สีอิ๋นรีบยันร่างคลานเข่าเข้าไปหา มือเท้าทำอะไรไม่ถูกขณะมองไปที่แผ่นหลังของเขา “คุณชาย ท่านอย่าขยับนะ ท่าน…ยาสมานแผลอยู่ที่ใด ข้าจะไปหยิบมาให้”
เขาชี้ไปที่ตู้ใบหนึ่งบนผนัง “ชั้นสอง ขวดหยกเขียว”
นางมองไปตามทิศที่เขาชี้นิ้วปราดหนึ่งแล้วหันหน้ามาเอ่ยว่า “ข้าจะถอดเสื้อให้คุณชายก่อน อีกครู่หากบาดแผลกับเสื้อผ้าแห้งติดกันจะแกะไม่ออก”
“ไม่จำเป็น ข้าทำเอง เจ้าไปเอายามา”
“เจ้าค่ะ” สีอิ๋นไม่กล้าชักช้า รีบลุกขึ้นเดินไป
ชั้นสองของตู้วางขวดยาไว้แถวหนึ่งจริงดังว่า แต่ขวดหยกเขียวมีสองใบ บนนั้นเหมือนสลักตัวอักษรเป็นชื่อยาเอาไว้
สีอิ๋นไม่รู้ว่าขวดใดคือยาสมานแผลที่เขาพูดถึง จึงหยิบมันออกมาทั้งสองขวดแล้ววางลงตรงหน้าชายหนุ่มอย่างระมัดระวัง
จางตั๋วกวาดตามองขวดหยกเขียวสองใบนั้นปราดหนึ่ง “เหตุใดจึงหยิบมาทั้งสองขวด”
“ข้า…ไม่รู้หนังสือ”
เขายื่นมือไปหยิบขวดหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นไปตรงหน้านาง เชิดปลายคางขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เชียนจี* นี่เป็นยาพิษร้ายแรง”
นางได้ยินดังนั้นก็ขาอ่อน รีบรับขวดในมือของเขามาซ่อนไว้ข้างหลัง “ข้าไม่รู้หนังสือจริงๆ ข้า…”
จางตั๋วยืดตัวตรง “ข้าคิดจะให้เจ้ามีชีวิตผ่านคืนนี้ไป แต่เจ้าไม่อยากใช่หรือไม่”
นางบีบขวดใบนั้นทรุดนั่งตรงหน้าเขา สุนัขเสวี่ยหลงซาระวังตัวขึ้นมา แยกเขี้ยวใส่นางอย่างน่ากลัว
เมื่อรุกถอยยากทั้งสองทาง นางจึงถูกบีบให้เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม
บนใบหน้าของเขาฉายรังสีอำมหิตวาบผ่านเพียงพริบตาแล้วหายไป
เขาพลิกมือไปกระชากถอดเสื้อผ้าที่ด้านหลังขาดรุ่งริ่งตัวนั้นออกจากแขน เผยให้เห็นแผ่นอกกว้าง บนตัวนอกจากรอยแส้ใหม่ที่เห็นได้เลยชัดเจนแล้ว ยังเห็นแผลเก่ารางๆ อีกจำนวนไม่น้อย
“สี…อิ๋น”
“ยะ…อยู่…อยู่เจ้าค่ะ…”
เขาไม่ใส่ใจความชักช้าของนาง จัดแขนเสื้อพลางเอ่ยปาก ในคำพูดคล้ายแฝงความเสียดายไว้เล็กน้อย
“ถ้าเจ้ารู้หนังสือ คืนนี้คงจะจบชีวิตของข้าได้จริงๆ” พูดจบก็รวบแขนเสื้อเป็นก้อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วหยิบขวดหยกเขียวอีกใบหนึ่งขึ้นมายื่นให้นาง
สีอิ๋นนั่งตะลึงอยู่บนพื้นไม่กล้ายื่นมือไปรับ
“ง่ายมาก จุดใดหนังเปิดเห็นเนื้อก็เทลงไปตรงนั้น”
เมื่อพูดจบก็ไม่รอให้นางตั้งสติได้ เขาวางขวดหยกใบนั้นลงบนพื้นตรงหน้านางแล้ว ก่อนจะยืดตัวก้มหน้ากัดแขนเสื้อ เอียงตัวจับโต๊ะด้านข้างแล้วหมอบลง เปิดแผ่นหลังที่เลือดไหลเนื้อแตกแยกกันไม่ชัดเจนต่อหน้านาง ปากก็พูดเสียงอู้อี้
