ทดลองอ่าน แม่ทัพอยู่บน ข้าอยู่ล่าง บทที่ 1 – บทที่ 11 – หน้า 10 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพอยู่บน ข้าอยู่ล่าง บทที่ 1 – บทที่ 11

บทที่ 10

แท้จริงแล้วเยี่ยเจามาหาหูชิงด้วยเรื่องที่คณะทูตตงซย่าจะมาเยือน ส่วนการไล่เลียงเอาความเป็นแค่เรื่องรองเท่านั้น

ต้าฉินเป็นแคว้นที่เจริญด้วยขนบธรรมเนียมอันดีงาม จักรพรรดิมีบัญชาว่าจะต้องแสดงบารมีราชวงศ์แห่งสวรรค์ให้พวกชนเผ่าป่าเถื่อนได้ประจักษ์ กรมพิธีการได้กำหนดแผนการต้อนรับคณะขององค์ชายอีนั่วแห่งตงซย่าไว้แล้ว จากนั้นก็จะเข้าสู่ช่วงตระเตรียมงานในส่วนรายละเอียดปลีกย่อยต่อไป

น่าเสียดายที่ตงซย่ามีเขตแดนติดกับหมานจิน ในกาลก่อนจึงมีสันถวไมตรีกับต้าฉินน้อยนิดอย่างยิ่ง ประเพณีและภาษาของทั้งสองแคว้นก็แตกต่างกันมาก เวลากระชั้นชิดเช่นนี้จะหาผู้ที่รอบรู้เรื่องนี้สักคนออกจะฉุกละหุกอยู่บ้าง

หูชิงเป็นคนฉลาดหลักแหลมมาแต่เกิด ในช่วงแปดปีของการเดินทัพ เขาเรียนรู้ภาษาท้องถิ่นของแคว้นรอบโม่เป่ยเจ็ดแปดแคว้นได้อย่างแตกฉาน อีกทั้งเข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นมา วิถีชีวิต รวมถึงประเพณีข้อห้ามของพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง กรมพิธีการจึงตั้งใจส่งเยี่ยเจามาเชิญหูชิงไปร่วมปรึกษาหารือเรื่องนี้

หลังจากหูชิงฟังจบก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ออกความเห็นอย่างสุขุม

“ไสหัวไปไกลๆ เลย!”

 

อีกด้านหนึ่ง ซย่าอวี้จิ่นทำใจยอมรับไม่ได้อย่างมากที่ถูกภรรยาแทะโลมเมื่อวาน เขานอนอยู่บนเตียง หมายจะลืมเลือนเรื่องน่าชิงชังไปเสีย ทว่าความทรงจำของคนเราช่างใฝ่ต่ำสิ้นดี ความรู้สึกถูกคุกคามที่ชวนให้ใจเต้นระทึกและความวาบหวิวที่แทรกขึ้นกลางความตื่นตระหนกราวกับยังวนเวียนอยู่ในกาย

เขาพลิกตัวไปมา ในห้วงความคิดมีแต่รอยยิ้มดุจปีศาจร้ายของอีกฝ่าย ทำอย่างไรก็ลืมไม่ลง ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ ได้แต่ลอบก่นด่าเยี่ยเจาอยู่ในใจเป็นร้อยตลบ ยามขอบฟ้าปรากฏแสงสลัวขึ้นเขาถึงหรี่ตาลงหลับไปไม่ลึกนักในที่สุด

ไม่คาดว่าจักรพรรดิจะมีพระราชโองการในตอนประชุมขุนนาง ให้เสนาบดีกรมพิธีการเป็นผู้ดำเนินการนำเจ้าเมืองนครหลวง ผู้ตรวจการนครหลวง และกองกรมต่างๆ ต้อนรับคณะทูตตงซย่า

เสนาบดีกรมพิธีการส่งคนสนิทมาที่กองตระเวนตรวจเพื่อเชิญผู้ตรวจการนครหลวงโดยเฉพาะ เหล่าหยางโถวได้รับคำสั่งก็รอแล้วรอเล่า ทว่าซย่าอวี้จิ่นไม่มาสักที เขารอจนทนไม่ไหวแล้วก็พุ่งตรงไปที่วังหนานผิงจวิ้นอ๋องแต่ไม่พบตัว เขาจึงวิ่งไปที่วังอันอ๋องอีก เมื่อได้วรชายาอันไท่เฟยเป็นผู้บอกความ เขาถึงปลุกผู้ตรวจการนครหลวงที่แสร้งตายอยู่บนเตียงให้ลุกขึ้นมาได้

ซย่าอวี้จิ่นอ้าปากหาว หงุดหงิดใจที่ถูกบังคับให้ไปประชุมที่กรมพิธีการ

เสนาบดีกรมพิธีการเบิกตาที่ไม่ใหญ่กว่าเมล็ดแตงสักกี่มากน้อย ลูบเคราแพะที่มีอยู่สามกระจุกแล้วยิ้มตาหยีขณะมอบหมายงานให้เขา

“คณะทูตตงซย่าจะมาเยือนกลางเดือนหน้าและอยู่พำนักราวสิบวัน ในช่วงเวลานี้หวังว่าจะมีเรื่องขโมยขโจรและอันธพาลนักเลงหัวไม้ก่อกวนน้อยลงบ้าง คงต้องรบกวนจวิ้นอ๋องให้ลำบากเพิ่มขึ้นแล้วขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นผงกศีรษะคล้ายลูกไก่จิกเมล็ดข้าวกิน

เสนาบดีกรมพิธีการมอบหมายงานต่อไป

“คณะทูตจะเคลื่อนผ่านทางถนนเต่านิลและถนนตามสวรรค์ ฉะนั้นถนนหนทางจะต้องสะอาดหมดจด ไม่มีขยะปรากฏให้เห็น ขอให้จวิ้นอ๋องตรวจตราการทำความสะอาดด้วยขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นผงกศีรษะเป็นลูกไก่จิกเมล็ดข้าวกินต่อไป

ผ่านไปชั่วครู่เขาตื่นจากสัปหงกแล้วดึงตัวอีกฝ่ายมาถามไถ่

“เจ้าจะให้ข้าไปกวาดถนนรึ”

เสนาบดีกรมพิธีการปฏิเสธ

“ถ้อยคำนี้ของท่านผิดถนัด มิใช่ให้ท่านลงมือกวาดถนนด้วยตัวเอง หากแต่ตรวจตราการกวาดถนน อีกประการหนึ่ง…จักรพรรดิก็ทรงไม่หวังให้ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยขนาดนั้นหรอกขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นแจ่มแจ้งในบัดดล

“ข้ากลับไปจะตรวจตราเหล่าหยางโถวด้วยตัวเอง แล้วให้เหล่าหยางโถวตรวจตราการกวาดถนนด้วยตัวเอง”

“ได้เช่นนี้ก็ดียิ่งนักขอรับ”

เสนาบดีกรมพิธีการเบาใจในที่สุด ไม่ต้องเป็นห่วงอีกต่อไปแล้วว่าพญามารจะทำเสียเรื่องจนพลอยมาทุบหม้อข้าวของเขาไปด้วย

