ทดลองอ่าน แม่ทัพอยู่บน ข้าอยู่ล่าง บทที่ 1 – บทที่ 11 – หน้า 11 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพอยู่บน ข้าอยู่ล่าง บทที่ 1 – บทที่ 11

11 of 11หน้าถัดไป

บทที่ 11

ไม่ว่าจะเป็นต้าฉินหรือโม่เป่ย ยามมีงานเลี้ยงล้วนถือว่าการมอมสุราสหายจนเมามายจึงจะแสดงถึงมิตรไมตรีที่มีต่ออาคันตุกะ ทุกคนเห็นซย่าอวี้จิ่นช่วยดื่มสุราแทนภรรยาสุดกำลังก็มีใจอยากกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ต่างผลัดกันเข้าไปคะยั้นคะยอให้ดื่มคนละจอกสองจอกจนเขาหัวหมุนตาลาย กระทั่งตัวเองชื่อแซ่ใดก็แทบจะจำมิได้แล้ว ยามงานเลี้ยงเลิกราเป็นเยี่ยเจาที่พยุงซย่าอวี้จิ่นกลับ

ตอนที่เขาตื่นขึ้นก็อยู่ในเกี้ยวที่ส่ายโคลงเคลงไปมา เยี่ยเจาหลับตางีบอยู่ข้างกาย ส่วนเขากลับซบไหล่นางอย่างน่าขายหน้า

ความทระนงในศักดิ์ศรีของบุรุษพลุ่งขึ้นมาท่ามกลางสติที่พร่าเลือนด้วยฤทธิ์สุรา

เป็นชายอกสามศอกจะนอนพิงสตรีได้อย่างไรกัน นี่มันแทบจะเป็นเรื่องน่าอัปยศอดสูสิ้นดีเลยทีเดียว!

เขาปรับเปลี่ยนอิริยาบถโดยไม่รีรอ เอนหลังพิงพนัก จากนั้นสบช่องเยี่ยเจาหลับอยู่ดันศีรษะนางเข้ามาซบไหล่ตัวเองถึงได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจและสะลึมสะลือหลับต่อไป

รอหลังจากรอบตัวปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ เยี่ยเจาแอบลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง เหลือบซ้ายแลขวาสังเกตการณ์พลางสูดกลิ่นอายหอมหวลชวนดมจากกายซย่าอวี้จิ่น ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ฉวยโอกาสอันหายากนี้เอานิ้วจิ้มๆ ที่ตัวเขา

ซย่าอวี้จิ่นตะโกนละเมอ

“หยุดนะ! ข้าอยู่ข้างบนต่างหาก!”

เยี่ยเจาพูดกล่อม

“ได้ๆ ท่านอยู่ข้างบน”

“นี่สิถึงเป็นเด็กดี! ถ้าไม่เชื่อฟังข้าจะหย่ากับเจ้า!” ซย่าอวี้จิ่นขบฟันไปมาอย่างย่ามใจ “คิกๆ แม่นาง…เอวก็คอด ขาก็สวย ไอ้สุนัขตาย! อย่ามาแย่งกับข้านะ!”

เยี่ยเจาขบคิดอยู่เป็นนานก็ไม่รู้ว่าเขาฝันถึงอะไร

ยามที่ซย่าอวี้จิ่นตื่นขึ้นอีกครั้ง เขาปวดศีรษะแทบแตกเป็นเสี่ยง

เยี่ยเจาซึ่งสวมอาภรณ์เรียบร้อยยืนอยู่ข้างเตียง ถือน้ำแกงสร่างเมาชามหนึ่งให้เขา ดูคล้ายเป็นศรีภรรยาอย่างยิ่ง

เขาดื่มเข้าไปสองคำ นั่งเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรวจดูเสื้อผ้าของตัวเอง แต่แล้วก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียง ถามอย่างลุกลน

“เมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกันหรือ เจ้า…มิได้…ทำอะไรข้ากระมัง”

เยี่ยเจาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ข้าเป็นเหมือนพวกชอบกระทำมิดีมิร้ายพรรค์นั้นหรือ”

ซย่าอวี้จิ่นลอบระบายลมหายใจ ดื่มน้ำแกงสร่างเมาจนหมดแล้วนอนแผ่บนเตียงหลับต่อ

เยี่ยเจารับชามคืนมายื่นให้สาวใช้ก่อนจะก้าวเท้าปราดๆ ออกไป

ผ่านไปพักใหญ่ซย่าอวี้จิ่นย้อนคิดถึงบทสนทนาของทั้งคู่ขึ้นมา

มารดามันเถอะ…เหตุการณ์คล้ายกับเวลาพวกอันธพาลเมาสุราแล้วเกิดกำหนัดจนปลุกปล้ำหญิงสาวดีๆ ให้ตกเป็นของตนเลยนี่

แหวะๆ คล้ายที่ไหนกัน เป็นอุปาทานทั้งนั้น เลิกคิดเพ้อเจ้อเหลวไหลได้แล้ว!

เขาเอาผ้าห่มคลุมโปง สลัดความคิดที่ไม่สมควรมีออกไปจากห้วงสมอง จากนั้นก็ให้กู่โถวไปบอกความต่อเหล่าหยางโถว

“วันนี้ข้าจะหยุดงาน มีเรื่องอะไรก็ให้เขาทำไปตามที่เห็นควร”

กู่โถวไปหาเจ้าหนอนน่าเวทนาอย่างรู้หน้าที่

ไม่ง่ายกว่าซย่าอวี้จิ่นจะสงบสติอารมณ์ลงได้ ขณะที่เขาย่างเท้าออกจากประตูใหญ่ก็เห็นเซวียนเอ๋อร์ถือห่อผ้าเล็กๆ ห่อหนึ่งเตรียมตัวกลับไปเยี่ยมบ้าน

เซวียนเอ๋อร์เป็นคนที่เก็บความในใจไม่อยู่ พอเห็นเขามีท่าทางกระปรี้กระเปร่า นางสองจิตสองใจอยู่เป็นนาน แต่ในที่สุดก็ห้ามปากที่คันยุบยิบด้วยความอยากรู้อยากเห็นไว้มิได้ ส่งเสียงถามเบาๆ

“จวิ้นอ๋อง เมื่อคืนท่านแม่ทัพเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดตัวให้ท่าน ทั้งยังอยู่ดูแลตลอดคืนตามลำพัง สมเป็นศรีภรรยาจริงๆ ว่าแต่เรื่องนั้น…ท่านคงอ่อนโยนกับนางดีกระมัง”

ซย่าอวี้จิ่นสำลักน้ำลายไปแล้ว เมื่อครู่เป็นผู้ใดกันที่โง่เง่ายิ่งกว่าสุกรจนหลงเชื่อว่านางไม่คล้ายพวกชอบกระทำมิดีมิร้าย

เขาวิ่งถลาไปจับตัวซีซ่วยซึ่งเป็นคนปรนนิบัติรับใช้ตนไว้แล้วถามคาดคั้น

“เมื่อคืนเกิดเรื่องใดขึ้น”

ซีซ่วยตอบ

“ท่านเมาหนักมากจนอาเจียน ท่านแม่ทัพเลยพาท่านกลับไปที่ห้อง ขอน้ำอ่างหนึ่งแล้วคอยดูแลท่านทั้งคืน เรื่องอื่นก็ไม่มีแล้วขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นถามอีก

“นางมิได้ทำ…มิใช่ ข้ามิได้ทำอะไรนางกระมัง”

ซีซ่วยตอบ

“ไม่ได้ยินเสียงดิ้นขัดขืน คงไม่มีขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นระบายลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ตบไหล่ซีซ่วยเบาๆ และเอ่ยอบรม

“นั่นน่ะสิ เมาสุราแล้วเกิดกำหนัดจนข่มเหงน้ำใจสตรีเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างที่สุด เจ้านายของพวกเจ้าไม่เคยทำเรื่องไร้ศีลธรรมพรรค์นี้!”

