บทที่ยี่สิบเจ็ด มองท้องทะเลเขียวหยกกว้างไกล ท้องฟ้าสีครามเข้ม โดดเดี่ยวอ้างว้างทุกค่ำคืน
ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบสงัดเป็นเวลานาน มีเพียงเสียงลมหายใจที่ยังดังอยู่
ใบหน้าของหลี่เทียนหวังดูงงงัน เขารีบสาวเท้าเร็วๆ เข้ามา คว้ากล่องเหล็กในมือโม่หลินไปตรวจดู สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน พูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน
“เมี้ยว” ข้ารู้สึกว่าท่าทีของทุกคนดูแปลกประหลาดเกินไป จึงส่งเสียงร้องเบาๆ อยู่ในเจดีย์
ในที่สุดมุมปากของเทพปี้ชิงก็หยักยกขึ้นเป็นเส้นโค้งบางๆ เขาหันมาพูดกับข้า “เจ้าแน่ใจหรือว่าที่เจ้าขโมยมาก็คือของสิ่งนี้”
ข้าพยักหน้าอย่างจริงจัง “สีแดง หอมมาก ไม่ผิด”
“เรื่องเป็นมาเช่นไรกันแน่” ไท่ซั่งเหล่าจวินรีบเดินขึ้นมาจากด้านหลัง ก้มหน้าลงพิจารณาดูเนื้อวัวแห้งในกล่องร่วมกับพวกหลี่เทียนหวัง น่าเสียดาย ไม่ว่าพวกเขาจะดูสักกี่ครั้ง สีหน้าแปรเปลี่ยนสักกี่หน เนื้อวัวก็ยังคงเป็นเนื้อวัว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“ข้าคิดว่ากฎของแดนสวรรค์ไม่มีข้อใดบอกว่าขโมยของกินต้องถูกประหารกระมัง” เทพปี้ชิงหัวเราะทำลายความเงียบงันของพวกเขา “ทว่าตามที่ได้ยินมา ไท่ซั่งเหล่าจวินแต่ไรมาไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ไม่ทราบว่าเนื้อวัวนี่มาจากที่ใดหรือ”
“นี่…นี่…” ไท่ซั่งเหล่าจวินใบหน้าแดงฉาน คิดอยู่ครู่หนึ่งก็รีบหมุนตัวไป แผดเสียงคำรามดุจสายฟ้าฟาด “เปาจื่อ! เจ้ามานี่!”
เซียนน้อยที่ชื่อเปาจื่อผู้นั้นก้มหน้าเดินตัวสั่นงันงกเข้ามาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เป็นของข้าเอง”
ไท่ซั่งเหล่าจวินคว้ากล่องเหล็กขว้างใส่ตัวเขา ดึงหูแล้วด่าว่า “ลูกกลอนเซียนถูกขโมยอะไรกัน ที่แท้เจ้าถูกขโมยเนื้อวัวแห้ง!”
“ไว้ชีวิตด้วยขอรับ!” เปาจื่อรีบคุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้นแล้วร้องขึ้น “ข้าเห็นนางท่าทางลับๆ ล่อๆ พอเห็นข้าก็วิ่งหนีทันที ปากก็คาบของไว้ ข้าวของรอบด้านก็ถูกรื้อค้น ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจว่าลูกกลอนเซียนถูกขโมยไป”
“ในเมื่อความจริงปรากฏออกมาแล้ว ปีศาจตนนี้ขโมยของกินก็นับว่าไม่สมควร เมื่อกลับไปแล้วข้าจะอบรมสั่งสอนนางอย่างหนัก” เทพปี้ชิงเห็นพวกเขาสองคนสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็ไม่โยกโย้ “ตอนนี้หลี่เทียนหวังได้โปรดเปิดเจดีย์ปล่อยนางออกมาด้วย”
หลี่เทียนหวังเก็บเจดีย์ด้วยสีหน้าเหยเก ข้าที่เพิ่งรอดตายมาได้ ในที่สุดหัวใจเต้นถี่ระรัวก็สงบลง ขาทั้งสองพลันอ่อนยวบทรุดลงกับพื้น ร่างเปลี่ยนกลับเป็นแมว เพลิงกสิณได้โจมตีดวงจิตในร่าง ร่างแมวถูกเผาไหม้จนได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
เทพปี้ชิงยอบตัวลงมาอุ้มข้า ลูบผิวหนังที่ไหม้เกรียม ด่าทอด้วยความแค้นใจและสงสาร “คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้แม้เจ้าจะโง่งมก็ยังโง่งมได้ถูกที่แล้ว”
“เหมียวเหมียวไม่โง่…” ข้าโต้แย้งเบาๆ อย่างไม่ยินยอม กลับทำให้โม่หลินที่อยู่ด้านข้างยิ่งหัวเราะดังขึ้น