียน นางก็อดกลัดกลุ้มเป็นกังวลมิได้

หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อมีคลื่นถาโถมกระหน่ำระลอกแล้วระลอกเล่า ความศรัทธาในวันวานกำลังพังทลายลงไปทีละน้อย ใช่แล้ว เมื่อกล่าวว่าผู้ใดเข้าใจเขามากที่สุด เกรงว่ากระทั่งฮ่องเต้องค์ก่อนก็ยังเทียบราชครูเสิ่นมิได้ ราชครูเสิ่นรู้ดีว่าการกระทำของตนในตอนนี้ได้เหยียบถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว แต่กลับไม่ได้ลดความทะเยอทะยานลง หากมิใช่เพราะมีที่พึ่งแล้วจะเป็นเพราะอะไร เกรงว่าเป็นเพราะราชครูเสิ่นคิดว่าเขาจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีก จึงทุ่มวางเดิมพันสุดตัวกระมัง

พอช่วงชิงตำแหน่งฮองเฮาไปได้ย่อมเหมือนดั่งได้แดนหล่งหวังแดนสู่ หมายช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน สกุลเสิ่นกำลังวางเดิมพันครั้งใหญ่ และสิ่งที่เป็นรางวัลในครานี้คือแว่นแคว้นแผ่นดินต้าโจวนั่นเอง! ในหัวเขาราวกับมีสายฟ้าฟาดดังอื้ออึงผ่านเลยไป กู่เซ่าเจ๋อพลันประหวั่นพรั่นพรึง เส้นขนทั่วทั้งร่างลุกชัน ไม่ได้ เราต้องรีบหาทางกลับคืนร่างเดิมให้ได้โดยเร็วที่สุด หากร่างกายถูกทำลายไปด้วยน้ำมือของเสิ่นฮุ่ยหรู เกรงว่าเราคงจะต้องเป็นสุนัขไปตลอดชีวิต!

เมิ่งซังอวี๋มองความกังวลของมารดาออก นางลูบอาเป่าที่จู่ๆ ตัวก็พลันแข็งทื่อขึ้นมา พร้อมกับเอ่ยปลอบประโลมมารดาว่า “ท่านแม่อย่าเป็นกังวลไป ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ เปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพ หลังจากครองราชย์ก็ทรงทุ่มเทพระทัยปกครองบ้านเมือง ปราบปรามคนชั่วขจัดภัยพาล สร้างชาติให้เป็นปึกแผ่น มีความตั้งพระทัยที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องการให้ความสำคัญกับขุนนางฝ่ายบุ๋นแต่ละเลยขุนนางฝ่ายบู๊ของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ส่งเสริมให้แผ่นดินต้าโจวเจริญเฟื่องฟู ทำให้เผ่าหมานไม่กล้ามารุกรานอีก มอบยุคสมัยที่บ้านเมืองสงบรุ่งเรืองคืนให้แก่ประชาชน เวลานี้เผ่าหมานยังไม่ล่าถอยกลับไป เจ้าแคว้นชายแดนยังไม่ถูกกำจัด วันข้างหน้ายังมีสงครามอีกมากมายที่ต้องให้ขุนศึกนักรบไปต่อสู้ สกุลเมิ่งของพวกเราจงรักภักดี ฝ่าบาทจะทรงให้คนไปทำร้ายท่านพี่ในช่วงสำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร หากทำเช่นนั้นจะมิเป็นการทำให้ทหารทั้งหลายหมดขวัญและกำลังใจหรอกหรือ ท่านพ่อมีอำนาจบารมีมากมายในกองทัพ ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องวิตกให้มากไป แล้วก็บอกให้ท่านพี่เก็บตัวเสียบ้าง ทำตัวให้เป็นผู้เป็นคนเสียหน่อยก็เป็นพอแล้ว ถึงแม้ไม่อาจรับรองได้ว่าฝ่าบาทจะทรงเลื่อนยศเพิ่มตำแหน่งให้เขา แต่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ก็เพียงพอ อย่างไรเสียก็มีแต่ให้บรรดาศักดิ์เฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกงนี้ตกอยู่กับท่านพี่ที่ไม่ได้ความถึงจะสมกับพระประสงค์ของฝ่าบาท”

กู่เซ่าเจ๋อที่กำลังกระวนกระวายค่อยๆ สงบใจลงด้วยสัมผัสแห่งรักจากเมิ่งซังอวี๋ เลื่อมใสในความคิดอันรอบคอบกว้างไกลของนางอีกครั้ง สตรีผู้นี้เข้าใจเขาถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งความคิดของเขาก็มองออกหลายส่วน อีกทั้งนางยังดูเหมือนว่าจะมองประเมินเขาไว้ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

ในใจเขาผุดความยินดีขึ้นมารางๆ แต่ก็กลับขมวดคิ้วในทันที เขาเพิ่งจะนึกได้ว่าในเมื่อตอนนี้ตนยังสลบอยู่ แล้วเขาจะปกป้องพี่ชายของนางได้อย่างไร ความกังวลใจบังเกิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาทนไม่ไหวต้องขยุ้มแขนเสื้อของเมิ่งซังอวี๋พร้อมกับร้องหงิงๆ แต่คำพูดต่อมาของหลินซื่อก็ทำให้เขาหยุดกิริยาอย่างรวดเร็ว ทว่าในใจกลับทวีความสับสนอลหม่านมากขึ้น

