ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก
บทที่แปด
รักคนผิด
รอจนกระทั่งหลินซื่อเดินจากไปไกลแล้ว เมิ่งซังอวี๋ถึงเดินกลับตำหนักบรรทมอย่างเชื่องช้าทีละก้าวๆ แม่นมเฝิงซึ่งเดิมทีตามอยู่ด้านหลังอย่างอกสั่นขวัญหายอ้าปากอยากจะเอ่ยวาจาอยู่หลายครั้งแต่ก็สะกดกลั้นเอาไว้
“แม่นมมีอะไรก็ถามมาเถิด” เมิ่งซังอวี๋ลูบเส้นขนบนหลังของอาเป่า เอ่ยปากเบาๆ
“เต๋อเฟยเพคะ ฮูหยินเมิ่งกล่าวว่าพระองค์ทรงคอยต้านภยันตรายแทนเหลียงเฟย นางหมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ ระ…หรือว่าความโปรดปรานที่ฝ่าบาททรงมีต่อพระองค์เป็นเรื่องหลอกลวง?” แม่นมเฝิงยังคงยากจะรับความจริงอยู่บ้าง
“ใช่แล้ว ฝ่าบาทโปรดข้าเพราะเพื่อจะยกสกุลเมิ่งให้คานอำนาจกับสกุลของฮองเฮาและสกุลหลี่ ข้าเป็นแค่หอกเล่มหนึ่งในพระหัตถ์ของฝ่าบาท พระองค์ทรงชี้ไปทางไหนข้าก็ต้องแทงไปทางนั้น ไม่อาจฝ่าฝืน จุดจบของการฝ่าฝืนคืออะไร เจ้าดูสกุลของฮองเฮาในตอนนี้ก็รู้แล้ว ส่วนเหลียงเฟย นางก็เข้าวังมาสามปีเหมือนกับข้า ทั้งยังได้เลื่อนขั้นถึงห้าขั้นภายในสามปีเช่นเดียวกัน พระเมตตาที่มีต่อนางไม่น้อยไปกว่าข้าเลย ทว่าฝ่าบาททรงตั้งพระทัยให้ข้ากดนางไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ข้ากลายเป็นชายาคนโปรดที่ผู้คนพากันจับจ้อง ส่วนนางก็หลบอยู่หลังอำนาจบารมีของข้าแล้วใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เจ้าว่าระหว่างข้ากับนาง ฝ่าบาททรงดีกับผู้ใดกันแน่” น้ำเสียงของเมิ่งซังอวี๋เรียบเรื่อยไม่ทุกข์ร้อน ไม่มีความน้อยอกน้อยใจ และไม่มีความขุ่นเคือง ราวกับว่ากำลังเล่าเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตน
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” แม่นมเฝิงพึมพำ แววตาเหม่อลอย จมสู่ห้วงความทรงจำ ทว่าทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมา ถามอย่างเร่งร้อน “ถ้าเช่นนั้นยาบำรุงครรภ์ที่ฝ่าบาททรงให้คนนำมาให้พระองค์เป็นพิเศษนั่นคือ…คือ…”
“อืม ท่านพ่อมีทหารนับร้อยหมื่นนายอยู่ในมือ หากข้ามีพระโอรส เพื่อปกป้องข้าและลูก ท่านพ่อคงจะไม่ยอมลงจากตำแหน่งเป็นแน่ หากบัณฑิตหรือปัญญาชนคิดอยากจะช่วงชิงแผ่นดินต้องเหนื่อยยากเปลืองความคิดมากมาย แต่หากขุนศึกเกิดใจคิดต่อต้าน แค่ถือดาบในมือขึ้นมาก็พอแล้ว ฝ่าบาททรงระแวงอย่างมากว่าญาติพี่น้องของสนมชายาจะคิดกุมอำนาจไว้ในมือ พระองค์ทรงไม่ยอมให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่แค่ข้า เจ้าคิดว่าฮองเฮาสิ้นพระชนม์เช่นไรเล่า เป็นเพราะถูกข้าขู่เข็ญจนตายอย่างนั้นหรือ นางถูกฝ่าบาทพระราชทานความตายให้ต่างหาก ถูกสตรีทั่วทั้งตำหนักในขู่เข็ญจนตาย!” เมิ่งซังอวี๋ยิ้มเย็น แววตาทอดมองไปยังขอบฟ้านอกหน้าต่าง ไม่ได้สังเกตเลยว่าอาเป่าที่นอนหมอบอยู่บนตักนางตัวแข็งทื่อขณะมองไปยังแววตาของนาง
“ฮองเฮามิได้ทรงถูกท่านขู่บังคับจนสิ้นพระชนม์?” แม่นมเฝิงถามด้วยสีหน้างุนงง
“สกุลของนางล่มสลายแล้ว พระโอรสที่คลอดออกมาก็สิ้นชีวิต ทั้งร่างกายก็เหมือนกับตะเกียงไร้น้ำมันที่ใกล้มอดดับ ข้าขู่เข็ญบังคับนางแล้วจะได้ประโยชน์อันใดเล่า นางเชื่อคำใส่ร้ายป้ายสี สงสัยว่าโอรสของตนถูกข้าวางยาพิษ พยายามสุดชีวิตที่จะลากข้าให้พังพินาศไปด้วยกัน ข้าย่อมไม่นั่งรอภัยเฉยๆ เป็นแน่”
เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจเฮือก เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงต่ำเบา
“ข้าแค่ไปหาและเล่าความจริงทั้งหมดให้นางฟังก็เท่านั้น ข้ามิเคยลงมือกับเด็ก หากนางสงบใจลงแล้วให้คนไปสืบดูก็จะรู้เองว่าทั่วทั้งวังนี้นอกจากข้าแล้วยังมีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยลงมือกับครรภ์ของนาง ฉากกันลมของเสียนเฟย ถุงหอมของเฉินเฟย หนังสือนิทานของลี่เฟย กำยานของนางกำนัลคนสนิท…แม้แต่เหลียงเฟยผู้บริสุทธิ์สูงส่งก็ส่งเครื่องลายครามเคลือบพิษไปให้ชุดหนึ่ง นางไม่ไปหาคนพวกนี้ แต่กลับมาแก้แค้นกับโล่กันธนูอย่างข้าคนนี้ ข้าไม่อาจปล่อยให้นางตายตาไม่หลับ วันถัดจากที่ข้าไปหา นางคงจะสืบจนรู้ความจริงแล้วจึงได้จากไปด้วยโทสะที่รุมเร้าหัวใจเช่นนั้น คนบางคนมิได้บรรลุเป้าหมายในการยืมดาบฆ่าผู้อื่น จึงสร้างคำครหาเพื่อให้ฝ่าบาททรงจัดการกับข้า แต่ว่าน่าเสียดายที่ข้ายังมีประโยชน์กับฝ่าบาท พระองค์จึงมิได้ทำอะไร สุดท้ายจึงได้แต่ทำให้พวกนางผิดหวัง”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง…” นอกจากคำพูดนี้ แม่นมเฝิงที่กำลังตื่นตกใจก็หาวาจาอื่นใดมาแสดงความรู้สึกของตนไม่ได้อีกแล้ว
กู่เซ่าเจ๋อกลายเป็นรูปปั้นหินไปโดยสมบูรณ์ หากเมิ่งซังอวี๋ไม่พูด เขาก็คงหลงคิดว่าฮองเฮาถูกนางขู่เข็ญจนตายไปตลอด สกุลของฮองเฮาล่มสลายไปแล้ว เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะเอาชีวิตของนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านั่นเป็นโอรสองค์โตที่เขาเฝ้าคิดคะนึงถึง ยามนั้นได้ยินข่าวว่าพอเต๋อเฟยเข้าพบฮองเฮา นางก็สิ้นชีวิตไปอย่างคับแค้นใจ เขาพยายามสะกดความเดือดดาลเอาไว้สุดชีวิต นับแต่นั้นมาพอเห็นเต๋อเฟยก็ราวกับเห็นอสรพิษ รังเกียจสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง ไหนเลยจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นแค่ใบไม้บังตา เขาถูกสตรีกลุ่มหนึ่งเล่นละครตบตาเสียแล้ว! ยังมีเสิ่นฮุ่ยหรูซึ่งที่แท้ก็แอบลงมือด้วยเช่นกัน! บริสุทธิ์สูงส่ง? ดี! ช่างเป็นสตรีที่บริสุทธิ์สูงส่งยิ่งนัก!
