ร่างหนารู้สึกตัวเมื่อรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างบนเตียงนอนของเขา พฤกษ์ขยับเปลือกตาช้าๆ เพราะความเพลีย ก่อนภาพเลือนรางตรงหน้าจะทำให้เขาต้องเบิกตาโพลง
“ไอ้เชี่ย!”
หมอหนุ่มสบถออกมาอย่างตกใจ เขาผุดกายลุกขึ้นจากที่นอน มองภาพรับอรุณด้วยความรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อม
พริ้มเพราขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อเห็นกิริยาของพฤกษ์บวกกับคำสบถระคายหูของเขา หญิงสาวสวมชุดนอนแขนขายาวมิดชิดขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มองชายหนุ่มด้วยสีหน้างุนงง
“พี่หนึ่ง…เป็นอะไรคะ”
พฤกษ์ยังมีสีหน้าเช่นเดิมราวกับสตัฟฟ์ไว้ เขากะพริบตาไล่ภาพหลอน ทว่าจนแล้วจนรอดภาพตรงหน้าก็ยังไม่หายไปไหน
“พริ้มเพรา” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาอย่างเยือกเย็น “เธอมาทำอะไรที่นี่”
พฤกษ์ไม่แน่ใจเลยว่าระหว่างวินาทีแห่งความเป็นความตายของคนไข้ที่เขาผ่าสมองให้ในห้องผ่าตัดฉุกเฉินเมื่อคืนก่อนกับการตื่นมาเจอพริ้มเพราบนเตียงนอน อย่างไหนทำให้เขาประสาทเสียได้มากกว่ากัน
‘เป็นคำแนะนำของคุณยายค่ะ ว่าเราไม่ควรแยกกันอยู่นานเกินไป พริ้มไม่ได้ถามพี่หนึ่งเพราะคิดว่าอย่างไรพี่หนึ่งต้องไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ก็ในเมื่อเราเป็นสามีภรรยากัน ทำไมพริ้มจะมาอยู่กับพี่หนึ่งที่บ้านนี้ไม่ได้’
พฤกษ์ไม่ปฏิเสธหรอกว่าตนเป็นคนขอพริ้มเพราแต่งงานก่อน แต่นั่นก็เพราะต้องการจัดการปัญหาข้อขัดแย้งทุกอย่างให้จบลง อีกทั้งคิดว่าอย่างน้อยๆ ในครั้งนี้ลูกชายที่ไม่เคยคิดทำอะไรเพื่อพ่อแม่และทำตามใจตัวเองมาตลอดชีวิตจะได้ทำหน้าที่ลูกบ้าง พิชญ์ทำหน้าที่ลูกมาหนักหนามากพอแล้ว วันนี้น้องชายของเขาควรจะมีความสุขเสียที
ส่วนเขาที่เฉยชากับความต้องการของพ่อแม่มาตลอด มีหรือจะเฉยชาต่อเมียที่ตัวเองไม่ได้รักไม่ได้
พฤกษ์จะคิดเสียว่าพริ้มเพราเป็น ‘ผี’ ตัวหนึ่งที่มาสิงบ้านของเขาอยู่ก็แล้วกัน
แค่คิด ‘ผี’ ก็เดินออกมาจากห้องนอนพอดี พฤกษ์มองร่างระหงที่มีผิวขาวราวกับเรืองแสงได้ด้วยสายตาแกนๆ
บ้านของเขาเป็นบ้านไม้หลังเก่า ซื้อต่อจากเจ้าของเดิมตอนช่วงย้ายมาประจำที่โรงพยาบาลใหม่ๆ เขาไม่ได้พักหอพักแพทย์ อย่างที่รู้ เขาไม่จำเป็นต้องใช้สวัสดิการอะไรของรัฐเพราะมีเงินมากพออยู่แล้ว ส่วนการจะซื้อคอนโดมิเนียมหรูหราอยู่สบายนั้นก็ไม่ใช่วิสัยของเขา ตอนแรกพฤกษ์คิดจะหาบ้านที่ถูกใจสักหลัง มีพื้นที่รอบบ้านไว้ปลูกต้นไม้ที่ชอบ กระทั่งบังเอิญผ่านมาเห็นบ้านหลังนี้ แม้สภาพจะเก่าแถมราคาก็แพงมาก แต่พฤกษ์เป็นคนที่ทำตามความรู้สึกมากกว่าความสมเหตุสมผล ฉะนั้นเขาจึงยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้บ้านหลังเก่าหลังนี้มา