“ลงมือ”
สุนัขที่มุมห้องส่งเสียงเห่าทีหนึ่ง สีอิ๋นตกใจถือขวดหยกคลานอย่างลนลานก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วมาหลบที่ข้างกายจางตั๋วทันที
ผิวเนื้อเปลือยเปล่าพลันแนบชิดกันโดยไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ส่งเสียงใด
จางตั๋วรออยู่นานมาก สุดท้ายบนแผ่นหลังก็มีความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่คาดไว้ กอปรกับความเย็นราวคมดาบหิมะกรีดผิวเป็นพักๆ ทำให้เขามีเหงื่อผุดที่หน้าผาก ลำคอ เอว และท้อง ถึงเขาจะพยายามควบคุมอย่างไร แต่กระดูกก็ยังคงลั่น เนื้อเต้นอย่างห้ามไม่อยู่
สีอิ๋นเห็นข้อนิ้วของชายหนุ่มที่จับโต๊ะแน่นเสียจนขาวซีดก็รู้ว่าเวลานี้เขาเจ็บปวดอย่างยิ่ง นางจึงยกขวดหยกขึ้น ทำอะไรไม่ถูก “เจ็บ…หรือ”
เขาไม่ได้ส่งเสียงใด เพียงแค่ส่ายหน้า
นางรู้สึกจนปัญญา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงโน้มตัวลงข้างกายเขาอย่างระมัดระวัง พยายามเป่าลมไปที่บาดแผลเบาๆ
บนผิวที่อ่อนเยาว์และแตกเละค่อยๆ มีเหงื่อเม็ดเล็กผุดออกมา
สีอิ๋นในชาตินี้เคยเห็นคนตระกูลสูงศักดิ์ที่เปลือยกายตามอำเภอใจหลังเมาสุรามามาก แต่ไม่เคยเห็นร่างกายแข็งแกร่งที่ปฏิเสธความปรารถนาอันไม่เหมาะควรทั้งปวงเช่นนี้มาก่อน
“ดีขึ้นบ้างหรือไม่”
เขาส่งเสียงอืมอู้อี้ คายแขนเสื้อออกจากปากแล้วกลับมานั่งขัดสมาธิอีกครั้ง
“เหตุใด…จึงถูกลงทัณฑ์โบยแส้หนักเช่นนี้”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
เป็นเพราะนางพูดกับตนเองเสียงจึงเบามาก เดิมทีคิดว่าเขาไม่ได้ยิน ใครจะรู้ว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นจะสบประสานเข้ากับสายตาเย็นเยือกของชายหนุ่ม
“ปะ…เปล่าเจ้าค่ะ…”
“อยู่ที่จวนของข้า มีวิธีนับร้อยทำให้คนพูดความจริง”
นางกลืนน้ำลายหนึ่งอึกอยู่ข้างหลังเขา “คุณชาย…เป็นใต้เท้าราชเลขาธิการ ใคร…ใครกันที่สามารถทำให้คุณชายรับโทษหนักเช่นนี้ได้”
จางตั๋วหันมองบาดแผลบนไหล่ที่ได้รับการใส่ยาแล้วปราดหนึ่ง มุมปากยิ้มเยาะตนเองเล็กน้อย “ไม่มีอะไรนอกจากฮ่องเต้กับขุนนาง พ่อกับลูก นี่ไม่ใช่การลงอาญา เป็นการลงโทษตามกฎบ้าน”
สีอิ๋นตกใจ เดิมทีนางไม่ได้คาดหวังว่าจางตั๋วจะเอ่ยตอบ ใครจะคิดว่าเขากลับกล่าวถึงจุดที่เป็นความลับออกมาอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก