ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก
บทที่เก้า
องค์ชายผู้ต่ำช้า
กู่เซ่าเจ๋อสะบัดหยดน้ำบนร่างออก ฝืนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดตรงช่วงท้อง ค่อยๆ เดินไปยังทิศทางที่วังปี้เซียวตั้งอยู่
ดูท่าว่าตอนนี้คงพึ่งฉางสี่ไม่ได้แล้ว แต่เหยียนจวิ้นเหว่ยเป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับซึ่งได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตนรับใช้ราชวงศ์ ความจงรักภักดีของเขาไม่เป็นที่กังขา ทว่ามักจะเร้นกายลึกลับ ไปมาไร้ร่องรอย หากคิดจะหาเขาให้เจอนั้นยากเสียยิ่งกว่าปีนขึ้นไปบนฟ้าเสียอีก แล้วจะทำเช่นไรดีเล่า หรือจะบอกสถานะที่แท้จริงของเราให้เมิ่งซังอวี๋รู้ดี?
กู่เซ่าเจ๋อก้มหน้ามองเท้าหน้าที่เปียกแฉะและเปรอะเปื้อนดินโคลนของตน จากนั้นก็ระงับความคิดนี้ชั่วคราวทันที ภาพลักษณ์ของเขาในใจเมิ่งซังอวี๋ย่ำแย่เป็นอย่างมาก แถมตอนนี้ยังจะไปปรากฏตัวต่อหน้านางด้วยสภาพเช่นนี้อีก เขาส่ายหน้า ไม่กล้าคิดต่อ เขาอาลัยรอยยิ้มสว่างสดใสของเมิ่งซังอวี๋ อาลัยอ้อมกอดอันอบอุ่นของนาง ยิ่งอาลัยจุมพิตหวานล้ำของนาง หากรู้ว่าอาเป่าคือตน นางจะต้องตั้งเกราะป้องกันหัวใจไว้อย่างแน่นหนาจนเขาไม่สามารถเข้าใกล้ได้อีกเป็นแน่
กู่เซ่าเจ๋ออกสั่นขวัญหาย เดินผ่านทางแยกไปโดยไม่ทันระวัง ผ่านสถานที่ซึ่งบรรดาองค์ชายและองค์หญิงเล่าเรียนหนังสือ ยามนี้เป็นเวลาเลิกเรียนพอดี องค์ชายและองค์หญิงทั้งหลายพร้อมทั้งเพื่อนเรียนหนังสือต่างพากันทยอยเดินกลับตำหนักของตนกันเป็นกลุ่มๆ
“โอ๊ะ เจ้าตัวอัปลักษณ์นี่มันอะไรกัน” เพื่อนเรียนหนังสือขององค์ชายรองชี้ไปยังอาเป่าที่อยู่ตรงหัวมุมทางเดินเล็กๆ พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจ
เดิมทีสุนัขพันธุ์กุ้ยปินก็มีร่างกายเล็กอยู่แล้ว ตอนนี้เปียกน้ำ ขนหยิกหย็องของมันจึงแนบลู่ลงกับร่างกาย อีกทั้งระหว่างทางที่เดินมายังเปรอะเปื้อนดินโคลนมากมาย มองดูแล้วก็ถึงกับแยกร่างเดิมไม่ออก ช่างอัปลักษณ์จนถึงขีดสุดจริงๆ
“นั่นมันสุนัขหรือว่าหนูตัวใหญ่” องค์หญิงสามดึงแขนพี่ชายร่วมอุทร ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“จะสนใจมันทำไม รีบๆ ไล่มันไปเสีย จะได้ไม่ขัดตาข้า!” องค์ชายรองขมวดคิ้ว ออกคำสั่งกับข้ารับใช้ซึ่งอยู่ข้างกายและบรรดาเพื่อนเรียนหนังสือ
ในตอนนี้เขาเป็นตัวเลือกตำแหน่งรัชทายาทที่มีเสียงสนับสนุนมากที่สุด อีกทั้งฐานอำนาจก็ยังสูงส่งกว่าใคร คนที่อยากจะประจบเอาใจเขามีมากมาย พอเอ่ยวาจาเช่นนี้ ข้ารับใช้หลายคนก็รีบพากันไล่เจ้าตัวน้อยหน้าตาอัปลักษณ์ตัวนี้ออกไป ยังมีเพื่อนเรียนหนังสือที่ค่อนข้างฉลาดรู้ความคนหนึ่งที่หยิบก้อนหินจากข้างทางขว้างใส่เจ้าตัวน่าเกลียดนี้เต็มแรง
เดิมกู่เซ่าเจ๋อก็ถูกเตะจนช้ำในอยู่แล้ว ยามนี้จึงไม่มีเรี่ยวแรงจะหลบหนี ยังมิทันได้ขยับเท้าก็ถูกก้อนหินกระแทกเข้าที่แผ่นหลัง เขาฟุบลงกับพื้นทันที นอนร้องครวญครางไม่หยุด
เสียงร้องโหยหวนดังเอ๋งๆ ของอาเป่าดูเหมือนว่าจะสร้างความสำราญให้แก่องค์ชายรอง ดวงตาของเขาลุกวาว ก้มหยิบก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่งด้วยเช่นกัน แล้วสั่งข้ารับใช้ที่เข้าไปล้อมอาเป่าว่า “ไม่ต้องไล่มันไปแล้ว ทุกคนถอยออกไปให้หมด อย่าขวางสายตาข้า”
หินก้อนหนึ่งกระแทกใส่ข้างเท้ากู่เซ่าเจ๋ออย่างรุนแรงยิ่ง ทำให้เขาได้สติคืนมาจากความเจ็บปวด ได้ยินเพียงองค์ชายรองกำลังเอ่ยวาจาเสียงเย็นว่า
“เจ้าตัวอัปลักษณ์รีบวิ่งเข้าสิ! หากไม่วิ่งเราจะขว้างหินใส่เจ้าให้ตายเลย!” พอสิ้นคำ เพื่อนเรียนหนังสือขององค์ชายรองก็หยิบหินกลมเกลี้ยงก้อนหนึ่งยื่นใส่ฝ่ามือเขา
ไม่วิ่งก็โดน วิ่งก็โดน อย่างนั้นวิ่งก็แล้วกัน หากโชคดียังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้! กู่เซ่าเจ๋อไม่มีกะจิตกะใจจะคิดสิ่งอื่นใดอีก หยัดกายวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามทันที
