‘ว่าไงล่ะยายพริ้ม ตอบพี่เขาไปสิ ถ้ายายจะให้เราแต่งงานกับตาหนึ่ง เราจะว่ายังไง’
พริ้มเพราเม้มปากเป็นเส้นตรง ช้อนตามองคนที่อารมณ์ปะทุใกล้จุดเดือดก่อนค่อยๆ ตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ‘แต่งค่ะ พริ้มไม่ขัด’
‘พริ้ม!’ พฤกษ์ตกใจจนหน้าขาวเผือดไปทั้งหน้า ‘พูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างมั้ย เรารักพี่หรือไงถึงได้ยอมแต่งงานด้วย’
‘โตแล้วนะคะพี่หนึ่ง เราต้องเลิกคิดถึงเรื่องความรู้สึกแล้ว ต้องพูดกันด้วยเหตุผล เรื่องการแต่งงาน…พริ้มแล้วแต่คุณยายค่ะ’
‘บ้าไปกันใหญ่แล้ว! นี่มันงานแต่งงานนะ ไม่ใช่ธุรกิจ ที่พูดอยู่คือการแต่งงาน ไม่ใช่การร่วมทุนถึงจะได้ไม่ต้องใช้ความรู้สึก เธอยอมแต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองไม่ได้รักไม่ได้คิดจะใช้ชีวิตด้วยได้ง่ายๆ เหรอ’ พฤกษ์โมโหมากยิ่งกว่าตอนฟังคำพูดของบิดากับคุณหญิงสมปรารถนารวมกันเสียอีก เขาไม่คิดว่าพริ้มเพราจะตกปากรับคำง่ายๆ การที่เธอพูดถึงงานแต่งของตัวเองกับผู้ชายที่ผู้ใหญ่เลือกได้อย่างหน้าตาเฉยทำให้เส้นเลือดในสมองของนายแพทย์หนุ่มเต้นตุบๆ เหมือนจะระเบิด และนั่นนับเป็นวันสุดท้ายที่เขาสามารถมองพริ้มเพราเป็นน้องสาวได้อย่างเต็มใจ
หลังจากเหตุการณ์นั้นพฤกษ์ก็จำไม่ได้แล้วว่าใครพูดอะไรอีกเพราะเขาไม่สนใจคำพูดของใครทั้งนั้น หากเขาไม่อยากแต่ง ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถมาบังคับได้ แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วคำปฏิเสธของเขาจะทำให้ภาระทุกอย่างตกไปอยู่บนบ่าของพิชญ์ น้องชายคนรองกลับกลายเป็นคนรับกรรมเรื่องนี้ไปอย่างที่พฤกษ์ไม่ได้คาดฝัน
แต่แล้วเขาก็หนีไม่พ้น แม้จะพยายามไปมากมายแค่ไหนแต่สุดท้ายพริ้มเพราก็ยังมายืนเคียงข้างเขาอยู่ตอนนี้…ในฐานะเจ้าสาวของเขา
งานเลี้ยงสมรสผ่านไปโดยที่บ่าวสาวไม่มีคำพูดสักคำบนเวที อันที่จริงทั้งคู่แทบไม่ได้พูดอะไรกันเลยตั้งแต่พิธีมงคลสมรสในตอนเช้า กระทั่งจนพิธีส่งตัวเข้าหอ คำพูดเดียวที่ออกจากปากของคนทั้งคู่เป็นแค่คำรับว่า… ‘ครับ’ กับ ‘ค่ะ’ เพียงเท่านั้นจริงๆ
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบเมื่อผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายออกจากห้องหอของบ่าวสาวไป
ห้องหอในคืนแต่งงานคือห้องสวีตชั้นบนสุดของโรงแรมจัดเลี้ยง ผ้าปูเตียงสีขาวโรยด้วยกลีบกุหลาบแดงเป็นรูปหัวใจทำเอาพฤกษ์หงุดหงิด เขาทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วเลื่อนสายตาออกจากภาพอันน่าอาเจียนนั้น ทว่ากลับต้องพบกับภาพที่ชวนให้เวียนหัวหนักกว่าเดิม
…นั่นคือภาพเจ้าของร่างระหงของเจ้าสาวที่ยืนมองเขาอยู่
“มองอะไร” น้ำเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด แต่แทนที่เจ้าสาวของเขาจะรู้สึกรู้สาอะไรบ้าง เธอกลับยังทำหน้านิ่งเฉย (เหมือนเคย)