“ไม่เพียงเท่านี้ เจ้าคิดว่าพี่ชายของข้ากลายเป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไรเล่า ตอนเขาเยาว์วัยฉลาดล้ำเลิศเพียงใด แม่นมเฝิงคงมิได้จำไม่ได้กระมัง เขาถูกท่านพ่อและท่านแม่เลี้ยงดูอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ ด้วยความจงใจ! เพราะจวนกั๋วกงที่มีคุณงามความดีสะท้านบัลลังก์มิต้องการผู้สืบทอดที่ฉลาดเป็นเลิศ ความสามารถสูงส่งเหนือคนทั่วไป เพราะนั่นจะเป็นการมอบความตายให้บุตรของตนกับมือ แม้ว่าจะเป็นการคว้านหัวใจของบิดามารดา แต่เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเขาจะมีหนทางใดได้อีกเล่า” เมิ่งซังอวี๋ก้มศีรษะ ใช้มือปิดดวงตาเอาไว้ ไม่ยอมให้ผู้อื่นเห็นหยาดน้ำตา
หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อเกร็งแน่น ไม่กล้ามองสีหน้าของนางแม้แต่น้อย
“ลำบากเต๋อเฟยแล้วเพคะ! เหตุใดพระองค์ไม่ตรัสบอกบ่าวให้เร็วกว่านี้เล่า” แม่นมเฝิงคุกเข่าข้างเท้านาง ร่ำไห้น้ำมูกน้ำตาไหล
“แม่นมรีบลุกขึ้นเถิด” เมิ่งซังอวี๋รีบพยุงนางให้ลุกขึ้น อธิบายเสียงนุ่มนวล “แม่นม เจ้ามีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา เก็บเรื่องราวเอาไว้ไม่อยู่ หากให้เจ้ารู้เรื่องราวเหล่านี้ ยามฝ่าบาทเสด็จมาเจ้าก็คงจะเผยร่องรอยอย่างไม่อาจเลี่ยง ทำให้ฝ่าบาททรงเกิดคลางแคลงพระทัยได้ ข้าจึงปิดบังเรื่องนี้กับเจ้ามาโดยตลอด แต่บัดนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เหลียงเฟยได้สมปรารถนา ท่านพ่อก็ใกล้จะส่งคืนอำนาจทางทหารแล้วลาออกจากราชการ ข้าไม่มีประโยชน์ต่อฝ่าบาทอีกแล้ว หากไม่ให้เจ้ารู้ความจริง ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะมาเร่งเร้าให้ข้าไปแก่งแย่งชิงดีอีก แบบนั้นข้าก็คงจะลำบากใจ”
“เต๋อเฟยเพคะ หม่อมฉันช่างโง่เขลานัก หม่อมฉันจะไม่ทำอีกแล้วเพคะ” แม่นมเฝิงชี้นิ้วขึ้นฟ้าพร้อมกับกล่าวสาบานทันที ในใจทั้งละอายทั้งเสียใจ
“ข้าเชื่อแม่นม” เมิ่งซังอวี๋แหงนหน้า บังคับให้หยดน้ำในดวงตาไหลกลับเข้าไป ก่อนจะเอ่ยด้วยสุ้มเสียงเบิกบานแผ่วเบาทว่าแฝงด้วยแรงกระตุ้นอันน่าประหลาด “ต่อไปพวกเราต้องเริ่มวันคืนอันยากลำบากแล้ว ข้ายังมีเรื่องมากมายต้องอาศัยแม่นม แม่นมจะดูแลข้าและช่วยเหลือเหมือนที่ผ่านมากระมัง”
“หม่อมฉันยินดีสละชีพเพื่อพระองค์ ต่อให้ต้องตายเป็นหมื่นครั้งก็ไม่ปฏิเสธเพคะ!” แม่นมเฝิงเช็ดน้ำตาจนแห้ง มีอารมณ์ฮึกเหิมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“แม่นมพูดเกินไปแล้ว” เมิ่งซังอวี๋ส่ายหน้าพลางหลุดหัวเราะ น้ำเสียงระคนแววหยอกล้อ “ความจริงแล้วข้าไม่ได้น่าสงสารสักเท่าไร ในวังนี้ยังมีคนที่น่าสงสารกว่าข้า ทุกครั้งที่นึกถึงคนผู้นั้น ในใจข้าก็จะรู้สึกสบายขึ้น”
“เป็นใครหรือเพคะ” แม่นมเฝิงถามด้วยความสนใจ
“คนผู้นั้นก็คือฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันอย่างไรเล่า ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม ความสามารถ หรืออุปนิสัย เหลียงเฟยล้วนไม่มีด้านใดเป็นเลิศ แต่นางมีข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งคือไม่มีครอบครัวที่มีอำนาจใหญ่คับฟ้า อีกทั้งยังมีลักษณะเย่อหยิ่งสูงส่ง ไม่สนใจการแก่งแย่งชิงดี ให้ความรู้สึกว่าไม่แยแสในลาภยศสรรเสริญ การรักใคร่สตรีเช่นนี้เป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดและสบายใจที่สุด ไม่ก่อภัยคุกคามต่อพระราชอำนาจ ที่ฝ่าบาททรงรักมิใช่ตัวนาง แต่เป็นความรู้สึกปลอดภัยเช่นนั้น แม้แต่ความรู้สึกของตนก็ยังต้องคิดคำนวณเป็นชั้นๆ ต้องมีชีวิตอยู่ในกรงขังที่ตัวเองสร้างขึ้น เจ้าว่าฝ่าบาททรงเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดหรือไม่เล่า”
ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือฝ่าบาททรงรักคนผิดเสียแล้ว! เสิ่นฮุ่ยหรูรักแต่ตัวพระองค์ไม่ได้รักอำนาจของพระองค์จริงหรือ ก็ไม่แน่กระมัง เมิ่งซังอวี๋หลุบนัยน์ตา ส่ายศีรษะพลางหัวเราะหยัน
หลังจากแม่นมเฝิงคิดได้ก็พยักหน้า บนใบหน้าปรากฏแววทอดถอนใจขึ้นหลายส่วน