เพื่อนเรียนหนังสือหลายคนได้โอบล้อมเขาเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ในมือถือก้อนหินพลางไล่สุนัขไปทางองค์ชายรอง องค์ชายรองอยากจะเล่นสนุก พวกเขาก็ต้องทำให้องค์ชายรองเล่นสนุกได้อย่างถึงอกถึงใจ กู่เซ่าเจ๋อจำต้องหันหนี วิ่งไปทางองค์ชายรอง
องค์ชายรองหัวเราะร่า ขว้างก้อนหินใส่สุนัขไม่หยุด ก้อนหินแฉลบเฉียดไปหลายครั้ง แต่ก้อนหินส่วนมากกระแทกใส่อาเป่าอย่างไร้ความปรานี
เสียงตุบๆๆ ดังไม่ขาดสาย แทรกด้วยเสียงหัวเราะเกรียวกราวของเหล่าเพื่อนเรียนหนังสือ ยังมีองค์หญิงสาม องค์หญิงเจ็ดที่มองดูอยู่ข้างๆ อย่างเฉยชาท่ามกลางเสียงปรบมือโห่ร้องชอบใจ กู่เซ่าเจ๋อรู้สึกว่ากระดูกของตนกำลังจะแหลกละเอียด หัวใจจมดิ่งสู่หุบเหวลึกหมื่นลี้ นี่คือลูกๆ ที่เขารักใคร่เอ็นดูในยามปกติอย่างนั้นหรือ เขามองไม่เห็นความฉลาดเฉลียว กตัญญูรู้มารยาทเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าอ่อนวัยแต่แววตาชั่วร้ายนั้นทำให้เขาตัวสั่นเทิ้ม
ตายด้วยน้ำมือลูกๆ ของตน เขาจะน่าสมเพชน่าหัวเราะเพียงใด ลงบ่อน้ำพุเหลืองไปก็ไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษสกุลกู่! กู่เซ่าเจ๋อกัดฟัน พยายามรักษาสติไว้อย่างสุดกำลัง ขยับเท้าทั้งสี่ที่เกือบจะไร้เรี่ยวแรง ผลุบโผล่ไปซ้ายทีขวาที ลอดใต้หว่างขาขององค์ชายรองแล้วฝ่าวงล้อมหนีรอดไปได้
เบื้องหน้ามีเด็กชายหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง บุคลิกเยือกเย็นผู้หนึ่งเดินตรงมา พอเห็นเด็กชายดวงตาของกู่เซ่าเจ๋อก็เป็นประกายวาบ วิ่งปรี่ไปอยู่ข้างกายอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว คนผู้นี้ก็คือโอรสองค์โตของเขาซึ่งมีอุปนิสัยอ่อนโยนเป็นที่สุด คงจะไม่ทำร้ายเขา องค์ชายใหญ่เป็นบุตรที่เกิดจากซูเฟยซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว ซูเฟยเป็นสตรีคนแรกในชีวิตของเขา แน่นอนว่าย่อมมีความผูกพันเป็นพิเศษกว่าใคร แต่เพราะตอนนั้นเขายังเยาว์วัยไม่รู้ประสีประสา ไม่รู้จักเก็บซ่อนความรู้สึก ทำให้ซูเฟยถูกสตรีในตำหนักในอิจฉาริษยา สุดท้ายก็สิ้นชีวิตไปตั้งแต่ยังสาว นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็เก็บซ่อนความรู้สึกของตนเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ไม่เคยให้ผู้ใดพบเจอโดยง่าย สำหรับองค์ชายใหญ่ ถึงแม้เขาจะรักใคร่เอ็นดู แต่กลับไม่เคยแสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย และเพราะเหตุนี้องค์ชายใหญ่ถึงเติบโตได้อย่างราบรื่นปลอดภัยแม้จะไม่มีมารดาคอยปกป้องคุ้มครอง
ครั้นมองเห็นเจ้าตัวน้อยที่วิ่งเข้ามาหาตน องค์ชายใหญ่ก็ผงะอึ้งไป พวกองค์ชายรองไล่ตามหลังมาติดๆ เขาเม้มปาก รีบหันกายเปลี่ยนทิศทางในทันที กู่เซ่าเจ๋อยังคิดจะตามไป ทว่าถูกเพื่อนเรียนหนังสือที่อยู่ด้านหลังองค์ชายใหญ่สะบัดเท้าเตะเขาออกมา เพียงแต่ครั้งนี้เตะเบาๆ แค่หมายจะไล่ไปเท่านั้น
“ไปเถิด หากต่อกรกับองค์ชายรองเพียงเพราะสุนัขตัวเดียวมันไม่คุ้มกันหรอก” องค์ใหญ่เห็นเพื่อนเรียนหนังสือเผยสีหน้าสงสารเวทนา หัวคิ้วจึงกดลึกอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงของเขาสงบราบเรียบ ไม่มีความสดใสร่าเริงของผู้เยาว์เลยแม้แต่น้อย
“พ่ะย่ะค่ะ” เพื่อนเรียนหนังสือรับคำ แล้วใช้ปลายเท้าสะกิดอาเป่าเบาๆ คล้ายกับกำลังเร่งให้มันรีบๆ วิ่งหนีไป
เมื่อกู่เซ่าเจ๋อได้สติกลับมา องค์ชายรองก็ไล่ตามมาทันพอดี คนกลุ่มใหญ่ล้อมเขาเอาไว้อีกครั้ง ก้อนหินค่อยๆ พุ่งมาใส่ราวกับสายฝน กระทบจนเขาหัวแตกเลือดไหล บนร่างไม่มีที่ใดสมบูรณ์ดีเลยสักแห่ง
กู่เซ่าเจ๋อถูกหินก้อนหนึ่งกระแทกเข้าตรงหน้าผาก เขาล้มลงพลางร้องโหยหวน หอบหายใจพะงาบๆ ไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นยืนอีกต่อไป องค์ชายรองเดินเข้ามาแล้วใช้ปลายเท้าเหยียบขยี้หางสุนัขพลางแสยะยิ้ม เสียงกระดูกหักดังกร๊อบๆ กู่เซ่าเจ๋อเจ็บปวดจนเท้าทั้งสี่เกร็ง แทบจะหมดสติและสิ้นชีวิตไป
