หลังจากหิมะยามค่ำคืนพ้นผ่านฟ้าก็สดใส บนถนนถงถัวมีเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่กำลังเล่นหิมะวิ่งผ่านไป เสียงหัวเราะเริงร่าลอดผ่านประตูเข้ามา ทำให้ดอกไม้ฤดูหนาวที่เหลือเพียงไม่กี่ดอกในป่าต้นอวี๋กับต้นหยางร่วงหล่น
ประตูเรือนชิงถานถูกผลักเปิด สุนัขเสวี่ยหลงซาวิ่งออกมาอย่างร่าเริง ย่ำลงไปบนพื้นหิมะกลางลาน มันกระโจนไปมาจนเกิดหิมะกระจายขึ้นเป็นหย่อมๆ บ่าวชราที่กวาดหิมะอยู่หน้าประตูวางไม้กวาดลง ก่อนจะหยิบเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งออกมาจากใต้แขนเสื้อแล้วเรียกมันมากิน
สุนัขตัวนั้นวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ เงยหน้ากำลังจะอ้าปาก ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าหน้าประตูจึงหดคอกลับ ถอยหลังไปหลายก้าวแล้วนั่งลงข้างหลังบ่าวชรา
บ่าวชรายืดตัวขึ้นพลางมองไปทางประตู ข้างต้นอวี๋ที่มีหิมะเกาะ “คุณชาย”
จางตั๋วที่รวบสาบเสื้อด้วยมือข้างเดียวเดินลงมาจากบันไดหิน “อืม”
“จ้าวเชียนแห่งกองทัพกลางมาขอรับ”
“อยู่ที่ใด”
“เจียงหลิงนำเขาไปนั่งรอที่เรือนตะวันตกแล้วขอรับ”
“เขามาคนเดียวหรือ”
“ขอรับ แต่บ่าวเห็นเขาพกโซ่ตรวนติดตัวมาด้วย”
พอคำพูดนี้เอ่ยออกมาก็มีเสียงปัดถ้วยตกดังมาจากหลังประตูทันใด ตามมาด้วยเสียงสวบสาบของผ้าที่เสียดสีพื้นอีกระลอก จางตั๋วหมุนตัวกลับ คนข้างในดูเหมือนจะรู้ว่าทำความผิด จึงหยุดทำเสียงดังทุกอย่างทันที
จางตั๋วเงยหน้าขึ้น พูดเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าให้เจ้ามีชีวิตสิบวัน วันนี้เป็นวันแรก เจ้าจะกลัวอะไร”
คนข้างในไม่กล้าส่งเสียงขานรับ
บ่าวชราถือไม้กวาดมองไปข้างหลังจางตั๋วปราดหนึ่งแล้วพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “เป็นหญิงสาวคนหนึ่งกระมัง”
จางตั๋วไม่ได้หันหน้ามา “ไม่ใช่ เป็นคนครึ่งผี”
บ่าวชราก้มหน้าหัวเราะ “ครึ่งผีก็ยังดี อย่างน้อยยังเป็นคนต่อหน้าคุณชายได้สิบวัน ถ้านายท่านรู้ว่าท่านยอมให้ใครคนหนึ่งอยู่ข้างกาย จะต้องสบายใจแน่นอน”
รอบด้านเงียบสงัดลมพัดโชย ดอกเหมยสีขาวกลีบหนึ่งตกลงบนไหล่ของจางตั๋ว เพียงครู่เดียวก็ถูกลมพัดหล่น ปลิวไปตามบันไดหิน แล้วตกลงบนใบหน้าของเจ้าสุนัขที่ส่วนชื้นเหนอะตรงปลายจมูก มันรู้สึกคันจึงลุกยืนอย่างงุนงง แลบลิ้นยาวอยากจะเลียมันลงมา ใครจะรู้ว่าเลียไปไม่กี่ทีกลับจามจนสั่นไปทั้งตัว
จางตั๋วมองมันปราดหนึ่ง มันจึงรีบขยับไปอยู่ข้างหลังบ่าวชราอย่างเรียบร้อยอีกครั้ง
“ข้าปฏิบัติตัวเป็นอย่างไรบ้าง”
เขามองสุนัขตัวนั้น แต่คำพูดเอ่ยกับบ่าวชรา
“คุณชายย่อมมีเหตุผลของคุณชายเอง”
“โกหก”
“บ่าวไม่กล้าพูดโกหก”
เขาส่งเสียงหัวเราะทันใด ช้อนตาขึ้นเรียกชื่อจริงของบ่าวชรา
“เจียงชิ่น เจ้าไม่ได้ทำผิดต่อท่านพ่อข้า และไม่ได้ทำผิดต่อข้า ข้ารับพวกเจ้าพ่อลูกเอาไว้เพราะไม่อยากให้สหายเก่าของท่านพ่อต้องเร่ร่อนกลางถนน ข้าเห็นพวกเจ้าเป็นแขก แต่พวกเจ้าอยากเป็นบ่าวเอง ข้าก็พูดอะไรไม่ได้ แต่ในเมื่อจะเป็นบ่าวก็ต้องอยู่ในกฎระเบียบของข้า อย่าปฏิบัติต่อข้าด้วยท่าทีของผู้อาวุโส สิ่งที่สมควรพูดก็พูด ไม่สมควรพูดเจ้าก็ต้องระวังให้มาก” เขาพูดจบก็ปิดประตูเรือนชิงถาน ยกเท้าเดินไปยังลานชั้นนอกแล้วเอ่ยว่า “หาน้ำและอาหารจำนวนหนึ่ง ให้คนยื่นส่งเข้าไปทางหน้าต่างทิศตะวันตก หลับตาอย่ามองนาง นางไม่สะดวกจะให้ใครเห็น อีกอย่างบอกผิงเซวียนว่าสิบวันนี้ไม่ต้องเข้าไปเก็บกวาด”
พูดจบเขาก็เดินอ้อมผ่านกำแพงตะวันตกไปแล้ว
สุนัขเสวี่ยหลงซาที่อยู่ข้างเท้าของบ่าวชราลุกขึ้นมาราวกับถูกปลดปล่อยและส่ายหางให้บ่าวชรา
บ่าวชรามองดูแผ่นหลังของจางตั๋วและถอนหายใจเงียบๆ โค้งตัวลงลูบหัวของสุนัขตัวนั้น แล้วยื่นเนื้อแห้งไปที่ข้างปากของมัน
“เอ้า กินสิ”