บทที่ยี่สิบหก น่าเสียใจและลำบากใจแมวขโมยลูกกลอนเซียน
ขโมยของเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือ สรุปรวบยอดอย่างย่อๆ ได้สามคำคือ แม่นยำ เบา เร็ว นั่นก็คือหาเป้าหมายต้องแม่นยำ ยามลงมือต้องเบา เมื่อถูกพบเห็นต้องหนีให้เร็ว
ข้าคลุกคลีอยู่บนเส้นทางของการลักขโมยมานานปี เข้าใจถึงความสำคัญของสามคำนี้ดี เคยขโมยของในหอสุรา ร้านไก่ย่าง และแผงขายปลาสดทุกแห่งในเมืองที่อยู่ละแวกใกล้เคียงภูเขาลั่วอิง ได้ข้าวของมามากมายก่ายกอง ยังไม่เคยถูกจับได้ แล้ววันนี้จะมาเสียท่าด้วยน้ำมือของเซียนน้อยผู้นี้ได้อย่างไร
ข้ารีบเปลี่ยนทิศทางขึ้นไปบนหลังคา แล้วตวัดอุ้งเท้าถีบก้อนหินลงมาจากด้านบนก้อนหนึ่งเป็นการส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ในลาน ให้กิ่งไม้ที่มีใบดกหนาบดบังร่างของตน มองเซียนเด็กผู้นั้นวิ่งไล่ไปตามทิศทางที่ก้อนหินร่วง ในใจอดกระหยิ่มยิ้มย่องไม่ได้
ในที่สุดก็เห็นรอบด้านเงียบสงบลง ข้ากระโดดลงจากต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว เดินอาดๆ ไปที่กำแพง ขุดรูแล้วมุดออกไป คิดไม่ถึงว่ากลับเห็นรองเท้าคู่หนึ่ง
พื้นรองเท้าขาวหน้ารองเท้าดำ ไม่มีอะไรพิเศษ แต่กลับมีกลิ่นอายจางๆ ที่ทำให้ข้ารู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย…
เป็นกลิ่นยา ข้าเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วก็เห็นโม่หลินหมอที่น่ากลัวผู้นั้นกำลังมองข้า…และกล่องในปากข้า…ด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
หวนนึกถึงเหตุการณ์น่าเวทนาและสังเวชใจต่างๆ ที่ประสบมา ขนทั่วร่างของข้าพลันพองขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว พร้อมกันนั้นก็ตวัดกรงเล็บออกไปใส่เขาอย่างรุนแรง คิดจะฝ่าทะลวงแล้วหนีไป โม่หลินหมุนตัวหลบการโจมตีที่เพียงพอจะทลายหินให้แตกได้ จากนั้นก็ถามอย่างไม่รีบร้อน “แมวเหมียว เจ้าขโมยอะไรหรือ”
“ไม่…ไม่มีอะไร…” ข้าที่ไม่เชี่ยวชาญการโกหกได้ยินแล้วก็ตื่นตระหนก คิดไม่ถึงว่าพออ้าปากกล่องก็ร่วงลงไป ข้ารีบใช้อุ้งเท้าคว้ามาไว้ที่ใต้ท้องพลางใช้ขนบังไว้ มองโม่หลินด้วยแววตาบริสุทธิ์ใสซื่ออย่างที่สุด หวังว่าเขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย
“ให้ข้าลองทายดู” โม่หลินนั่งยองๆ ลงมามองข้า มองจนข้ามีเหงื่อเย็นไหลซึมออกมาจากศีรษะไม่หยุด พยายามสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฉับพลันนั้นแส้อ่อนเส้นหนึ่งก็จู่โจมเข้ามาที่โม่หลิน ข้าเห็นเงาร่างสีแดงพุ่งกระโจนออกมา เป็นจิ่นเหวิน แส้ยาวในมือนางตวัดเข้าใส่โม่หลินอย่างคล่องแคล่วติดต่อกันถี่ยิบไม่ขาดสายประดุจเม็ดฝน จากนั้นก็ร้องบอกข้าเสียงดัง “รีบหนี! เอาของไปส่งให้วั่งโยว”
โม่หลินทางหนึ่งก็หลบหลีกอย่างงุ่มง่าม ทางหนึ่งก็ร้องตะโกน “สาวงาม อย่าดุร้ายเช่นนี้! ข้าแค่ผ่านมาชมเรื่องสนุกเท่านั้น!”
ข้ารีบยกเท้าวิ่งออกไป แต่วิ่งไปได้ไม่ไกลก็เห็นขุนพลผู้หนึ่ง ในมือเขาถือเจดีย์นำกองกำลังทหารสวรรค์มาโอบล้อมไว้ ประกายวาววับของดาบและกระบี่ส่องสะท้อนจนตาลาย ข้ารีบกลายร่างเป็นคน ส่งเสียงคำรามต่ำเป็นการขู่ขวัญ ในมือมีกรงเล็บทะลวงฟ้าปรากฏขึ้นเตรียมจะฝ่าวงล้อม
“สัตว์ชั่วร้าย! จะหนีไปที่ใด!” ขุนพลขว้างเจดีย์ในมือขึ้นไปกลางอากาศทันที ตัวเจดีย์พลันขยายใหญ่ และเปล่งแสงโชติช่วงออกมาแผ่คลุมไปทั่วบริเวณ ข้ารู้สึกหวาดกลัว พยายามจะหนีกลับไปที่วังของเทพปี้ชิงอย่างสุดชีวิต คิดไม่ถึงว่าแสงโชติช่วงกับเจดีย์กลับตามติดมาดุจเงา พริบตาเดียวก็ดูดตัวข้าเข้าไปขังอยู่ในเจดีย์
“เมี้ยว…เมี้ยว” ข้าใช้กรงเล็บแหลมคมตะกุยเจดีย์คิดจะทะลวงออกไป ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะมีเปลวไฟร้อนแรงพวยพุ่งออกมาจากตัวเจดีย์ทันที ควันไฟคละคลุ้งรมข้าจนตาเกือบบอด ความหวาดกลัวถึงกระดูกผุดขึ้น ข้ายิ่งร้องยิ่งเศร้าสลด นิ้วมือตะกุยจนโลหิตไหลซึม