แม้ว่านางจะไม่เคยพบกับราชเลขาธิการที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้นี้มาก่อน แต่นางเคยได้ยินพี่ชายเล่าว่าสกุลจางมีต้นกำเนิดมาจากเหอเน่ย บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก มีรากฐานที่แข็งแกร่ง ครอบครัวมีความรู้ลึกซึ้ง นอกจากจางตั๋วแล้ว จางซีบิดาของเขามีตำแหน่งต้าซือหม่า ดูแลงานราชสำนักหลายปี ในราชสำนักปีรัชศกซิงชิ่งแทบจะอยู่ใต้แผ่นฟ้าของสองพ่อลูกคู่นี้ แต่ลักษณะนิสัยและความซื่อสัตย์ของสองคนนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จางซีสืบทอดตระกูลด้วยหลักลัทธิข่งจื่อ ตัวเขาเองยังศึกษาอภิปรัชญาอีกด้วย แส้จามรีไม่เคยห่างมือ ถนัดการเสวนาหลักปรัชญา เมื่อไรก็ตามที่เปิดการเสวนาหลักปรัชญาในจวน คนดังในเมืองลั่วหยางจะแห่กันมาหาเขา แต่จางตั๋วบุตรชายคนโตของเขากลับถูกเหล่าขุนนางราชสำนักในเวลานั้นมองว่าเป็นขุนนางผู้เหี้ยมโหด
รัชศกซิงชิ่งปีที่สอง เฉินวั่งที่ดำรงตำแหน่งราชเลขาธิการในเวลานั้นก้าวล่วงบารมีเจ้าแผ่นดิน ลอบซ่องสุมกำลังส่วนตัว หลังจากเข้าคุกได้ถูกจางตั๋วสอบสวนเจอความผิดร้ายแรงในการคิดก่อกบฏ
คดีใหญ่ในปีนั้นดำเนินคดีโดยศาลยุติธรรมนานกว่าครึ่งปีภายใต้การคานอำนาจของกองกำลังในเขตตงจวิ้นและเขตเหอเน่ยสองฝ่าย สุดท้ายในปีต่อมาสกุลเฉินในเขตตงจวิ้นก็ถูกฆ่าล้างตระกูล สามร้อยชีวิตในตระกูลล้วนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของจางตั๋ว มีข่าวลือว่าตอนที่เฉินวั่งจะถูกประหาร ขาของเขาหักทั้งสองข้าง ปากและลิ้นถูกถ่านไฟนาบจนไหม้ดำ ก่อนตายเขาส่งเสียงไม่ออกแม้แต่คำเดียว ทำได้เพียงจ้องมองอย่างเคืองแค้นไปทางจางตั๋วที่มากำกับดูแลการประหารชีวิต แม้แต่ตอนที่ร่างกายถูกฟันเป็นสองท่อน เขายังคงเบิกตาโต ตายตาไม่หลับ
หลังจากเฉินวั่งตาย คนในตระกูลก็ถูกสังหารจนหมดโดยไม่มีผู้ใดเก็บศพให้เลย
สุดท้ายในเมืองลั่วหยาง จางซีจัดวางโลงศพให้เฉินวั่งแล้วคุมตัวจางตั๋วมาคุกเข่าต่อหน้าป้ายวิญญาณของเฉินวั่งด้วยตนเอง ร้องไห้อย่างขมขื่นต่อหน้าโลงศพ ดุด่าจางตั๋วที่ ‘โหดร้ายอย่างไร้ขีดจำกัด’ และใช้แส้โบยเขาอย่างหนัก จนกระทั่งเขากระอักเลือดต่อหน้าป้ายวิญญาณจึงยอมหยุด
คำตำหนิดุด่าและการลงแส้ครั้งนี้สร้างชื่อเสียงให้จางซีในฐานะ ‘เสนาบดีที่ดี’ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นการครอบฐานะ ‘ขุนนางผู้โหดร้าย’ ไว้บนศีรษะของบุตรชายตนเองกับมืออีกด้วย การกระทำเช่นนี้ไม่เหมือนการกระทำของคนเป็นบิดาจริงๆ
ไม่แปลกที่มีข่าวลือในหมู่ชาวเมืองว่าจางตั๋วไม่ใช่บุตรชายแท้ๆ ของจางซี แต่เป็นบุตรชายของสวีหวั่นอนุภรรยาของจางซีกับอดีตสามีของนาง เนื่องจากตอนเด็กถูกวิจารณ์ว่ามีชะตา ‘พิฆาตบิดา’ จึงถูกสวีหวั่นทิ้งไว้กลางตลาด ตอนอายุได้สิบขวบถูกสกุลจางรับตัวกลับมาแล้วประกาศกับภายนอกว่าเป็นบุตรชายคนโตของสกุลจางที่พลัดพรากกันไปนาน
ผู้คนที่อยู่ในวังวนของข่าวลือต่างแต่งเสริมความลับที่รู้มาไม่มากก็น้อย พี่ชายของสีอิ๋นเคยเล่าเรื่องผ่านๆ ประหนึ่งห่านป่าตกใจโฉบผ่านน้ำ สีอิ๋นก็ฟังไว้แต่ใช่ว่าจะเข้าใจทุกคำหรือเชื่อทุกประโยค
ตอนนี้เขานั่งอยู่ตรงหน้านาง ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดไหลอาบ นางจึงต้องเผชิญกับข่าวลือที่เดิมทีอยู่ห่างไกลนางอย่างยิ่งเหล่านั้น
“ไปหยิบเสื้อหนึ่งตัวจากในหีบทางนั้นมา”
เสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันดึงความคิดของสีอิ๋นกลับมา
“ไม่ได้ยินหรือ”
เสียงของจางตั๋วหลังจากเขาค่อยๆ ปรับลมหายใจได้แล้วนั้นกลับมาเย็นชาดังเดิม ทำให้นางไหล่สั่น รีบลุกยืนไปทำตามคำสั่ง
ด้วยกลัวว่าจะหยิบของผิดอีก ตอนที่เปิดหีบนางจึงหันมาถามเขาอย่างลังเลว่า “ตัวใดหรือ…”
จางตั๋วโบกมือ กวาดมองร่างกายท่อนล่างของนางปราดหนึ่ง “ให้เจ้า เจ้าเลือกเองเถอะ”
นางอายจนหน้าแดงก่ำทันที ก้มหน้าลงแล้วพลิกหาในหีบอย่างว้าวุ่น
เสื้อของชายหนุ่มหลวมกว้างไปหมด ไม่ว่าจะหยิบตัวใดออกมาก็สามารถคลุมตัวของนางได้อย่างมิดชิด นางผูกสายรัดเอวอย่างระมัดระวัง ครั้นหมุนตัวกลับไปก็เห็นเขากำลังหลับตาปรับลมหายใจ นางจึงไม่กล้าส่งเสียง ทำได้เพียงสวมเสื้อตัวโคร่งเดินไปซุกตัวอยู่ในมุมตรงข้ามกับสุนัขเสวี่ยหลงซา กอดเข่านั่งเงียบๆ จ้องมองเขี้ยวในปากสุนัขที่ปรากฏให้เห็นเป็นบางเวลาอย่างกังวลใจ