LOVE
ทดลองอ่านเรื่อง เล่ห์สมรส ชุด สุดท้ายก็เธอ บทนำ – บทที่ 5
งานแต่งงานระหว่างทายาทเศรษฐีพันล้านจัดขึ้นอย่างสมฐานะ อันที่จริงเรียกว่าจัดขึ้นอย่างสมกับความหน้าใหญ่ใจโตของคุณหญิงสมปรารถนามากกว่า พฤกษ์มองหญิงสูงวัยที่แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดราตรีสีน้ำเงินยาวกรอมเท้าด้วยความรู้สึกแกนๆ
อายุปูนนี้แล้ว
หญิงชราวัยใกล้เลขเจ็ดดูเหมือนจะไม่ยอมแก่ง่ายๆ ในสังคมที่เรียกตัวเองว่า ‘ผู้ดี’ มีคนจำพวกนี้อยู่มาก อย่างน้อยก็มารดาของเขาคนหนึ่งล่ะที่ไม่ยอมให้ริ้วรอยแห่งวัยมากล้ำกราย
เมื่อวานในกรุ๊ปไลน์ครอบครัวยังเม้าท์มอยว่าพักตร์อุษาไปเข้าคอร์สขัดผิวรอบที่สามในสัปดาห์แล้ว เขาอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าสาวของเขาจะเตรียมตัวมากเท่ามารดาของเขาไหม นี่ยังไม่นับรวมเรื่องไปฉีดโบท็อกซ์เมื่อต้นเดือนนั่นด้วย
อย่างว่า…อะไรที่ฝืนธรรมชาติเกินไปมันไม่น่าดูเอาเสียเลย
เมื่อเห็นว่าบรรดาคุณหญิงคุณนายทั้งหลายต่างแข่งขันกันอวดเสื้อผ้าหน้าผม กระเป๋า รองเท้า และเครื่องเพชรอย่างเอาเป็นเอาตาย หมอหนุ่มผู้รักความสมถะจึงทำได้แค่เมินสายตาจากภาพนั้นเพื่อไม่ให้สุขภาพจิตเสียไปมากกว่านี้ ภาพในสายตาของชายหนุ่มจึงตัดมาที่คนข้างกาย
เจ้าสาวของเขาสวมชุดราตรีสีขาว ตัดเย็บอย่างประณีต พฤกษ์เห็นว่าที่หน้าอกของเธอปักด้วยคริสตัลเม็ดเล็กๆ เป็นร้อยเป็นพันเม็ด ชายหนุ่มมีนิสัยชอบสังเกตมาแต่ไหนแต่ไร อาชีพของเขาก็ถูกฝึกฝนให้จดจำทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แม้กระทั่งจุดสีดำเส้นผ่านศูนย์กลางแค่ศูนย์จุดหนึ่งไมครอนในปอดคนไข้ก็ไม่เคยเล็ดลอดสายตา ดังนั้นเวลาไม่กี่วินาทีเขาจึงจดจำลูกไม้บนแขนเสื้อเจ้าสาวได้ทั้งหมดจนเกิดคำถามขึ้นในใจเงียบๆ ว่า…
จะจำไปทำบ้าอะไรวะ?!
ผิวขาวนวลที่โผล่พ้นออกมาจากลวดลายของผ้าลูกไม้ตั้งแต่ข้อมือเรื่อยมายังหัวไหล่นั้นหยุดสายตาของเขาได้อยู่หมัด พริ้มเพราสวยมากเมื่ออยู่ในชุดเจ้าสาว อันที่จริงไม่ได้เป็นเพราะชุด…แต่เพราะเธอเป็นคนสวยอยู่แล้ว ผิวของหญิงสาวขาวละเอียดจนขนาดมองใกล้ๆ ยังไม่เห็นรูขุมขน การที่เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างพริ้มเพรา นับเป็นอะไรที่ผู้ชายหลายคนต้องอิจฉา
ถ้าไม่ใช่เพราะว่า…เขาไม่มีวันรักเธอลง
สามปีก่อน…
เหมือนทุกปีที่ครอบครัวบริพัตรเมธานนท์ต้องเดินสายมอบของขวัญปีใหม่ให้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ บ้านปัถมธาดาก็เป็นครอบครัวหนึ่งที่ละเลยไม่ได้เด็ดขาด คุณหญิงสมปรารถนาผู้เป็นประมุขของบ้านคือผู้มีพระคุณ นพอนันท์สอนลูกๆ มาเสมอว่าการที่ทุกคนใช้ชีวิตสบายอยู่บนกองเงินกองทองได้ก็เพราะความเมตตาจากคุณหญิงท่าน
พฤกษ์พอจะเข้าใจถึงเรื่องธรรมเนียมประเพณีและค่านิยมพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนควรมีนั่นคือความกตัญญู แม้จะเบื่อๆ อยู่บ้างแต่เขาก็ไม่เคยพลาดการมาไหว้คุณหญิงสมปรารถนาสักปี
‘ปีนี้ตาหนึ่งอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ’
‘สามสิบปีแล้วครับคุณหญิง’ นพอนันท์ตอบด้วยใบหน้าสุขุม ราวกับว่าคำถามของหญิงสูงวัยมีสิ่งใดซ่อนอยู่
‘เร็วมากๆ เหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน’
ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้บนโต๊ะน้ำชาตอนบ่ายของวันก่อนคืนสิ้นปีเงียบกริบ ทุกคนต่างเงยหน้าจากอะไรก็ตามที่สนใจในตอนแรกมามองผู้พูดอย่างสนใจ