หลินซื่อซึ่งพลันลุกขึ้นยืนดึงแขนของบุตรสาวไว้พลางเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก “พี่ชายของเจ้ายังมีพวกเราคอยปกป้อง แต่เจ้าจะทำอย่างไรเล่า วังหลวงแห่งนี้เป็นสถานที่กลืนกินผู้คน ทุกวันล้วนมีคนตายไปอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ บัดนี้เสิ่นฮุ่ยหรูมีอำนาจขึ้นมา เจ้าก็ไม่ได้มีประโยชน์กับฝ่าบาทแล้ว นางต้องหาวิธีร้อยพันมาจัดการกับเจ้าเป็นแน่”

“เอ๋งๆๆ!” สิ้นเสียงของหลินซื่อ กู่เซ่าเจ๋อก็ใช้เท้าหน้าเกาะเกี่ยวคอเสื้อของเมิ่งซังอวี๋ไว้ ร้องโหยหวนขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ ในยามนี้เขาโกรธแค้นที่ตนเข้ามาสิงในร่างสุนัขตัวเล็กๆ ตัวนี้ แม้อยากจะปกป้องสตรีผู้นี้ก็ยังจนปัญญา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกลับคืนร่างเดิมเลย หากเขาสิงอยู่ในร่างสุนัขล่าเนื้อที่โหดเหี้ยมดุร้ายยังดีเสียกว่า!

“ท่านแม่อย่าร้อนใจไป” เมิ่งซังอวี๋ตบหลังมือของหลินซื่อเบาๆ ประคองให้นางนั่งลง แล้วจึงหอมศีรษะขนปุยของอาเป่า เอ่ยเสียงค่อย “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวล ต่อให้ข้าไม่มีประโยชน์แล้ว ฝ่าบาทก็ทรงไม่คิดจะเอาชีวิตของสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งหรอก ส่วนเสิ่นฮุ่ยหรูคงไม่ยอมให้ข้าตายอย่างแน่นอน นางอยากให้ข้าเฝ้ารอดูนางก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮาให้เต็มตา อยากให้ข้ามองดูนางมีเกียรติและยศศักดิ์ไปตลอดชีวิต อยากให้ข้าอยู่ไม่สู้ตาย ในใจของนาง นี่ถึงจะเป็นการแก้แค้นที่สาแก่ใจที่สุด แค่เจียมตัวเท่านั้นเอง ขนาดชายชาตรีอย่างท่านพ่อยังทำได้ แล้วนับประสาอะไรกับข้า? ในสายตาของข้า ความหยิ่งทะนงไม่ได้ควรค่าพอให้ใช้ชีวิตไปแลกมาเลย ขอแค่มีชีวิตอยู่ ไม่ว่าเรื่องใดก็นับว่าดีทั้งนั้น ท่านแม่ไม่ต้องกังวลใจ ข้าชินเสียแล้ว อีกทั้งไม่รู้สึกขมขื่นแต่อย่างใด”

หลินซื่อดึงมือบุตรสาวไว้อย่างดึงดัน สีหน้าโศกเศร้าเป็นที่สุด อ้าปากอยู่หลายครั้งแต่ก็เอ่ยวาจาใดไม่ออก ขอบตาค่อยๆ แดงเรื่อ หยาดน้ำตาเอ่อขึ้นทีละนิด สกุลเมิ่งไปหาเรื่องเทพเจ้าองค์ไหนไว้หนอ ท่านถึงได้โหดร้ายกับบุตรธิดาของนางถึงเพียงนี้…

หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อปวดแปลบ แม้แต่เสียงร้องหงิงๆ ก็เปล่งไม่ออก เท้าหน้าของเขาตบลงบนหลังมือของเมิ่งซังอวี๋ครั้งแล้วครั้งเล่า ได้แต่กล่าวในใจว่า ซังอวี๋ เจ้าวางใจเถิด เราจะหาทางกลับคืนร่างเดิมให้เร็วที่สุดเพื่อปกป้องคุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัย จะมิให้ผู้ใดแตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายเล็บ!

เมิ่งซังอวี๋เช็ดหยาดน้ำที่หางตาให้หลินซื่ออย่างแผ่วเบา พร้อมกับเอ่ยปลอบใจด้วยถ้อยคำอ่อนโยน ยามที่นางทะลุมิติมาได้อาศัยอยู่ในร่างของทารกเพศหญิงของสกุลเมิ่งที่เพิ่งลืมตาดูโลก ความรักความผูกพันที่มีต่อท่านพ่อและท่านแม่สกุลเมิ่งลึกซึ้งกว่าพ่อแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบในชาติภพก่อนมากนัก

บุตรสาวที่ได้รับความขมขื่นอย่างใหญ่หลวงกลับต้องเป็นฝ่ายปลอบใจตน พอคิดได้เช่นนี้หลินซื่อจึงเช็ดน้ำตาที่หางตาออกไปทันที ฝืนแย้มยิ้มพลางกล่าว “แม่ไม่เป็นไรหรอก เจ้าลูกสุนัขตัวนี้แม้จะมีรูปร่างอัปลักษณ์แต่กลับฉลาดแสนรู้ยิ่งนัก เจ้าดูสิ มันกำลังปลอบใจเจ้าอยู่ด้วย!”