“หยุดนะ!” สุ้มเสียงเย็นชาและใสกังวานสายหนึ่งดังขึ้น ยับยั้งการกระทำอันโหดร้ายทารุณขององค์ชายรอง
“น้องหญิงสี่ พวกเราเล่นอยู่ดีๆ เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย” องค์ชายรองยังมิได้เอ่ยปาก องค์หญิงสามก็เดินเข้ามาพร้อมกับถามเสียงสูง
ผู้ที่มาใหม่เป็นเด็กหญิงอายุเจ็ดแปดปีผู้หนึ่ง อายุยังน้อยแต่ก็ฉายแววงดงามเฉิดฉันยิ่ง กอปรกับสวมชุดชาววังอันหรูหราจึงช่วยเสริมกลิ่นอายสูงศักดิ์และความน่าเกรงขามให้มากยิ่งขึ้นอีกหลายส่วน นางคือองค์หญิงสี่ซึ่งเกิดจากฮองเฮา ฐานะยังสูงกว่าองค์ชายรองอยู่ขั้นหนึ่ง เป็นเพราะความละอายใจที่มีต่อฮองเฮาและเพราะนางเป็นบุตรสาว ที่ผ่านมากู่เซ่าเจ๋อจึงไม่เคยปกปิดความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่อนาง ในวังหลวงแห่งนี้คนที่กล้าล่วงเกินนางมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
“แม้แต่สัตว์ตัวเล็กเท่านั้นก็ยังจะฆ่า ทั้งยังรุมทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม พฤติกรรมเช่นนี้ท่านไม่รู้สึกว่ามันชั่วช้าต่ำทรามเกินไปหรือ เสด็จพี่รองมีจิตใจเมตตาซึ่งเป็นสิ่งที่รัชทายาทพึงมีสักนิดหรือไม่ อีกอย่างหนึ่ง สุนัขตัวนี้ไม่ใช่สุนัขธรรมดาทั่วไป แต่เป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของเต๋อเฟย หากเรื่องนี้ไปถึงพระกรรณของเสด็จพ่อผ่านเต๋อเฟยล่ะก็ เกรงว่าคงจะไม่เป็นผลดีต่อเสด็จพี่รองเป็นแน่ ขอให้ท่านคิดทบทวนให้ดี” องค์หญิงสี่ก้าวเท้าเข้าไปหา พูดจาฉะฉานมีหลักการ
สีหน้าขององค์ชายรองเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ จากนั้นก็เป็นขาวซีด ในที่สุดก็ยกเท้าขึ้น ล้มเลิกความคิดที่จะทารุณกรรมอาเป่าต่อ แล้วพาคนกลุ่มใหญ่เดินอาดๆ จากไป
“อุ้มมันขึ้นมา พวกเราไป” องค์หญิงสี่หลุบนัยน์ตา ชี้ไปยังลูกสุนัขที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นพลางเอ่ย
กู่เซ่าเจ๋อลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก จ้องมองดวงหน้าเล็กอ่อนเยาว์ขององค์หญิงสี่ ในใจสับสนวุ่นวายยากจะเอ่ย แม้บุตรสาวคนนี้ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากเขาอย่างจริงจัง ทว่าอายุยังน้อยก็มีจิตใจดีงามเช่นนี้แล้ว คล้ายคลึงกับเมิ่งซังอวี๋อยู่หลายส่วน แต่องค์ชายรองกับองค์หญิงสามนั้น…
พอคิดถึงการกระทำอันทารุณโหดร้ายผิดวิสัยคนธรรมดา ในใจเขาก็เอ่อท้นไปด้วยความรังเกียจชิงชังอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงแม้เด็กเหล่านั้นจะเป็นบุตรธิดาของเขา แต่หลังจากถูกปฏิบัติเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจเกิดจิตใจรักใคร่อันใดได้อีก อีกอย่างหนึ่งองค์ชายรองก็อายุสิบสองปีแล้ว ตามหลักควรต้องรู้เรื่องรู้ราวได้แล้ว แต่ยังคงข่มเหงรังแกสัตว์ตัวน้อยๆ โดยเห็นเป็นเรื่องสนุก เห็นได้ว่ามีจิตใจต่ำช้าเพียงไร ซ้ำนิสัยยังโหดเหี้ยมอำมหิตเพียงใด เขาไม่อาจมอบแผ่นดินต้าโจวให้อยู่ในมือคนเช่นนี้ได้ รอให้กลับคืนร่างเดิมได้ก่อน เขาจะต้องสั่งให้สกุลหลี่ล้มเลิกความคิดนี้โดยเด็ดขาด
องค์หญิงสี่ค่อยๆ เดินไปยังวังปี้เซียว ครั้นมองเห็นประตูวังอยู่ไม่ไกล นางก็หยุดฝีเท้าลงทันใด แล้วชี้ไปยังแปลงดอกไม้ริมทางพลางกล่าว “โยนมันเข้าไปเสีย”
“องค์หญิง พระองค์จะทรงไม่ส่งเจ้าลูกสุนัขกลับไปหรือเพคะ มันบาดเจ็บจนสภาพกลายเป็นเช่นนี้ หากปล่อยทิ้งไว้ข้างทางอาจจะตายได้นะเพคะ” นางกำนัลตัวน้อยที่อายุอานามมากกว่าองค์หญิงสี่เล็กน้อยเอ่ยปากขึ้นด้วยความลังเล
“โยนไป!” บนใบหน้าเรียบเฉยขององค์หญิงสี่พลันปรากฏแววเฉียบขาด
กู่เซ่าเจ๋อเบิกตากว้าง รู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของนาง
นางกำนัลตัวน้อยไม่กล้าละล้าละลังอีกต่อไป รีบวางอาเป่าลงในแปลงดอกไม้เบาๆ ต้นหลันเฉ่า* อันรกครึ้มบดบังเงาร่างน้อยๆ ของมันจนมิด แม้คนเดินผ่านไปผ่านมาจะตั้งใจมองให้ดีก็ยังยากที่จะพบเห็น
“องค์หญิง…” นางกำนัลตัวน้อยมองไปยังแปลงดอกไม้ด้วยดวงตาแฝงความสงสารเวทนา
“ไปได้แล้ว! มันเป็นสุนัขของเต๋อเฟย เต๋อเฟยกับข้ามีความแค้นที่นางฆ่ามารดาของข้า ข้าไม่บีบคอมันให้ตายคามือก็นับว่ามีเมตตาแล้ว หยุดพูดมากเสียที” น้ำเสียงขององค์หญิงสี่เย็นยะเยียบ นางยกเท้าเดินจากไป
คนที่ทำร้ายเสด็จแม่ของเจ้าจนสิ้นชีพคือเรา ไม่เกี่ยวอันใดกับเมิ่งซังอวี๋! อวี้ถง หากเจ้าจะเคียดแค้นก็ต้องเคียดแค้นเราจึงจะถูก! กู่เซ่าเจ๋อเจ็บปวดดุจหัวใจถูกมีดกรีด ทั้งสงสารที่บุตรสาวเจ็บปวดจากการสูญเสียมารดา ทั้งสงสารเมิ่งซังอวี๋ที่ถูกลากมาให้เดือดร้อนด้วยทั้งที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของเรา หรือว่าการที่เรามาติดอยู่ในร่างของอาเป่านี้จะเป็นบทลงโทษจากสวรรค์?
หัวใจปวดแปลบ ต่อให้เสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว กู่เซ่าเจ๋อเปล่งเสียงร้องหงิงๆ เอ๋งๆ อย่างห้ามไม่อยู่
ครั้นได้ยินเสียงครวญครางของลูกสุนัข ฝีเท้าที่กำลังเดินจากไปขององค์หญิงสี่ก็หยุดชะงักชั่วครู่ นางเดินต่อไปอีกสองสามก้าว แต่สุดท้ายก็กัดฟัน ออกคำสั่งกับนางกำนัลตัวน้อยข้างกายด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดึงต้นหลันเฉ่าข้างๆ ตัวมันออก ทำให้เห็นสะดุดตาสักหน่อย มันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่ก็ต้องดูว่าเต๋อเฟยจะหามันเจอทันเวลาหรือไม่”
“เพคะ!” นางกำนัลตัวน้อยรับคำด้วยความยินดีปรีดา รีบดึงต้นหลันเฉ่าข้างๆ ตัวอาเป่าออกจนหมดอย่างเร็วไว พอเป็นเช่นนี้ ขอเพียงนางกำนัลที่เดินผ่านมามองดูให้ดีๆ สักเล็กน้อยก็สามารถเห็นได้แล้ว
กู่เซ่าเจ๋อถอนหายใจ ฟังเสียงฝีเท้าของบุตรสาวที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปแล้วจึงปิดตาลงอย่างช้าๆ หยาดฝนหนึ่งหยด สองหยด และนับไม่ถ้วนสาดรดลงบนร่างของเขา ความหนาวเย็นเสียดกระดูกทำให้จิตใจที่ปลิวละล่องได้สติขึ้นมาครู่หนึ่ง เขาสะกดกลั้นความเจ็บปวดแล้วขดเท้าทั้งสี่ข้าง ตัวสั่นเทาขณะนึกถึงรอยยิ้มอันงดงามเฉิดฉันเหนือผู้ใดของเมิ่งซังอวี๋ในสมอง รอยยิ้มนั้นสว่างไสวดุจแสงอาทิตย์ในยามเช้า แค่หวนนึกถึงก็ทำให้ในใจของเขาเอ่อล้นไปด้วยความอบอุ่น หัวใจที่เย็นเฉียบก็เต้นแรงเพราะความอบอุ่นนี้ด้วยเช่นกัน
ซังอวี๋ ซังอวี๋…เขาร้องเรียกชื่อนี้ในใจครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากใบหน้าของนาง รอยยิ้มของนาง จุมพิตและอ้อมกอดของนาง เขาก็คิดสิ่งใดไม่ออกอีกแล้ว
ยามคนกำลังเผชิญกับความตาย สิ่งที่นึกถึงมักจะเป็นคนและเรื่องราวที่ได้สลักจารึกอยู่ในหัวใจ แต่น่าเสียดายที่กู่เซ่าเจ๋อตระหนักรู้ได้สายเกินไป เขาทอดอาลัย สมองค่อยๆ ถลำลึกลงสู่เมฆหมอกขมุกขมัว ท่ามกลางความเลื่อนลอยเขาคล้ายกับได้ยินเสียงตะโกนร้องอย่างกระวนกระวายครั้งแล้วครั้งเล่าของเมิ่งซังอวี๋ดังวนเวียนอยู่ข้างหู เพราะนี่เป็นภาพฝัน เขาจึงแย้มยิ้มด้วยความพอใจ
เป็นหมอหลวงคนเดิมกับเมื่อคราวก่อน เขาเพิ่งจะออกเวรและเตรียมตัวออกจากวังก็ถูกนางกำนัลของเต๋อเฟยลากให้เข้ามาในวังปี้เซียวอย่างร้อนรน พอเห็นอาเป่าที่มีบาดแผลเต็มตัว ลมหายใจรวยริน หมอหลวงเวินก็อดมิได้ที่จะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่
บาดแผลคราวนี้แค่ดูก็รู้ว่าเกิดจากการถูกคนทุบตี ผิวหนังทั่วทั้งร่างไม่มีตรงไหนที่สมบูรณ์ดี ใบหูมีบาดแผลใหญ่ การได้ยินจะได้รับการกระทบกระเทือนหรือไม่ก็ต้องรอดูตอนฟื้นขึ้นมาแล้วถึงจะทราบได้ เล็บเท้าทั้งสี่หลุดออกจนหมดสิ้น เป็นแผลเหวอะหวะ กระดูกหางแตกละเอียด…ไม่ถึงสองเดือนก็ได้รับบาดเจ็บถึงสามครั้ง ทั้งยังหนักหนาสาหัสขึ้นทุกครั้ง เจ้าลูกสุนัขตัวนี้ไฉนจึงได้โชคร้ายเช่นนี้หนอ แทบจะเรียกได้ว่าถูกสาปแช่งเลยทีเดียว!
