จางตั๋วเงยหน้าขึ้น พระจันทร์เย็นเยือกเหนือศีรษะอาบเลือด เมฆเคลื่อนตัวออกไป ดวงดาวบนท้องฟ้าคล้อยต่ำ เขายกแขนที่บาดเจ็บขึ้นแล้วดื่มสุราในชามรวดเดียวจนหมด
‘เลื่อมใสความบริสุทธิ์สูงส่ง แต่กลับมีชาติกำเนิดต่ำต้อย สวรรค์ไร้ประตู จึงมาลองทะลวงทางตายที่ไปสู่สวรรค์เส้นนี้’
จ้าวเชียนไม่เข้าใจไปชั่วขณะ ‘หมายความว่าอย่างไร เจ้าเป็นบุตรชายคนโตของต้าซือหม่า อะไรเรียกว่าตัวเองต่ำต้อย’
จางตั๋วส่ายหน้าไม่พูดจา นอนหนุนศพศพหนึ่ง ยกสองขาไขว้กันในท่าสบายๆ ‘เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครบริสุทธิ์สูงส่งที่สุด’
จ้าวเชียนนอนลงข้างเขา บาดแผลทั่วกายคลายความเจ็บลงไปหมด ฤทธิ์สุราพุ่งขึ้นหัว ล่องลอยราวจะเป็นเทพเซียน ‘ใครบริสุทธิ์สูงส่งที่สุดหรือ…’
‘คนที่เป็นเจ้าแผ่นดินบริสุทธิ์สูงส่งที่สุด’
‘หึ คำพูดบ้าบออะไร เจ้าเมาแล้วกระมัง’ พูดจบจ้าวเชียนก็ทนความเหนื่อยล้าไม่ไหวจึงหลับตาลง
คนข้างกายดูเหมือนจะอธิบายอะไรสักประโยค แต่เขาเหนื่อยล้าเหลือเกินจึงสะลึมสะลือหลับไป ไม่ได้ฟังชัดเจน
พอคิดถึงตรงนี้จ้าวเชียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจิตใจว้าวุ่น เขามองไปที่จางตั๋วอีกครั้ง หัวไหล่ของอีกฝ่ายสั่นเทาเล็กน้อยเหมือนพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง
จ้าวเชียนเกาศีรษะ เขาคิดว่าสองคนที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินนี้ ด้วยฐานะก็ดี สถานการณ์ที่เป็นอยู่ก็ดี ทั้งที่ต่างไม่ยินดีรับความเห็นอกเห็นใจ ดังนั้นความว้าวุ่นดื้อรั้นของหญิงคนนี้เหตุใดจึงสะกิดไฟโทสะของจางตั๋วได้
จ้าวเชียนกำลังลังเลว่าจะเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ดีหรือไม่ ทางบ่าวชราก็นำเสื้อผ้ากลับมาแล้วโน้มตัวยื่นไปตรงหน้าจางตั๋ว
เสื้อแขนกว้างพื้นขาวปักลายดอกบัว ซับในสีขาวนวล กระโปรงจีบสีขาวนวลสลับแดง และมีบังทรงสีขาวนวลอีกหนึ่งชิ้น
จางตั๋วไม่ได้มองอาภรณ์เหล่านั้น เขายื่นมือข้างหนึ่งไปหยิบแล้วโยนใส่ตัวสีอิ๋นโดยที่นางก็ไม่มีทีท่าจะหลบเลี่ยง
เหล่าสาวใช้ในลานเรือนต่างเข้าใจความหมาย มองตากันครู่หนึ่งก็วางงานในมือ เดินตามบ่าวชราออกไป
สีอิ๋นถูกแขนเสื้อใหญ่คลุมศีรษะจนมองไม่เห็นรอบข้าง ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าสวบสาบถอยออกไปด้านนอก หลังจากนั้นไม่นานรอบข้างก็เงียบสงบ ตอนนี้นางจึงลอบโผล่ดวงตาออกมาหนึ่งข้าง กำลังจะเอื้อมมือไปปลดสายรัดเอว ใครจะคิดว่ากลับประสานกับสายตาราวดาบเย็นเยือกของเขา มือของนางแข็งค้างโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็คิดได้ว่าเขาเห็นนางเป็นหญิงคณิกาแล้ว ไม่มีทางให้ความเคารพต่อนางแม้แต่น้อย ตอนนี้หากดึงดันต่อไปเกรงว่าคงไม่ได้สวมเสื้อผ้าชุดนี้แน่นอน