ทุกคนกลั้นหัวเราะ พยักหน้าเออออตาม

หลังจากงานเลี้ยงที่หอหวนไมตรี คณะทูตตงซย่าสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดี นอกจากไปร่วมงานเลี้ยงตามที่ต่างๆ แล้วดูเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น

ฝ่ายเยี่ยเจาก็คล้ายจะไม่เก็บเรื่องในคืนนั้นมาใส่ใจ เพียงแต่มีงานยุ่งมากขึ้น ทุกวันไปประชุมขุนนางแต่เช้า จากนั้นก็สะสางงานมากมายในกองทัพนครหลวง พอกลับมาแทบจะหัวถึงหมอนก็หลับ กระทั่งเวลาฝึกยุทธ์ที่ฝนตกแดดออกอย่างไรไม่เคยว่างเว้นยังลดน้อยลงไปครึ่งชั่วยาม

ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกว่าอีกฝ่ายคอยดูแลเขาที่เมามายอาเจียนโดยไม่หลับไม่นอนตลอดคืน แม้จะคลางแคลงใจว่าตนถูกแอบลวนลาม ทว่านางก็คงลำบากเหน็ดเหนื่อยเอาการอยู่ เขาสมควรแสดงไมตรีเล็กๆ น้อยๆ บ้างจึงคิดจะไปพูดคุยทักทายกับนางอยู่หลายครั้ง ถือเป็นการขอบคุณ

ทว่ายามกลางวันเขาตามหาเยี่ยเจาไปทั่วแต่ไม่พบตัว ส่วนยามเย็นน่ะหรือ…นับแต่เขารับตำแหน่งผู้ตรวจการนครหลวงเป็นต้นมา มีสหายชักชวนออกไปเที่ยวเตร่มากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจปลีกตัวได้จริงๆ เอาเถอะ ในเมื่อนางกลับมาดึกดื่นเอง จะโทษเขามิได้เช่นกัน เมื่อผ่านไปหลายวันเข้าเรื่องนี้ก็ลบเลือนไปจากห้วงความคิดของเขา

พลบค่ำ พวกสหายเสเพลชักชวนเขาออกไปอีก บอกว่าที่หอหยกวสันต์ริมแม่น้ำฉินมีนางขับร้องคนใหม่มานามว่าเสี่ยวอวี้เอ๋อร์ งดงามเย้ายวน นัยน์ตาหวานซึ้งชวนฝัน น้ำเสียงนุ่มละมุน ไพเราะได้มากเท่าไรก็ไพเราะมากเท่านั้น

เขารีบตามไปฟังเสียงนางด้วยความตื่นเต้นคึกคักเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าจะถูกฉีอ๋องชิงตัดหน้าไปก้าวหนึ่ง จับจองหอหยกวสันต์ไปทั้งหมด ไม่เพียงจัดงานเลี้ยงมิตรสหาย ยังเชื้อเชิญองค์ชายอีนั่วมารื่นเริงสังสรรค์กันที่นี่

ซย่าอวี้จิ่นขุ่นเคืองใจเป็นอันมากที่ต้องหมดสนุกไปพอสมควรเพราะท่านลุงที่ตนเกลียดชัง

องค์ชายอีนั่วมองเห็นเขาก็เร่งรีบเข้ามาหา ใบหน้าที่กรำแดดจนคล้ำเข้มฉายแววสัตย์ซื่อจริงใจเต็มเปี่ยม เขาค้อมกายคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างกระตือรือร้น

“ชาวต้าฉินมีคำกล่าวว่านัดพบมิสู้เจอะเจอโดยบังเอิญ จวิ้นอ๋องดื่มสุราเก่ง เข้าไปดื่มเป็นเพื่อนสหายอย่างข้าสักสองจอกเป็นอย่างไร”

ซย่าอวี้จิ่นมีอคติต่ออีกฝ่ายอยู่แล้ว ฉะนั้นไม่ว่าดูอย่างไรล้วนรู้สึกว่าองค์ชายอีนั่วมีเจตนาร้ายแอบแฝง จึงปฏิเสธโดยอ้างว่าตนนัดหมายกับสหายไว้แล้วเดินเข้าไปในหอดอกซิ่งซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหอหยกวสันต์ เรียกตัวนางขับร้องมาสองสามคนและร่ำสุราหาความสำราญของตนไป ทว่าหางตากลับเหลือบแลไปทางหอสุราอีกแห่งบ่อยๆ อย่างรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีนัก

“เอ๊ะ! ภรรยาท่านมาโน่นแล้ว!” สหายในวงสุราตะโกนเสียงดัง “ยังสนทนากับองค์ชายอีนั่วด้วย!”

“เป็นไปได้อย่างไร นางไม่ได้ชมชอบท่านลุงข้า ทั้งยังไม่เคยเก็บงำสีหน้าท่าทางมาแต่ไหนแต่ไร แล้วนางจะมาร่วมงานได้อย่างไร” ลางสังหรณ์ของซย่าอวี้จิ่นเป็นจริง เขาขยี้ตาด้วยความประหลาดใจ กล่าวรำพึงไม่หยุด “นางยังบอกข้าว่าอย่าเข้าใกล้องค์ชายลักเพศนั่น ไฉนกลับวิ่งไปหาเสียเอง”

กระนั้นเขาจะขยี้อย่างไร เยี่ยเจาก็ยังคงตามติดองค์ชายอีนั่วเป็นเงาตามตัว สนทนากันไม่หยุด แม้แต่ฉีอ๋องเข้าไปดื่มคารวะก็ยังกล่าววาจาได้ไม่กี่คำ ขณะที่องค์ชายอีนั่วเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างเปิดเผยเป็นระยะ กระทั่งอยู่ที่หอดอกซิ่งฝั่งตรงข้ามยังได้ยินชัดถนัดหู

ผ่านไปไม่นานนักองค์ชายอีนั่วลุกออกจากงานเลี้ยง นางก็เดินตามไป ทั้งคู่ยืนอยู่ริมแม่น้ำฉิน พูดคุยยิ้มหัว เมื่อมองดูจากทางด้านหลัง รูปร่างเหมาะเจาะพอดี ช่างคล้ายเป็นคู่รักที่รูปงามสมกัน ก็ไม่รู้ว่าคุยเรื่องเลวทรามบัดซบตามประสาหญิงร้ายชายเลวอะไรกันอยู่

ซย่าอวี้จิ่นมองจนตาร้อนผ่าวไปหมด เขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยปลอบตัวเอง

“ผู้กล้าย่อมเลื่อมใสในผู้กล้า พวกเขาพูดคุยถูกคอ ดื่มสุราด้วยกันหลายจอกก็เป็นเรื่องสมควรอยู่”

“จริงของท่าน พวกเขารู้จักมักคุ้นกันอยู่แล้ว มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ถึงอย่างไรก็ดีกว่าดื่มเหล้าเคล้านารีกับบุรุษห้าร้อยกว่าคน” สหายในวงสุราพูดประจบเสียงเบา “จวิ้นอ๋อง ระวังด้วย เหล้าของท่านกระฉอกออกมาแล้ว”

“จริงบ้าอะไร!”

ซย่าอวี้จิ่นขว้างจอกสุราทิ้งอย่างแรง บัญชีแค้นทั้งใหม่และเก่าพลุ่งขึ้นกลางอกพร้อมความโกรธแค้นที่ล้นทะลักออกมาด้วย

นางจับมือถือแขนกับสหายเก่าต่อหน้าธารกำนัล ไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย หรือนางจะคิดจริงๆ ว่าพยัคฆ์ไม่สำแดงฤทธิ์เดชเช่นเขามิใช่บุรุษใช่หรือไม่!