ซย่าอวี้จิ่นรับงานเสร็จก็คิดจะกลับไปนอนชดเชยที่กองตระเวนตรวจ ระหว่างทางเหลือบมองไปที่ศาลารับรองแขกแวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ กลับเห็นร่างคนสองคนนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือซึ่งทำจากไม้แดง กำลังหารือเรื่องอะไรบางอย่างอยู่

ท่านแม่ทัพทางด้านซ้ายมีสีหน้าเฉยเมย เคร่งขรึมน่าเกรงขาม แลดูเพียบพร้อมด้วยศีลธรรมจรรยา แม้กล่าววาจาไม่มาก ทว่าทุกถ้อยทุกคำล้วนชัดเจนเฉียบขาดชวนให้ยอมรับนับถือ ขณะที่กุนซือทางด้านขวาวางตัวได้พอเหมาะพอดี ไม่โอหังไม่ต่ำต้อย สุภาพนุ่มนวล แลดูเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งเหนือใคร ถ้อยคำเสนอความคิดพรั่งพรูออกจากปากอย่างลื่นไหลไม่ติดขัด ทั้งน่าสนใจและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันอย่างคนเจ้าคารม

ช่างเป็นพวกคดในข้องอในกระดูกที่เข้าคู่กันได้เหมาะเจาะลงตัวราวกับผีเน่ากับโลงผุโดยแท้!

ซย่าอวี้จิ่นมองคนบัดซบไร้ยางอายคู่นี้ด้วยสายตาดุดันที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากให้เยี่ยเจากระจ่างแจ้งถึงความโกรธแค้นในใจตน

นางสัมผัสได้ถึงสายตา ‘อบอุ่น’ ของเขาก็ชะงักไปเล็กน้อยครู่หนึ่งแล้วยินดียกใหญ่ เอ่ยถามหูชิงเสียงแผ่ว

“นี่สามีข้า…ส่งสายตาสื่อความในใจมาให้ข้าอยู่หรือ”

หูชิงพินิจดูซ้ำๆ อย่างจริงจัง นิ่งคิดแล้วตอบอย่างมั่นใจ

“ไม่ผิด”

ซย่าอวี้จิ่นยังคงถลึงตาใส่ภรรยาอย่างเต็มที่ พลันเห็นนางหันศีรษะมาส่งยิ้มบางๆ ให้

ดวงตาเย็นชาคู่นั้นคล้ายหิมะหลอมละลาย มิหนำซ้ำหางตายังโค้งขึ้นอีกด้วย อ่อนโยนได้มากเท่าไรก็อ่อนโยนมากเท่านั้น เขามองจนตาค้างไปหมด ไม่กระจ่างแจ้งว่าเหตุใดตัวเองแสดงท่าทางดุดันแล้วนางยังอารมณ์เย็นอยู่ได้

อันว่าไม่ยื่นมือตีผู้แย้มยิ้มให้ แม้เขาจะแค้นใจมากก็ละอายใจเกินกว่าจะอาละวาดอยู่ที่นี่ต่อไป คิดจะเดินกลับไปอย่างห่อเหี่ยว

เยี่ยเจารีบส่งคนมาบอกความ

“จวิ้นอ๋องโปรดหยุดก่อน รอกลับพร้อมท่านแม่ทัพด้วยขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นพยักหน้ารับ แต่แล้วกลับหันหลังวิ่งจากไปด้วยความว่องไวยิ่งกว่ากระต่าย

เยี่ยเจามองหูชิงด้วยสีหน้าขุ่นข้องขณะเอ่ยถาม

“นี่…”

หูชิงไขความกระจ่างโดยไม่รอนางกล่าวจบ

“เขากำลังขวยอาย”

เยี่ยเจาตกอยู่ในภวังค์ความคิด คิดว่าบางทีที่นางแทะโลมเขาด้วยความเมาอาจเป็นการกระทำที่ใจเร็วด่วนได้เกินไป

ยังจำได้ว่าตอนเด็กนางขโมยจูบแก้มสาวน้อยที่เป็นญาติกัน ส่งผลให้อีกฝ่ายร้องไห้น้ำตาไหลพรากไม่หยุดอย่างน่าสงสาร นางกลัวแต่ว่าจะถูกบิดามารดาดุด่า จำต้องปีนขึ้นไปเด็ดดอกไม้บนต้นไม้ แสร้งทำท่าตลกขบขันเหมือนลิง ซื้อถังหูลู่ ขนมดอกพลับ ให้สัญญาเรื่องนั้นเรื่องนี้ พูดปลอบอยู่สามวันเต็มๆ ถึงทำให้ญาติผู้นั้นหันหน้ามาได้

ทว่าซย่าอวี้จิ่นมิใช่กุลสตรี มิใช่หญิงคณิกา หากแต่เป็นสามีนาง เป็นบุรุษหนุ่มเต็มตัว ต่อให้นางผลักเขาล้มลงนอนแล้วรวบหัวรวบหางก็เป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม ไม่จำเป็นต้องทำแง่งอนด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นการพลอดรักตามประสาสามีภรรยากระมัง

หูชิงพินิจพิเคราะห์

“เขารู้สึกว่าคนที่เจ้าลวนลามเมื่อก่อนมิใช่ตัวเองเลยหึงหวงน่ะสิ”

เยี่ยเจาสบช่องปลอดคน คว้าคอเขาไว้แล้วถามว่าอยากลิ้มรสกระบวนท่าใหม่ที่สุดของมวยปล้ำตงซย่าหรือไม่

หูชิงรีบเอ่ยแก้

“มีบุรุษที่ไหนกันถูกสตรีแทะโลมแล้วดีใจบ้าง”

เยี่ยเจาบอกคำตอบได้อย่างรวดเร็ว

“หอคณิกา?”

ถึงจะถูกโกรธอย่างไร้เหตุผล เยี่ยเจาก็รู้สึกว่ายามซย่าอวี้จิ่นแง่งอนช่างน่ารักนักหนา ความรู้สึกที่ได้จุมพิตเขาก็ไม่เลวจริงๆ โดยเฉพาะดวงตาแตกตื่นลนลานเพราะความตกใจคู่นั้นละม้ายคล้ายเพียงพอนหิมะที่นางเคยไล่ตามตอนล่าสัตว์อย่างไม่ผิดเพี้ยน

โจมตีเร็วเกินไปจะทำให้เหยื่อตกใจวิ่งหนี ต้องวางกับดักล่อออกมาแล้วค่อยๆ ต้อนให้จนมุมทีละก้าว

ซย่าอวี้จิ่นหยิ่งในศักดิ์ศรีตนอย่างมาก สามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะถือใจตัวเองเป็นใหญ่เกินไปมิได้เด็ดขาด อย่างไรก็ต้องให้ยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่ายถึงจะดี สมรภูมิรักดุจสนามรบ ย่อมต้องมีเรื่องเหนือความคาดหมายที่ไม่อาจควบคุมได้ สำคัญที่สุดคือต้องกลับมากุมสถานการณ์ให้อยู่หมัดดังเก่า

