บทที่ 3
ข้อตกลงของเจ้าบ่าวป้ายแดง
“เป็นอะไรของมึงวะพฤกษ์ นั่งหน้าหงิกอยู่ได้ วันนี้ก็ไม่มีเคสผ่านี่หว่า”
ศิรวิทย์ถามเมื่อเห็นว่าพฤกษ์หน้าขมึงทึงมาตั้งแต่เช้าจนเที่ยง จะว่าไปพฤกษ์ก็หน้าหงิกเป็นปกติอยู่แล้ว แต่จะทำเฉยไม่ถามเลยก็กระไรอยู่ ดังนั้นเพราะความไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก หมอหนุ่มถามเสร็จจึงยกแก้วน้ำที่เหลือแค่น้ำแข็งกรอกใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างสบายอารมณ์ ดูท่าทางไม่ทุกข์ร้อนกับความทุกข์ที่ฉายชัดบนใบหน้าเพื่อนเท่าใดนัก
พฤกษ์ได้แต่เหลือบตามองคนถามแล้วกลับมาทำหน้ายุ่งดังเดิม
ไม่ให้หน้าหงิกได้อย่างไรไหว พริ้มเพรายึดครองฐานที่มั่นของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อุตส่าห์หนีออกมาจากแม่ได้ ยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก
‘ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ก็เราเป็นสามีภรรยากัน’
คำพูดนั้นก้องอยู่ในหูจนพานทำให้เขาหลอนไปแล้ว
“อ้าว! เงียบ ตกลงไม่เป็นไรใช่มะ”
“หงุดหงิดเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับคนไข้หรอก”
“เมียบ่นล่ะสิท่า เพิ่งแต่งงานแท้ๆ แต่ยังมาทำงานทุกวันแถมรับอยู่เวรเต็มเวลาอีก เมื่อเช้าเจอ ผอ. แกยังพูดอยู่เลยว่าหมอพฤกษ์ไม่ยักลางานไปฮันนีมูน”
“ไอ้ศิ มึงอย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย มึงก็รู้ว่ากูแต่งงานเพราะอะไร”
“เพราะเหตุผลทางธุรกิจ ละค้อนละคร” นายแพทย์ศิรวิทย์หัวเราะ แต่เพราะสายตาดุๆ ของเพื่อนที่มองมาทำให้เขาต้องรีบกลืนเสียงหัวเราะลงกระเพาะตามน้ำแข็งไปโดยเร็ว
พฤกษ์ที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วเป็นทุนเดิมยิ่งอารมณ์เสียมากไปอีก
“มึงจะเครียดอะไรวะพฤกษ์ ตอนแรกกูก็คิดว่ามึงจะแต่งงานกับยักษ์กับมารที่ไหนถึงได้ดูเครียดนัก ที่ไหนได้…เจ้าสาวสวยอย่างกับนางฟ้านางสวรรค์ เป็นกู กูจุดพลุฉลองสิบวันสิบคืนเลย”
“เหอะ! ฉลองเหรอ ต้องไปรดน้ำมนต์ล้างซวยล่ะไม่ว่า”
“มึงก็เกินไปพฤกษ์ น้องเขาก็สวยน่ารักดีนี่ แถมยังเป็นทายาทตระกูลผู้ดีเก่า เรียนสูง หน้าที่การงานก็ดี ไม่มีผู้หญิงที่ไหนจะเพียบพร้อมขนาดนี้อีกแล้ว”
“แล้วถ้ามึงรู้…ว่าผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งรวยคนนั้นเป็นผีดิบล่ะ มึงยังจะชอบเขาลงมั้ย”
“เฮ้ย! บ้า พูดจริงเหรอ”
พฤกษ์อยากจะหัวเราะให้กับสีหน้าของศิรวิทย์ แต่เวลาแบบนี้มันกลับทำให้เขาหัวเสียแทนเมื่อเพื่อนดันเชื่อในสิ่งที่เขาพูดง่ายๆ
“กูก็ว่าแล้ว ผู้หญิงบ้าอะไรจะสวยไปหมดทุกตารางนิ้วขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นอมตะเหรอวะเนี่ย”
“ไอ้ศิ! นี่มึงกวนตีนกูหรือว่าอะไรวะ ฮะ?!”
