ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน แม่ครัวเคี่ยวรัก ชุด คุณชายสกุลเนี่ย
พอกำปั้นหนักๆ กระหน่ำลงมา เหมียวอวี๋เอินก็สูดหายใจเฮือก พยายามออกแรงผลักเขาออก แต่กลับพบว่าเขาหมุนตัวกลับมาใช้แขนทั้งสองข้างคุ้มกันนางไว้
“คะ…คุณชายเนี่ย ถอยไปสิ คนที่พวกมันอยากเล่นงานคือข้า…” เขาไม่ได้กอดนาง เพียงแต่ใช้แขนโอบรอบตัวจนนางขยับลำบาก ขณะที่ก้มศีรษะลงมาบังหน้านางไว้ จนนางแทบได้กลิ่นบุรุษอวลออกมาจากร่างเขา
“คะ…คุณชายเนี่ย!” นางร้องขึ้นอีก ขณะพยายามใช้มือผลัก แต่เขาไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว
หมัดยังคงรัวเข้าใส่แผ่นหลังกว้างอย่างต่อเนื่อง นางใจเต้นแรง กลัวว่าเขาอาจถูกต่อยจนตายหรือสลบไปทั้งอย่างนี้…
“ไม่ต้องส่งเสียง หมัดแค่นี้ไม่คณนาข้าหรอก” เขากระซิบข้างหูนางเบาๆ
“ตะ…แต่…” สวรรค์! ไม่เคยเลย ไม่เคยมีใครทำเช่นนี้เพื่อนางเลย! นางต้องตอบแทนเขาอย่างไรถึงจะชดใช้ได้หมด
ทันใดนั้น นางพลันยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพลางกางนิ้วให้กว้างที่สุดและโอบรอบตัวไปยังหลังเขาเพื่อปกป้องแผ่นหลังหนา ในเมื่อผลักเขาออกไปไม่ได้ ก็ให้ต่อยลงมาบนมือนางแล้วกัน จะได้ติดค้างเขาน้อยลงสักนิด
“ทำอะไรของเจ้า!” เนี่ยชีถามด้วยความโมโห พยายามดึงแขนนางกลับมา แล้วพลันเห็นนัยน์ตาของหญิงสาวหดเกร็ง
เพลิงโทสะลุกโชติช่วงขึ้นในอก เขาบีบประคำทั้งเส้นแตกโดยไม่รู้ตัว พร้อมหันขวับไปเงื้อเท้าถีบ แต่กลับพบว่าโอวหยางเคลื่อนไหวเร็วกว่า จัดการถีบพวกนักเลงกระเด็นออกจากตรอกไปแล้ว
“นายน้อย…” โอวหยางชะงัก มองเศษลูกประคำบนพื้นด้วยความอึ้งงัน ประคำเส้นนี้อยู่กับนายน้อยเจ็ดมาสิบปีแล้ว ตั้งแต่พกประคำติดตัวก็ไม่เคยเห็นนายน้อยเจ็ดโมโหหรือใช้กำลังต่อยตีกับใครที่ไหน เหตุใด…
“บาดเจ็บใช่หรือไม่” เนี่ยชีถามอย่างร้อนใจเมื่อเห็นนางทำหน้านิ่วงอนิ้ว
“ข้าว่า…น่าจะไม่เป็นไรกระมัง” นางเจ็บอยู่บ้าง แต่น่าจะยังทำอาหารได้อย่างไม่มีปัญหา
“ให้หมอดูหน่อยหรือไม่”
“หา? มะ…ไม่ต้องยุ่งยากหรอก” เหมียวอวี๋เอินเงยหน้ายิ้มให้เขาอย่างตื้นตัน “ขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยเหลือ หากไม่ได้คุณชาย น่ากลัวว่าข้า…”
“น่ากลัวว่าคงโดนพวกมันซัดจนลงไปกองกับพื้นแล้ว ในเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีกำลังสู้ เหตุใดถึงไม่แกล้งรับปากไปก่อนค่อยคิดหาทางแก้ปัญหาอีกทีเล่า” เขาถามอย่างมีโมโห
“ต่อให้รับปากไปก่อน ถึงอย่างไรก็ต้องโดนซ้อมอยู่ดี จะโดนซ้อมเร็วหรือโดนซ้อมช้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
“ดังนั้นเจ้าเลยเต็มใจให้มันซ้อม? ไม่คิดจะหาคนช่วยบ้างหรือ” ไม่คิดจะมาขอให้เขาช่วยบ้างหรือไร
หนึ่งปีมานี้เขาแวะกินโจ๊กร้านนางทุกวัน ไม่เคยเห็นนางถูกรังแกมาก่อน ชายหนุ่มหรี่ตา โทสะที่คุ้นเคยดีพลุ่งพล่านอยู่ในอก ทั้งเร็วทั้งแรงเหมือนวันนั้นเมื่อสิบปีก่อนไม่มีผิด
“หา…หาคนช่วย?” แม้แต่จะคิดยังไม่เคยด้วยซ้ำ นางก้มหน้าลงคล้ายกำลังพูดกับตัวเอง “หาคนช่วยก็ต้องติดค้างหนี้น้ำใจ จะใช้คืน…ใช่จะทำได้ง่ายๆ…”
“เจ้า…” มาหาเขานี่อย่างไรเล่า แม้จะเคยพูดคุยกันจริงจังแค่ยกนิ้วนับได้ แต่หากพบเจอความอยุติธรรมก็มาหาเขาสิ
“เอาเป็นว่าขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยเหลือ ท่าน…ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่” นางถามอย่างห่วงใย
“ร่างกายข้าแข็งแกร่งกว่าสตรีคนหนึ่งเยอะนัก หากโดนต่อยไม่กี่ทีก็ร้องโอดโอย ไม่ถูกหัวเราะเยาะเอาแย่หรือ” เขาตอบอย่างเคืองๆ
“เช่นนั้น…เช่นนั้นข้าจะตอบแทนท่านอย่างไรดี”
“ตอบแทน? เจ้านึกว่าข้าช่วยเจ้าเพราะอยากให้เจ้าตอบแทนหรือ”
นางผงะ แทบจะโพล่งออกไปอยู่แล้วว่า ‘ช่วยคนก็อยากได้สิ่งตอบแทนทั้งนั้นไม่ใช่หรือ’ ทว่าสีหน้าของชายหนุ่มทำให้นางกลืนคำพูดลงคอโดยไม่รู้ตัว
เนี่ยชีถลึงตาจ้องหญิงสาวตรงหน้าอย่างรู้ทันความคิดนาง “โอวหยาง พาแม่นางเหมียวไปส่ง เผื่อนักเลงพวกนั้นจะกลับมาอีก” โมโหนางก็โมโห โมโหตัวเองก็โมโห เขาจ้องเศษลูกประคำบนพื้นอยู่นาน ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
เหมียวอวี๋เอินมองตามตาไม่กะพริบ
“ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรก…” นางพึมพำ
“อะไรหรือ” โอวหยางถามขึ้น
นางส่ายหน้า ไม่พูดอะไรอีก
เป็นครั้งแรกที่มีคนช่วยนางโดยไม่หวังผลตอบแทน สร้างความซาบซึ้งตื้นตันให้นางอย่างมาก เขาต่อยตีกับคนไม่เป็นก็ยังอุตส่าห์ช่วยนาง บางที…บางทีพรุ่งนี้เขาอาจมาเรียกร้องสิ่งตอบแทนก็ได้ แต่อย่างน้อยวันนี้นางได้มีความทรงจำเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น…
ริมถนนใหญ่หน้าร้านขายยา ตรงที่เป็นแผงขายโจ๊กกลับว่างเปล่า
เนี่ยชีเหลือบตามองท้องฟ้าด้วยความแปลกใจ เวลานี้นางต้องมาตั้งแผงนานแล้วไม่ใช่หรือ
“คุณชายเนี่ยมากินโจ๊กอีกแล้วหรือ ไม่ต้องรอแล้วล่ะ เมื่อคืนพวกอวี๋เอินย้ายออกไปกันตอนกลางดึก” ป้าจางส่ายหน้าถอนหายใจ “ไม่สั่งเสียอะไรสักคำ ทำเอาเสี่ยวชุ่ยบ้านข้าร้องไห้จะเป็นจะตาย”
“ย้ายออกไป?”
“ใช่ รู้สึกว่าบุรุษบ้านพวกนางจะกลับมาแล้ว…”
บุรุษ?!
บุรุษของผู้ใด
ของเหมียวอวี๋เอินหรือว่าของสตรีที่ชื่อตงหยานั่น
“หรือจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของนางขอรับ” โอวหยางผู้อารักขาประจำตัวเห็นนายน้อยยืนอยู่ตรงพื้นว่างๆ ก็รีบเดินเข้ามา จึงได้ยินคำพูดของป้าจางเข้าพอดี “นายน้อย เมื่อวานตอนบ่าวพาแม่นางเหมียวไปส่งที่บ้าน เห็นบุรุษคนหนึ่งยืนอยู่หน้าบ้าน แม่นางเหมียวร้องเรียกว่าศิษย์พี่ ท่าทางตื่นเต้นดีใจอย่างมาก…บุรุษคนนั้น…น่าจะรู้วรยุทธ์ขอรับ”
ศิษย์พี่ใหญ่? ตัวนางไม่รู้วรยุทธ์เลยนี่นา
เนี่ยชีหลุบตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกในใจซับซ้อนสับสนยากจะบรรยาย บอกไม่ถูกว่าความใจหายเสียดายนี้เกิดขึ้นเพราะคนหรือเพราะโจ๊ก…
ดวงตาคมเหลือบมองพื้นว่างๆ รู้สึกเหมือนยังเห็นนางต้มโจ๊กหั่นผักอย่างคล่องแคล่วอยู่ตรงนั้น นางไม่ชอบยิ้ม ไม่ชอบพูด ระหว่างขายโจ๊ก เวลาที่นางพูดมากที่สุดก็คือพูดกับเขา
‘โจ๊กเหมือนเดิมใช่หรือไม่’
‘อืม’
ไม่คว้าจับไว้ สุดท้ายก็ต้องคลาดกัน ไม่เคยถามความรู้สึก ทำได้แค่เก็บภาพนางไว้ในความทรงจำ จะโทษใครได้ นอกจากโทษตัวเองที่นึกว่าทุกวันจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นึกว่าขอแค่มาหาทุกวันก็จะยังได้เห็นนางต่อไป
เช่นนั้นก็…สมน้ำหน้าตัวเองแล้ว
(ติดตามต่อได้ในเล่ม)