ส่วนใหญ่เยี่ยเจามักเยือกเย็นเสมอ นางสะกดอารมณ์ชั่วแล่นที่จะไปแทะโลมซย่าอวี้จิ่นเพื่อสร้างความใกล้ชิดสนิทสนมกันอีกครั้งแล้วเริ่มวางแผนใหม่

 

ซย่าอวี้จิ่นกำลังกลัดกลุ้มใจ

ในครั้งนั้นตอนเขาถูกเศรษฐีนักเดินเรือหนวดเคราเฟิ้มแทะโลมที่หอชายบำเรอ เขารู้สึกแต่เพียงอยากสำรอก คราใดที่คิดถึงขึ้นมาล้วนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย ทว่าตอนถูกเยี่ยเจาแทะโลม จุมพิตที่เคล้ากลิ่นหอมอ่อนๆ นั้นกลับไม่ทำให้เขารู้สึกพะอืดพะอมใดๆ มีแต่ทำให้เขาใจเต้นรัวและตื่นตกใจ

บางทีอาจเป็นเพราะเยี่ยเจาเป็นสตรี ทั้งยังเป็นภรรยาเขา

บางทีอาจเป็นเพราะแม้เยี่ยเจาจะสมชายชาตรี ทว่ารูปโฉมไม่เลว

บางทีอาจเป็นเพราะท่าทีที่นางปฏิบัติต่อเขา เมื่อเปรียบเทียบกับที่นางปฏิบัติต่อผู้อื่นแล้วนับว่าไม่เลวจริงๆ

กระนั้นทั้งหมดนี้ไม่อาจใช้เป็นเหตุผลที่เขาจะลดตัวลงไปให้อภัยนาง ภรรยาที่ทำตัวเป็นอันธพาลลวนลามบุรุษจะเอาไว้มิได้เด็ดขาด

ด้วยเหตุนี้ซย่าอวี้จิ่นจึงไม่แยแสการประจบเอาใจของเยี่ยเจา ทุกวันตรงดิ่งไปยังกองตระเวนตรวจ ยามเช้างีบหลับ ตกบ่ายจับพวกลักเล็กขโมยน้อยมาด่าสั่งสอน และจับตาดูเหล่าหยางโถวพาคนไปกวาดถนน จากนั้นตรวจงานสามสี่รอบจนดึกดื่นค่อนคืนถึงกลับวัง

ทุกคนต้องวิ่งวุ่นกันหัวปั่น น้ำตาคลอเบ้า วันๆ จุดธูปบนบานศาลกล่าวขอให้จักรพรรดิถอดหมวกขุนนางเขาเร็วๆ ให้เขากลับบ้านไปอาศัยภรรยาเลี้ยงดู

เยี่ยเจาหัวเสียด้วยเรื่องนี้เป็นอันมาก แม้นางจะควบคุมตัวเองได้ดี ไม่ระบายโทสะลงที่คนอื่น แต่พวกทหารในค่ายมองเห็นสีหน้าน่ากลัวของท่านแม่ทัพก็คิดถึงพฤติการณ์ที่ผ่านมาของนาง บันดาลให้รู้สึกกระวนกระวายใจกันอย่างมาก

มีทหารหลายนายที่รู้จักซย่าอวี้จิ่นได้รับการไหว้วานจากพี่น้องคนอื่นให้ไปพูดกับเขาทั้งทางตรงและทางอ้อม พร้อมถ่ายทอดวิธีเอาใจภรรยาสารพัดอย่างให้ เพียงหวังว่าเขาจะมีจิตใจเสียสละบ้างสักนิด รีบอ่อนข้อให้ท่านแม่ทัพโดยไวเพื่อให้กองทัพนครหลวงได้พบฟ้าหลังฝนสักที ทุกคนจะได้ไม่ต้องเห็นสีหน้าบูดบึ้งของพญายมอีกต่อไป

ท่ามกลางความโกลาหลในครอบครัวและการงานที่ยุ่งวุ่นวาย พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว องค์ชายอีนั่วจะนำพาคณะทูตหนึ่งร้อยสี่สิบสามคนเข้าสู่เมืองหลวงในวันพรุ่งนี้

รุ่งเช้าวันต่อมาคณะทูตตงซย่าเดินทางมาถึงนอกเมืองอย่างยิ่งใหญ่โอ่อ่า จากนั้นทำการปลดอาวุธก่อนจะเคลื่อนขบวนผ่านถนนเต่านิล มุ่งหน้าสู่ประตูฉงเหวินพร้อมขุนนางกรมพิธีการและทหารของต้าฉินแปดร้อยนาย

เหล่าชาวเมืองให้ความสนใจชนเผ่าป่าเถื่อนซึ่งมาจากตงซย่า พากันแสดงอัธยาศัยไมตรีอันอบอุ่นด้วยการแห่แหนไปจับจองที่นั่งในหอสุราและร้านน้ำชาทุกแห่ง ตั้งวงซุบซิบนินทาพลางชะเง้อคอยาวรอดูกันอย่างครึกครื้นเช่นเคย

ซย่าอวี้จิ่นก็มีนิสัยอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน พอตรวจตราการทำความสะอาดเป็นครั้งสุดท้ายเสร็จก็วิ่งไปที่ร้านน้ำชาใหญ่ที่สุดริมถนนสงบสุข บังคับเถ้าแก่หาที่นั่งให้จนได้ จากนั้นเขาก็แทะเมล็ดแตง ดื่มชาหอมอร่อย รอดูว่าองค์ชายอีนั่วที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วดุจเดียวกันจะมีรูปลักษณ์หยาบช้าป่าเถื่อนเช่นไร

ฝ่ายเยี่ยเจาซึ่งค่อยๆ ต้อนเขาให้จนมุมอยู่นั้น ระยะนี้ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่เป็นต้องแวะเวียนมาหาเขาเสมอ ตอนนี้พวกทหารที่เดินตามองค์ชายอีนั่วมาจากค่ายของนาง นางเลยใช้เป็นเหตุผลได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่วางใจคณะทูตตงซย่า ต้องการจับตาดูว่าเจ้าพวกชาติสุนัขจะก่อความวุ่นวายหรือไม่ จากนั้นก็โยนงานอักษรให้หูชิงแล้วหลบมาที่ร้านน้ำชาด้วย

นางแทรกตัวลงนั่งข้างๆ ซย่าอวี้จิ่น ร่วมวงรอดูเป็นเพื่อนเขา

ซย่าอวี้จิ่นจะหมางเมินภรรยาต่อหน้าผู้คนมากมายก็ไม่เป็นการดีนัก อีกทั้งไม่อยากโดนภรรยาแทะโลมต่อหน้าธารกำนัลจนต้องเสียหน้า เขาจึงได้แต่ยิ้มที่มุมปาก ปล่อยให้นางแกะเปลือกเมล็ดแตงรินน้ำชาให้ตัวเองเป็นระยะ ซ้ำยังมีบางคราวที่เขาเป็นฝ่ายชวนสนทนาขึ้น

“ได้ยินว่าองค์ชายอีนั่วฆ่าคนตาไม่กะพริบ ใจคอเหี้ยมเกรียมมาก เจ้าเคยเจอเขาหรือไม่”