เมิ่งซังอวี๋ก้มหน้าลงถึงได้เห็นว่าอาเป่ากำลังตบหลังมือของนางเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างน้อยๆ ตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง นางผลิยิ้มออกมาทันที “สุนัขเป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุด มันไวต่ออารมณ์ของมนุษย์อย่างยิ่ง บางทีมันอาจจะรู้สึกได้ว่าข้ากำลังเสียใจ อาเป่าของข้าช่างเอาใจใส่เสียจริง!” สิ้นคำนางก็จับเท้าหน้าทั้งสองของอาเป่าเอาไว้ แล้วจรดจุมพิตลงบนฝ่าเท้านุ่มนิ่มของมัน

มีบางสิ่งบางอย่างระเบิดอยู่ในหัวใจจากนั้นก็ผลิบาน กระตุ้นให้หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อเต้นแรง ไม่อาจควบคุมตัวเอง เขามองดวงหน้าแย้มยิ้มงดงามกระทบใจของเมิ่งซังอวี๋อย่างโง่งมจนลืมหายใจ

เมื่อเห็นว่าในรอยยิ้มของบุตรสาวไม่มีเค้ารอยเมฆหมอกอึมครึมแม้แต่น้อย หลินซื่อก็วางใจ นางสนทนาเรื่องสัพเพเหระในครอบครัวอีกเล็กน้อย ครั้นได้เวลาก็หยัดกายขึ้นกล่าวอำลา

เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าเอาไว้ ด้านหลังมีแม่นมเฝิงซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวคอยเดินตาม

กระทั่งถึงหน้าประตูตำหนักกลาง ครั้นเห็นเหล่านางกำนัลยืนห่างออกไปไกลๆ หลินซื่อก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะดึงมือบุตรสาวเอาไว้พลางกล่าวเสียงต่ำ “ลูกเอ๋ย รอให้บิดาของเจ้าลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพและมอบอำนาจทางการทหารคืน เจ้าก็ไปร้องขอให้ฝ่าบาทพระราชทานบุตรให้สักคนเถิด หากแก่ตัวไปจะได้มีที่พึ่งพิง”

“ตำแหน่งและพื้นเพครอบครัวของข้ายิ่งใหญ่และสูงส่งเกินไป หากมีบุตรจะต้องกลายเป็นหนามยอกอกของเหลียงเฟยและหลี่กุ้ยเฟยเป็นแน่ ฝ่าบาทเองก็ทรงมิได้เอาพระทัยใส่กับบุตรธิดามากนัก หากให้เกิดมาแล้วถูกผู้คนรุมปองร้าย สู้ไม่ให้เกิดมาจะดีกว่า” เมิ่งซังอวี๋เม้มปากน้อยๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความอ้างว้างเฉยชา

กู่เซ่าเจ๋อใช้เท้าหน้ากุมศีรษะเอาไว้ อยากมุดรูหนีไปใจจะขาด ความเย็นชาในน้ำเสียงของเมิ่งซังอวี๋กำลังทิ่มแทงหัวใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

“ลูกเอ๋ย ไฉนเจ้าถึงได้มีชีวิตขมขื่นถึงเพียงนี้นะ…” วาจาของหลินซื่อเจือด้วยเสียงสะอื้นไห้ ขอบตาเริ่มแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง

“เอาล่ะ ท่านแม่ไม่ต้องเสียใจแทนข้าหรอก ไม่มีลูกแต่ก็ยังมีอาเป่า มันฉลาดปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ ไม่มีอะไรผิดแผกจากเด็กเล็กๆ เลยสักนิด หากข้าตั้งใจดูแลให้ดี มันก็จะสามารถอยู่เป็นเพื่อนข้าได้ถึงสิบยี่สิบปี แค่มีอาเป่าข้าก็พอใจแล้ว” เมิ่งซังอวี๋ตบก้นอาเป่าอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็จับเท้าหน้าข้างหนึ่งของมันโบกให้มารดา กล่าวหยอกเล่นว่า “มา อาเป่ารีบบอกลาท่านยายเร็วเข้า!”

กู่เซ่าเจ๋อกระอักกระอ่วนเป็นหนักหนา แต่เพื่อให้เมิ่งซังอวี๋มีความสุข เขาจึงเห่าอย่างรู้กาลเทศะ “โฮ่ง”

“เป็นเด็กดีจริงๆ ด้วย!” หลินซื่อถูกบุตรสาวและสัตว์เลี้ยงหยอกล้อจนหัวเราะขบขัน นางตบศีรษะอาเป่าเบาๆ แล้วออกจากวังปี้เซียวไปโดยที่หันกลับมามองทุกก้าวสองก้าว

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com