บทที่ 1
สมรส
“เฮียสองคนแต่งงานกันไปหมดแล้ว เหลือผมเป็นหนุ่มโสดอยู่คนเดียวในบ้าน”
พุฒกล่าวขึ้นขณะนอนมองท้องฟ้าอยู่ที่พื้นสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์บริพัตรเมธานนท์ พฤกษ์ซึ่งนอนอยู่ข้างกันทำหน้าเมื่อย ขณะที่พิชญ์มีรอยยิ้ม
สามพี่น้องนอนราบกับเสื่ออเนกประสงค์ดวงตามองไปยังท้องฟ้ากว้างที่ความจริงไม่ค่อยเห็นดาวสักเท่าไหร่ ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
“ตอนฉันสองคนยังไม่แต่งงาน แกว่างมาเจอมากนักนิ” พฤกษ์กล่าวประชด เพราะธรรมดาแล้วสามคนพี่น้องล้วนมีงานยุ่งรัดตัวกันถ้วนหน้า พฤกษ์ทำงานประจำเป็นศัลยแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ไม่ต้องถามก็น่าจะเดาได้ว่าอาชีพหมอจะมีเวลาว่างสักแค่ไหน
พิชญ์น้องชายคนรองยิ่งยุ่งหนักมากไปใหญ่ ชายหนุ่มรับผิดชอบกิจการศูนย์การค้าของครอบครัวซึ่งมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ต้องควบคุมคนนับร้อยนับพันชีวิต ภาระหนักอึ้งประหนึ่งแบกโลกไว้บนบ่า การถามหาเวลาว่างจากพิชญ์ไม่ต่างจากการถามให้ถูกด่า ยิ่งพักหลังมานี้คนที่ไม่เคยมีปัญหากับการ ‘มี’ หรือ ‘ไม่มีเวลา’ ชักเริ่มมีปัญหาขึ้นมาแล้ว เลขาฯ ส่วนตัวอย่างวริษฐ์ยังแอบบ่นให้ได้ยินว่าพิชญ์ปฏิเสธนัดลูกค้าจนเลขาฯ อย่างเขาหน้าแหกแล้วแหกอีก ที่เป็นแบบนี้เพราะรองประธานหนุ่มหลงภรรยาหนักมาก เลิกงานเป็นต้องกลับบ้านไม่เคยเถลไถลเลยสักวัน
ส่วนพุฒน้องชายคนเล็กที่บ่นกระปอดกระแปดเรื่อง ‘เหงา’ ก็พอกัน ชายหนุ่มไปค้าแข้งที่ประเทศอังกฤษร่วมสิบสองปีแล้ว ต้องฝึกซ้อมอย่างจริงจังตลอดฤดูกาล จะได้กลับบ้านก็ต่อเมื่อมีโอกาสพิเศษเท่านั้น
เช่นครั้งนี้…วันที่พี่ชายคนโตของตระกูลกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์
ส่วนศัลยแพทย์อย่างพฤกษ์ อย่าพูดถึง ‘เวลา’ ให้เสียเวลาเลย แค่จะกินข้าวสักคำยังต้องรีบ สรุปว่าการรวมตัวกันให้ครบสามคนแบบพร้อมหน้าพร้อมตานั้นยากยิ่ง
“อีกไม่นานก็ว่างแล้วเฮีย ไม่เตะบอลไปตลอดหรอก”
“กลับมาบ้านสิ มีอะไรให้ช่วยทำอีกเยอะ” พิชญ์บอกกับน้องชายคนเล็ก กิจการพันล้านของครอบครัวที่เขาดูแลอยู่คนเดียวต้องการผู้ช่วยด่วนมาก เพราะเขาเองก็อยากจะมีเวลาอยู่กับภรรยาให้มากขึ้น
“เรื่องนั้นขอคิดดูก่อนได้มั้ยเฮียสอง ยังไม่ได้คิดอะไรเลย”
“เออ! อย่าให้นานเกินไปล่ะ”
“ผมสงสารสาวๆ ที่โน่น ถ้าย้ายกลับไทยถาวรพวกเธอคงช้ำใจตาย”
“ใช้คำว่า ‘พวกเธอ’ เลยเหรอวะ” พฤกษ์ที่นอนหนุนแขนตัวเองหันมามองน้องชายคนเล็ก “โม้เกินไปหรือเปล่า”