“ก็เคยอยู่บ้าง” เยี่ยเจาไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องขององค์ชายอีนั่ว เพียงสนใจเจ้าเพียงพอนขาวที่กระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้า ทว่าเพื่อมิให้อีกฝ่ายผิดหวัง นางนิ่งคิดแล้วเอ่ยตอบอย่างจริงจัง “ชาวตงซย่าเป็นชนเผ่าที่ค่อนข้างดุดันแข็งกร้าว ทุกคนพกดาบ ชมชอบการต่อสู้ นิยมนักรบเลื่อมใสนักสู้ องค์ชายอีนั่วกำพร้ามารดาแต่เด็กและไม่ลงรอยกับมารดาเลี้ยง ระหว่างนั้นดูเหมือนจะเกิดเรื่องบางอย่างจนเขาถูกใส่ร้ายหลายครั้งหลายครา ตัวเขาเป็นผู้มีสติปัญญาโดดเด่น สังหารหมาป่าได้ตั้งแต่แปดขวบ อายุสิบสองปลิดชีพอาที่รังแกเขาเองกับมือ พออายุสิบห้าก็ออกศึกสร้างความดีความชอบ ต่อมายังฆ่าล้างตระกูลมารดาเลี้ยง ใครๆ โจษจันถึงความโหดเหี้ยม กระนั้นกษัตริย์แห่งตงซย่ากลับโปรดปรานเขาเป็นพิเศษ”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้าทอดถอนใจ

“ล้วนเป็นพวกเดรัจฉานทั้งนั้น”

เยี่ยเจาเอ่ยเสียงเบา

“เป็นเดรัจฉานหรือไม่ หากมิได้ลงไปคลุกคลีด้วยตัวเองก็คงมองไม่แจ่มชัด”

รอคอยอยู่ราวครึ่งชั่วยามคณะทูตจึงเยื้องย่างมาถึง มีรถซึ่งบรรทุกของขวัญจนเต็มสิบกว่าคันอยู่เบื้องหน้า ในนั้นล้วนเป็นหนังสัตว์ทุกสีสันวางเรียงเป็นกองๆ ยังมีม้าพันธุ์ดีที่เพาะเลี้ยงกันเฉพาะในตงซย่าอีกหลายตัว ทั้งหมดนี้เป็นของขวัญที่จะมอบให้แก่แคว้นต้าฉิน

ผู้ที่ตามมาด้านหลังขบวนคือองค์ชายอีนั่วแห่งตงซย่า เขามีเรือนร่างสูงเก้าเชียะ ควบขี่อาชาพ่วงพีสีดำที่สูงใหญ่อย่างยิ่ง ผิวกายดำคล้ำ กล้ามเนื้อทุกมัดครัดเคร่งแข็งแรงประหนึ่งสัตว์ป่า เรือนผมยาวประบ่าถักเป็นเปียหลวมๆ สองสามเส้นอย่างง่ายๆ อาภรณ์ขลิบริมด้วยหนังสัตว์อย่างสวยงาม ตกแต่งด้วยทองกับกระดูกสัตว์เทอะทะมากมาย รูปหน้าคมสันบึกบึนราวกับตีจากเหล็กกล้า จมูกโด่งสูง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคมกริบมีชีวิตชีวา ดูคล้ายพญาเหยี่ยวกลางหาว

ทุกคนกล่าวชมเป็นเสียงเดียวกัน

“รูปโฉมเช่นนี้ เรือนร่างเช่นนี้ ท่วงท่าเช่นนี้…สมเป็นชายชาตรีแท้ๆ ลำพังแค่ยืนนิ่งอยู่บนพื้นก็คล้ายเป็นคนหนังทองแดงกระดูกเหล็กก็ไม่ปาน ดูท่าทางก็รู้ว่าเชี่ยวชาญในเรื่องการต่อสู้ฆ่าฟัน”

ซย่าอวี้จิ่นเห็นข้อเปรียบเทียบกับร่างกายที่ผอมบางและรูปโฉมสุภาพของตัวเองแล้วก็ทั้งอิจฉาริษยาและโกรธเคือง ปรารถนาว่าตนจะมีเรือนร่างกำยำล่ำสันดังเช่นองค์ชายอีนั่วบ้างเหลือเกิน จะได้จับภรรยาตัวดีมาแทะโลมอย่างสาสมใจ ให้นางได้ลิ้มรสความอับอายดูบ้าง ทั้งยังสามารถอบรมสั่งสอนนางได้ว่าอะไรคือว่านอนสอนง่าย วันหน้าสามีบอกให้ไปซ้ายก็ห้ามไปขวา บอกให้ไปขวาก็ห้ามไปซ้าย

จนแล้วจนรอดความเพ้อฝันก็คือความเพ้อฝัน เขาถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง หันหน้ากลับมาอย่างท้อแท้ กลับเห็นเยี่ยเจากำลังมองเขาอยู่เงียบๆ เขาก็อดถามขึ้นมิได้

“เจ้าไม่สนใจองค์ชายอีนั่วรึ”

“ไม่เห็นมีอะไรชวนมอง”

ซย่าอวี้จิ่นไม่เข้าใจ

“เพราะอะไร”

เยี่ยเจากวาดตามององค์ชายอีนั่วแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างปรามาส

“ผู้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือข้าไยคู่ควรให้เอ่ยถึง”

ภาพเพ้อฝันในห้วงคำนึงหายวับไปในพริบตา ซย่าอวี้จิ่นบังเกิดความรู้สึกชั่ววูบ อยากกัดภรรยาให้ม้วยมรณาขึ้นมาฉับพลัน

 

ยามราตรี จักรพรรดิจัดงานเลี้ยงพระราชทานที่หอหวนไมตรี ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายมาร่วมงานกันพร้อมหน้า

ถึงผู้ตรวจการนครหลวงจะเป็นขุนนางชั้นผู้น้อย แต่หนานผิงจวิ้นอ๋องเป็นบรรดาศักดิ์ที่ไม่เล็กเลย เขาจึงอยู่ในรายชื่อที่ได้รับเชิญด้วย ทว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นหรือไม่จักรพรรดิหาได้ใส่ใจ เพียงกำชับให้เยี่ยเจามาร่วมงานเท่านั้น

ซย่าอวี้จิ่นไม่ค่อยอยากไปเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรเขาก็กินพระกระยาหารของจักรพรรดิจนเบื่อแล้ว อีกทั้งการออกไปข้างนอกพร้อมเยี่ยเจาก็มักมีคนมาถามนั่นถามนี่ หมายจะดูเรื่องตลกชวนหัวของพวกเขา กอปรกับเขายังขุ่นข้องหมองใจที่ถูกภรรยาทำร้ายความรู้สึกหนักหนาสาหัสเกินไป ไม่อยากไยดีนาง

ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าทูตต่างแคว้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแสร้งทำเป็นรักใคร่กันเพื่อรักษาเกียรติยศของแคว้นต้าฉินและไว้หน้าราชสำนักบ้าง หาไม่แล้วจักรพรรดิคงสามารถชักกระบี่มังกรเขียวฟันเขาตายคามือได้

เยี่ยเจาก็จับจุดสำคัญของเรื่องนี้ได้ เพียรชักชวนเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ซย่าอวี้จิ่นไม่คล้อยตามท่าเดียว

นางกล่าวขึ้น

“ข้ากับองค์ชายอีนั่วเคยประมือกันในสนามรบ นับว่าเป็นคนคุ้นเคยกัน ไปร่วมงานนี้ลงท้ายคงต้องดื่มเป็นเพื่อนเขาหลายจอก”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ย

“เจ้าอย่ากลับมาเมาอาละวาดก็พอแล้ว”

“พูดยาก”

เยี่ยเจามองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาแฝงนัยบางอย่างก่อนจะหมุนกายจากไป ซย่าอวี้จิ่นสะท้านเยือกขึ้นมาคราหนึ่ง

ครู่ต่อมาหยางซื่อพาเมียบ่าวสองคนมาหาเขาอย่างลุกลน พวกนางเอาผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายใหม่กับยาบำรุงที่เพิ่งลงครัวต้มมาให้เพื่อแสดงความกตัญญูต่อสามีเป็นข้ออ้างบังหน้า หากแต่ในใจซ่อนแผนการใดไว้ก็สุดรู้

ซย่าอวี้จิ่นเหล่มองด้วยสายตาเย็นชาพลางถาม

“ไฉนบนผ้าเช็ดหน้าปักลายใบไม้”

เหมยเหนียงกลอกตาไปมาแล้วพูดอธิบาย

“นี่เป็นลายใหม่ที่สุดของปีนี้เจ้าค่ะ”

ซย่าอวี้จิ่นลากเสียงยาวว่า “อ๋อ” จากนั้นก็เขี่ยๆ ในชามยาบำรุง ชิมหนึ่งคำและถามอีก

“วุ้นหนังลาใช้บำรุงโลหิตสตรีมิใช่หรือ ไฉนถึงใส่มาให้ข้ากินด้วย”

เซวียนเอ๋อร์กล่าวตามสัตย์จริง

“คือว่า…ตอนแรกพวกเราจะต้มยาบำรุงให้ท่านมะ…” หยางซื่อกับเหมยเหนียงยกขาเตะสะกิดนางพร้อมกัน เซวียนเอ๋อร์สะดุ้งโหยงคราหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “มะ…มีกำลังวังชา เลือดลมหมุนเวียนดีเจ้าค่ะ”

ซย่าอวี้จิ่นหรี่ตาลง

“พวกเจ้ายังรู้เหมือนกันนี่นะว่าข้าถูกยั่วโมโหจนเลือดลมปั่นป่วน”

“เจ้าค่ะ!”

ตอนที่วรชายาอันไท่เฟยเลือกอนุภรรยาและเมียบ่าวให้มีเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือรูปโฉมงดงามและนิสัยซื่อตรง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเล่นเล่ห์เพทุบายกันในเรือนหลัง บัดนี้ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกว่าสตรีที่พูดจาเถรตรงเกินไปก็มิใช่เรื่องดี ช้าเร็วคงทำให้เขาโมโหตายสักวัน

เหมยเหนียงรีบดึงเซวียนเอ๋อร์ไปด้านข้าง ขณะที่ตัวเองเอ่ยขึ้นพลางยิ้มประจบ

“จวิ้นอ๋อง ได้ข่าวว่าจักรพรรดิพระราชทานงานเลี้ยงแล้วให้ท่านแม่ทัพนั่งเป็นเพื่อนองค์ชายอีนั่วหรือเจ้าคะ”

นางพูดเน้นคำว่านั่งเป็นเพื่อนดังๆ สายตามองซย่าอวี้จิ่นคล้ายจะบอกว่าบนศีรษะเขาถูกสวมเขา

หยางซื่อดุนางเสียงเข้มทันที

“จวิ้นอ๋องของเราใจคอกว้างขวาง จะถือสาที่ภรรยาดื่มสุราไม่กี่จอกกับบุรุษได้อย่างไร ใครใช้ให้พวกเจ้าคิดอะไรฟุ้งซ่าน”

เหมยเหนียงเอ่ยแก้ทันควัน

“นั่นสิ จวิ้นอ๋องของเราใจกว้างเป็นที่สุด แม้องค์ชายอีนั่วจะสูงใหญ่หล่อเหลาบึกบึน เป็นสหายเก่ากับท่านแม่ทัพ ฉะนั้นท่านแม่ทัพดื่มสุราเป็นเพื่อนเขาสักจอกก็สมควรแล้ว วังหลวงก็มิใช่ที่รโหฐาน ใครต่อใครล้วนจับจ้องมองอยู่ คนที่คิดอกุศลล้วนเป็นพวกที่ไม่สุจริตใจ”

พวกนางผลัดกันพูดคนละคำสองคำ หากแต่ทุกคำล้วนยุแยงใส่ไฟ ทำให้ซย่าอวี้จิ่นฉุกคิดได้ในที่สุดว่าต่อให้เยี่ยเจาย่ำแย่แค่ไหนก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาตน หากนางอยู่ข้างนอกตามลำพัง ดื่มสุราเป็นเพื่อนบุรุษรูปงามต่อหน้าผู้คน ส่วนเขากลับไม่ออกโรงรับศึกก็คล้ายเต่าถูกสวมเขาหดหัวอยู่ในกระดอง เป็นที่หัวเราะเยาะของใต้หล้า

ซย่าอวี้จิ่นถามเสียงอ่อย

“เยี่ยเจาคงไม่ถึงกับไม่รู้การควรไม่ควรกระมัง”

หยางซื่อตอบ

“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพเพียงไม่ยึดติดในธรรมเนียมหยุมหยิมเท่านั้น”

แม้ซย่าอวี้จิ่นจะรู้สึกว่าอนุภรรยาและเมียบ่าวกำลังทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม กระนั้นเมื่อนึกถึงรอยยิ้มน้อยๆ น่ากลัวของเยี่ยเจาก่อนออกไปนั่นแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าคำขู่ขวัญนี้มีความเป็นไปได้อยู่มาก ถ้านางอยากกวนโทสะเขาขึ้นมาโดยการเกี้ยวพาราสีกับบุรุษในงานเลี้ยง เขาคงต้องอับอายครั้งใหญ่แล้ว

ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจไปร่วมงานเลี้ยงตอนค่ำ เพื่อจับตาดูภรรยาให้วางตัวเรียบร้อยสักหน่อยและห้ามนางชนจอกกับบุรุษ

งานเลี้ยงในวังหลวงจะต้องสวมใส่เครื่องแบบประจำยศตามพิธีการ

ซย่าอวี้จิ่นรังเกียจที่ตำแหน่งของตนต่ำต้อย หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมสวมชุดขุนนางสีเขียวที่จักรพรรดิใจดีสั่งตัดเย็บให้เป็นพิเศษต่อหน้าเหล่าญาติพี่น้องฝ่ายชาย เขาจึงใส่ชุดจวิ้นอ๋องลายดอกกลมสีม่วง คาดสายรัดเอวยึดด้วยตะขอหยก สวมหมวกทอง แลดูสูงศักดิ์ยิ่งนัก

หากว่ากันตามเหตุผลที่ว่าสามีเป็นหลักของภรรยา เยี่ยเจาสมควรตามอย่างสามี แต่งกายด้วยชุดชายาจวิ้นอ๋อง สวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้างและตกแต่งเรือนผมด้วยเครื่องประดับต่างๆ