เขาถอดเสื้อคลุมยาวสีขาวงาช้างหรูหราออกแล้วเปลี่ยนไปใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มของสหาย จากนั้นก็กำชับให้พวกเขาสรวลเสเฮฮากันเสียงดังต่อไป ส่วนตัวเองลอบลุกออกจากโต๊ะ แฝงกายเข้าไปในฝูงชนที่ส่งเสียงเอะอะโหวกเหวกอยู่ริมแม่น้ำฉินจนมาถึงใต้สะพานไม่ไกลจากพวกเยี่ยเจา

เขายอบกายลงต่ำมองสำรวจชัยภูมิรอบหนึ่ง สะกิดเรียกขอทานสกปรกที่นอนหลับอยู่ด้านข้าง โยนเงินให้สองเหรียญและบอกให้แกล้งไปขอเงินใกล้ๆ องค์ชายอีนั่ว ใช้กลิ่นเหม็นสาบจากตัวไล่พวกเขาให้เดินมาทางสะพาน เขาจะได้แอบฟังได้สะดวกว่าทั้งคู่กำลังผายลมสุนัขพร่ำพลอดสัญญารักมั่นนิรันดร์อะไรกันอยู่

ขอทานได้รับคำสั่งก็ปฏิบัติตามอย่างฉับไว

องค์ชายอีนั่วเดินมาที่ข้างสะพานกับเยี่ยเจา เขาอาศัยที่ตนมีเรือนร่างสูงใหญ่กวาดตามองไปทางซย่าอวี้จิ่นแวบหนึ่งแล้วก้มศีรษะลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่ามุมปากกลับเผยรอยยิ้มบางๆ แฝงเล่ห์ร้ายออกมา

ริมแม่น้ำฉิน แสงโคมสว่างไสวดุจยามกลางวัน ผู้คนที่มาเที่ยวเล่นส่งเสียงเอ็ดอึงเซ็งแซ่

ในทะเลทรายเกิดพายุฝุ่นทรายบ่อยๆ ยามพูดคุยกันจำเป็นต้องตะเบ็งเสียง องค์ชายอีนั่วจึงเสียงดังเป็นพิเศษ ขณะที่เยี่ยเจาต้องตะโกนออกคำสั่งสู้รบในสมรภูมิมาเป็นเวลานาน มาตรว่าสุ้มเสียงจะค่อนข้างทุ้มพร่า แต่เสียงก็ไม่เบาไปกว่าบุรุษทั่วไป ยิ่งกว่านั้นซย่าอวี้จิ่นฝึกการฟังเสียงลูกเต๋ามาอย่างชำนาญ ทำให้โสตประสาทไวกว่าคนทั่วไป ด้วยเหตุนี้แม้จะนั่งยองๆ อยู่ในจุดที่ห่างออกไปสักหน่อยและมีเสียงเอะอะอึงอล หูเขาก็ยังคงสามารถได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองจนหมดสิ้น

องค์ชายอีนั่ววางสีหน้าเป็นปกติ เดินเข้าไปใกล้สะพานอีกสองก้าวเพื่อบังสายตาของเยี่ยเจาไว้ หลังจากเขาชี้ชวนให้นางชมดูเรือสำราญบนแม่น้ำฉินพลางชวนคุยเรื่อยเปื่อยไม่กี่คำแล้วก็เปรยขึ้น

“พบกันในสนามรบเมื่อสามปีก่อน แม่ทัพเยี่ยองอาจกล้าหาญสมเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง ไม่คาดว่าจะกลายเป็นสตรีไปได้ หากท่านเกิดในตงซย่า เกรงว่าคงมีบุรุษไปสู่ขอจนหัวกระไดไม่แห้ง เห็นทีผู้ที่เป็นสามีท่านจะต้องเป็นบุรุษที่โดดเด่นเหนือผู้ใดในต้าฉิน ถึงเป็นที่ต้องตาต้องใจท่าน”

ใต้หล้านี้มีผู้ใดไม่ล่วงรู้ว่าหนานผิงจวิ้นอ๋องเป็นคุณชายเสเพล ถ้อยคำของบุรุษชาติสุนัขผู้นี้แทบจะเป็นการตีแสกหน้าประชดกันเลยทีเดียว แต่เขายังคงแสร้งทำสีหน้าว่า ‘ข้าเป็นชาวต่างแคว้นที่ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น’ สร้างความแค้นใจให้ซย่าอวี้จิ่นจนไม่รู้ว่าจะกระอักเลือดอย่างไรดี

เยี่ยเจากลับผงกศีรษะและตอบรับด้วยสีหน้านิ่งสนิท

“ไม่ผิด”

องค์ชายอีนั่วคิดไม่ถึงว่านางจะตอบเช่นนี้ รีบพูดต่ออย่างนอบน้อม

“ไม่ทราบว่าจวิ้นอ๋องโดดเด่นในด้านบุ๋นหรือมีความสามารถด้านบู๊เป็นเลิศให้อาคันตุกะจากแดนไกลเช่นข้ายึดถือเป็นแบบอย่างบ้างได้หรือไม่”

เยี่ยเจากล่าวขึ้นสั้นๆ

“ข้อดีของเขา ท่านทำตามอย่างมิได้หรอก”

องค์ชายอีนั่วลูบจมูกไปมา เอ่ยขึ้นราวกับรู้สึกละอายใจ

“กล่าวตามตรง นับแต่ข้าได้ทราบว่าท่านเป็นสตรีก็มีใจนิยมชมชอบอยู่สามส่วน จนปัญญาที่สองแคว้นต่างกัน อีกทั้งไข่มุกงามก็มีเจ้าของแล้ว กระนั้นในใจข้าก็รู้สึกขัดข้องอยู่ไม่วาย ดีชั่วอย่างไรให้ข้าได้รู้ว่าตัวเองพ่ายแพ้ในเรื่องใดกันแน่”

การกล่าวถ้อยคำนี้กับหญิงสาวที่มีสามีแล้วเป็นเรื่องเสียมารยาทเกินไปจริงๆ

ซย่าอวี้จิ่นคาดเดาไปในทางร้ายว่า…หรือเจ้าคนลักเพศถูกตาเยี่ยเจาที่มีรูปโฉมคล้ายคลึงบุรุษถึงได้ติดเนื้อพึงใจนาง

เยี่ยเจาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเช่นกัน แต่ติดขัดที่ศักดิ์ฐานะ จะออกปากตำหนิติเตียนเขาก็ไม่ดีนัก

องค์ชายอีนั่วไม่ลดละย่อท้อ เอ่ยยิ้มๆ อย่างตรงไปตรงมา

“เขาดูสุภาพอ่อนโยน เกรงว่าวรยุทธ์คงด้อยกว่าท่านกระมัง”

เยี่ยเจากล่าวย้อนเป็นเชิงประชดประชัน

“ถูกต้อง วรยุทธ์ของเขาด้อยกว่าข้า เกรงว่าจะสู้ได้ไม่เกินสามกระบวนท่า ส่วนท่านอย่างน้อยยังสู้ได้ถึงร้อยกระบวนท่า เทียบกันแล้วห่างไกลกว่ามากจริงๆ”

“จริงของท่าน” องค์ชายอีนั่วอดสูใจอยู่บ้างเมื่อนางเอ่ยถึงอดีต รีบพูดเยาะตัวเอง “พวกเราล้วนเป็นผู้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือท่านไม่ต่างกัน กระนั้นเขาก็โฉมงามกว่าข้า”

“เจ้าสิโฉมงาม เจ้าลูกเต่าตงซย่าป่าเถื่อนสมควรตาย!”