หมอหลวงเวินตัดขนทั่วทั้งร่างของอาเป่าออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะทายาลงบนบาดแผลแต่ละที่ของมัน เขาอดทอดถอนใจในใจไม่ได้
เมิ่งซังอวี๋ใช้ปลายนิ้วอังจมูกทดสอบลมหายใจของอาเป่า เอ่ยถามด้วยสีหน้าขาวซีด “หมอหลวง อาการของอาเป่าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ทูลเต๋อเฟย ทั่วทั้งร่างอาเป่ามีบาดแผลภายนอกสามสิบเจ็ดแผล กระดูกหางแตกละเอียด ประสาทการได้ยินและดมกลิ่นได้รับความเสียหายหรือไม่ตอนนี้ยังดูไม่ออก ต้องรอให้มันฟื้นขึ้นมาแล้วค่อยให้คนตรวจสอบดู เช่นปรบมือข้างหูหรือวางอาหารไว้ใต้จมูก ยังมีบาดแผลช้ำในตรงช่วงท้อง ต้องกินยาบำรุงเป็นเวลาครึ่งเดือน” หมอหลวงเวินรายงานอาการบาดเจ็บไปพลางเขียนใบจ่ายยาไปพลาง จากนั้นก็มอบให้ขันทีไปจัดยาตามนั้น
เมิ่งซังอวี๋ยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งซีดขาว แม้ส่งหมอหลวงเวินกลับไปแล้วเหงื่อเย็นก็ยังผุดเต็มศีรษะ บาดแผลสาหัสถึงเพียงนี้ หากนางไปพบช้าแค่ครึ่งเค่อ อาเป่าคงจะตายอย่างไม่ต้องสงสัย! นางเลิกผ้าห่มที่คลุมร่างอาเป่าออก เมื่อเห็นทั้งร่างฟกช้ำดำเขียว รอยแผลเล็กใหญ่เต็มไปหมด สีหน้าก็พลันเลื่อนลอย ครู่ใหญ่ถึงจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ไหลหลั่งเข้ามาไม่ขาดสาย แผ่ลามจากก้นบึ้งของหัวใจไปทั่วทั้งร่างกาย แค่เลี้ยงสุนัขตัวเดียวเท่านั้น เหตุใดถึงได้ยากลำบากเช่นนี้หนอ
ยามนี้กู่เซ่าเจ๋อได้สติขึ้นมาแล้ว เท้าหน้าของเขาขยับเล็กน้อย ค่อยๆ ลืมตาขึ้น บนหนังตามีบาดแผลเล็กๆ แผลหนึ่ง ทำให้แค่ขยับก็เจ็บไปถึงหัวใจ เขาทนไม่ไหวต้องร้องครวญออกมา
ครั้นได้ยินเสียงร้องอ่อนระโหยนี้ เมิ่งซังอวี๋ก็กลั้นหายใจ ดวงตาจ้องมองเจ้าตัวน้อยในตะกร้าตาไม่กะพริบ เมื่อเห็นว่ามันฟื้นแล้วจริงๆ อันดับแรกนางก็ถอนหายใจเฮือก จากนั้นสีหน้าก็เคร่งเครียดอย่างรวดเร็ว “เจ้าเดรัจฉานน้อย ฟื้นได้เสียที!”
นางพลันตบโต๊ะอย่างแรง ทำเอาพวกปี้สุ่ยตกอกตกใจ อาเป่าซึ่งนอนอยู่ในตะกร้าก็ตัวสั่นระริกด้วยเช่นกัน
ดีมาก ประสาทการรับเสียงไม่ได้รับการกระทบกระเทือน! หัวใจที่เครียดเกร็งของเมิ่งซังอวี๋ค่อยๆ ผ่อนคลายลง สีหน้านางกลับคืนสู่ความเข้มงวดเด็ดขาดอีกครา ต่อว่าอาเป่าอย่างรุนแรง “รู้หรือไม่ว่าวันนี้เจ้าเกือบจะตายอยู่ข้างนอกแล้ว ปกติข้าสอนเจ้าว่าอย่างไร บอกหลายครั้งแล้วว่าอย่าวิ่งไปไหนส่งเดช! เจ้าก็ไม่เคยเชื่อฟัง! ต้องให้ได้รับบทเรียนสักหน่อยกระมัง ความดำมืดและความสกปรกโสมมในวังนี้เจ้าไม่อาจจินตนาการได้หรอก ถูกกดน้ำ ถูกก้อนหินทุบ ถูกเหยียบเท้า เรื่องพวกนี้ล้วนเล็กน้อยไปเลย ยังมีที่น่ากลัวกว่านั้นอีก! มีพวกวิปริตชอบเอาสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างพวกเจ้ามาทำอาหาร มันจะยกพวกเจ้าขึ้นสูงๆ แล้วปล่อยลงมาอย่างแรง โกนขนพวกเจ้าออกจนหมด ตีเท้าทั้งสี่ข้างของพวกเจ้าจนกระดูกหัก ตัดหูกับหางพวกเจ้าออก แถมยังตอนสิ่งนั้นของพวกเจ้าทิ้ง กระทั่งพวกเจ้ากลายเป็นสุนัขเสียบไม้แล้วพวกมันก็ยังจะหักร่างเจ้าเป็นสองท่อนอีกด้วย สุดท้ายก็ควักไส้ของพวกเจ้าออกมาพันคอ! เจ้าอยากตายแบบนั้นใช่หรือไม่! หา? ถ้าอยากข้าก็จะไม่สนใจเจ้าอีก อยากจะหนีไปไหนก็ไป!”