กู่เซ่าเจ๋อแหงนหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มองไปยังเมิ่งซังอวี๋ด้วยสายตาวาววับ ในใจสั่นสะเทือนด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่แรงกล้าบางอย่าง ราวกับว่าถูกสายฟ้าฟาดโจมตีปราการหัวใจก็ไม่ปาน
ไฉนสตรีผู้นี้ถึงได้ปราดเปรื่องหลักแหลมถึงเพียงนี้ สามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ นางมองปราการหัวใจที่เขาห่อหุ้มไว้อย่างแน่นหนาออกจนหมด! เขาคิดว่าเสิ่นฮุ่ยหรูเป็นคนที่เข้าใจเขามากที่สุด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่เข้าใจเขาที่สุดอยู่ตรงหน้านี้เอง
เจ้าใส่ใจเราถึงเพียงนี้ หรือว่าเจ้าจะคิดกับเรา…หัวใจที่หมดอาลัยตายอยากของกู่เซ่าเจ๋อเต้นรัวบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง
“เต๋อเฟยทรงเข้าพระทัยฝ่าบาทถึงเพียงนี้ พระองค์คงผูกพระทัยลึกซึ้งกับฝ่าบาทใช่หรือไม่เพคะ” แม่นมเฝิงเอ่ยความฉงน มีเพียงความรักเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้สตรีผู้หนึ่งใส่ใจบุรุษได้ถึงเพียงนี้
กู่เซ่าเจ๋อเบิกนัยน์ตาดำขลับขึ้นทันใด รอคอยคำตอบของนางอย่างเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง
“ผูกใจลึกซึ้ง?” เมิ่งซังอวี๋คิดทบทวนสี่คำนี้ สีหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “แม่นม เจ้าจะหลงรักคนที่หลอกใช้เจ้า ทำร้ายเจ้า พอเจ้าหมดประโยชน์ก็ทิ้งไปไม่ไยดีหรือไม่ ข้ามิใช่พวกชมชอบความรุนแรง คงไม่รนหาที่ตายกระมัง ฝ่าบาทกับข้ามีความสัมพันธ์แบบเจ้าเหนือหัวและผู้อยู่ใต้อาณัติ เป็นความสัมพันธ์แบบหลอกใช้ซึ่งกันและกัน ไม่มีอื่นใดอีก สตรีที่มีจิตใจมีความรู้สึกไม่มีชีวิตรอดในวังนี้หรอก”
หัวใจที่เต้นรัวบ้าคลั่งของกู่เซ่าเจ๋อพลันหยุดลงในทันใด นอกจากเมฆหมอกมืดมัว ในสมองก็เหลือเพียงคำว่าหลอกใช้ซึ่งกันและกัน
สีหน้าเป็นกังวลของแม่นมเฝิงค่อยๆ ผ่อนคลายลง หลังจากละล้าละลังอยู่ชั่วครู่ก็ถามขึ้นว่า “เช่นนั้นเต๋อเฟยทรงเคียดแค้นฝ่าบาทหรือไม่เพคะ”
กู่เซ่าเจ๋อเกร็งสันหลังและหาง รู้สึกว่าตนกำลังจะหายใจไม่ออก
“คิกๆ” เมิ่งซังอวี๋โบกมือพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาราวกับได้ยินเรื่องตลก “ข้าจะไปเคียดแค้นฝ่าบาททำไมกัน เคียดแค้นพระองค์แล้วข้าจะได้อันใดเล่า เจ้าคิดว่าข้าไม่มีหนทางเลี่ยงยาพวกนั้นจริงๆ หรือ ข้าแค่ไม่อยากกำเนิดบุตรให้แก่ฝ่าบาทก็เท่านั้น ไร้รักก็ไร้ความเกลียดชัง หากต้องสิ้นเปลืองความรู้สึก ทนทุกข์ทรมานเพราะพระองค์ มิสู้รักตัวเองให้มากๆ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียยังจะดีกว่า แม่นม เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่”
แม่นมเฝิงยิ้มขึ้นมาด้วยความอุ่นใจ พยักหน้าพลางกล่าวว่า “เพคะ” ไม่หยุด
แต่สำหรับกู่เซ่าเจ๋อแล้ว วาจานี้กลับกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่อาจทับอูฐตาย ความเจ็บปวดรุนแรงราวกับหัวใจถูกฉีกกระชากแผ่ลามมาจากหน้าอก เขาคร่ำครวญด้วยความขมขื่น กระโดดลงจากตักของเมิ่งซังอวี๋และวิ่งออกไปนอกตำหนัก เขาอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ตามลำพังเพื่อทำความเข้าใจกับความรู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกบีบคั้นนี้ให้กระจ่าง
แม้เห็นอาเป่าวิ่งออกไป แต่เมิ่งซังอวี๋ก็มิได้สนใจนัก แค่นึกว่ามันอยากจะออกไปวิ่งเล่นสักประเดี๋ยว ระยะนี้อาเป่าว่านอนสอนง่ายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องให้คนเฝ้าดูแล้ว เวลาที่วิ่งเล่นก็จะอยู่ในบริเวณต่างๆ ของสวนดอกไม้ไม่เกินครึ่งชั่วยาม นางจึงปล่อยมันไปตามใจชอบ
แต่คราวนี้นางคาดการณ์ผิดไป ครั้งนี้อาเป่าวิ่งออกไปก็หายไปถึงสองชั่วยามกว่า กระทั่งถึงเวลาอาหารเย็นก็ยังไม่กลับมา
“เต๋อเฟยเพคะ ที่ที่อาเป่าชอบไปล้วนหาดูจนหมดแล้ว แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของมันเลยเพคะ” ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยรีบร้อนเข้ามาจากนอกตำหนัก กล่าวรายงานเสียงเบา
