ฉันไม่ได้ใส่ใจว่าเขาพูดอะไร เพียงเป็นแมวหิวโหยกระโจนเข้าหาอาหาร พุ่งตัวใส่ไก่ย่าง กัดแทะคำโต เด็กหนุ่มชุดขาวเห็นท่าทางการกินของฉันก็ส่ายหัว หยิบเสื้อคลุมจากพื้นเดินเข้ามา
แย่แล้ว! เขาจะแย่งของกิน ฉันรีบโก่งเอวขึ้นอย่างระแวดระวัง ส่งเสียงคำรามฮื่อๆ เป็นการเตือน
เด็กหนุ่มชุดขาวดูเหมือนจะเข้าใจความคิดของฉัน เขากลอกตาหนหนึ่งก่อนยอบตัวลงมา เอาเสื้อคลุมคลุมลงบนร่างของฉัน เอ่ยเสียงอ่อนโยน “แมวที่ว่าง่าย ขอเพียงเจ้าสวมเสื้อคลุมไว้ ข้าก็จะไม่แย่งไก่เจ้ากิน ทั้งยังจะให้ปลาเจ้ามากมายด้วย”
แกเป็นคนดี! ฉันมองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยความซาบซึ้งใจ อดตื่นเต้นไม่ได้ ถ้ามีปลามากมายให้กิน แค่สวมเสื้อผ้าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
เด็กหนุ่มยิ้มอ่อนโยนอีก เขาลูบศีรษะฉันเบาๆ แสดงท่าทีปลอบขวัญ และช่วยฉันผูกสายรัดเสื้อคลุมทีละเส้นๆ จากนั้นก็กวักมือไปข้างหลังร้องบอก “จอมมารวัวกระทิง เข้ามาได้”
ชายตัวโตที่ชื่อ ‘จอมมารวัวกระทิง’ คนนั้นถึงได้ขยับเข้ามาใกล้อย่างระมัดระวัง เขาถอนหายใจ เช็ดเหงื่อที่หน้าผากแล้วบอก “ยังคงเป็นอิ๋นจื่อที่มีหนทาง หากให้ภรรยาข้าเห็นนางกอดข้าเช่นนี้ น่ากลัวพรุ่งนี้ข้าคงต้องกลายเป็นโคมไฟหนังวัวแน่”
“ตอนนี้ควรทำเช่นไรดี จอมมารคชสารยังรอคำตอบขอแต่งงานอยู่ แต่ลูกพี่เสียสติไปแล้ว” อิ๋นจื่อถามด้วยความกลัดกลุ้ม “พวกเขาพี่น้องหลายคนรวมกันขึ้นมาก็มีกำลังมาก ขาดกรงเล็บทะลวงฟ้าของลูกพี่ไปเกรงว่าจะต่อสู้ลำบาก”
พวกเขาสองคนปรึกษาหารือกันอย่างดุเดือดขึ้นทุกที ฉันฟังภาษาของพวกเขาออก แต่ไม่เข้าใจความหมายของเรื่องราว จึงก้มหน้าก้มตาแทะไก่ของฉันต่อไป กระทั่งเหลือแต่กระดูกจึงเงยหน้าขึ้นมา ส่งเสียงร้องด้วยความซาบซึ้งออกมาคำหนึ่ง
“น้องสาวบุญธรรม เจ้าจำข้าไม่ได้จริงหรือ” สีหน้าท่าทางของจอมมารวัวกระทิงดูจะรันทดใจ ดวงตาทั้งสองคล้ายมีไอหมอกจับอยู่ “ที่แท้เป็นสารเลวตัวใดที่ทำร้ายเจ้าจนกลายเป็นเช่นนี้”
มองสีหน้าท่าทางของเขา ดมกลิ่นคุ้นเคยบนร่างของเขา ในใจฉันพลันรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา เศษเสี้ยวความทรงจำทะลักเข้ามาในสมองอีกครั้ง ทำให้ฉันโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว “พี่ชาย…จอม…จอมมารวัวกระทิง…”
“น้องสาวบุญธรรม!” จอมมารวัวกระทิงดีใจเป็นล้นพ้น “เจ้าจำข้าได้แล้ว?!”
ฉันยืนขึ้นมา ลูบบ่าเขาที่นั่งอยู่ มองน้ำหยดหนึ่งที่ไหลออกมาจากดวงตาของเขา อดที่จะเลียไปเบาๆ ทีหนึ่งไม่ได้ พยายามพลิกหาถ้อยคำที่เหมาะสมในสมอง “พี่ชาย…อย่าร้องไห้…”
“ข้าไม่ได้ร้องไห้! เพียงแต่ลมแรงเกินไป เม็ดทรายเลยเข้าตา!” จอมมารวัวกระทิงรั้งตัวข้าเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนด้วยความตื้นตันใจพลางขยี้ตา
อิ๋นจื่อที่อยู่ด้านข้างจู่ๆ ก็มองไปที่ด้านหลังของพวกเรา ปากอ้าตาค้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
“อิ๋น…อิ๋นจื่อ…” ชื่อของเขาปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ ไม่รู้เพราะอะไรภาษาและความคิดเริ่มพลันเปลี่ยนเป็นไหลลื่นมากขึ้น แม้แต่คำเรียกแทนตัวต่างๆ ก็ไม่เหมือนเดิม ข้าเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้ากำลังทำอะไร”
จอมมารวัวกระทิงก็สังเกตเห็นความผิดปกติ จึงเอียงหน้าไปมองเขา “เป็นอะไรไป”
“ข้าง…ข้างหลัง…” อิ๋นจื่อชี้มือไปทางข้างหลังพวกเรา เหงื่อเย็นไหลผ่านหน้าผากเขาเป็นหยดๆ “พี่…พี่สะใภ้…”
“ดี…ดียิ่งนัก ชายมักมากกับแมวมั่วโลกีย์คู่นี้!” ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความโกรธแค้นดังมาจากด้านหลัง “ถึงกับกล้าปิดบังข้ามามั่วโลกีย์อยู่ด้วยกันเชียวรึ!”
ข้าไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร จอมมารวัวกระทิงกลับตกใจรีบปล่อยมือที่กอดข้าทันที หันหน้าไปด้วยความร้อนรน
พร้อมกับที่เขาหันหน้าไป ข้าก็เห็นหญิงในวัยที่ออกเรือนแล้วท่าทางดูฮึกเหิมองอาจห้าวหาญผู้หนึ่ง สวมเสื้อเกราะรัดรูป มือถือกระบี่คมสาดประกายเย็นยะเยียบคู่หนึ่ง เวลานี้ดวงตารูปเมล็ดซิ่งเบิกกว้าง คิ้วงามดุจกิ่งหลิวชี้ชัน มองข้ากับจอมมารวัวกระทิงอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เหมือนอยากจะฉีกพวกเราทั้งสองเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด!” จอมมารวัวกระทิงกระโดดขึ้นมา โบกไม้โบกมือไม่หยุดด้วยความร้อนรน
หญิงผู้นั้นมองข้าวของที่เกลื่อนกลาดเต็มพื้น มองเสื้อคลุมที่ข้าสวมอยู่บนร่าง ทันใดนั้นนางก็กวัดแกว่งกระบี่ฟาดฟันใส่จอมมารวัวกระทิงอย่างดุดัน “ข้าจะฆ่าเจ้า ชายทรยศ! ชั่วช้าสามานย์ยิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉาน! แม้แต่น้องสาวตนเองก็ไม่ละเว้น!”
โปรดติดตามตอนต่อไป