หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดข้าก็นึกคำที่อยู่ในความทรงจำของตนออกมาได้ และบอกพวกเขาด้วยน้ำเสียงมั่นใจและเด็ดขาด “เขาบอกเขาชื่อเทพเอ้อร์หลาง!”
คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา ทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าก็ตกอยู่ในสภาพอึ้งตะลึง เป็นนานก็ยังไม่ได้สติ ข้าจึงแทะกระดูกไก่ย่างที่ทิ้งอยู่ข้างทางต่อ
“คงไม่…ไม่ใช่หยางเจี่ยน เทพเอ้อร์หลางแห่งแดนสวรรค์กระมัง” หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดอิ๋นจื่อก็ได้สติกลับคืนมา และตะกุกตะกักถามขึ้น
ข้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนตัวอักษรไม่กี่คำตรงหน้าล้วนถูกต้อง จึงพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” จอมมารวัวกระทิงเอามือลูบศีรษะพลางกระโดดขึ้นมา “เทพเอ้อร์หลางหาใช่สุนัข!”
อิ๋นจื่อยับยั้งความบุ่มบ่ามหุนหันของเขาด้วยความสุขุมเยือกเย็น “อย่าลืมว่าคนผู้นี้สามารถแปลงกายได้เจ็ดสิบสองร่าง ต่อให้แปลงกายเป็นสุนัขลงมาแดนมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คงไม่ใช่สุนัขตัวนั้นของเขาหรอกนะ เป็นไปไม่ได้ที่สุนัขตัวนั้นจะเอาชนะลูกพี่และทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้กับนางได้”
“ไม่ผิด…กำลังความสามารถของน้องสาวบุญธรรมนับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของปีศาจ จะถูกสุนัขโง่งมตัวนั้นเอาชนะได้อย่างไร” จอมมารวัวกระทิงนั่งลงไปใหม่อย่างอับจนปัญญา “แต่…เทพเอ้อร์หลาง…ครั้งนี้ออกจะจัดการลำบากแล้ว เจ้าว่าเหตุใดเขาจึงมาถูกใจน้องสาวบุญธรรมเข้าได้”
“เฮ้อ…” หลัวช่ามองประเมินข้าขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้ง ก่อนเอ่ยว่า “จะโทษก็ต้องโทษน้องสาวที่รูปร่างหน้าตางดงามเพียงนี้ แม้แต่สตรีด้วยกันเห็นแล้วยังนึกรัก เทพเอ้อร์หลางจิตใจหวั่นไหวก็ใช่จะไม่มีเหตุผล”
พวกเขาสามคนจับกลุ่มปรึกษาหารือกันอยู่เป็นนาน เนื่องจากเทพเอ้อร์หลางเป็นเทพเซียนที่ทุกคนไม่อาจต่อกรด้วยได้ ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าเพื่อรักษาชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของข้าจึงจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพียงบอกกับผู้คนภายนอกว่าข้าหกล้มสมองเลอะเลือน เรื่องแก้แค้นรอไว้วันหน้าค่อยว่ากัน
คำตอบข้างต้นอิ๋นจื่อสรุปแล้วนำมาบอกข้า หลังจากเขาอธิบายอยู่นานข้าจึงเข้าใจความหมายทั้งหมด นั่นก็คือข้าไม่อาจไปสั่งสอนสุนัขที่ข่มเหงรังแกข้าตัวนั้นได้…
ข้อสรุปนี้ทำให้ข้าโกรธแค้นยิ่ง จึงประท้วงด้วยการหมอบอยู่กับพื้นไม่ยอมขยับตัวอยู่เป็นนาน กระทั่งหลัวช่ารับปากว่าจะทำปลาหลี่ ตัวอ้วนๆ สวยๆ ให้ข้ากินตัวหนึ่ง ข้าจึงฝืนใจยอมเห็นด้วยที่จะปล่อยสุนัขชั่วช้าตัวนั้นไป
เรื่องที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับต่อมาก็คือเรื่องมงคลสมรสที่จอมมารคชสารเสนอมา อิ๋นจื่อบอกทางที่ดีควรปฏิเสธอย่างนุ่มนวลไปก่อน พยายามอย่าไปจุดชนวนสงครามขึ้นมา พวกเขาถกปัญหากันถึงช่วงท้ายสุดก็เห็นพ้องต้องกันว่าเวลานี้สิ่งสำคัญที่สุด ยังคงต้องพาข้ากลับไปภูเขาลั่วอิง สวมเสื้อผ้าก่อนค่อยไปดูตัว
ข้าได้ยินคำว่า ‘เสื้อผ้า’ สองคำก็คัดค้านอย่างหนักทันที เกลือกกลิ้งไปมาอยู่กับพื้น ไม่เห็นด้วยที่จะสวม ไม่ว่าอิ๋นจื่อจะเกลี้ยกล่อมหลอกล่อจนปากแทบฉีกอย่างไรก็ไม่เป็นผล
สุดท้ายหลัวช่าก็ผลักเขาออกไป เข้ามายืนตรงหน้าข้า บอกอย่างเฉียบขาด “ถ้าเจ้าไม่สวมเสื้อผ้า ก็ให้ผีที่หิวโหยในนรกจับตัวไปเสียบไม้ย่างไฟกินเสีย!”