“หาอีก! หาดูให้ละเอียด!” สีหน้าของเมิ่งซังอวี๋เคร่งเครียด ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงซึ่งแฝงด้วยความกระวนกระวาย ในวังหลวงที่สกปรกน่ารังเกียจแห่งนี้แม้กระทั่งคนก็ยังถูกกัดกินได้ แล้วนับประสาอะไรกับลูกสุนัขตัวหนึ่ง? เพราะเก็บกดมาเป็นเวลานาน ชาววังจึงล้วนมีความบิดเบี้ยวในหัวใจไม่มากก็น้อย พวกวิปริตที่ชอบนำคนและสัตว์ตัวน้อยๆ มาระบายอารมณ์ก็มีอยู่บ้างเช่นกัน
“เพคะ!” ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยรู้สึกได้ถึงความว้าวุ่นในใจของผู้เป็นนาย จึงส่งนางกำนัลมากมายออกไปตามหา
เมิ่งซังอวี๋รออยู่สามเค่อ เมื่อเห็นอาทิตย์อัสดงแดงฉานดุจโลหิตลอยอยู่เหนือชายคาของตำหนักแห่งหนึ่ง ท้องนภาเริ่มมืดสลัว ทั้งไอเย็นก็ค่อยๆ ปะทะเข้ามา สภาพอากาศที่แตกต่างกันมากในยามกลางวันและกลางคืนเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัด ในใจก็ยิ่งทวีความกระสับกระส่ายอย่างอดไม่อยู่
“ขนแหว่งแล้วยังกล้าออกไปเล่นสนุกจนถึงป่านนี้! ถ้าเจอตัวล่ะก็เจ้าโดนสั่งสอนหนักเป็นแน่” นางนั่งไม่ติดที่ เดินวนไปมาในตำหนักไม่หยุด ปากก็บ่นพึมพำ
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ปี้สุ่ยก็เข้ามาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ เมิ่งซังอวี๋รีบซักไซ้ทันที
“หาเจอหรือยัง”
“เต๋อเฟยโปรดอภัย หม่อมฉันหาทั่วทั้งวังปี้เซียวก็ไม่พบอาเป่าเพคะ แต่องครักษ์ที่เฝ้ายามหน้าประตูวังก็บอกว่าไม่เห็นอาเป่าวิ่งออกมาเช่นกัน หม่อมฉันกลัวพระองค์จะทรงเป็นห่วงจึงรีบกลับมารายงานก่อน แล้วจะนำคนออกตามหาต่อเพคะ” ปี้สุ่ยกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ไปเถอะ” เมิ่งซังอวี๋ขมวดคิ้ว โบกมือให้ปี้สุ่ยออกไป ส่วนตนก็เดินไปมาอย่างร้อนรนไม่สบายใจอยู่ในตำหนัก
“เต๋อเฟยเพคะ อาเป่าตัวกลมๆ เล็กๆ อาจจะแอบอยู่ตามมุมตามซอกก็เป็นได้ เราค่อยให้คนหาให้ดีๆ พระองค์อย่ากังวลไปเลยเพคะ เกรงว่ามันคงจะซุกตัวหลับอยู่ที่ไหนสักแห่ง พอตื่นขึ้นมาก็คงกลับมาเองเพคะ” แม่นมเฝิงปลอบโยนเสียงนุ่มนวล หากเป็นเมื่อก่อนอาเป่าจะหายไปก็ช่างปะไร นางคงไม่พะว้าพะวังด้วยเป็นแน่ แต่ยามนี้นางรู้แล้วว่าอาเป่ามีความหมายพิเศษต่อผู้เป็นนาย นางเองจึงอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้
“หลับ?” ดวงตาหงส์ของเมิ่งซังอวี๋ลุกวาว รีบสาวเท้าเข้าไปยังตำหนักบรรทมในทันที พอเปิดประตูห้องเข้าไปก็เดินตรงไปยังหน้าเตียงไม้จันทน์สลักหลังใหญ่อันหรูหรางดงาม เลิกผ้าปูที่นอนขึ้น ก่อนจะย่อตัวมองลงไปด้านล่าง
ร่างเล็กกลมของอาเป่านอนหมอบอยู่ใต้เตียงจริงดังคาด มันกำลังกะพริบดวงตาที่ราวกับผลองุ่นคู่นั้นปริบๆ มองมาทางนางราวกับได้รับความตื่นตระหนก
“หาเจ้าเจอแล้ว!” เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจ ลอบครุ่นคิดในใจว่าลูกหมาลูกแมวล้วนชอบหนีเข้าไปใต้เตียงจริงๆ!
กู่เซ่าเจ๋อยังไม่ได้เตรียมใจจะเผชิญหน้ากับเมิ่งซังอวี๋ก็เห็นดวงหน้างามกระจ่างเลิศล้ำของนางอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงพลันหายใจติดขัด ยกสองเท้าหน้าขึ้นปิดดวงตาของตนด้วยสัญชาตญาณ
“เป็นอะไรไป เจ้าตัวน้อยรีบออกมาเร็วเข้า!” ความกระวนกระวายและเพลิงโทสะในหัวใจถูกท่าทางน่ารักน่าชังของอาเป่าทำให้มอดดับไปในพริบตา เมิ่งซังอวี๋ร้องเรียกโดยที่หัวเราะก็ไม่ออกจะร้องไห้ก็ไม่ได้
“ดูท่าทางเหมือนอาเป่ากำลังเสียใจนะเพคะ” แม่นมเฝิงย่อกายมองสังเกตและเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย ลูกสุนัขตัวนี้เฉลียวฉลาดเกินไปแล้วกระมัง เงาร่างที่ขดตัวอยู่ในความมืดแผ่กลิ่นอายทอดอาลัยออกมา
สีหน้าของเมิ่งซังอวี๋พลันเคร่งเครียด ลอบคิดกับตัวเองว่ามิใช่ว่านางคิดไปเองจริงๆ ด้วย อาการของอาเป่าผิดปกติอย่างยิ่ง นางมิใช่คนในสมัยโบราณที่แสดงท่าทีเย็นชาต่อสัตว์ นางรู้ดีว่าสัตว์ตัวน้อยก็มีความคิดความรู้สึกเช่นกัน พวกมันรู้สึกถึงทั้งทุกข์และสุข ก่อนหน้านี้อาเป่าได้รับบาดเจ็บมาสองครั้ง ซ้ำเดือนนี้ยังถูกบังคับให้อยู่แต่ในวังปี้เซียว ออกไปไหนไม่ได้ เมื่อครู่ยังถูกอารมณ์ด้านลบของนางและมารดากระทบกระเทือนเข้า มันคงมิใช่กำลังหม่นหมองใจเข้ากระมัง?
“อาเป่ารีบออกมาเร็ว มาหาข้าเร็วเข้า ข้าจะทำของอร่อยๆ ให้ เล่นเป็นเพื่อน พาเจ้าไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงทุกเช้าเย็น…” นางปะเหลาะไม่เลิก สุ้มเสียงซึ่งเดิมทีก็นุ่มนวลอ่อนโยนอยู่แล้วยามนี้ยิ่งเจือด้วยเสน่ห์อันน่าประหลาด ทะลุทะลวงเข้าสู่หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อโดยตรง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เมื่อก่อนเขาเชื่อมั่นค่อยๆ พังทลายลง เมื่อชีวิตพลิกผันกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง สำหรับกู่เซ่าเจ๋อแล้วช่วงเวลานี้ทุกข์ทรมานยิ่งนัก เขาไม่เคยคิดทบทวนตัวเองอย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้มาก่อน และมิเคยมองจุดอ่อนของตนอย่างกระจ่างแจ้งถึงเพียงนี้มาก่อนเช่นกัน เขาลำเอียงเข้าข้างคนใกล้ตัว หวาดระแวงคนรอบข้างมากเกินไป ขาดความสามารถในการมองผู้อื่น เป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง วางอำนาจบาตรใหญ่ แยกแยะถูกผิดไม่ออก การที่ขุนนางเอาใจออกห่างก็เป็นเพียงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว ตอนนี้ที่ราชสำนักอลหม่านวุ่นวายก็มิใช่ข้อพิสูจน์ที่ดียิ่งหรอกหรือ
เขารังเกียจชิงชังตัวเองนัก พะว้าพะวังไม่สบายใจ เสมือนตกอยู่ในโคลนตมยากจะหลุดพ้น เขาคิดว่าหากตนได้อยู่เงียบๆ คนเดียวก็อาจจะดีขึ้นบ้าง แต่เมื่อใบหน้างามเฉิดฉันของเมิ่งซังอวี๋ปรากฏขึ้น เมื่อนางแย้มยิ้มพริ้มพราย พร้อมทั้งกล่าววาจาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่อ่อนโยนลอยเข้าหูและห้องหัวใจของเขาทีละคำๆ เขาก็วางเท้าหน้าลงโดยไม่รู้ตัว ลุกยืนขึ้น แล้วค่อยๆ เดินออกมาจากใต้เตียงราวกับถูกล่อลวง โถมตัวเข้าใส่อ้อมกอดที่รอคอยอยู่เนิ่นนานนั้นโดยที่ไม่อาจควบคุม
“อาเป่าเด็กดี ดีมาก…” เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าขึ้นมา จุมพิตแล้วจุมพิตอีกบนริมฝีปากน้อยๆ ของมัน ปากก็พูดพึมพำคำปลอบโยนไม่หยุด ความรักใคร่เวทนาแสดงออกมาทั้งทางการกระทำและคำพูด
กู่เซ่าเจ๋อร้องครวญ แลบลิ้นเลียริมฝีปากงดงามตรงหน้าอย่างกระตือรือร้น แอบใคร่ครวญในใจว่า รอให้เรากลับคืนร่างเดิมได้ เราจะรักเจ้า ทะนุถนอมและปกป้องเจ้าเป็นอย่างดี เจ้าจงอย่าได้เอ่ยวาจาทิ่มแทงจิตใจเราอย่างเมื่อครู่ออกมาอีกเลย
เมิ่งซังอวี๋คิดว่าอาเป่าแค่เล่นสนุกกับตน ครั้นเห็นมันร่าเริงขึ้นมาในใจก็ผ่อนลมหายใจเฮือก จุมพิตอย่างอบอุ่นอีกสองสามครา ทำให้หางน้อยๆ ของอาเป่าส่ายไปมาด้วยความเบิกบานใจไม่หยุด
ถึงแม้ลูกสุนัขจะสดใสร่าเริงโดยธรรมชาติ แต่หากดูแลไม่ดีก็จะหม่นหมองหงอยเหงาได้ เพราะว่าพวกมันไวต่ออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์มากเป็นพิเศษ หากเจ้านายมีความสุขพวกมันก็จะรื่นเริง หากเจ้านายโศกเศร้าพวกมันก็จะเซื่องซึม หากเจ้านายเจ็บไข้ได้ป่วย พวกมันก็ยังจะเป็นฝ่ายดูแลเจ้านายด้วยซ้ำไป สุนัขเป็นสัตว์ที่ฉลาดแสนรู้ ในเมื่ออยากจะเลี้ยงก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด
เมิ่งซังอวี๋กลัวอาเป่าหม่นหมองเซื่องซึมจริงๆ จึงให้มันอยู่ข้างกายตลอดทั้งวัน คอยเล่นสนุกเป็นเพื่อน ทำอาหารใหม่ๆ ให้มันหลากหลายรูปแบบผลัดเปลี่ยนกันไป ผลคือร่างของอาเป่าพองขึ้นราวกับลูกหนังถูกเป่าลม
กู่เซ่าเจ๋อด้านหนึ่งเคลิบเคลิ้มกับความรักใคร่อ่อนโยนของเมิ่งซังอวี๋ อีกด้านก็ใจร้อนอยากจะกลับคืนร่างเดิม แต่พอเมิ่งซังอวี๋ผ่านเหตุการณ์อันน่าตื่นตระหนักครั้งนี้ไปแล้ว นางก็เริ่มเฝ้าคุมอาเป่าอย่างเข้มงวดอีกครั้ง หากอาเป่าจะไปทางไหนก็มีคนตามเป็นพรวน ด้วยกลัวว่ามันจะหายตัวไปอีก
ผ่านไปเช่นนี้สี่ห้าวัน เช้าตรู่วันนี้เมิ่งซังอวี๋ก็เปลี่ยนอาภรณ์เป็นแบบที่ค่อนข้างเรียบง่าย พาอาเป่าเข้าไปในห้องครัวของวังปี้เซียว หยิบๆ จับๆ วัตถุดิบล้ำค่ากองใหญ่เพื่อเตรียมตุ๋นน้ำแกง
“เต๋อเฟยจะทรงตุ๋นน้ำแกงให้อาเป่ากินอีกแล้วหรือเพคะ” ปี้สุ่ยกับอิ๋นชุ่ยช่วยจัดเตรียมวัตถุดิบ หัวเราะคิกคักพลางถาม
อาเป่าได้ยินเช่นนี้ ร่างน้อยๆ ก็ถูไถไปมากับข้างเท้าของเมิ่งซังอวี๋ ส่ายหางอย่างเริงร่า แต่ก่อนน้ำแกงที่เต๋อเฟยส่งมา เขาใช้ให้ฉางสี่นำไปเททิ้งโดยที่ไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ บัดนี้พอคิดดูแล้วมีเพียงคำเดียวที่สามารถบรรยายตัวเองในตอนนั้นได้ นั่นคืออยู่ท่ามกลางวาสนา แต่ไม่รู้จักวาสนา! แม้ว่าฝีมือของเต๋อเฟยจะเทียบกับพ่อครัวหลวงในห้องเครื่องมิได้ แต่รสชาติของอาหารกลับทำให้สุขกายสบายใจยิ่ง
“ไม่ใช่ น้ำแกงนี้ตุ๋นให้ฝ่าบาท” เมิ่งซังอวี๋โบกมือ กำชับสั่งแม่นมเฝิงว่า “แม่นม เจ้าไปสืบข่าวมาหน่อยว่าตอนนี้ฝ่าบาททรงทำอะไรอยู่ หากน้ำแกงนี้เสร็จแล้วพวกเราจะถวายให้ฝ่าบาท”
“เต๋อเฟย เหตุใดพระองค์ทรงต้อง…” แม่นมเฝิงขมวดคิ้ว ทว่าเมื่อเหลือบเห็นนางกำนัลคนอื่นๆ ในห้องครัวก็รีบกลืนคำพูดที่ยังเอ่ยไม่จบลงไป ยามนี้เมื่อเห็นผู้เป็นนายของตนประจบเอาพระทัยฝ่าบาท ในใจของนางก็ทรมานราวกับต้องกินแมลง
หางที่ส่ายไปมาไม่หยุดของอาเป่าพลันหยุดชะงัก ร้องครวญพลางใช้กรงเล็บตะกุยชายกระโปรงของเมิ่งซังอวี๋ ที่น่าเศร้าคือนางไม่เข้าใจการห้ามปรามของเขาเลยแม้แต่น้อย กลับใช้หลังเท้าแตะก้นจ้ำม่ำของอาเป่าด้วยซ้ำไป