นางดุด่าพลางตบโต๊ะดังปึงปัง พวกปี้สุ่ยซึ่งอยู่อีกด้านหวาดกลัวจนหน้าซีดเพราะคำบรรยายอันละเอียดยิบของนาง สะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียน
สวรรค์ เต๋อเฟยทรงไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน น่ากลัวเกินไปแล้ว! ตอนสิ่งนั้นทิ้ง? สุนัขเสียบไม้? ช่างชั่วร้ายนัก
กู่เซ่าเจ๋อมองใบหน้าเดือดดาลของเมิ่งซังอวี๋อย่างทึ่มทื่อ คำขู่ขวัญอันน่าคลื่นเหียนสะอิดสะเอียนของนางดังสะท้อนไปมาที่ข้างหู ไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่เพียงไม่รู้สึกว่านางหยาบคายไร้มารยาท เขากลับรู้สึกว่านางน่ารักฉลาดเฉลียวเป็นที่สุดเสียด้วยซ้ำ
ดีเหลือเกินที่ได้เห็นสตรีผู้นี้อีกครั้ง! กู่เซ่าเจ๋ออยากจะหัวเราะ อยากจะสะบัดหาง แต่พอร่างกายขยับก็ดึงเอาความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนหัวใจถูกฉีกกระชากขึ้นมาด้วย หางของเขาหักไปแล้ว ยามนี้ถูกห่อจนกลายเป็นไม้นวดแป้ง
“เต๋อเฟยอย่าทรงต่อว่าอีกเลยเพคะ อาเป่าจะร้องไห้แล้ว” แม่นมเฝิงสงสารเวทนา ชี้ไปยังน้ำตาที่หลั่งไหลจากหางตาของอาเป่าไม่หยุดพลางเอ่ย
นี่เกิดขึ้นเพราะความเจ็บปวด ทว่าเมิ่งซังอวี๋กลับไม่รู้ นางเห็นอาเป่าแหงนศีรษะขึ้นน้อยๆ ลูกตาดำขลับราวผลองุ่นมองนางตาใสแป๋ว ในนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความอาวรณ์และความคาดหวังจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง หยาดน้ำตาเม็ดใหญ่เอ่อล้นอยู่ที่ขอบตา ร่างน้อยๆ ดูน่าสงสารเสียเหลือเกิน หัวใจของนางจึงพลันอ่อนยวบเสียจนรู้สึกสับสนยุ่งเหยิง
“เจ้าเดรัจฉานน้อยร้องไห้ทำไม! บทเรียนคราวนี้จำเอาไว้ให้ดี หากแอบหนีออกไปอีกล่ะก็ ข้าจะตีขาเจ้าให้หักเลยคอยดู!”
เมิ่งซังอวี๋เงื้อฝ่ามือขึ้นทำท่าจะตี ทว่ายามลดฝ่ามือลงกลับเช็ดน้ำตาที่ขอบตาของอาเป่าอย่างแผ่วเบา ท่าทางปากร้ายใจดีนี้ช่างน่ารักจนบอกไม่ถูก
กู่เซ่าเจ๋อหัวเราะหึๆ ทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับกลายเป็นเสียงออดอ้อนหงิงๆ เขางับนิ้วหนึ่งของนางเอาไว้ ใช้ลิ้นพันเกี่ยวอย่างเบาๆ ครู่ใหญ่ถึงยอมตัดใจปล่อยไป
“ดูท่าคงจะหิวแล้วกระมัง อิ๋นชุ่ย ยกโจ๊กของอาเป่ามา ข้าจะป้อนมันเอง” เมิ่งซังอวี๋กุมขมับ กวักมือเรียกอิ๋นชุ่ยอย่างจนปัญญา เลี้ยงสุนัขก็เหมือนเลี้ยงลูก ต้องให้เป็นห่วงเป็นใยตลอดเวลา
อิ๋นชุ่ยย่อตัวน้อมรับคำสั่ง ไม่นานก็ยกโจ๊กไก่ที่ต้มจนเหนียวข้นถ้วยหนึ่งเข้ามา เมิ่งซังอวี๋เอาผ้าฝ้ายผืนหนึ่งรองใต้คอของอาเป่าก่อน จากนั้นจึงตักโจ๊กขึ้นมาช้อนหนึ่งแล้วเป่าให้เย็นอย่างอดทน จากนั้นค่อยส่งถึงปากอาเป่าอย่างระมัดระวัง
กู่เซ่าเจ๋ออ้าปากให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เลียกินโจ๊กจนหมด โจ๊กร้อนๆ อุ่นกระเพาะและลำไส้ของเขาได้ในทันที และอุ่นไปถึงหัวใจของเขาด้วยเช่นกัน เขาค้นพบว่ามีเพียงแค่ยามที่อยู่ข้างกายสตรีผู้นี้ถึงจะอุ่นใจและผ่อนคลายได้มากที่สุด การปลอบประโลมอันอ่อนโยนรวมถึงกระทั่งการดุด่าต่อว่าของนางทำให้ประสบการณ์ราวกับฝันร้ายเหล่านั้นเลือนรางไปอย่างรวดเร็ว