นางมิได้ตัดสินใจโดยพลการ ส่งคนไปถามความเห็นของซย่าอวี้จิ่นอย่างเป็นศรีภรรยา

“แม้ข้าจะเดินสาวเท้ากว้างไปสักนิด กิริยาท่าทางหยาบกระด้างไปสักหน่อย วางตัวไม่เหมาะสมไปบ้าง แต่ข้าขอปฏิบัติตามความต้องการของท่านทุกอย่าง จะให้สวมอะไรก็สวมอย่างนั้น ไม่กลัวขายหน้าเด็ดขาด”

ซย่าอวี้จิ่นใคร่ครวญด้วยความเห็นแก่ตัวเล็กน้อยว่านางสวมอาภรณ์บุรุษ ดีชั่วอย่างไรยังมีความหวังว่าคนอื่นจะตาลาย ไม่รู้ว่าคนที่เป็นบุรุษเสียยิ่งกว่าบุรุษคนนี้เป็นภรรยาเขา

“ปกติเจ้าสวมอย่างไรก็สวมอย่างนั้น เจ้าไม่กลัวขายหน้า แต่ข้ายังมียางอายอยู่”

เยี่ยเจาจึงสวมชุดขุนนางลายดอกกลมสีม่วงแบบเดียวกันอย่างเต็มภาคภูมิ ท่วงท่าของนางทะมัดทะแมง งามสง่าผ่าเผย ยามยืนอยู่ข้างกายซย่าอวี้จิ่นที่มีใบหน้างามเกลี้ยงเกลาดุจหยกเนื้อดีดูสมกันเป็นพิเศษ

ขันทีน้อยที่เป็นคนนำทางเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นานได้โอกาสดีเช่นนี้ก็รีบประจบเอาใจด้วยสุ้มเสียงใสกังวาน

“หนานผิงจวิ้นอ๋อง เซวียนอู่โหว พวกท่านมาถึงพร้อมกัน ช่างบังเอิญจริงๆ นะขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นพยักหน้าถี่รัว

“ใช่ บังเอิญมาก พวกเราพบกันระหว่างทางน่ะ”

เยี่ยเจากระแอมไอหนักๆ เสียงหนึ่ง คนรอบข้างแอบหัวเราะ ในที่สุดขันทีน้อยผู้น่าสงสารจึงนึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนท่านแม่ทัพจะเป็นชายาจวิ้นอ๋องด้วย

ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ทั้งคู่มาถึงหอหวนไมตรีซึ่งเป็นเรือนสูงสองชั้นตั้งอยู่กลางน้ำ

ต้นท้อซึ่งกำลังผลิดอกบานสะพรั่งได้เหล่านางกำนัลช่างประดิดประดอยนำโคมแก้วนับไม่ถ้วนมาแขวนห้อยตามกิ่งไม้ ภายใต้เงาแสงโคมที่ทับซ้อนกัน นางขับร้องถือเครื่องดนตรีคนละชิ้น ดีดบรรเลงพร้อมครวญเพลงคลอเสียงเบา ขณะที่นางระบำก็ออกลีลาร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยพลิ้วไหว ทั้งยังมีกลิ่นสุราหอมหวนลอยอวลทุกทิศ เสียงพูดคุยสรวลเสเฮฮาไม่ขาดสาย ดุจสวรรค์บนดิน

เจ้าหน้าที่กรมพิธีการนำทางแขกเหรื่อไปนั่งที่โต๊ะ จักรพรรดิออกปากให้ทุกคนไม่ต้องเคร่งครัดระวังตัวเกินไปนัก พระองค์อยู่ในงานเลี้ยงราวครึ่งชั่วยาม ดื่มสุรากับองค์ชายอีนั่ว สนทนาโอภาปราศรัยครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกเหตุผลว่าตัวเองสูงวัย ร่างกายอ่อนแอจึงคออ่อนเมาง่าย และขอตัวกลับก่อน ทิ้งรัชทายาทอยู่เป็นเจ้าภาพ

หลังจากร่วมดื่มกันไปไม่กี่จอก บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย พวกขุนนางที่คุ้นเคยชอบพอกัน บ้างชนจอก บ้างว่ากลอน บ้างพิงราวกั้นชมดอกท้อ

ซย่าอวี้จิ่นผลักศอกภรรยาเป็นครั้งที่สามสิบแปด กำชับเสียงเบา

“ห้ามดื่มมากเกินไปเด็ดขาด!”

เยี่ยเจามองนัยน์ตาดำขลับของเขาแล้วก็นิ่งงันไปก่อนจะขานรับอย่างเริงรื่นชื่นบาน

“วางใจได้ ต่อให้ข้าเมาก็จะไม่อาละวาดต่อหน้าคนอื่น”

ซย่าอวี้จิ่นกระซิบอย่างมีน้ำโห

“อาละวาดลับหลังคนอื่นก็ไม่ได้!”

เยี่ยเจาแอบบีบมือซย่าอวี้จิ่นที่ใต้โต๊ะ ปลายนิ้วเขาขาวสะอาด เรียวยาวสวยงามอย่างยิ่ง นางตอบพลางอมยิ้มน้อยๆ

“ได้ๆ ข้าเชื่อท่านทุกอย่างเลย”

ซย่าอวี้จิ่นชักมือคืนอย่างโกรธเคือง พูดด้วยสุ้มเสียงที่แทบจะเป็นการคำรามในลำคอ

“ขืนเจ้าทำปากว่ามือถึงอีก ข้าจะ…จะ…”

เยี่ยเจาเอียงคอกระซิบถาม

“จะแทะโลมข้าคืน?”

ซย่าอวี้จิ่นอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ก่อนออกมาเขาอุตส่าห์ไปหาคนซื่อตรงเปิดเผยอย่างชิวเหล่าหู่เพื่อถามว่าเยี่ยเจาคอแข็งแค่ไหน กลับลืมไปว่าสุราเลิศรสหมักบ่มด้วยสูตรลับของวังหลวงกับสุราชาวบ้านจะเทียบกันได้อย่างไร ผลสุดท้ายเขาทัดทานการดื่มคารวะน้อยไปสองจอก ภรรยาก็เริ่มมีอาการเมานิดหน่อยแล้ว หากโดนนางล่วงเกินต่อหน้าผู้คน เขาก็คงได้แต่กระโดดลงจากหอหวนไมตรี ใช้ความตายยืนยันความบริสุทธิ์สถานเดียว

เวลานี้เขาจับจอกสุราของเยี่ยเจาแน่น ผู้ใดมาขอดื่มคารวะล้วนถูกเขาใช้สายตาพิฆาตตะเพิดกลับไป

ทุกคนเห็นแล้วถอนหายใจเฮือก

“ใครว่าจวิ้นอ๋องไม่ไยดีภรรยา วันๆ เอะอะจะขอหย่า นี่มิใช่รักใคร่กันดีหรอกหรือ”

องค์ชายอีนั่วแห่งตงซย่าถือจอกสุราเดินมา หยุดอยู่เบื้องหน้าเยี่ยเจาครู่หนึ่งแล้วอมยิ้มเอ่ยขึ้น