ซย่าอวี้จิ่นชิงชังที่คนอื่นกล่าวชมตัวเองว่าโฉมงาม แต่ยิ่งชิงชังบุรุษที่ต้องสงสัยว่าชมชอบตัดแขนเสื้อแล้วยังยกยอตัวเองว่าโฉมงามมากขึ้นไปอีก เขาโมโหจนบ่นพึมพำไม่หยุด น่าเสียดายที่หากถูกจับได้ว่าแอบฟังนั้นมันไม่น่าดูจริงๆ เขาจึงได้แต่ระงับใจแทบคลั่งตาย ไม่กล้าปรากฏตัวออกมา

เยี่ยเจาเอ่ยเรียบๆ

“ก็มิใช่โฉมงามสักทีเดียว เขาดีมากจริงๆ”

องค์ชายอีนั่วไม่ลดละย่อท้อ

“ยินดีรับฟัง จะอย่างไรก็ให้ข้าศิโรราบทั้งกายใจ”

เยี่ยเจานิ่งงันไป นางนึกถึงซย่าอวี้จิ่นแล้วสีหน้าพลันแปรเป็นเก้อกระดากรางๆ ไม่เฉยเมยเย็นชาดังเดิม ทว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ น่าอายพรรค์นี้ไหนเลยจะเอ่ยออกจากปากต่อหน้าผู้คนง่ายๆ มันน่าอับอายขายหน้าโดยแท้ นางจึงแสร้งกระแอมไอเสียงหนึ่ง พยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

จนปัญญาที่ชาวตงซย่าเปิดเผยโผงผาง ไม่เคยชินกับการปิดบังเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งองค์ชายอีนั่วรู้ดีแก่ใจว่าซย่าอวี้จิ่นเป็นคนจำพวกใด มีเจตนาสร้างความร้าวฉานและรอชมเรื่องตลกขบขัน

เขาเอ่ยปากหยั่งเชิงครั้งแล้วครั้งเล่าและถึงขั้นยั่วยุ

“หรือจวิ้นอ๋องย่ำแย่ถึงขนาดนั้นจริงๆ จนทำให้ท่านนึกไม่ออก ต้องเฉไฉบ่ายเบี่ยง แม้แต่จะชมเชยเขาสักคำก็พูดไม่ออก เฮ้อ ข้าได้ยินใครต่อใครพูดว่าจวิ้นอ๋องไม่ค่อยจะเอาถ่านนัก เดิมทียังไม่เชื่อ ตอนนี้ดูท่าว่า…เขาคงเป็นแพะน้อยเชื่องๆ น่ารักตัวหนึ่งกระมัง”

ชมสตรีคล้ายแพะเป็นคำยอ ชมบุรุษคล้ายแพะเป็นคำสบประมาท

เยี่ยเจาเดือดดาลขึ้นมาในที่สุด ซัดฝ่ามือกระแทกต้นหลิวขนาดสองคนโอบต้นหนึ่งข้างตัว มันไหวโยกไปมาอย่างรุนแรงราวกับจะล้มโค่นลงมาอยู่แล้ว บันดาลให้ซย่าอวี้จิ่นซึ่งหลบอยู่ข้างๆ ตกใจแทบตาย หลังจากนั้นนางก็สูดลมหายใจเฮือกหนึ่งอย่างสะกดกลั้น พูดแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน

“เขาเป็นเหยี่ยว หาใช่แพะ”

องค์ชายอีนั่วลากเสียงยาว พูดราวกับไม่อยากเชื่อ

“เหยี่ยว?” จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะแอบยิ้มเยาะเป็นการใหญ่ “เป็นลูกเหยี่ยวที่โฉมงามตัวหนึ่งจริงๆ”

“มีนกที่สามปีไม่บิน แต่บินคราเดียวก็พุ่งทะยานถึงฟ้า สามปีไม่ร้อง แต่ร้องคราเดียวก็ดังก้องน่าตกใจ วันเวลาข้างหน้ายังอีกยาวไกลนัก” เยี่ยเจาบันดาลโทสะแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า กล่าวเน้นทีละคำอย่างช้าๆ “อย่าดูถูกคนหนุ่มว่ายากแค้น”

“อย่าเพิ่งมีน้ำโหสิ” องค์ชายอีนั่วมองซ้ายมองขวา แน่ใจว่าซย่าอวี้จิ่นยังหลบซ่อนคล้ายมุสิกตัวหนึ่ง คงไม่ถูกพบตัว จากนั้นเขาก็พิศดูสีหน้าของเยี่ยเจาอีกครั้งแล้วรีบพูดปลอบด้วยท่าทางไม่คล้ายล้อเล่น “ท่านว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น”

“เขาเป็นลูกเหยี่ยวที่ยังไม่สลัดขนทิ้งตัวหนึ่ง แต่สักวันมันจะกางปีกออกในที่สุดและบินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าสีครามเช่นเดียวกับเหยี่ยวทุกตัว” เยี่ยเจาไม่แยแส พรั่งพรูวาจาสืบไปเรื่อยๆ ราวกับระบายความในใจก็ไม่ปาน “เขาฉลาดเฉลียว สามารถอ่านตำราที่มีเนื้อหาลึกซึ้งเจ็ดแปดเล่มจนเข้าใจแตกฉานได้ภายในสองวัน ทั้งยังจดจำได้ทั้งหมดและพูดทวนซ้ำได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เขาเกิดมามีฐานะสูงศักดิ์ กลับจิตใจดี แต่ไรมาไม่เคยรังแกชาวบ้านยากจน เอาใจใส่คนรอบข้างอยู่เสมอ ผดุงความเป็นธรรมและช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเท่าที่ความสามารถของตนจะกระทำได้ เขามีความมุ่งมั่น สามารถอดทนต่อการฝึกฝนที่จำเจน่าเบื่อนับสิบกว่าปี ศึกษาเรื่องเรื่องเดียวซ้ำไปซ้ำมาจนทำได้ดีที่สุด เขามีความกล้าหาญ ไม่เคยยอมจำนนเพราะคู่ต่อสู้แข็งแกร่ง เขามีไหวพริบช่างพลิกแพลง สามารถใช้วิธีไม่ธรรมดาแก้ปัญหาได้ เขากระตือรือร้นมีพลัง แม้จะเจ็บป่วยเป็นเวลานาน วนเวียนอยู่กับความเป็นความตาย แต่มันไม่เคยทำให้จิตใจเขาปราศจากแสงแห่งความหวัง…ท่านยังจะให้ข้ากล่าวต่ออีกหรือไม่”

องค์ชายอีนั่วอ้าปากตาค้าง

“หรือเขาจะไม่มีอะไรไม่ดีเลย?”

เยี่ยเจาพูดอย่างหนักแน่นเฉียบขาด

“สิ่งที่ไม่ดีของเขาข้าล้วนชมชอบทั้งสิ้น”

บนปฐพีนี้ไม่มีวันเสาะหาคู่รักที่เพียบพร้อมไร้ที่ติอย่างแท้จริงได้พบ ทว่าบางทีอาจมีคนผู้หนึ่งซึ่งข้อบกพร่องแต่ละจุดของเขาล้วนน่ารักเหลือเกินในสายตาตน เช่นนั้นก็จะประกอบกันขึ้นเป็นความงามที่สมบูรณ์ได้

เวลานี้องค์ชายอีนั่วพลันประจักษ์ได้ว่าดูเหมือนตัวเองจะอวดฉลาดจนทำเรื่องโฉดเขลาเสียแล้ว เขารีบหัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อน เอะอะว่าจะกลับไปดื่มสุรา

แม้เยี่ยเจาจะหงุดหงิด ทว่านางจำต้องฝืนใจกลับไปเป็นเพื่อนเขาจนเดินห่างออกไปเรื่อยๆ

ตรงเชิงสะพาน ซย่าอวี้จิ่นนั่งกอดเข่า ตาลอยเหม่อมองพื้นหิน

ร่างกายที่อ่อนแอตั้งแต่เยาว์วัยทำให้เขาละทิ้งการเล่าเรียนเขียนอ่าน ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่า เขาถูกเลี้ยงดูประคบประหงมอยู่แต่ในเรือนไม่ต่างจากเด็กผู้หญิง หลังจากเติบใหญ่ขึ้น คนวัยเดียวกันล้วนก้าวหน้าไปไกลลิบ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถด้านบุ๋นและด้านบู๊เทียบผู้อื่นมิได้สักอย่าง ครั้นร่างกายดีขึ้นเขาก็ยังลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งเริงรมย์ต่างๆ จนฉุดรั้งตัวเองให้หยุดอยู่กับที่

’แดดแรง อย่าดูตีคลีเลย รีบกลับไปพักเร็วเข้า’

’ไม่ต้องยืนตามธรรมเนียมอย่างคนอื่น เจ้าทนไม่ไหวหรอก รีบไปยกม้านั่งมาเร็วเข้า’

’ชมดอกไม้สำคัญกว่าร่างกายรึ เจ้าไปอยู่ในศาลาพักร้อนด้านข้างดีกว่าเถอะ’

’เพิ่งหายดี อย่าอ่านตำรานานเกินไป ระวังจะเจ็บตา’