“เฮียจะแต่งงานอยู่วันพรุ่งนี้แล้ว อย่าพูดเรื่องพวกนี้เลย” พุฒเปลี่ยนเรื่องยิ้มๆ แม้จะบอกว่าเหงา แต่เขาค่อนข้างมีความสุขกับความโสดของตัวเอง
พฤกษ์กลอกตาเป็นเลขแปด บ่งบอกว่าเขาหมั่นไส้ความหลงตัวเองของน้องชายเพียงใด ถึงอย่างไรพฤกษ์ก็กล้ายืนยันว่าในบรรดาลูกชายตระกูลบริพัตรเมธานนท์ เขาหล่อมากที่สุด
“ไม่ต้องพูดเลยทั้งเรื่องขี้โม้ของแกแล้วก็เรื่องแต่งงานของฉัน”
“เอาน่า…ยังไงก็ยินดีด้วยนะเฮีย” พุฒบอกกับพี่ชายคนโต แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่เหมือนกับงานแต่งงานทั่วไป
เจ้าบ่าวคงไม่ยินดีแน่นอนอยู่แล้ว
พฤกษ์ยิ้มเยาะให้กับคำยินดีนั้น แต่ไม่พูดอะไร
ถึงอย่างไร…พริ้มเพราก็เป็นเจ้าสาวของเขาตั้งแต่แรก เขาแค่รับผิดชอบในส่วนที่เป็นความรับผิดชอบของตัวเอง
พิชญ์ไม่พูดอะไรแต่ก็ใช่ว่าไม่รู้ พฤกษ์เกลียดการถูกบังคับทุกกรณี แม้ว่าจะทำหน้าระรื่นมาบอกว่าการแต่งงานกับพริ้มเพราครั้งนี้เป็นความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย พิชญ์ก็ไม่เคยคิดเชื่อเลย แต่อย่างน้อยเขาก็หวังว่าผลลัพธ์ของการแต่งงานอย่างไม่เต็มใจนี้จะออกมาในทิศทางที่ดี
พริ้มเพราอาจดูเหมือนเป็นหญิงสาวที่น่าอิจฉา แต่ลึกๆ เธอน่าสงสาร หากจะมีผู้ชายสักคนที่ปกป้องดูแลเธอได้ คนคนนั้นคือพี่ชายของเขา พฤกษ์เท่านั้นที่เหมาะสม
“นอนได้แล้วมั้ง พรุ่งนี้เจ้าบ่าวต้องตื่นแต่เช้า” พิชญ์บอกทั้งพยายามข่มใจไม่พูดเรื่องการอยากกลับบ้านไปนอนกอดเมีย เขารู้ว่าตัวเองค่อนข้างจะหลงเมียหนักมากจนเกินลิมิตของคนทั่วไป แต่ช่วยไม่ได้ บางครั้งคนเราก็ต้องมีบางสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่บ้าง แม้ว่าคนอย่างเขาจะควบคุมสถานการณ์วิกฤตมานับร้อยนับพันเหตุการณ์ได้ด้วยมันสมองของเขาก็ตาม
…แต่เรื่องนี้มันเหนือการควบคุมจริงๆ
“รีบนอนทำไมวะ ดาวยังสวยอยู่เลย” พฤกษ์บอกเสียงนิ่งทำให้น้องชายอีกสองคนต้องเลื่อนสายตากลับไปเพ่งมองท้องฟ้าอีกครั้ง
“ไหนวะ” พิชญ์ขมวดคิ้ว นอนมองหาดาวมาร่วมชั่วโมง แต่กลับเห็นเพียงแค่ไฟวิบวับของเครื่องบิน ท้องฟ้าในกรุงเทพฯ นั้นสว่างเกินกว่าจะเห็นดาว
“คนไร้หัวใจอย่างแกมองไม่เห็นหรอก”
“บ้าเปล่าวะ” ประโยคนี้พิชญ์ไม่ได้พูดกับ ‘คนมีหัวใจ’ แต่ข้ามไปถามความเห็นกับน้องชายคนเล็กที่มีสีหน้าไม่ต่างกัน
“คนมีความรักก็งี้แหละเฮีย มองอะไรก็สวยงามไปหมด”
สิ้นสุดคำพูดน้ำเน่าชวนอาเจียน ว่าที่เจ้าบ่าวก็ลุกพึ่บ ก่อนยันกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินหายเข้าบ้านไปทันทีโดยไม่รอฟังเสียงพูดตามหลังมา
“อ้าว! ไม่ดูแล้วเหรอ ดาวน่ะ”