“แม่ทัพเยี่ยกล้าหาญชาญชัย ชนะศึกทุกทิศ ข้าไม่นึกไม่ฝันจริงๆ เลยว่าท่านจะเป็นสตรี ยามที่ข่าวแพร่สะพัดมาถึงตงซย่า ท่านอาข้าที่ถูกท่านปล่อยตัวกลับมาอดสูจนเกือบปาดคอตาย กระนั้นก็เป็นเคราะห์ดีที่ท่านเป็นสตรี องค์หญิงอิ๋นชวน น้องสาวข้าหลงรักท่านตั้งแต่แรกพบในสนามรบ เป็นตายร้ายดีก็ไม่ยอมออกเรือน เฝ้าแต่คิดจะเรียกตัวท่านไปเป็นราชบุตรเขย พอนางรู้ข่าวก็หลบอยู่ในกระโจมร้องไห้สามวัน ในที่สุดก็ออกเรือนตามบัญชาของเสด็จพ่อไปแต่โดยดีแล้ว”

เล่าลือกันมาแต่ไหนแต่ไรว่าองค์หญิงอิ๋นชวนเพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของตงซย่า ไฉนมีตาหามีแววไม่ถึงได้มาถูกตาต้องใจภรรยาเขา

ซย่าอวี้จิ่นนึกอิจฉาจนหยิกเยี่ยเจาอย่างแรงทีหนึ่งเพื่อระบายอารมณ์

นางรู้สึกเจ็บ แต่สีหน้ายังนิ่งสนิท เพียงเอ่ยเรียบๆ

“ตอนนั้นเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ จะไม่ทำก็ไม่ได้ ทำให้ท่านหัวเราะเยาะแล้ว”

องค์ชายอีนั่วหัวเราะเสียงดังอย่างเปิดเผย จากนั้นก็ยกจอกแล้วเอ่ยขึ้นอีก

“บัดนี้ตงซย่ากับต้าฉินปรองดองกันแล้ว พวกเราก็นับว่าเป็นสหายที่ไม่วิวาทไม่รู้จักกัน สมควรร่วมดื่มสักจอก!”

สุราจอกนี้จะบ่ายเบี่ยงบอกปัดคงไม่ดีนัก

เยี่ยเจาลังเล ยกจอกสุราขึ้น

ซย่าอวี้จิ่นเห็นท่าไม่ดี รีบลงมืออย่างรวดเร็ว เขาแย่งจอกสุราในมือนางมา ละล้าละลังครู่หนึ่งก็นึกไม่ออกว่าจะเรียกขานภรรยาตนว่าอะไรดี ได้แต่เอ่ยยิ้มๆ อย่างฝืดเฝื่อน

“อาเจาดื่มสุราไม่เก่ง ให้ข้าดื่มแทนดีกว่า”

องค์ชายอีนั่วชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะแย้มยิ้มเช่นกัน

“พวกท่านสองสามีภรรยาช่างรักใคร่และห่วงใยเอาใจใส่กันอย่างลึกซึ้งโดยแท้”

ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า เมื่ออยู่ต่อหน้าทูตต่างแคว้น ซย่าอวี้จิ่นจำต้องกัดฟันทน ตีหน้าบวมแสร้งว่าอ้วน*

“สมควรแล้ว”

องค์ชายอีนั่วเอ่ยชมเชย

“ชาวตงซย่าล้วนกล่าวว่าวีรบุรุษต้องขี่อาชาพยศที่สุดและตบแต่งสตรีแกร่งกล้าที่สุดเป็นภรรยา จวิ้นอ๋องดูภายนอกสุภาพนุ่มนวล กลับสยบสตรีที่แกร่งกล้าที่สุดของต้าฉินได้ จะต้องเป็นวีรบุรุษขนานแท้ในหมู่วีรบุรุษเป็นแน่ คนเราจะตัดสินกันที่เปลือกนอกมิได้จริงๆ น่ายกย่อง น่านับถือ”

เยี่ยเจาสงบเสงี่ยม ไม่พูดไม่จา ส่วนซย่าอวี้จิ่นได้แต่แสร้งว่าอ้วนต่อไป

“กล่าวได้ดีๆ”

เขารู้สึกว่าตัวเองยิ้มจนหน้าแข็งทื่อหมดแล้ว

องค์ชายอีนั่วเปรยขึ้นอย่างระลึกถึง

“เสด็จแม่ข้าก็สามารถขี่ม้าฝีเท้าจัดพร้อมยิงเกาทัณฑ์ไม้แข็งได้แม่นยำราวกับจับวาง ตอนเป็นสาวแรกรุ่นเคยสังหารหมีดำกับมือ นอกจากข้าที่ไม่ได้ความอยู่สักหน่อย ลูกชายที่นางให้กำเนิดคนอื่นล้วนเป็นวีรบุรุษที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เป็นที่ยอมรับนับถือในกองทัพ เห็นทีลูกชายของท่านกับแม่ทัพเยี่ยจะต้องไม่อ่อนด้อยไปกว่ามารดา จนปัญญาที่ตอนนี้สองแคว้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน หาไม่แล้วหากวีรบุรุษกับวีรบุรุษได้แลกเปลี่ยนฝีมือกันสักครั้งก็เป็นเรื่องน่ายินดีในชีวิต”

รัชทายาทสดับฟังอยู่ด้านข้างเงียบๆ ด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มดุจเดิม

เยี่ยเจาใจกระตุกวูบหนึ่ง รู้สึกขึ้นฉับพลันทันใดว่าถ้อยคำที่ฟังดูเหมือนสนิทสนมเป็นกันเองนี้ออกจะไม่เข้าทีอยู่บ้าง

ราชสำนักตงซย่าเปลี่ยนชายาเอกมาสองคนแล้ว ชายาเอกคนที่สองอยากให้บุตรชายตนสืบทอดบัลลังก์ ปรากฏว่ากลับเป็นฝ่ายถูกพวกองค์ชายคนอื่นโดยมีองค์ชายอีนั่วเป็นผู้นำกำจัดจนสิ้นซาก บัดนี้เขาเอ่ยถึงวรยุทธ์และอำนาจทางการทหารของนางต่อหน้ารัชทายาท จากนั้นก็เอ่ยต่อไปถึงทายาทอีก ฟังแล้วเป็นการยุแยงใส่ไฟอยู่สักหน่อย คล้ายจะบ่งบอกเป็นนัยว่าบุตรชายนางมีกำลังความสามารถที่จะแย่งชิงบัลลังก์ได้

หากหว่านเมล็ดแห่งความเคลือบแคลงสงสัยลงในใจรัชทายาทจนเขาระแวงระวังไปเสียทุกเรื่อง เห็นจะเป็นเรื่องไม่เข้าทีเสียแล้ว

นางมองอย่างคลางแคลงใจ ทว่าใบหน้าขององค์ชายอีนั่วฉายแววบริสุทธิ์ใจเต็มเปี่ยม ดูคล้ายไม่กระจ่างแจ้งว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป เพียงคะยั้นคะยอให้ดื่มสุรา

“ช่างเถอะ!” ซย่าอวี้จิ่นดื่มร่วมกับเขาสามจอก เอ่ยเสียงอ้อแอ้ “ถึงอาเจาจะร่างกายแข็งแรงมาก แต่ข้าสุขภาพไม่ดี คนหนึ่งขาดคนหนึ่งเกินอย่างนี้เกรงว่าลูกชายข้าคงไม่ได้ดีเด่ไปเท่าไร ท่านแม่ข้ากลัวเลือด กลัวตาย กลัวสงคราม ไหนเลยจะยอมให้หลานชายหัวแก้วหัวแหวนไปออกรบ มิสู้ให้ศึกษาหาความรู้มากๆ วันหน้าจะได้เป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ!”