’ถึงอย่างไรก็เป็นหลานแท้ๆ ของเรา ต่อให้ไม่มีความสามารถใดๆ มีหรือที่เราจะไม่ดูดำดูดีเจ้าได้’

’เราติดค้างเขามาหลายปีอย่างไม่เป็นธรรม ต่อให้เขาออกไปก่อความวุ่นวายนิดๆ หน่อยๆ ขอเพียงมิใช่เรื่องใหญ่โตก็ไม่นับว่ามีอะไร’

’ชื่อเสียง? เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ยังมีคนบังอาจวิพากษ์วิจารณ์รึ’

’ดูนั่น เขาก็คือท่านอ๋องน้อยจอมเสเพลอย่างไรล่ะ โฉมงามตรงข้ามกับความไม่เอาไหน คิกๆ’

ในสายตาของทุกคน เขาเป็นคนโฉดเขลาไร้สามารถ นักเลงเหลือขอ คนเสเพล ตัวบัดซบ ยอดแห่งตัวไร้ค่าที่ใช้การใดมิได้ มีชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างเคว้งคว้างเลื่อนลอย

แต่ไรมาไม่มีคนตั้งความหวังกับเขาแม้แต่น้อย

แต่ไรมาไม่มีคนรู้ว่าในใจเขาก็เคยมีความใฝ่ฝัน

แต่ไรมาไม่มีคนรู้ว่า…

เขาเคยฝันอยากเป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญ สู้รบในสมรภูมิ

เขาเคยปรารถนาอยากเป็นจอมยุทธ์ ผดุงความเป็นธรรม ช่วยเหลือผู้อ่อนแอ

เขาเคยวาดหวังอยากเป็นบัณฑิตคงแก่เรียน มีความรอบรู้อย่างลึกซึ้งแตกฉาน

เขาเคยนึกภาพตัวเองเป็นขุนนางใหญ่ รับใช้ราชสำนักอย่างใจซื่อมือสะอาด

เมื่อเจริญวัยขึ้น ความเป็นจริงทำลายความฝันไปทีละเล็กทีละน้อย สุดท้ายเขากลายเป็นคนเสเพล

เขานึกว่าตัวเองล้มเลิกความคิดไปนานแล้วและจะไม่หวนนึกถึงความใฝ่ฝันด้วยใจที่ฮึกเหิมเมื่อครั้งวัยเยาว์เหล่านี้อีก

นางกระจ่างแจ้งข้อดีของเขา ชื่นชมข้อเสียของเขา ทั้งยังลั่นวาจาจากใจจริงว่ายินยอมเชื่อมั่นในตัวเขา

ทว่าบินคราเดียวก็พุ่งทะยานถึงฟ้า เรื่องพรรค์นี้…จะทำได้อย่างไร

หญิงสมควรตายผู้นี้พูดจาเกินความจริงมากไปแล้ว!

เหยี่ยวอะไรกัน น่าคลื่นไส้ขนลุก หลอกเอาเจ้าหน้าโง่ที่มาจากตงซย่าหลงเชื่อว่าเป็นความจริง!

หากดังไปเข้าหูผู้อื่นคงเหมือนเรื่องชวนหัวจริงๆ ให้ตายสิ!

ซย่าอวี้จิ่นถ่มน้ำลายคำหนึ่งอย่างแรงประหนึ่งต้องการลืมเลือนเรื่องเมื่อครู่ไปให้หมด ทว่ากลับมีก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกลำคอ และแล้วน้ำตาก็ไหลผ่านแก้มหยดลงมาเบาๆ อย่างไม่เอาไหน เขารีบปิดหน้าไว้แล้วก้มศีรษะลง ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดสุดความสามารถ ไม่ยอมให้ผู้อื่นเห็นภาพน่าอายนี้ แต่ยังคงมีหยดน้ำไหลซึมออกมาตามร่องปลายนิ้วขาวสะอาด เช็ดอย่างไรก็ไม่แห้งเหือด

อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้…น้ำตาลูกผู้ชายจะไหลออกมาง่ายๆ มิได้

ในห้วงสมองมีถ้อยคำที่เหล่าเกาเคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้นานมาแล้วผุดขึ้น

’อันว่าสตรีนี้สำคัญที่สุดคือคนที่ดีต่อท่านอย่างหมดจิตหมดใจและดูแลท่านด้วยน้ำใสใจจริง’

หลังจากแต่งงานมาสามเดือนเจ็ดวัน ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกเหมือนเพิ่งรู้จักเยี่ยเจาเป็นครั้งแรก

 

เขาตาแดงก่ำเหมือนกระต่าย หากนางเห็นเข้า เขาจะไม่โดนหัวเราะเยาะหรือไร

ซย่าอวี้จิ่นขยับอาภรณ์บนตัวให้เรียบร้อย ยืนเหม่ออยู่ริมแม่น้ำครู่หนึ่ง หลังจากอารมณ์สงบลงแล้วถึงกลับไปหาพวกสหายกินสหายเที่ยวที่หอสุราและเปลี่ยนชุดคืน

เขากล่าวเพียงว่าลมพัดฝุ่นเข้าตา ให้คนไปหยิบคันฉ่องมาส่องดูหางตา เมื่อแน่ใจว่าไม่ต่างจากยามปกติก็บ่ายหน้าไปที่ตรอกนางแอ่น ผลุบกายหายเข้าไปในเรือนโกโรโกโสหลังหนึ่ง พูดจาข่มขู่คุกคามจนเอาของชิ้นหนึ่งมาได้ จากนั้นก็เร่งรีบกลับวัง

เยี่ยเจายังไม่นอน นางลองกระบี่อยู่ใต้แสงโคม จะรอคอยเขาอยู่หรือไม่ก็สุดรู้

ด้วยแต่ไรมาไม่เคยแสดงไมตรีกับภรรยามาก่อน ซย่าอวี้จิ่นไม่วายรู้สึกเก้อกระดาก เขายืนอยู่หน้าประตู เตรียมใจอยู่นานสองนาน ทว่าผ่านไปหลายชั่วเค่อแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเริ่มอย่างไรดี สุดท้ายเป็นเยี่ยเจาที่เดินเข้ามาหา

นางพิงตัวหมิ่นๆ กับกรอบประตู ยักคิ้วให้เขาทีหนึ่ง

“ทำไมรึ ดึกดื่นป่านนี้เพิ่งกลับมา ท่านมีอะไรจะพูดกับข้า”

การแอบฟังเป็นเรื่องน่าขายหน้าอย่างที่สุด ไหนเลยซย่าอวี้จิ่นจะกล้าพูด เขาอึกๆ อักๆ อยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ

“ข้ามาดูว่าเจ้านอนหรือยัง ข้าอยากใส่ใจเจ้าบ้างก็มิได้หรือ”

“เอ๊ะ?”

เยี่ยเจาแปลกใจอยู่สักหน่อย นางมองท้องฟ้า ดูคล้ายมีเมฆดำบดบังแสงจันทร์ จากนั้นก็ก้มศีรษะลงมองดูขาสองข้างของอีกฝ่ายที่ยืนบิดไปบิดมา ในใจกระจ่างแจ้งขึ้นบ้างโดยพลันจึงถามหยั่งเชิง

“หรือท่านรู้มาว่าระยะนี้ข้าอยู่กับองค์ชายอีนั่ว ถูกคนอื่นซุบซิบนินทาอีกเช่นเคยเลยอึดอัดใจ?”