“ตอนกินอาหารนี่เป็นเด็กดีเชียว” เมิ่งซังอวี๋ดึงผ้ารองอันสะอาดเอี่ยมอ่องใต้คออาเป่าออก ทอดถอนใจพลางเอ่ย
“เต๋อเฟยวางพระทัยเถิด ได้รับบทเรียนครั้งใหญ่เช่นนี้อาเป่าจะต้องเป็นเด็กดีแน่เพคะ แต่น่าเสียดายขนของมันนัก ตอนนี้ไม่มีเหลือเลย ดูแล้วอัปลักษณ์กว่าแต่ก่อนอีกนะเพคะ” น้ำเสียงแม่นมเฝิงเจือแววไม่ชอบใจ
“มารดาไม่รังเกียจบุตรอัปลักษณ์ หากสวมใส่อาภรณ์ก็มองไม่ออกแล้ว อีกอย่างพอผ่านไปสองเดือนขนก็ยังขึ้นใหม่ได้ ต้องสวยงามกว่าก่อนหน้านี้แน่นอน” เมิ่งซังอวี๋พลันอารมณ์ดี จิ้มจมูกน้อยๆ ของอาเป่าพร้อมกับกล่าวปลอบใจ
เราคือสามีของเจ้า มิใช่บุตร! หากเจ้าอยากเลี้ยงลูก วันหลังเราจะช่วยให้เจ้ากำเนิดบุตรหลายๆ คนก็ได้! กู่เซ่าเจ๋อไม่พอใจเท่าไรนัก เขาใช้เท้าหน้าที่ถูกพันเป็นขนมจ้างถูไถนิ้วมือของนาง
แม่นมเฝิง ปี้สุ่ย และอิ๋นชุ่ยถูกคำพูดหยอกล้อของผู้เป็นนายยั่วเย้าจนหัวเราะ เจ้านายของพวกนางมักเป็นเช่นนี้เสมอ ต่อให้เจอเรื่องที่ขมขื่นหรือยากลำบากแค่ไหนนางก็สามารถรับมือด้วยจิตใจอันสงบนิ่งได้เสมอ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทนทุกข์ทรมานเพราะเรื่องเหล่านี้
“ใช่แล้ว เรื่องที่อาเป่าได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ข้าจะต้องทวงคืนแน่! หากข้ายังไม่หมดสิ้นความโปรดปรานก็ปล่อยให้ผู้อื่นรังแกเหยียบหัว วันหน้าคงไม่อาจอยู่ดีมีสุขได้แล้ว” หลังจากพบตัวอาเป่าที่บาดเจ็บสาหัส นางย่อมไม่ยอมรามือไปง่ายๆ แน่นอน จึงสั่งให้คนไปสืบเสาะหาที่มาที่ไปทันที นางขมวดคิ้ว โบกมือให้ปี้สุ่ยพลางสั่ง “ไป ถ่ายทอดวาจาที่ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับฮองเฮาให้หลี่กุ้ยเฟยฟัง ให้นางได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นศัตรูของนาง เสิ่นฮุ่ยหรูอยากจะลากข้าลงน้ำ แต่ข้าย่อมไม่ยอมให้นางได้สมปรารถนาเป็นแน่ หลี่กุ้ยเฟยเป็นบุตรสาวของหลี่เซียง หากพูดถึงเล่ห์เหลี่ยม สตรีในตำหนักในแห่งนี้มีเพียงหยิบมือเดียวที่เอาชนะนางได้ เป็นคนละระดับกับคนที่มีจิตใจเปิดเผยซื่อตรงอย่างฮองเฮาโดยสิ้นเชิง เสิ่นฮุ่ยหรูอยากจะแย่งชิงตำแหน่งฮองเฮากับหลี่กุ้ยเฟยก็ต้องระวังว่าอาจจะสะดุดล้มจนร่างกายแหลกเหลวด้วยแล้วกัน!”
ปี้สุ่ยน้อมรับคำด้วยความยินดี เลือกของกำนัลสองสามชิ้นแล้วไปยังวังเฟิ่งหลวนทันที
เมิ่งซังอวี๋มองไปทางอิ๋นชุ่ย เอ่ยกำชับว่า “ส่วนเจ้า ไปหาวิธีถ่ายทอดวาจาที่องค์หญิงสี่เอ่ยห้ามองค์ชายรองในวันนี้ให้ถึงพระกรรณของฝ่าบาท ฝ่าบาทมิได้โปรดปรานองค์ชายรองอยู่แล้ว เมื่อมีข้ออ้างนี้เราก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ ถึงแม้ข้าจะไม่เคยลงมือกับเด็ก แต่เจ้าเด็กชั่วช้าโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ต้องสั่งสอนให้หนักๆ!”