นอกจากจ้างคนทำความสะอาดแล้วเขาแทบไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวบ้านแต่อย่างใด บ้านหลังเก่าอายุเกินยี่สิบปีจึงดูทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
และพริ้มเพราที่แต่งกายเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นก็เหมือนกับภาพตัดแปะที่ไม่เข้ากับฉากบ้านหลังนี้เอาเสียเลย
“พี่หนึ่ง” พริ้มเพราอยู่ในชุดเดรสสีฟ้าอ่อน ชายกระโปรงมีลายลูกไม้สีเหลืองเล็กๆ ระบายอยู่โดยรอบ ขับผิวขาวให้เปล่งประกายเหมือนเรืองแสงได้ สวมเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวคือต่างหูเพชร
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกะพริบตาไล่ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกออกไป
ต่างหูเพชรเนี่ยนะ
“จะไปทำงานเหรอ”
“เปล่าค่ะ วันนี้พริ้มหยุด”
“อืม งั้นก็คงจะออกไปข้างนอก”
“เปล่าค่ะ พริ้มไม่ได้ไปไหน วันนี้อยู่บ้าน”
คำตอบของพริ้มเพราทำให้พฤกษ์ต้องนิ่วหน้า
“อยู่บ้านต้องแต่งตัวขนาดนี้เลยเหรอ” เขาถามลอยๆ โดยไม่ใส่ใจคำตอบ ผู้หญิงก็แบบนี้ ห่วงสวยจนเกินพอดี “นี่ กุญแจห้องเธอ ฉันเพิ่งเข้าไปกวาดมา แต่ไม่มีคนอยู่มานานแล้วคงต้องถูอีกหลายรอบเลย ถ้าจะให้คนรับใช้ที่บ้านมาช่วยก็ได้นะ เธอทำคนเดียวคงไม่ไหวหรอก”
พริ้มเพรามองกุญแจในมือพฤกษ์นิ่ง ไม่ยอมรับไป
“รับไปสิ”
“ทำไมพริ้มต้องไปนอนห้องอื่นล่ะคะ”
“เพราะว่าเธอนอนห้องฉันไม่ได้ไง”
“เพราะอะไรคะ”
พฤกษ์กลั้นลมหายใจ พริ้มเพราคิดจะใช้ชีวิตฉันสามีภรรยากับเขาจริงๆ หรือ บ้าชัดๆ
“สามีภรรยา แยกกันนอนคงไม่ดีมั้งคะ”
“ฉันทำงานไม่เป็นเวลา ถ้าเกิดกลับมาค่ำมืดจะรบกวนเธอเปล่าๆ นะ อีกอย่าง ฉันไม่ชอบที่มีคนมานอนข้างๆ”
พฤกษ์บอกแล้วเดินผ่านหน้าพริ้มเพราเข้าห้องตัวเองไป พอได้เห็นห้องนอนของตัวเองชัดๆ เขาก็เกิดความพะอืดพะอมขึ้นมา
ห้องนอนอันแสนเรียบง่ายของเขาไม่เหลือเค้าเดิมเลย จากผ้าม่านลายตารางสีขาวสลับสีแดงซีดๆ กลายเป็นผ้าม่านสีทองอร่าม สีเดียวกันกับผ้าห่มและผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนก็ด้วย เตียงไม้วินเทจที่เขาได้มาจากตลาดมือสองเปลี่ยนเป็นเตียงนอนสไตล์หลุยส์สีทองอีกเช่นกัน
ข้าวของของเขาที่เคยวางกระจัดกระจายอย่างมีศิลปะล้วนหายไปจากพื้นห้อง แทนที่ด้วยพรมสีกรมท่า หนังสือที่เคยวางซ้อนทับกันบนโต๊ะไม้จนท่วมหัวก็หายไปทั้งโต๊ะทั้งหนังสือ
ใช่! เขาควรจะตกใจกับสภาพห้องตัวเองตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว แต่เพราะตื่นมาเห็นหน้าพริ้มเพราเขาก็สติแตกไปก่อนแล้ว ถึงกับต้องวิ่งออกจากห้องแบบไม่คิดชีวิตเลยไม่ได้สนใจเลยว่าพริ้มเพราทำห้องนอนเขาเละไปหมด