เยี่ยเจาอดทุบเขาทีหนึ่งมิได้

“ต้องเจ้าสำราญด้วยหรือ!”

ซย่าอวี้จิ่นถลึงตาใส่นางแวบหนึ่ง ตะโกนเสียงกร้าวอย่างฮึกเหิมด้วยฤทธิ์สุรา

“ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน หากเจ้ากล้าดีส่งลูกออกรบ ข้าจะตัดขาดกับเจ้าทันที!”

ถ้อยคำที่เอ่ยขึ้นด้วยความเมามายนี้เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน

องค์ชายอีนั่วเอ่ยอย่างเสียดาย

“เช่นนั้นวิชายุทธ์ของแม่ทัพเยี่ยมิต้องปราศจากผู้สืบทอดหรือ”

เยี่ยเจาเอ่ยยิ้มๆ

“สกุลเยี่ยของข้ายังมีหลานชายสองคน วันหน้าพวกเขาซื่อสัตย์ต่อจักรพรรดิและแทนคุณแผ่นดินก็ไม่ต่างกัน”

รัชทายาทกล่าวอย่างเห็นพ้องด้วย

“คนสกุลเยี่ยล้วนจงรักภักดี หลานชายนางจะต้องดีแน่นอน”

องค์ชายอีนั่วคล้ายครุ่นคิดขณะมองซย่าอวี้จิ่นแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า

“ตรัสได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ!”

รอกระทั่งพวกเขาเดินห่างออกไปไกลแล้วเยี่ยเจาค่อยพูดกระซิบกับซย่าอวี้จิ่น

“ขอบคุณนะ”

เขางุนงงมาก

“เจ้าเลอะเลือนหรือไม่ ข้าทำอะไรให้อย่างนั้นหรือ”

นางไม่แน่ใจว่าเขาแสร้งตีหน้าเซ่อหรือไม่รู้เรื่องจริงๆ จึงได้แต่พูดขึ้น

“องค์ชายอีนั่วอันตรายมาก”

ซย่าอวี้จิ่นมองแผ่นหลังขององค์ชายอีนั่วแวบหนึ่งแล้วพูดคล้อยตาม

“กำปั้นใหญ่ขนาดนั้น ต้องอันตรายอย่างยิ่งจริงๆ”

เยี่ยเจาส่ายหน้า

“ข้ารู้สึกว่าเขามีเจตนาไม่ดี ท่านก็อยู่ห่างๆ เขาหน่อย”

ซย่าอวี้จิ่นเป็นลาดื้อที่ภรรยาบอกให้ไปทางขวาก็จะไปทางซ้าย เขากล่าวเหน็บแนมทันที

“เขาพูดชมข้าคือมีเจตนาไม่ดี? พวกสตรีก็จู้จี้ขี้บ่น ใจคอคับแคบเช่นนี้แหละ”

“อย่างนั้นหรือ” เยี่ยเจาคลี่ยิ้มร้ายกาจ โน้มกายไปหาเขาช้าๆ พ่นลมหายใจพลางกล่าวทิ้งท้ายไว้คำหนึ่งเบาๆ หากแต่สำแดงอานุภาพสะเทือนฟ้าดิน “ตอนอยู่โม่เป่ย มีข่าวลือว่าเขาชมชอบตัดแขนเสื้อ ท่าน…จะใกล้ชิดเขาจริงหรือ”

ซย่าอวี้จิ่นสะท้านเยือกวูบหนึ่ง ถามเสียงอ่อย

“เจ้าพูดโกหกกระมัง”

เยี่ยเจายักไหล่

“สุดแท้แต่ท่านจะเชื่อหรือไม่ ถึงอย่างไรข้าเชื่อก็แล้วกัน”

ซย่าอวี้จิ่นมองดูเรือนร่างที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามของอีกฝ่าย ยังมีสายตาที่มองมาเป็นระยะด้วย

สองจิตสองใจอยู่เนิ่นนาน…ความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก เขาเชื่อไว้ก่อนดีกว่า

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 84.1-84.2

    By

    บทที่ 84.1 ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องมองชุดรัดเอวแขนหลวมทำจากผ้าพลิ้วกรุยกรายลายปักซูซิ่ว บนร่างองค์หญิงอวี๋หยางอีกครา ดูคล้ายกับแบบที่ซูลั่วอวิ๋นสวม...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 83.1-83.2

    By

    บทที่ 83.1 หานเหยาได้ยินน้องชายพูดขึ้นมา นางก็เอ่ยอย่างลิงโลด “ดี! พี่สะใภ้ ท่านไม่ต้องกลับไปที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยแล้ว ที่นั่นวุ่นวายเหลือเก...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 82.1-82.2

    By

    บทที่ 82.1 ที่แท้จ้าวกุยเป่ยคิดว่าให้สัญญากับหานเหยาไว้ว่าจะมารับลูกอมก็จำเป็นต้องรักษาคำพูดหรือไร หานหลินเฟิงคร้านจะแยแสบุรุษหัวทึบผู้นี้ เ...

  • คืนลมพัดต้องเหมยงาม

    ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 ราตรีวุ่น แววตาเสิ่นเฉียนมืดทะมึน กัดริมฝีปาก ปลายคางเกร็งแน่นเผยความแข็งกร้าวอยู่ในที “ที่แท้ถูกเด็ดปีกหมดสิ้นแล้วเนรเทศมาให้ข้านี่...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 81.1-81.2

    By

    บทที่ 81.1 ฉิวเจิ้นเพ่งตามองดูแล้วก็พบว่าไม่เพียงกำแพงของค่ายเสบียงมีการต่อเติมให้สูงขึ้น ยังขุดคูลึกรอบตัวกำแพงทั้งด้านนอกด้านในเพิ่มอีกสอง...

  • คืนลมพัดต้องเหมยงาม

    ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 หงหลวนแต่งงาน ลมราตรีพัดกรู แสงจันทร์สาดส่อง ภายในหอตั้นเสวี่ยของจวนสกุลเซี่ยเวลานี้ เซี่ยจิ่นสองมือไพล่หลัง ฟังน้องชายตัวน้อยเซี่ยซ...

  • คืนลมพัดต้องเหมยงาม

    ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ลมตะวันตกพัดมา สุริยันจมลับประจิม แสงสายัณห์สาดส่องขอบฟ้า เสิ่นเฉียนเปลี่ยนม้าไปตัวหนึ่งแล้วในจุดพักม้า เช่นนี้จึงเร่งมาถึงนอกเมืองห...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com