เต๋อเฟยพิโรธจัดแล้วจริงๆ ด่าได้แม้กระทั่งองค์ชายรอง! อิ๋นชุ่ยส่ายหน้า ออกไปจัดการทำตามคำสั่ง
กู่เซ่าเจ๋อมองเมิ่งซังอวี๋อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง รสชาติของการถูกปกป้องช่างดีเหลือเกิน! ส่วนคำว่าเด็กชั่วช้านั้นเขาไม่ได้ยินโดยสิ้นเชิง
“เต๋อเฟยเพคะ อาเป่าถูกองค์หญิงสี่ทิ้งไว้หน้าประตูวังของพวกเรา…” แม่นมเฝิงอดเอ่ยเตือนมิได้
กู่เซ่าเจ๋อคิดว่าแม่นมเฝิงคิดจะยุแยง จึงเงยหน้าถลึงตาใส่นางทันที ดวงตายังแฝงไอสังหาร
“ข้ารู้แล้ว ประเดี๋ยวแม่นมนำผ้าไหมเสฉวนที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ข้าคราวก่อนไปมอบให้องค์หญิงสี่ ผ้าไหมพวกนั้นสีสันสดใสกำลังดี เหมาะกับเด็กผู้หญิง ใช่แล้ว ยังมีผ้าเช็ดหน้ากล่องหนึ่งที่ข้าปักไว้ก่อนหน้านี้ด้วย องค์หญิงสี่คงจะชอบเป็นแน่” ในดวงตาของเมิ่งซังอวี๋เจือด้วยแววสงสารเวทนาหลายส่วน ทอดถอนใจพลางกล่าว “อย่างไรเด็กคนนี้ก็อายุยังน้อย ทั้งไม่มีมารดาคอยสั่งสอน ทำการใดจึงขาดการคิดไตร่ตรอง นางช่วยอาเป่าแล้วทิ้งไว้หน้าประตูวังของข้า คนที่ไม่รู้ก็คิดว่านางจงใจยั่วยุข้าเพราะเจ็บแค้นใจ แต่ก็โทษนางไม่ได้เช่นกัน ในใจของนาง ข้าคือศัตรูที่สังหารมารดาของนาง…”
เมิ่งซังอวี๋นวดขมับ ไม่รู้ควรจะแก้ไขความเข้าใจผิดระหว่างตนกับองค์หญิงสี่ได้อย่างไร หลังจากแม่นมเฝิงเอ่ยปลอบโยนอยู่หลายคำก็เข้าไปหาของที่คลังเก็บของ
กู่เซ่าเจ๋อที่เดิมทีกังวลว่าชายารักกับบุตรสาวจะขัดข้องหมองใจกันจึงวางใจลง ยิ้มตาหยี จมสู่ห้วงนิทรา พอได้กลับมาอยู่ข้างกายเมิ่งซังอวี๋ร่างกายของเขาก็รู้สึกสบาย แม้กระทั่งบาดแผลก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด
ในวังเฟิ่งหลวน หลังจากส่งปี้สุ่ยกลับไปแล้ว อิ๋งสี่นางกำนัลใหญ่ของหลี่กุ้ยเฟยก็เอ่ยถามเสียงต่ำ “หลี่กุ้ยเฟยเพคะ พระองค์ทรงเชื่อวาจาของนางหรือไม่เพคะ”
หลี่ซูจิ้งโบกมือด้วยท่าทีคลุมเครือ หลังจากคิ้วเรียวขมวดอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่นางก็ถอนหายใจพลางกล่าว “ไม่เชื่อไม่ได้ และก็ไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด”
เดิมทีนางก็รู้สึกประหลาดใจที่อยู่ๆ เหลียงเฟยก็ได้รับความรักใคร่โปรดปราน เมื่อเชื่อมต่อเรื่องราวเข้ากับเค้าลางต่างๆ นานาก่อนหน้าและสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเต๋อเฟยในตอนนี้ นางก็เชื่อวาจาของปี้สุ่ยไปแล้วถึงหกเจ็ดส่วน ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งไม่อาจออมมือให้เหลียงเฟยและสกุลเสิ่น! ด้วยตำแหน่งของเหลียงเฟยในพระทัยฝ่าบาท หากอีกฝ่ายตั้งครรภ์พระโอรสขึ้นมาแล้วนางกับลูกๆ จะมีที่ให้ยืนตรงไหนในตำหนักในแห่งนี้
อีกด้านหนึ่ง ยังมิทันรอให้อิ๋นชุ่ยกระจายข่าวไปถึงพระกรรณฝ่าบาท เสิ่นฮุ่ยหรูก็ช่วยผลักดันให้อย่างทนไม่ไหว เมื่ออิ๋นชุ่ยรู้เข้า นางจึงล้มเลิกแผนการ
ฝ่าบาททรงเรียกองค์ชายรองเข้าทดสอบบทเรียนทันที องค์ชายรองตอบไม่ได้สักข้อเดียว ฮ่องเต้ทรงพิโรธเดือดดาล ตรัสว่าเขาหัวทึบโง่เง่า จิตใจโหดเหี้ยม ยากจะแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ได้
ทรงต่อว่าองค์ชายรองในช่วงสำคัญของการแต่งตั้งฮองเฮาและรัชทายาทเช่นนี้เท่ากับว่าฝ่าบาททรงประกาศให้ทุกคนรู้โดยทั่วกันว่าพระองค์ไม่พอพระทัยในตัวองค์ชายรอง ถึงแม้บรรดาขุนนางคิดจะประจบเอาใจหลี่เซียง แต่ก็ต้องดูพระพักตร์ของฮ่องเต้ด้วย ถึงพระองค์จะยังทรงหนุ่มแน่น แต่ความสามารถในการปกครองแผ่นดินกลับไม่ธรรมดา พอขึ้นครองราชย์ก็กำราบสกุลใหญ่ซึ่งสร้างความโกลาหลวุ่นวายบนกระดานหมากของฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้มากมาย วางหมากให้ขุนนางกลุ่มฝ่ายต่างๆ คานอำนาจกันเอง รวบพระราชอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง จากนั้นก็ล้มเลิกนโยบายเชิดชูฝ่ายบุ๋นกดขี่ฝ่ายบู๊ของอดีตฮ่องเต้ และมอบหมายหน้าที่ให้สกุลเมิ่งอีกครั้ง สั่งสมแสนยานุภาพทางการทหาร กำจัดระบบการปรองดองด้วยการแต่งงาน ทุ่มเทเรี่ยวแรงต่อต้านชาวหมาน ผู้เป็นเจ้าแผ่นดินเช่นนี้บรรดาขุนนางจะไม่เกรงกลัวได้อย่างไร พอมีข่าวดังข้างต้นแพร่ออกมาจากในวังบรรดาขุนนางอาลักษณ์มากมายก็พากันหยุดวิพากษ์วิจารณ์ทันที
ต่อมาหลังจากหลี่ซูจิ้งสืบสาวเบื้องหลังของเรื่องนี้จนกระจ่างว่าเป็นเพราะเสิ่นฮุ่ยหรูเล่นเล่ห์เหลี่ยม นางก็โกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เกลียดอีกฝ่ายเข้ากระดูกดำนับตั้งแต่นั้นมา อยากจะกำจัดไปให้พ้นหูพ้นตาโดยเร็ว