“แม่นมไปเถิด! ในเมื่ออยากจะขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้ท่านพี่ อย่างไรก็ต้องแสดงออกสักหน่อย” เมิ่งซังอวี๋โบกมืออย่างขำขัน คราวนี้แม่นมเฝิงเปลี่ยนท่าทีไปจนเกินงาม ช่างซื่อตรงเปิดเผยนัก น่ารักยิ่ง
“เพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว” แม่นมเฝิงตีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง หลังจากย่อเข่ารับคำสั่งก็ส่งคนไปสืบความเคลื่อนไหวที่วังเฉียนชิง
จนกระทั่งนางกลับมาที่ตำหนักได้สักครู่ น้ำแกงก็ตุ๋นเสร็จเรียบร้อยและถูกบรรจุไว้ในกล่องอาหาร กลิ่นหอมหวนกำจายออกมาจากรอยแยกของฝาปิด ชวนให้คนน้ำลายสอ
เมิ่งซังอวี๋นั่งอยู่ข้างโต๊ะ กำลังตัดแต่งต้นสนเขียวต้นเล็กๆ ส่วนอาเป่านั่งอยู่บนโต๊ะ เหลือบมองกล่องอาหารเป็นครั้งคราว บางคราก็เหลือบมองนาง ก่อนจะใช้อุ้งเท้าเขี่ยๆ คล้ายกับคิดจะเปิดฝาออกแต่ก็กลัวเมิ่งซังอวี๋จับได้
แม่นมเฝิงที่เพิ่งกลับมาหลุบตาแอบหัวเราะ ยิ่งชื่นชอบเจ้าตัวน้อยที่ฉลาดเจ้าเล่ห์นี้มากขึ้นทุกวัน พอมีมันอยู่เป็นเพื่อนไม่ว่าเวลาใดเต๋อเฟยก็มีรอยยิ้มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
“กลับมาแล้วหรือ ฝ่าบาทประทับอยู่ที่ใด” เมิ่งซังอวี๋วางกรรไกรเล่มเล็กลง ส่งเสียงถามออกมา ทำให้อาเป่าที่วางเท้าหน้าลงบนฝากล่องพลันสะดุ้งตกใจ
กู่เซ่าเจ๋อรีบเก็บอุ้งเท้าแล้วนั่งตัวตรงทันที ละทิ้งความคิดที่จะเปิดฝากล่องอาหาร แต่เขาไม่ทันสังเกตเห็นแววยิ้มที่ฉายวูบผ่านหางตาของเมิ่งซังอวี๋ไป
“ทูลเต๋อเฟย ท่านไปวันอื่นเถิดเพคะ เช้านี้หลี่เซียงนำราชอาลักษณ์กลุ่มหนึ่งเข้าเฝ้าและเอ่ยถึงเรื่องแต่งตั้งฮองเฮากับรัชทายาทอีกครั้ง ทำให้ฝ่าบาทพิโรธ สะบัดชายฉลองพระองค์เสด็จออกไปทันที หลังจากนั้นยังรับสั่งให้ประหารขุนนางที่ปล่อยข่าวลืออีกหลายสิบคน ยามนี้พระองค์ไปประจบเอาใจอันใดไม่ได้หรอกเพคะ” แม่นมเฝิงรายงานเสียงเบา
“อ้อ เช่นนั้นก็ช่างเถิด” เมิ่งซังอวี๋โบกมืออย่างไม่สนใจนัก กล่าวเสียงต่ำ “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ฝ่าบาทคงทรงยืนกรานได้ไม่นานเท่าไร สกุลเสิ่นอยากจะแย่งชิงตำแหน่งฮองเฮากับสกุลหลี่ แต่การที่เสิ่นฮุ่ยหรูไม่มีบุตรชายคือจุดอ่อนของพวกเขา กอปรกับข่าวลือว่าฝ่าบาททรงบาดเจ็บที่ตรงนั้น ทำให้ไม่สามารถมีพระโอรสพระธิดาได้อีก สกุลเสิ่นจะต้องพ่ายแพ้สงครามครั้งนี้เป็นแน่ นอกเสียจากว่าฝ่าบาทจะทรงทำให้เหลียงเฟยตั้งครรภ์ได้ในทันทีทันใด ใช้ความจริงลบล้างข่าวลือ”
“อย่างไรก็ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเราอยู่ดีนี่เพคะ” แม่นมเฝิงเบ้ปากพลางกล่าว
“เช่นนั้นก็รออีกสองสามวัน ให้พระอารมณ์ของฝ่าบาทดีขึ้นแล้วค่อยไปก็แล้วกัน” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะ เปิดฝากล่องอาหารพร้อมกับตักน้ำแกงถ้วยหนึ่งออกมาวางไว้ตรงหน้าอาเป่า แล้วตบศีรษะปุกปุยของมันพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “รีบกินเถิด! ข้ารู้ว่าเจ้าจ้องมันอยู่นานแล้ว”
กู่เซ่าเจ๋อใช้อุ้งเท้ากอดนิ้วมือของเมิ่งซังอวี๋เอาไว้พลางถูไถไปมา จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปกินน้ำแกงอย่างอิ่มเอมเปรมใจ ความรักความอบอุ่นในดวงตาที่หลุบต่ำเลือนหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา ราชครูเสิ่นกับหลี่เซียงต่อสู้กันดุเดือดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจะต้องหาวิธีกลับคืนร่างโดยเร็ว เสิ่นฮุ่ยหรูก็พึ่งพาไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็ไปหาฉางสี่ที่วังเฉียนชิงแล้วกัน หวังว่าฉางสี่จะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
พอกินน้ำแกงเสร็จอาเป่าก็นอนหงายท้องอยู่บนหัวเข่าของเมิ่งซังอวี๋ หลับตาพริ้มอิ่มเอมกับสัมผัสแห่งความรักของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ปากเปล่งเสียงครางหงิงๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ท่าทางของอาเป่าทำให้อิ๋นชุ่ยกับปี้สุ่ยขบขันจนไหล่สั่นไม่หยุด ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลืนเสียงหัวเราะลงคอไปได้ เพราะเต๋อเฟยกล่าวว่าอาเป่าเย่อหยิ่งและรักศักดิ์ศรียิ่งนัก พอได้ยินเสียงหัวเราะเป็นต้องแอบหนีไปทันที
เมิ่งซังอวี๋ยิ้มตาหยีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว จ้องมองเจ้าตัวน้อยที่เกียจคร้านใต้ฝ่ามือ ในใจรู้สึกรักใคร่จนแทบจะทนไม่ไหว
พุงน้อยๆ ถูกนวดจนรู้สึกสบาย น้ำแกงที่กินก็ย่อยไปพอควรแล้ว กู่เซ่าเจ๋อกลิ้งตัว กระโดดมาอยู่ข้างกล่องอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยซึ่งอยู่บนตั่งเตียง แล้วคาบลูกหนังผ้าปักข้างในออกมาใส่มือเมิ่งซังอวี๋ ในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง เขาย่อมไม่นิยมชมชอบของเล่นสตรีพรรค์นี้ แต่เขาไม่อาจลืมเลือนความเศร้าสลดในดวงตาของนางยามที่เขาปฏิเสธคราวก่อน ในเมื่อนางชอบ เล่นเป็นเพื่อนนางสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร มิใช่ว่าเขาตัดสินใจไว้แล้วหรือว่าจะรักใคร่เอ็นดูนาง