“มีบ้างเล็กน้อย” ซย่าอวี้จิ่นไม่เคยชินกับการพูดจาดีๆ กับนางจริงๆ กระนั้นก็รู้ดีแก่ใจว่าถึงจะชักแม่น้ำสักกี่สายหรือซักซ้อมคำพูดในหัวสักกี่ครั้ง สิ่งที่เขาพูดออกมายังคงเป็นเรื่องที่ฉีกหน้าตัวเองอย่างมาก “ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงอยู่กับคนลักเพศสมควรตายนั่นทุกวัน คงมิใช่เขามีตาแต่ไร้แวว มาหลงชอบเจ้ากระมัง”

กล่าวจบเขารู้สึกว่าตนเป็นชายอกสามศอก จะซักไซ้ภรรยาก็เป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม เขาจึงยืดอกขึ้น แสร้งวางท่าเคร่งขรึมสุดความสามารถขณะรอคอยคำตอบ

“องค์ชายอีนั่วมิได้ธรรมดาเช่นที่เห็นภายนอก เขาเป็นผู้กล้าระดับหัวแถวของตงซย่า ชื่นชอบการต่อสู้ฆ่าฟัน ใจคอโหดเหี้ยมเด็ดขาด เขามีชายาสี่ห้าคนซึ่งแทบจะเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น ฉะนั้นท่านอย่าคิดฟุ้งซ่าน ข้าเป็นแม่ทัพของต้าฉิน หากเรื่องแพร่ออกไปทำให้เป็นที่กินแหนงแคลงใจของผู้อื่นจะไม่เป็นผลดี”

เยี่ยเจาตบไหล่เขาเบาๆ สองจิตสองใจอยู่ชั่วครู่ถึงเอ่ยพลางยิ้มฝืดๆ

“จักรพรรดิทรงเห็นว่าราชสำนักตงซย่ามักใหญ่ใฝ่สูง คงไม่อ่อนข้อยอมจำนนโดยง่าย การมาเยือนในครั้งนี้เกรงว่าจะเป็นกลลวง ด้วยเหตุนี้จึงมีบัญชาให้ข้ากับใต้เท้าราชมนตรีฝ่ายอักษรสารที่เคยทำหน้าที่ทูตไปเยือนตงซย่าอ้างฐานะสหายผลัดกันพาเขาเที่ยวชมที่ต่างๆ เป็นการจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เขาก่อปัญหาวุ่นวายขึ้น”

เพียงพอนเหลืองมิให้ภรรยาตัวเองไปอยู่เป็นเพื่อนบุรุษป่าเถื่อน กลับให้ภรรยาเขาไปรึ!

ซย่าอวี้จิ่นทำสีหน้าเข้าใจแจ่มแจ้ง ลอบก่นด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเพียงพอนเหลืองอยู่ในใจหลายตลบ

“จักรพรรดิทรงมีสายพระเนตรยาวไกล ข้าว่าแล้วว่าหมอนั่นมิใช่คนดี!”

เยี่ยเจาเอ่ยยิ้มๆ

“ท่านก็รู้เช่นกันหรือ”

ซย่าอวี้จิ่นจนวาจาไปชั่วขณะ เคราะห์ดีที่เขาปัญญาไว อ้างเหตุผลมาสาธยายได้เป็นคุ้งเป็นแคว “ข้าเพียงรู้สึกว่าเงื่อนไขในการสงบศึกของเขาสมเหตุสมผลเกินไป การเจรจาก็ราบรื่นเกินไป ดูท่าทางเหมือนไม่อยากสร้างความพอใจให้จักรพรรดิกับเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊อย่างสิ้นเชิง แต่มีใครที่ไหนกันที่ทำการค้าแล้วไม่โลภมาก ทั้งยังไม่เข้าใจเหตุผลที่ว่าตั้งราคาสูงเสียดฟ้า ต่อราคาต่ำติดดิน หรือเขาจะนึกว่าตัวเองเป็นขงจื๊อเม่งจื๊อกลับชาติมาเกิด?”

เยี่ยเจาเอ่ย

“ก็มีคนซื่อตรงที่ทำการค้าอย่างสุจริตอยู่เหมือนกัน”

ซย่าอวี้จิ่นโคลงศีรษะ

“คนพวกนี้มิใช่ไม่ละโมบ เพียงแต่ฉลาดมากต่างหาก พวกเขาหมายจะหากินกับลูกค้าประจำก็จำต้องใช้ความซื่อสัตย์เป็นการสร้างชื่อแบบปากต่อปาก จะได้ทำการค้ากันได้เนิ่นนาน ไม่นอกลู่นอกทางเพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยเท่าหัวแมลงวันจนตัดเส้นทางสู่ความมั่งคั่งในระยะยาว การเจรจาแลกเปลี่ยนระหว่างแคว้นต่อแคว้นพรรค์นี้…กระทั่งเง็กเซียนฮ่องเต้ก็ยังไม่เข้ามายุ่ง ถึงตีกันหัวแตกเลือดตกยางออกไปข้างหนึ่ง จบเรื่องแล้วยังหันหน้ามาจับมือเป็นมิตรกันได้ ฉะนั้นเป็นธรรมดาที่จะต้องขูดเลือดขูดเนื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”

เยี่ยเจาฟังแล้วหัวเราะร่วนพลางพูดซ้ำๆ

“หลักแหลม!”

ซย่าอวี้จิ่นเห็นบรรยากาศผ่อนคลาย เป็นจังหวะอันดียิ่งก็หยิบห่อผ้าไหมทรงยาวออกมาจากด้านหลังยัดใส่มือนาง

“แล้วก็…นั่น…ข้าให้เจ้า อย่าโมโหนะ”

เยี่ยเจารับมาอย่างยินดี พอเปิดออกดูก็นิ่งตาค้าง

ในห่อผ้าไหมเป็นกริชยาว ด้ามจับเป็นหัวเสือ รูปทรงเรียบง่ายเก่าแก่หากแต่ฝีมือวิจิตรบรรจง บนนั้นสลักตัวอักษรโบราณคำว่า ‘พยัคฆ์คำราม’ เอาไว้

เยี่ยเจาแทบจะกระโจนไปที่โต๊ะประทินโฉมของตัวเองอย่างว่องไว นางรื้อหากล่องไม้ต้นถง ใบหนึ่งออกมาจากลิ้นชักแล้วเปิดออกดู ในนั้นมีกริชพยัคฆ์คำรามแบบเดียวกัน เป็นวัตถุโบราณของราชวงศ์ก่อนและเป็นของสุดรักสุดหวงของนาง

นางถือกริชสองเล่มไว้แล้วคะเนน้ำหนักในมือ พิศดูอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยพื้นผิวหรือสัมผัสมือล้วนเหมือนกันทุกประการจนแยกแยะของจริงของปลอมไม่ออก

“ไม่ต้องดูแล้ว” ซย่าอวี้จิ่นกล่าวเนิบๆ “ผลงานของช่างใหญ่หลี่ไหนเลยจะให้เจ้าจับผิดได้โดยง่าย”

เยี่ยเจาเอ่ยอย่างงงงวย

“ข้าแย่งมันมาจากในสนามรบเมื่อสามปีก่อน ไฉนจะเป็นของปลอมไปได้”

ซย่าอวี้จิ่นถาม

“หลังจากเจ้ากลับมาเคยให้ผู้อื่นหยิบยืมหรือไม่”

“สองเดือนก่อนฝักกริชมีรอยแตกเล็กๆ รอยหนึ่ง ข้าเลยเอาไปซ่อมที่หอหิ้งสมบัติ…หรือว่า?”