สีอิ๋นกำลังจะยอมรับชะตากรรม อดทนต่อความอับอายถอดเสื้อผ้าออก กลับเห็นนอกประตูยังมีคนที่นางไม่รู้จักยืนอยู่อย่างเปิดเผย
เมื่อครู่นางตื่นตระหนกเกินไปจึงมองเห็นไม่ชัดเจน ยามนี้นางจ้องมองไปก็เห็นว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง มือที่กระตุกสายรัดเอวจึงหดกลับอย่างเขินอาย
จางตั๋วเห็นนางกลัว แต่ไม่เหมือนกำลังกลัวเขาอยู่ จึงหันหน้าไปตามสายตาของนาง เห็นจ้าวเชียนที่ถอยไปอยู่หน้าประตูเวลานี้กำลังจ้องมองสีอิ๋นที่อยู่ใต้ต้นเหมยแคระ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างเย็นชา
“เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นสถานที่ใด”
ยังมีอะไรทำให้คนรู้สึกสมเพชได้ยิ่งกว่าการดิ้นรนในสถานการณ์คับขันของสตรี
จ้าวเชียนมองจนอึ้งงันไปชั่วขณะ ได้ยินเสียงของจางตั๋วจึงยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วเอ่ยตอบเสียงอู้อี้ว่า “ข้าไม่ได้…”
“ออกไป”
“ไม่ใช่ ข้าแค่ยืนอยู่ข้างนอก อีกอย่างสิ่งที่ข้าไม่ควรดู แล้วเจ้าเหตุใดจึงดูอยู่ที่นี่! เจ้า…”
เขายังพูดไม่ทันจบประตูก็ถูกผลักปิดดัง ‘ปัง’ ทันที จ้าวเชียนไม่ทันรู้ตัว ถูกประตูกระแทกจมูกจนเลือดออกทันใด
เขารีบปิดจมูก แยกเขี้ยวเอ่ยว่า “จางทุ่ยหาน! เจ้าจำไว้นะ!”
เสียงตะคอกนี้ดังมาก แต่ไม่มีเสียงตอบรับแม้แต่น้อย
จ้าวเชียนรู้สึกจนปัญญา มือหนึ่งปิดจมูก มือหนึ่งรับผ้าแพรที่สาวใช้ด้านข้างยื่นมาให้ บิดเป็นสองปมแล้วอุดรูจมูกไว้ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก เดินไปพลางพูดบ่นด้วยเสียงประหลาด
“ยังบอกว่าจะฆ่านางอีก ข้าว่าเจ้าอยากจะฆ่าข้ามากกว่า!”
เถาดอกไม้ต้นฤดูใบไม้ผลิที่บานพ้นกำแพงถูกแรงปิดประตูกระแทกจนร่วงหล่นกองใหญ่ พอลมพัดมาก็หอบมันลอยวนขึ้นอย่างเย็นเยือก
คำพูดของจ้าวเชียนประโยคสุดท้ายนี้ จางตั๋วได้ยินชัดเจน
เขาก้มหน้าลง หญิงผู้นั้นยังคงหอบเสื้อผ้าขดตัวอยู่ใต้ต้นไม้คล้ายกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ มีอยู่ชั่วครู่หนึ่งจางตั๋วเกิดความคิดอยากจะถอดเสื้อผ้านางออกแล้วโยนนางไปตรงหน้าเฉินจ้าว แต่หลังจากรู้ว่าตัวเองเสียการควบคุมเขาก็รู้สึกโกรธตัวเองอย่างยิ่ง
เคยชินกับการควบคุมตัวเองมาหลายปี จางตั๋วไม่ชอบอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุเช่นนี้
สิบกว่าปีก่อนเขาอาศัยการควบคุมจิตใจเช่นนี้พาตัวเองออกมาจากป่าช้า คนที่ร่วมต่อสู้ฝ่าฟันกับเขาบ้างก็เป็นบ้า บ้างก็ตาย มีเพียงเขาเปลือยร่างที่เนื้อหนังท่วมเลือด หอบเอาดวงใจที่บาดเจ็บนับไม่ถ้วน มีชีวิตรอดกลับมาได้ ทุกวันนี้เขาตัดอารมณ์อันรุนแรงมานานมากแล้ว ถึงขั้นรู้สึกว่าราคะเป็นสัญญาณของความวุ่นวาย ไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนภายในจิตใจ ดังนั้นจึงตัดสตรีออกจากชีวิตของเขา