“เปล่าค่ะ” พริ้มเพราบอกหน้าตาย “พี่หนึ่งจะอาบน้ำก่อนมั้ยคะ”
“เดี๋ยวฉันจะไปอาบอีกห้องนึง”
“ห้องไหนคะ” พริ้มเพราย่นคิ้วด้วยความสงสัย
“ห้องข้างๆ นายสามเปิดห้องไว้แล้ว”
พฤกษ์ว่าพลางปลดเนกไทออก เหนื่อยแทบบ้า ยิ่งกว่ายืนในห้อง OR แปดชั่วโมงติดเสียอีก คิดแล้วโล่งใจที่วันนี้ผ่านไปได้เสียที พรุ่งนี้…เขาก็จะติดปีกโบยบิน
“ทำไมคะ”
คำถามจากคนซึ่งยังอยู่ในชุดเจ้าสาวทำให้คนที่เพิ่งโล่งใจไปหมาดๆ ต้องยุ่งยากใจอีกครั้งเมื่อพบกับใบหน้าอันเต็มไปด้วยความสงสัย
“ก็ไม่ทำไม”
“แต่งงานวันแรกบ่าวสาวไม่ควรออกจากห้องหอนะคะ โบราณเขาถือ”
“คนถือตายไปตั้งนานแล้ว มีแต่เราที่ยังยึดติดกับความเชื่ออันไร้เหตุผลนั้น” พฤกษ์บอกพลางหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ ถอดรองเท้า ถุงเท้าแล้วคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองมาเปิดโดยไม่สนใจพริ้มเพราที่ยังคงมองเขาโดยไม่ละสายตา สุดท้ายเป็นพฤกษ์ที่ต้องยอมแพ้ เขาละมือจากกระเป๋าแล้วเงยหน้าพูดกับเธอ
“ความเชื่ออะไรก็ไม่สำคัญสำหรับเราหรอกพริ้มเพรา ในเมื่อเราสองคนก็ไม่ได้คิดจะอยู่ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร…อย่างที่ใครๆ เขาอวยพรอยู่แล้วนี่”
พริ้มเพราไม่แสดงความรู้สึกใดๆ บนใบหน้า ทั้งที่ในใจตระหนกไม่น้อยกับความคิดของพฤกษ์ เธอกลั้นใจพูดในสิ่งที่คิดออกไป
“ขอโทษนะคะที่ต้องทำให้พี่หนึ่งผิดหวัง แต่ในเมื่อแต่งงานกันแล้ว พริ้มก็หวังว่าเราสองคนจะอยู่ด้วยกันไปจนวันตาย”
“ขอโทษเหมือนกันนะพริ้มเพรา แต่ฉันคิดว่า…คงเป็นไปไม่ได้”
พฤกษ์รู้ดีว่าผู้หญิงทุกคนก็หวังจะได้แต่งงานแค่ครั้งเดียวในชีวิต ยิ่งเป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลผู้ดีและยึดถือเรื่องหน้าตาในสังคมอย่างพริ้มเพราก็คงยิ่งห่วงเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก
…แต่ใครจะสนกันเล่า
เพราะหากว่าพริ้มเพรากับคุณหญิงสมปรารถนาไตร่ตรองให้ดีตั้งแต่แรกก็ควรจะรู้ว่าการแต่งงานที่ยืนยาวนั้นควรเกิดจากความรักของทั้งสองฝ่าย ไอ้คำที่บอกว่า ‘แต่งๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง’ นั้นล้าสมัยไปแล้ว ในเมื่อคิดจะใช้สัญญาเช่าที่ดินอินฟินิตี้วันมาบีบบังคับเขา ก็อย่าคิดว่าจะสมหวังไปทุกอย่าง
คนไม่สนโลกอย่างพฤกษ์คงไม่สนใจหรอกว่านับจากนี้ใครจะเป็นอย่างไร เพราะเวลานี้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว
พิชญ์เพิ่งจัดการโอนเงินค่าที่ดินให้คุณหญิงสมปรารถนาไปเมื่อไม่กี่วันก่อน โฉนดก็เปลี่ยนชื่อเป็นของมารีรินทร์กรุ๊ปเรียบร้อยแล้ว
เหลือแต่เขาที่ต้องจัดการตัวเอง ทำอย่างไรก็ได้ให้หย่ากับพริ้มเพราโดยเร็วที่สุด
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงฉันก็จะอยู่เป็นสามีเธอไปอีกสักพักใหญ่”