“เถ้าแก่หอหิ้งสมบัติเป็นสหายเก่าของช่างใหญ่หลี่”

ซย่าอวี้จิ่นหยิบกริชที่นางเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะประทินโฉมมา ดึงด้ามหัวเสือออกจากใบมีด

เขาเอ่ยขึ้นพร้อมชี้ลวดลายเล็กๆ ดูคล้ายรอยขูดขีดอย่างไม่ตั้งใจที่จุดหนึ่งซึ่งไม่สะดุดตาตรงมุมขวาด้านบน

“สิ่งของที่เขาทำปลอมขึ้นล้วนทำสัญลักษณ์ประจำตัวไว้ เจ้าส่องดูลายเส้นนี้กับแสงไฟก็จะเห็นชื่อเขา”

เยี่ยเจาเดินไปพินิจดูใต้แสงเทียนแล้วเห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ถามขึ้นอย่างร้อนรน

“ท่านรู้มาจากที่ใด”

ซย่าอวี้จิ่นลูบจมูกอย่างละอายใจ

“ช่างใหญ่หลี่เป็นคนเจ้าปัญญา มีอารมณ์ขัน เขายกตนว่ามีพรสวรรค์ ไม่ฝักใฝ่เงินทอง ไม่มัวเมานารี หลงใหลเพียงการทำของปลอม ฝีมือเขาไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดิน ไม่ว่าจะทำเรื่องใดล้วนใจกล้าไม่ยั้งคิด ทุกปีเขาจะปลอมแปลงงานฝีมือที่เลียนแบบยากที่สุดชิ้นหนึ่ง เอาไปหลอกคนที่ถูกหลอกได้ยากที่สุด จากนั้นทุกคนจะเดิมพันลับหลังว่าสำเร็จหรือไม่ สองปีก่อนคนที่หลงกลคือข้า ของที่ใช้หลอกเป็นลูกหินสิงโตหยกขาวฉลุลาย แต่ข้าดวงดี ไม่ระวังทำมันตกแตกถึงจับพิรุธได้ นับแต่นั้นมาข้ากับเขาก็นับว่าไม่วิวาทไม่รู้จักกัน ปีนี้เขาปล่อยข่าวในหมู่พวกเราตั้งนานแล้วว่าคนที่เขาจะหลอกก็คือเจ้าที่มีกิตติศัพท์เป็นผู้รอบรู้เรื่องศัสตราวุธ ข้าเดิมพันว่าเจ้าจับไม่ได้ ชนะเงินมาพันกว่าตำลึง…”

ซย่าอวี้จิ่นพูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ สีหน้าท่าทางกระอักกระอ่วนมาก

แม้เยี่ยเจาไม่รู้ว่าเขาเกิดมีมโนธรรมในใจเผยความจริงออกมาด้วยเหตุผลใด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการแสดงไมตรี ในใจนางรู้สึกปีติยินดีอยู่บ้าง ไม่อยากไล่เลียงเอาความ

นางแบมือออก กล่าวทีเล่นทีจริง

“เงินที่ท่านชนะมาได้จะไม่แบ่งให้ข้าด้วยรึ”

ซย่าอวี้จิ่นล้วงถุงเงินออกมาแต่โดยดีทันใด รีบเร่งหยิบตั๋วเงินสองปึกส่งให้นางพลางถามเสียงอ่อย

“เจ้าไม่โมโหกระมัง” เขาเห็นว่าอีกฝ่ายดูคล้ายไม่มีท่าทีตำหนิโทษก็รีบทวงความชอบ “ข้าต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปตั้งมาก ทั้งขู่ทั้งหลอกกว่าจะเอาของคืนมาจากช่างใหญ่หลี่ได้นะ”

เยี่ยเจาไม่แม้แต่มองดูก็เก็บตั๋วเงินขึ้น หยิบกริชสองเล่มพร้อมอุทานชม

“กล้าได้ก็ต้องกล้าเสีย ผลงานของช่างใหญ่หลี่เยี่ยมยอดอย่างไม่มีผู้ใดเทียบเทียมจริงๆ ข้าถึงกับจับสังเกตไม่ได้แม้แต่น้อยเชียวหรือนี่”

ซย่าอวี้จิ่นระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง

เยี่ยเจาถามอีก

“ข้ามีดาบคู่ยวนยาง แต่พลั้งเผลอทำหล่นหายไปเล่มหนึ่ง ให้ช่างทั่วไปตีเล่มใหม่ออกมา จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ความรู้สึกเหมือนคู่เดิมของมัน ไม่รู้ว่าช่างใหญ่หลี่จะตีดาบตามแบบอีกเล่มให้เข้าคู่กับเล่มที่ข้ามีอยู่ได้หรือไม่”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ย

“ยิ่งเป็นสิ่งของที่คนทั่วไปทำไม่ได้เขายิ่งชอบ อีกประการหนึ่ง เจ้าล่วงรู้ความจริงเรื่องกริชพยัคฆ์คำรามแล้ว เขาคงกระวนกระวายใจอยู่เหมือนกัน หากตกลงให้ค่าจ้างอย่างงามแล้วค่อยข่มขู่อีกสักคำสองคำ คิดว่าเขาจะต้องยินยอมแน่”

เยี่ยเจาดีใจยกใหญ่ นัดหมายกับเขาว่าวันรุ่งขึ้นกลับจากประชุมขุนนางแล้วจะไปตรอกนางแอ่นพบช่างใหญ่หลี่ด้วยกัน

 

ทว่าในวันต่อมาพวกเขาเพิ่งถึงปากตรอกนางแอ่นก็ได้ยินข่าวร้าย

ช่างใหญ่หลี่ตายแล้ว เขาถูกแทงกลางอกสิ้นใจในดาบเดียว เถี่ยตั้นซึ่งมาส่งของที่เรือนเขาในตอนเช้าเป็นคนพบศพ

ผู้พลิกศพคะเนเวลาที่เสียชีวิตคือยามจื่อ ของเมื่อคืน

เจ้าเมืองนครหลวงส่งมือปราบออกไปสืบข่าวกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง ทุกคนยืนกรานเป็นเสียงเดียวกันว่านอกจากซย่าอวี้จิ่นแล้วไม่มีผู้ใดมาที่เรือนของช่างใหญ่หลี่ และไม่มีผู้ใดบาดหมางกับเขาด้วย

ซย่าอวี้จิ่นนิ่งงันตาค้าง รู้สึกว่าแผ่นดินนี้พิลึกพิลั่นไปหมด

เมื่อวานเขาเอากริชไปผูกไมตรีกับภรรยา วันนี้ก็ถูกลือว่าสังหารคนและโดน ‘เพียงพอนเหลือง’ เรียกตัวไปซักถาม ความวุ่นวายโกลาหลทั้งหมดนี้เกิดจากเรื่องใดกันแน่

วรชายาอันไท่เฟยปักใจเชื่อว่าสะใภ้เป็นดาวข่มบุตรชายคนเล็ก

หยางซื่อเห็นว่าสวรรค์มอบหมายภารกิจยิ่งใหญ่แก่คนเช่นนี้แล

เหมยเหนียงพูดว่าเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด

เซวียนเอ๋อร์เอ่ยอย่างมั่นใจมากว่าพักนี้เวลาที่จวิ้นอ๋องเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไร้ความจริงใจ พระโพธิสัตว์จึงไม่คุ้มครอง

เยี่ยเจากล่าวอย่างเยือกเย็น

“ปลงๆ ซะบ้าง ถึงอย่างไรท่านก็เคราะห์ร้ายมาโดยตลอดอยู่แล้ว”

ซย่าอวี้จิ่นสติขาดผึงอย่างสิ้นเชิง

“บ้าเอ๊ย! เจ้าตั้งใจจะใช้วิธียั่วโมโหข้าให้ตายเป็นการกำจัดสามีทิ้งใช่หรือไม่”

จักรพรรดิเห็นว่าคณะทูตตงซย่ายังอยู่ หากมีข่าวลือว่าลูกหลานเชื้อพระวงศ์สังหารคนแพร่ออกไปจะต้องเป็นเรื่องฉาวโฉ่อย่างเลี่ยงมิได้ พระองค์ไม่อยากให้เรื่องนี้โจษจันกันไปทุกตรอกซอกซอยจึงเรียกตัวเจ้าเมืองนครหลวงและเจ้าหน้าที่สืบคดีที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยซย่าอวี้จิ่นกับภรรยามาไต่ถามในห้องทรงพระอักษร กำชับว่าจะต้องจัดการเรื่องใหญ่จนเป็นเรื่องเล็ก และจากเรื่องเล็กจนไม่มีเรื่อง

ซย่าอวี้จิ่นได้แต่เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนั้นรอบหนึ่ง อธิบายว่าเขาได้ด่าทอช่างใหญ่หลี่จริง ซ้ำยังใช้อำนาจข่มขู่และผลประโยชน์หลอกล่อ จากนั้นก็แย่งของแล้วหนีออกมาจนทำให้อีกฝ่ายโมโหมาก แต่ตัวเองมิได้ลงมือสังหารเด็ดขาด

จักรพรรดิฟังแล้วขมวดคิ้ว ดุด่าเขาซ้ำๆ ว่าเหลวไหลสิ้นคิดแล้วหันไปซักถามเจ้าเมืองนครหลวงต่อ