“อาเป่าอยากเล่นลูกหนังผ้าปักหรือ” เมิ่งซังอวี๋ตะลึงงัน เอ่ยถามด้วยความฉงน
“โฮ่งๆ!” เสียงเห่าของอาเป่ายังเจือด้วยความน่ารักอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของลูกสุนัข ทำให้คนชอบใจเป็นหนักหนา
“อาเป่าฉลาดจริงๆ ฉลาดกว่าเจ้าไหลซี* เสียอีก!” เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจ อุ้มอาเป่าขึ้นมาแล้วใช้หน้าผากจรดกับหน้าผากของมัน ดวงตาหงส์ที่มีแววยิ้มแย้มดูราวกับถูกตกแต่งด้วยดวงดาวซึ่งพร่างพราวเต็มท้องนภา สุกสกาวชวนให้ตื่นตะลึงยิ่งนัก
กู่เซ่าเจ๋อสบตากับนาง ในดวงตาเผยความหลงใหลอย่างลึกซึ้งออกมา เขาแลบลิ้นออกมาเลียเปลือกตาของนางอย่างอดใจไม่อยู่ โดยมีท่าทีเคารพเลื่อมใสและระมัดระวังเป็นที่สุด
เมิ่งซังอวี๋หัวเราะเบาๆ พร้อมกับจุมพิตกลับ วางอาเป่าที่ยังไม่อิ่มอกอิ่มใจลงแล้วหยิบลูกหนังผ้าปักขึ้นมาขว้างออกไปนอกตำหนักที่มีแสงอาทิตย์สาดส่อง กู่เซ่าเจ๋อกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามไปพลางเอียงหูฟัง ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะซึ่งเต็มไปด้วยความเบิกบานใจของนาง หัวใจก็ล่องลอยโผทะยานไปตามเสียงนั้นด้วยเช่นกัน
หลังจากเล่นสนุกมาถึงครึ่งชั่วยาม เมิ่งซังอวี๋ก็รู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง จึงอุ้มมันกลับตำหนักบรรทมและวางมันลงในตะกร้าพร้อมกับห่มผ้าให้ ครั้นเห็นอาเป่าหลับสนิท นางถึงได้ล้มตัวลงนอนบนตั่งเตียง ค่อยๆ ปิดดวงตาทั้งสองข้างลงอย่างช้าๆ
หนึ่งเค่อผ่านไป กู่เซ่าเจ๋อค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแอบมอง เมื่อเห็นว่าเมิ่งซังอวี๋หลับสนิท นอกตำหนักก็ไม่มีคนคอยเฝ้ายาม จึงพลิกกายปีนออกมา วิ่งไปยังประตูข้างด้านหลังอย่างคุ้นทางทันที ยามนี้องครักษ์ที่ประตูข้างกำลังผลัดเปลี่ยนเวรยาม เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะลอบหนีออกไป
เพราะช่วงนี้เมิ่งซังอวี๋ดูแลอย่างเอาใจใส่ ร่างกายของอาเป่าจึงเติบใหญ่ขึ้นมาก จากแต่เดิมที่ขนาดเท่าฝ่ามือตอนนี้ตัวโตถึงครึ่งเชียะ* แล้ว กำลังขา ความสามารถในการได้ยินและการรับกลิ่นล้วนฉับไวเป็นอย่างยิ่ง พอวิ่งผ่านอุทยานหลวงมาไม่นานก็ใกล้จะถึงวังเฉียนชิงแล้ว
กู่เซ่าเจ๋อดักซุ่มอยู่มุมหนึ่งที่อยู่ไกลจากประตูวัง รอคอยให้ถึงเวลาที่พวกองครักษ์รักษาการณ์หละหลวมอย่างใจเย็น ในเวลานั้นเองฉางสี่ซึ่งถือแส้ปัดอยู่ในมือก็เดินนำขันทีน้อยสองคนออกมาจากวังเฉียนชิง ตรงไปยังอุทยานหลวง
ดวงตากู่เซ่าเจ๋อพลันลุกวาว รีบวิ่งตามไปทันที ในสมองคิดหาวิธีไม่หยุด ปากของเขาไม่อาจเอ่ยวาจา แล้วต้องทำเช่นไรกันจึงจะดึงดูดความสนใจของฉางสี่ได้ จากนั้นค่อยหาโอกาสสื่อสารกับอีกฝ่าย เขาลอบคิดไตร่ตรอง ขณะนั้นก็เดินมาถึงศาลารับลมแห่งหนึ่งซึ่งมีทัศนียภาพงดงามที่สุดในอุทยานหลวงพอดี
ในศาลารับลมเสิ่นฮุ่ยหรูนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน กำลังใช้เตาไฟเล็กๆ อุ่นเหล้ากาหนึ่ง ดอกชาภูเขาในแปลงเพาะดอกไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเบ่งบานสะพรั่ง กลิ่นหอมหวนของสุราช่วยขับเน้นให้ดอกชาภูเขาดูสวยสดยิ่งขึ้น ทัศนียภาพในยามนี้งดงามเสียจนแม้แต่จะวาดเป็นภาพออกมาก็ยังมิอาจทำได้ สนมชายาหลายคนนั่งล้อมอยู่ข้างกายนาง จิบสุราอย่างอ้อยอิ่งพลางพูดคุยหยอกล้ออย่างมีความสุข แต่นางกลับไม่สนทนาพาทีด้วย เพียงแค่พริ้มดวงตาทั้งสองข้างน้อยๆ แย้มยิ้มบางๆ ราวกับจิตใจเงียบสงบประดุจสายธาร ทั้งยังคล้ายกับไม่ยินดียินร้ายราวกับดอกเบญจมาศ ดูงามสง่าอย่างบอกไม่ถูก
ยิ่งคนรอบข้างงามล้ำเลิศก็ยิ่งขับเน้นความงามพิสุทธิ์ของนาง ยิ่งคนรอบข้างเอะอะเสียงดังก็ยิ่งขับเน้นความสงบเงียบของนาง นี่คือกลิ่นอายที่แต่ก่อนกู่เซ่าเจ๋อเคยรักมากที่สุด แต่ตอนนี้พอเห็นเสิ่นฮุ่ยหรูในท่าทีเช่นนี้อีกครั้งเขากลับรู้สึกเฉยชา เพราะรู้ดีว่าท่าทางไม่คิดแก่งแย่งชิงดีกับผู้ใดนี้นางล้วนเสแสร้งแกล้งทำขึ้นมา ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถมากล้นไม่แพ้บุรุษ แล้วจะแพ้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมแก่สตรีคนอื่นได้อย่างไร เป็นเพราะแต่ก่อนเขามีตาหามีแวว หลอกลวงตัวเองก็เท่านั้น
ในขณะที่ความคิดและความรู้สึกของกู่เซ่าเจ๋อกำลังล่องลอย ฉางสี่ก็ได้สาวเท้าฉับไวเดินเข้าไปหาเสิ่นฮุ่ยหรูพร้อมกับถวายบังคม แล้วเอ่ยขึ้นอย่างพินอบพิเทา “กระหม่อมคารวะเหลียงเฟย ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พระองค์เสด็จไปปรนนิบัติที่ห้องทรงพระอักษรพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นเห็นหัวหน้าขันทีแสดงท่าทีนอบน้อมเช่นนี้ แววตาของสนมชายาหลายคนที่อยู่ข้างๆ ก็เป็นประกายวาบเล็กน้อย ทว่าดูเหมือนเสิ่นฮุ่ยหรูมิได้นำพา เพียงลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้านและยกมือขึ้นพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ไปกันเถิด”
ฉางสี่ค้อมกายเดินนำทาง ขณะที่สนมชายาหลายคนซึ่งอยู่ลำดับชั้นต่ำกว่าเหลียงเฟยรีบร้อนลุกขึ้นย่อเข่าถวายบังคม กล่าวอย่างพร้อมเพรียงว่า “น้อมส่งเหลียงเฟย!”