“อ้าว! ไม่ใช่เรื่องจริงเหรอ”
“มึงเป็นหมอภาษาอะไรวะ เชื่อเรื่องแบบนี้”
“เอ้า! นี่มึงโกหกกูเหรอ”
“กูไม่ได้โกหก กูแค่เปรียบเปรย มึงเข้าใจมั้ย กูแค่เปรียบ พริ้มเพราสวย กูไม่เถียง แต่เขาไม่มีความรู้สึก แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ เหมือนหุ่นยนต์ถูกใส่โปรแกรมให้ทำตามยายของเขาทุกอย่าง ไม่มีความคิด ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีเสน่ห์” พฤกษ์พรั่งพรูทุกความรู้สึกที่คับแน่นอยู่ในอกออกมา
“แต่มึงเป็นคนเดินไปขอเขาแต่งงานเองไม่ใช่เหรอวะ”
“ก็ใช่”
“มึงก็ต้องรับผิดชอบสิ”
พฤกษ์ดึงมุมปากเป็นเส้นตรง กลอกตาให้กับคำพูดอันไร้สาระของเพื่อน
“มึงคิดว่ากูเป็นคนดีขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ไม่คิด” ศิรวิทย์ตอบแบบไม่ต้องใช้เวลานึกเลย “อย่าเรียกว่าคนไม่ดีเลย เรียกว่าโคตรเลวชาติเลยดีกว่า”
พูดจบฝ่ามือของคน ‘เลวชาติ’ ก็เคลื่อนมาด้วยความเร็วกว่าแสงหมายจะปะทะศีรษะเพื่อนหมอด้วยกัน แต่ด้วยประสบการณ์ทำให้ศิรวิทย์หลบได้ทันแบบหวุดหวิด
“เกินไปไอ้ศิ ยังโว้ย! กูยังไม่เลวถึงขั้นนั้น แต่ถ้ามันจำเป็นจะต้องเลว ก็คงต้องเลว”
“โอ้โห มึงนี่สุดยอดคนจริงๆ ว่ะ จะอะไรนักวะกับผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียว น้องเขาน่ารักน่าทะนุถนอมจะตายไป”
“น่ากลัวล่ะไม่ว่า”
ศิรวิทย์ขำสีหน้าหวั่นวิตกของเพื่อน คนอย่างพฤกษ์ที่ไม่เคยมีคำว่า ‘กลัว’ อยู่ในพจนานุกรม กลับมาบอกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างพริ้มเพราน่ากลัว
หมอหนุ่มเป็นเพื่อนสนิทกับพฤกษ์มาตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีแรกจึงกล้าพูดว่าตนรู้จักพฤกษ์ดียิ่งกว่าพฤกษ์รู้จักตัวเองด้วยซ้ำ
อุปนิสัยของพฤกษ์แตกต่างจากนักศึกษาแพทย์ทั่วไป ค่อนข้างดิบเถื่อน ห้าวหาญกว่าคนอื่นๆ อย่างเด่นชัด จนหลายคนคิดว่าพฤกษ์เป็นเด็กมาจากบ้านป่าเมืองเถื่อน เรียกได้ว่าทั้งภาควิชาคาดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มตัวสูงร้อยแปดสิบเศษ พูดจาถ่อยๆ ทำตัวสถุลอย่างหมอนี่จะเป็นทายาทเศรษฐีระดับต้นๆ ของประเทศ
ที่ศิรวิทย์กล้าพูดว่าพฤกษ์เป็นคนเถื่อนก็เพราะวีรกรรมไล่ตีหัวชาวบ้านของมันนั่นแหละ
ครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสิบสี่ปีที่รู้จักกันมาที่พฤกษ์พูดคำว่า ‘กลัว’
คิดแล้วก็สะใจเป็นบ้า หลังจากที่ข่มให้คนอื่นหวาดกลัวมันมานาน ต้องกลายเป็นฝ่ายกลัวบ้างจะได้รู้สึกถึงหัวอกคนอื่นบ้างว่าเป็นอย่างไรเวลาถูกพฤกษ์ขู่บังคับสารพัดสารเพ ที่พูดมานี้เขาก็เป็นฝ่ายถูกกระทำมาก่อนเหมือนกัน
ภาพจำวันนั้นยังชัดเจนมาจนถึงทุกวันนี้ และอาจฝังแน่นในใจตลอดไป