ขอเพียงห่างไกลจากสรรพสิ่งที่มีอารมณ์ความรู้สึก ก็จะไม่มีอารมณ์หวั่นไหว ไม่ออมมือให้ใคร
แต่ ‘ความหวาดกลัว’ ของหญิงผู้นี้ เขาดูเหมือนจะคุ้นเคยเล็กน้อย แต่จุดใดกันแน่ที่ทำให้คุ้นเคย เขากลับบอกไม่ได้
การจนคำพูดอย่างไร้สาเหตุทำให้จางตั๋วไม่สบายใจนัก
เขาตัดสินใจไม่มองนางอีก หมุนตัวเดินเข้าไปในเรือนชิงถาน สายตาจับจ้องไปที่รูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอินแล้วพูดอย่างเย็นชา
“ใส่เสร็จแล้วลุกขึ้น”
“อย่าไป…”
เสียงที่แผ่วเบานั้นลอดเข้าไปในหูของจางตั๋ว
นางพูดอะไร
ต่อให้อยู่ต่อหน้ารูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอิน จางตั๋วยังคงรู้สึกว่าในสมองของตัวเองมีความว่างเปล่าแวบผ่านไปชั่วครู่ เขาหันไปตะคอก
“อย่าได้ยั่วยวนต่อหน้าข้าอีก!”
สีอิ๋นตกตะลึง จากนั้นก็ชี้นิ้วสั่นเทาไปทางสุนัขเสวี่ยหลงซาที่มุมกำแพงตัวนั้น พูดตะกุกตะกักอธิบายให้เขาฟัง “ท่านไม่อยู่มันจะกัดข้า…”
จางตั๋วเอี้ยวตัว สุนัขเสวี่ยหลงซาเดิมทียันเท้าหน้าขึ้นแล้ว พอประสานเข้ากับสายตาของชายหนุ่มก็หมอบลงไปอีกอย่างหวาดกลัว
เขารู้สึกขึ้นมาทันใดว่านางโง่จนน่าขัน จึงพูดเยาะว่า “สุนัขโง่กว่าคน เจ้ายังกลัว ยังกล้าเชื่อว่าข้าจะปกป้องเจ้าอีกหรือ”
นางไม่ได้เอ่ยตอบ คล้ายกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจจึงขดตัวไปอยู่ด้านหลังต้นเหมยแคระ แกะสายรัดเอวออกอย่างวุ่นวายแล้วเอาชุดเสื้อแขนกว้างมาห่อหุ้มตัว จากนั้นก็แอบเหลือบมองสุนัข แล้วเหลือบมองจางตั๋วอยู่บ่อยครั้ง
ลำต้นของต้นเหมยแคระไม่ใหญ่นัก ไม่สามารถปิดบังนางได้ทั้งตัว
ลำแขนงาม ขาเรียวงาม หรือแม้แต่เนินอกงามคู่หนึ่งที่ปรากฏให้เห็นรางๆ ขยับไหวอยู่กลางลมหนาว
จางตั๋วชำเลืองมองแล้วเดินลงบันไดไปหนึ่งขั้นโดยไม่รู้ตัว พื้นรองเท้าเหยียบกิ่งไม้แห้งกิ่งหนึ่งจนหัก เกิดเสียงดัง ‘แกรก’ หญิงสาวที่อยู่หลังต้นเหมยแคระรีบหมุนตัวกลับมา กอดลำต้นพยายามซ่อนร่างตัวเองเอาไว้
“อย่าไป ข้า…จะใส่แล้ว”
“ไม่ได้ไป” เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งจึงพูดคำนี้กับนาง
สีอิ๋นราวกับถูกปลดปล่อย รีบตั้งใจจัดการกับความยุ่งเหยิงบนร่างกาย
จางตั๋วพลิกชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลงบนขั้นบันได ยกแส้เรียกสุนัขเสวี่ยหลงซาให้มาหา
เจ้าสุนัขนอนหมอบข้างเท้าของเขาอย่างเชื่อฟังโดยไม่กล้าขยับ เขานั่งบนบันไดลูบหัวสุนัขอย่างสบายใจ ด้านหนึ่งก็มองไปยังเงาด้านหลังต้นเหมยแคระ
หลายวันก่อนนางยังแขวนตนเองไว้บนต้นไม้แคระต้นนี้โดยที่สวมเพียงเสื้อคลุม ถูกเขาฟาดแส้ลงบนเนื้ออยู่เลย วันนี้นางกลับอยู่ใต้ต้นไม้สวมเสื้อผ้ามิดชิด คาดสายรัดเอว สวมรองเท้า รวบผมยาว…
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงนึกถึงบททานบารมีไร้ที่สิ้นสุดในภาคที่หนึ่งของ ‘คัมภีร์รวมบารมีหก’ ตอนพระโพธิสัตว์เฉือนเนื้อให้อินทรี เขาดึงสติคืนมาทันใด รู้สึกว่าแผ่นหลังเปียกชื้นเล็กน้อย
โชคดีที่ในที่สุดสีอิ๋นก็คาดสายรัดเอวเสร็จแล้ว นางประคองตัวกับลำต้นยืนขึ้นมา ครั้นเห็นสุนัขเสวี่ยหลงซาหมอบอยู่ข้างขาของเขาก็ไม่กล้าเดินขึ้นหน้า
“ขอบคุณคุณชายที่มอบ…เสื้อผ้าให้”
จางตั๋วเงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงเข้มว่า “พอจะเป็นผ้าห่อศพได้”
นางได้ยินดังนั้นก็เม้มริมฝีปากไม่ได้ส่งเสียงตอบ
“ไม่อยากขอร้องอะไรข้าบ้างหรือ”
“คุณชายจะทำอะไรข้าก็ได้ ข้าทนรับได้ แต่พี่ชายไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาเป็นคนที่มีหน้ามีตา ข้าขอร้องท่าน อย่าหมิ่นเกียรติเขาได้หรือไม่”
จางตั๋วหัวเราะ “ก็ไม่โง่ เดาถูกกว่าครึ่ง”
“คุณชายจะทำอะไรพี่ชายหรือ!”
“บังอาจ!”
นางห่อไหล่ทันที พูดเสียงอ่อนลงว่า “ขอร้องท่านล่ะ…”
จางตั๋วใช้ด้ามแส้เชยปลายคางของนางขึ้นมา “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ขอร้องคนอื่นไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย ถ้าให้ข้าเห็นท่าทางเช่นนี้ของเจ้าอีก ข้าจะให้เจ้าตายเสียดีกว่าอยู่” พอพูดจบเขาก็ผ่อนแรงปัดใบหน้านางแล้วพูดกับคนนอกประตูว่า “เจียงชิ่น มัดแล้วนำตัวไปที่เรือนตะวันตก ให้เวลาพวกเขาหนึ่งก้านธูป”