“โอ! นั่นมิใช่สุนัขของเต๋อเฟยหรอกหรือ ไฉนถึงมาอยู่ที่นี่ได้” นางสนมคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นแล้วพลันมองเห็นลูกสุนัขที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล จึงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ
“เหลียงเฟยทรงระวังพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะช่วยพระองค์จัดการกับเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้เอง” เพราะเหลียงเฟยเคยถูกสุนัขตัวนี้ข่วนมาก่อน ทั้งยังเหลือบเห็นประกายเย็นเยียบวูบผ่านดวงตาของเหลียงเฟย ฉางสี่จึงรีบสาวเท้าเข้าไปจับอาเป่าเอาไว้โดยกระชากเส้นขนบนคอของมัน หมายจะจับโยนออกไปไกลลิบ
บ่าวสมควรตาย! เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้เยี่ยงไร! ในชั่วพริบตาที่กู่เซ่าเจ๋อตะลึงงันก็ถูกฉางสี่จับเอาไว้แล้ว ผิวหนังบริเวณคอเจ็บปวดจนยากจะทานทน ในใจโกรธเป็นหนักหนา จึงหันหน้าไปงับข้อมือของฉางสี่อย่างแรง
ฉางสี่ร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด โทสะพลุ่งพล่าน เขาโยนมันลงบนพื้นแล้วใช้เท้าเตะออกไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ร่างเล็กๆ ของอาเป่าถูกเตะลอยออกไปไกลหลายจั้ง ร่วงลงในสระบัวข้างศาลารับลมดังตูม
ยังไม่ทันได้รู้สึกเจ็บ น้ำเย็นเฉียบก็ไหลทะลักเข้าทางปากและจมูก ความหวาดกลัวเข้าจู่โจมหัวใจอย่างท่วมท้น กู่เซ่าเจ๋อดิ้นรนสุดแรงเกิด ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำ ร้องเสียงโหยหวน
“เจ้าตัวน้อยดูน่าสงสารยิ่ง ช่วยมันเสียหน่อยเถิดเพคะ” นางสนมที่อายุน้อยที่สุดผู้หนึ่งทนไม่ไหว เอ่ยปากขอความเมตตา ทุกคนหันหน้าไปมองเหลียงเฟย อาเป่าซึ่งอยู่ในน้ำก็ใช้สายตาคาดหวังมองไปทางนางด้วยเช่นกัน
“สัตว์เลี้ยงมีหน้าที่ของสัตว์เลี้ยง ถ้าลืมหน้าที่ของตนก็มิใช่ว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ ท่าทางกระเสือกกระสนของมันนับว่าน่าสนใจทีเดียว หากตายไปแล้วยังสร้างความสำราญให้ข้าได้ มันก็นับว่าได้ตายอย่างมีคุณค่าแล้ว” เสิ่นฮุ่ยหรูลูบปลอกเล็บทองคำวาววับบนนิ้วมือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นเย้ยหยัน
ในใจบรรดาสนมชายาทั้งหลายรู้ดีว่าวาจาของนางมีนัยแฝง จึงพากันก้มหน้า แอบหวาดหวั่นอยู่ในใจ
ฉางสี่ยิ้มประจบ ค้อมกายขานรับ “เหลียงเฟยตรัสได้ถูกต้อง ฝ่าบาททรงรออยู่ เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
เสิ่นฮุ่ยหรูเหลือบมองอาเป่าที่กำลังดิ้นรนกระเสือกกระสน พอเห็นว่าช่วงเวลาที่ลอยอยู่เหลือน้อยลงทุกที นางก็ยกยิ้มอย่างสำราญใจ แล้วค่อยๆ เดินนวยนาดจากไป กระทั่งนางเดินไกลออกไปแล้ว เหล่าสนมชายาก็ไม่กล้าเข้าไปช่วยอาเป่าที่ใกล้จะจมน้ำเต็มที พากันแยกย้ายไปด้วยสีหน้าซีดขาว
รอจนทุกคนเดินจากไปหมดแล้ว กู่เซ่าเจ๋อซึ่งมีทีท่าไร้สิ้นหนทาง ได้แต่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดก็พลันสงบลง ใช้เท้าทั้งสี่ตะกุยน้ำเบาๆ ว่ายกลับเข้าฝั่งอย่างช้าๆ สุนัขว่ายน้ำเป็นโดยธรรมชาติ หลังจากผ่านความตื่นตระหนกในตอนแรกไป เขาก็จับเคล็ดในการว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว แต่จิตสังหารอันเย็นยะเยือกและความเคียดแค้นในดวงตาของเสิ่นฮุ่ยหรูทำให้เขาตัดสินใจที่จะเล่นละคร ความจริงพิสูจน์แล้วว่าหากเขาไม่ทำเช่นนี้ วันนี้เสิ่นฮุ่ยหรูก็คงไม่ยอมรามือ หากเขาปีนขึ้นฝั่งได้ ไม่แน่ว่านางอาจจะเรียกนางกำนัลกลุ่มใหญ่มาเตะเขาลงไปอีก กระทั่งเขาหมดแรงจมน้ำตายไปเอง
เพราะเหตุใดนางจึงเคียดแค้นลูกสุนัขตัวหนึ่งมากมายถึงเพียงนี้ คำอธิบายเดียวก็คือการถ่ายโอน นางถ่ายโอนความโกรธแค้นที่มีต่อเมิ่งซังอวี๋มาไว้บนตัวของเขา อีกทั้งฉางสี่ซึ่งเดิมทีควรจะจงรักภักดีกับเขากลับเคารพนอบน้อมนางอย่างยิ่ง คอยเดินตามไม่ห่าง เกรงว่าคงจะถูกนางซื้อตัวเอาไว้แล้ว
ฮึ เสิ่นฮุ่ยหรู เจ้าทำได้ดีมาก! เวลานั้นก็ขอให้เจ้าสามารถแบกรับเพลิงโทสะของเราได้ก็แล้วกัน!
กู่เซ่าเจ๋อปีนขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเล ในดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชาอันน่าครั่นคร้าม