‘เมื่อวาน’ ของคุณหญิงสมปรารถนานั้นเป็นอย่างไรเขาเองก็นึกสงสัย
‘พริ้มเพราจะเรียนจบมหาวิทยาลัยปีหน้าแล้วนะคุณนพ น่าจะถึงเวลาที่ต้องคุยเรื่องที่ตกลงกันไว้’ คุณหญิงพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ
พักตร์อุษามองหน้าพฤกษ์ราวกับล่วงรู้สิ่งที่หญิงสูงวัยจะบอก
‘ผมยังไม่ได้เกริ่นเรื่องนี้กับลูกครับ’
‘งั้นก็บอกเสียตอนนี้เลย อยู่กันครบแล้วนี่ ขาดก็แต่เจ้าสาม แต่คงไม่สำคัญอะไร เพราะไม่ได้เกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว’
ราวครึ่งนาทีที่ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ พฤกษ์ชักสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกับเขา เพราะทุกคนต่างมองมาทางเขา ยกเว้นก็แต่พิชญ์ที่ดูเหมือนไม่รู้อะไรเลยเหมือนกัน
‘มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ’ ศัลยแพทย์หนุ่มถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว นพอนันท์มีสีหน้าลำบากใจแต่ก็เป็นคนพูดเองในที่สุด
‘พ่อให้ความเคารพคุณหญิงสมปรารถนาเหมือนญาติผู้ใหญ่ สำนึกบุญคุณเสมอว่าท่านได้มอบโอกาสให้พ่อ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีมารีรินทร์ที่ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ พ่ออยากให้ครอบครัวเราทั้งสองเกี่ยวดองเป็นญาติ เมื่อเห็นคุณหญิงท่านมีหลานสาวที่น่ารักอย่างหนูพริ้มเพรา พ่อเลยเอ่ยปากสู่ขอให้แกเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอให้แกกับหนูพริ้มเพราพร้อมเมื่อไหร่ก็จัดงานแต่งงานได้ทันทีเลย’
คำบอกเล่ายาวเหยียดนั่นสร้างความตื่นตระหนกให้พฤกษ์อย่างยิ่งยวด ใบหน้าหล่อเหลามีสีหน้าที่บรรยายไม่ถูก เขาหันไปมองพริ้มเพรา ผู้หญิงที่เขาคิดว่าเป็นน้องสาวแท้ๆ อย่างต้องการคาดคะเนความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่หญิงสาวกลับมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าเมื่อครู่เธอหูดับไปแล้วไม่ได้ยินสิ่งที่พ่อของเขาพูด
‘ผมคิดว่าเรื่องนี้ผมกับพริ้มเพราตัดสินใจเองได้นะครับ ผมไม่ได้รังเกียจตระกูลปัถมธาดา แต่คงทำตามที่พ่อบอกไม่ได้’
‘ไม่ได้รังเกียจตระกูลฉัน แต่รังเกียจหลานฉันอย่างนั้นหรือ’ คุณหญิงสมปรารถนาถามด้วยกิริยาอันเป็นเอกลักษณ์ของนาง คอตั้งบ่า…ใบหน้าเชิดตรง
‘ไม่ใช่ครับ แต่พริ้มเพราเป็นน้องสาวของผม’
‘ไม่ใช่น้องแท้ๆ’
‘ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะแต่งงานกันได้หรอกนะครับคุณหญิง’ พฤกษ์พยายามอย่างยิ่งในการควบคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้เกรี้ยวกราด ทั้งที่ความรู้สึกภายในแทบระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความโกรธ ‘พริ้มไม่อยากแต่งงานกับผมหรอกครับ เราสองคนไม่ได้รักกัน ชีวิตคู่เป็นเรื่องใหญ่…ฝืนใจกันไม่ได้นะครับ’
‘แล้วถ้าหากว่ายายพริ้มไม่ขัดล่ะ’
‘ขัดอยู่แล้วล่ะครับ’ พฤกษ์เชื่ออย่างสนิทใจ เขากับพริ้มเพราเป็นได้แค่พี่น้อง ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน…ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ‘พริ้ม บอกกับคุณยายของพริ้มสิ ว่าเราไม่มีวันแต่งงานกัน’
พฤกษ์ถามย้ำกับพริ้มเพราซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หญิงสาวนิ่งจนเขาแทบกระโดดไปเขย่าตัวให้รู้สึกรู้สากับอะไรบ้าง