“ช่างเถอะ” เขาบอกกับเธอเหมือนบอกกับตัวเองมากกว่า “คุยเรื่องของเราดีกว่า”
“ก็ได้ค่ะ แต่เอาขยะไปทิ้งก่อนดีมั้ยคะ”
ยังอีก ยังจะรักสะอาดอีก
พฤกษ์หงุดหงิดในใจ
“ไม่ต้อง ฉันคุยไม่นาน”
พริ้มเพราทำหน้ายุ่ง ขัดใจเล็กน้อย ทว่าก็ยอมโดยดี “ค่ะ มีอะไรก็ว่ามาสิคะ”
“ฉันไม่ต้องการให้เธอมาที่นี่อีก ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้สิคะ” พริ้มเพราตอบกลับทันควัน เธอเงยหน้ามองคนพูดซึ่งสูงกว่า แต่กลับพบสายตาของเจ้าของใบหน้าหล่อเหลากำลังมองมา ผมที่ชื้นเปียก กลิ่นสบู่อาบน้ำจากกายของเขา…รบกวนสมาธิของเธอจนต้องรีบตั้งสติใหม่อีกครั้ง “เราเป็นสามีภรรยา…”
“ลืมคำนี้ไปได้แล้ว เธอก็รู้ว่าเราสองคนไม่ได้เป็นผัวเมียกันจริงๆ”
“เข้าพิธีแต่งงาน คนรู้เห็นกันทั้งเมือง จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย ยังต้องมีอะไรมากกว่านี้อีกหรือคะถึงจะยืนยันได้ว่าเราเป็นสามีภรรยากันจริงๆ”
พฤกษ์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขารู้ว่าพริ้มเพราไม่ได้โง่ และเธอเข้าใจทุกอย่างดี แต่ในเมื่อเธอจะแกล้งโง่ ทำเป็นไม่ยอมรับว่าการแต่งงานของเขากับเธอมันก็แค่เรื่องการเมืองของครอบครัว เขาก็จะพูดให้ชัดๆ ให้เธอได้หายโง่
“ความรักไง ความรักที่คนเป็นผัวเมียต้องมีให้กัน ซึ่งเราไม่มี!”
“ก็แล้วมันยากนักหรือคะ ที่เราสองคนจะ…รักกัน”
พฤกษ์นิ่วหน้ามองพริ้มเพราด้วยสายตาไม่อยากเชื่อว่าคำพูดแบบนี้จะหลุดออกมาจากปากเธอ เหมือนรอบกายมีหมอกหนาบดบัง เหมือนพริ้มเพราคือภาพเลือนราง เป็นคนที่มาจากโลกใบไหนสักใบที่ไม่ใช่โลกใบเดียวกับเขา
“เธอคิดว่าอะไรๆ มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง การรักใครสักคนมันไม่ใช่แค่คิดว่าจะรักแล้วก็รักได้ เธอไม่เคยรักใครจะไปเข้าใจได้ยังไง”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วพี่หนึ่งรักใครล่ะคะ พี่หนึ่งถึงรักพริ้มไม่ได้ เพราะพี่หนึ่งมีคนที่ตัวเองรักอยู่แล้วใช่มั้ย” พริ้มเพราโพล่งออกไปอย่างเหลืออด อะไรกันที่ทำให้พฤกษ์มั่นใจหนักหนาว่าเธอรักใครไม่เป็น ว่าเธอเป็นคนไม่มีหัวใจ
เขาต่างหาก เขาต่างหากที่ไม่มีหัวใจ
สิ้นสุดคำถามของเธอ ทุกอย่างยังคงเงียบงัน พริ้มเพรามองพฤกษ์อย่างค้นคว้า นัยน์ตาฉายแววเจ็บปวด ยิ่งเขาไม่ตอบ…นั่นยิ่งยืนยันคำตอบได้เป็นอย่างดี
“พี่หนึ่งมีคนรักอยู่แล้ว”
“เธอไม่ต้องรู้หรอก”
พฤกษ์ทำหน้าเมื่อย เขาโยนผ้าเช็ดตัวพาดกับโต๊ะแล้วหันไปส่องกระจกดูความเรียบร้อยของตัวเอง ราวกับว่าจะตัดบทสนทนากับพริ้มเพราเพียงแค่นั้น
พริ้มเพราซึ่งยังไม่หายจากอาการตกใจจึงได้แต่ยืนมอง แปลกใจอะไรนักหรือ เธอน่าจะรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าพฤกษ์น่าจะมีคนรักอยู่ก่อน ครั้งแรกที่เขาตกลงเรื่องแต่งงาน เขาถึงถามว่าเธอมีคนรักอยู่แล้วหรือไม่ แต่เธอไม่เคยถามเขาเลยในคำถามนี้ นั่นเพราะพริ้มเพราเข้าใจไปเองว่าการที่เขาเดินเข้ามาพูดเรื่องแต่งงานได้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเองก็ไม่มีใคร
ทว่า…เธอเข้าใจผิดไปทั้งหมดเอง
“เธอกลับได้แล้ว ยังไงเรื่องของเราคงเป็นแบบนี้ไปอีกสักพัก กลับไปอยู่บ้านปัถมธาดาเลยก็ได้ เพราะว่าหากเธอยังอยู่บ้านฉัน ฉันก็จะไม่กลับไปอีก เธอควรเข้าใจไว้ว่าการแต่งงานของเราก็แค่พิธีหนึ่งที่จัดขึ้นเพื่อคลี่คลายปัญหายืดเยื้อระหว่างยายของเธอกับครอบครัวฉัน อย่าหาสาระอะไรกับมันนักเลย”
พริ้มเพราอยากจะกล่าวหาพฤกษ์ว่าเห็นแก่ตัว แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะแรกเริ่มเลย…มันเกิดจากความเห็นแก่ตัวของเธอและยายก่อน
“ยืนเงียบอยู่ทำไม ฉันมีงานต่อ เตรียมตัวกลับไปได้แล้ว” พฤกษ์คว้าชุดกาวน์มาสวมทับแล้วย้ำกับพริ้มเพรา “ไม่ต้องมาที่นี่อีกรู้มั้ย”
บอกแค่นั้นเขาก็คว้ากระเป๋าเงินแล้วเดินไปเปิดประตู ยืนรอให้พริ้มเพราเดินตามมา
พริ้มเพราได้แต่มองใบหน้าของพฤกษ์ คนที่เธอรู้จักมาตั้งแต่เด็ก เจ้าของใบหน้าหล่อเหลา สติปัญญาฉลาดหลักแหลม
แต่ใจร้าย…
ร่างเล็กขยับเข้าไปคว้าถุงขยะ แล้วเดินไปหาคนที่เปิดประตูรออยู่ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยคำถามเมื่อเห็นว่าพริ้มเพรายังมีอารมณ์อยากจะเป็นคุณนายสะอาด
“ทิ้งขยะไว้ในห้องแบบนี้ไม่ดีนะคะ สกปรกออก”
พฤกษ์กลอกตาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย แต่เขาก็ยอมดึงถุงขยะนั่นมาถือเอง
“ฉันยอมเธอเลยจริงๆ”
พฤกษ์บ่นแล้วเดินนำหน้าไป พริ้มเพรามองตามแผ่นหลังกว้างที่ไหวไปมาตามจังหวะการเดิน
ถ้าความรู้สึกของคนเราหยิบทิ้งง่ายเหมือนทิ้งขยะก็คงดี
(ติดตามต่อในเล่ม)