เจ้าเมืองนครหลวงพิศดูสีพระพักตร์ก็แจ่มแจ้งถึงพระประสงค์ เขารู้ว่าหากตัวเองพูดว่าคนร้ายคดีนี้มิใช่ซย่าอวี้จิ่นจะต้องถูกจักรพรรดิบังคับให้ไขคดี และถ้าไขคดีมิได้ก็คงไม่อาจรักษาหมวกขุนนางบนศีรษะไว้ มิสู้ใช้ผู้ต้องสงสัยคนสำคัญที่มีอยู่ในตอนนี้มาปิดคดีอย่างรวดเร็วจะดีกว่า

อีกประการหนึ่ง เรื่องยาปลอมคราวก่อน เขาถูกขุนนางตำแหน่งเล็กๆ เช่นผู้ตรวจการนครหลวงบีบให้ต้องตัดสินคดีอย่างยุติธรรม กลับบ้านไปถูกอนุภรรยาคนโปรดโวยวายตัดพ้ออยู่นานครึ่งเดือน ไฟโทสะสุมอยู่ในใจไม่น้อย บัดนี้เห็นอีกฝ่ายเคราะห์ร้าย เขาอดลอบยินดีปรีดามิได้

หลังจากขบคิดดูแล้ว เจ้าเมืองนครหลวงก็เอ่ยอย่างระมัดระวังถ้อยคำ

“สาเหตุการตายของช่างใหญ่หลี่คือถูกแทงทีเดียวสิ้นใจ อาวุธคือกริชสั้นซึ่งถูกทิ้งไว้ด้านข้าง บนร่างกายปราศจากร่องรอยการดิ้นรนต่อสู้ มือปราบสอบถามจากเพื่อนบ้านใกล้เคียงแล้ว นอกจากกล่าวว่าจวิ้นอ๋องไปที่นั่นและเกิดการทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย แต่หาได้มีหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัดว่าจวิ้นอ๋องเป็นผู้สังหาร กระหม่อมขอบังอาจคาดเดาว่าช่างใหญ่หลี่อาจคับแค้นจวิ้นอ๋องด้วยเรื่องหมางใจเล็กน้อยจนปลงไม่ตกไปชั่วขณะเลยปลิดชีพตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”

เสนาบดีกรมอาญาซึ่งเข้ามาช่วยในการสืบคดีนี้สนิทสนมกับฉีอ๋องไม่น้อย เขาก็ทอดถอนใจตามไปด้วย

“ไฉนชาวบ้านผู้นั้นถึงปลงไม่ตกเพียงนั้น พลอยทำให้ชื่อเสียงของจวิ้นอ๋องต้องเสื่อมเสียไปด้วย”

องค์หญิงฉางผิงรับบัญชาจากพระพันปีมาช่วยขอความเมตตาให้ญาติผู้น้อง นางเบะปากเอ่ยยิ้มๆ

“ต่อให้ฆ่าแล้วจะเป็นอย่างไร ก็แค่สามัญชนต่ำต้อยคนหนึ่ง อย่างมากก็ให้เงินชดเชยเป็นค่าทำศพเพิ่มขึ้นสักหน่อย ครอบครัวเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมากความแล้ว”

แม่นมหลิวที่พระพันปีส่งตัวมาเช่นกันรับฟังการลงความเห็นจบก็ยกมือทาบอกกล่าวขึ้น

“อมิตาภพุทธ คนผู้นี้จิตใจคับแคบนัก ตายแล้วยังให้ร้ายผู้อื่น ช่างน่าชังจริงๆ”

พวกเขาผลัดกันวิพากษ์วิจารณ์คนละคำสองคำ ซ้ำยังยกเรื่องวุ่นวายที่ซย่าอวี้จิ่นก่อไว้ในอดีตขึ้นมาหลายเรื่อง แม้ไม่ทำให้ผู้ใดถึงแก่ชีวิต แต่มีนานาสารพัดรูปแบบเท่าที่จะเป็นไปได้

ทุกคนถกเถียงกันเสียงระงมจนสุดท้ายกระทั่งจักรพรรดิก็ชักจะเชื่อว่าคราวนี้ซย่าอวี้จิ่นกระทำเกินกว่าเหตุ แล้วยังประสบกับเจ้าทุกข์ที่คิดเล็กคิดน้อยจึงเกิดเรื่องปลิดชีพตัวเองด้วยความคับแค้นใจ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าขุ่นมัว

“พวกเจ้าเห็นว่าเรื่องนี้สมควรยุติลงเช่นไร”

องค์หญิงฉางผิงชิงตัดหน้าก้าวหนึ่ง พูดอย่างกระเง้ากระงอด

“ก็เหมือนเมื่อครั้งที่เสด็จพ่อทรงสั่งสอนหม่อมฉันสิเพคะ ตัดเบี้ยหวัดเขา ห้ามออกไปที่ไหนอีกสามเดือน”

เจ้าเมืองนครหลวงกล่าว

“ให้ค่าชดเชยครอบครัวผู้ตายกับเพื่อนบ้านใกล้เคียงเล็กๆ น้อยๆ เป็นการปิดปากทุกคนไว้โดยเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

เสนาบดีกรมอาญาเอ่ย

“จวิ้นอ๋องกระทำผิดโดยไร้เจตนา ว่ากล่าวตักเตือนเป็นการส่วนตัวแล้วก็แล้วกันไป อย่าทำให้พระพันปีต้องเสียพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”

แม้จะกล่าวว่าโอรสสวรรค์ทำผิดมีโทษเท่าสามัญชน ทว่านับแต่โบราณมา เว้นแต่เป็นเชื้อพระวงศ์หรือผู้สูงศักดิ์ที่ถูกจักรพรรดิหวาดระแวงและจงใจหาข้ออ้างเล่นงานให้ถึงที่ตายแล้ว หาได้เคยมีกรณีที่เชื้อพระวงศ์ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเพราะสังหารราษฎร

แม้แต่ขุนนางซื่อสัตย์สุจริตในเรื่องเล่าที่มีคนแต่งขึ้นก็เพียงสังหารราชบุตรเขยกับบุตรชายของท่านอ๋องพระญาติห่างๆ ไหนเลยจะกล้าบั่นศีรษะองค์หญิงองค์ชายจริงๆ

ไม่ว่าซย่าอวี้จิ่นจะมิได้สังหารคน เพียงบีบคั้นผู้อื่นให้ตาย หรือถึงจะสังหารคนจริงๆ ก็ตาม อย่างมากก็ถูกจับตัวไปตำหนิติเตียนอย่างรุนแรงยกหนึ่งลับหลัง จ่ายเงินชดเชยและถูกกักบริเวณเท่านั้น ขอเพียงเขายอมรับผิด คดีก็สามารถปิดลงได้ทันทีและมีคำตอบให้แก่ทุกฝ่าย ครอบครัวผู้ตายได้รับเงินชดใช้ก้อนโต นอกจากผีเคราะห์ร้ายที่ตายไปจะน่าเวทนาอยู่สักหน่อยก็เป็นเรื่องที่ดีต่อท่าน ต่อข้า และต่อทุกคน

จักรพรรดิชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้วตั้งท่าจะแสร้งทำเป็นเลอะเลือน ผลักเรือตามน้ำ เอ่ยอย่างรวบรัดตัดความเพื่อให้เรื่องจบลงโดยไว

“อวี้จิ่น เจ้าทำอะไรเหลวไหลเกินไปแล้ว” จากนั้นพระองค์ก็ถลึงตาใส่เยี่ยเจาแวบหนึ่ง “เป็นภรรยาก็ไม่กวดขันสามีตัวเองให้ดี ปล่อยให้ออกไปก่อความวุ่นวายข้างนอก ไม่ได้เรื่อง!”

นางขมวดคิ้วน้อยๆ ดูคล้ายไม่ใคร่ชอบใจนัก

“เรื่องนี้จะยุติลงเช่นนี้หรือเพคะ”

จักรพรรดิถาม

“เจ้าอยากให้เราโบยเขารึ ให้เขาไสหัวกลับไปเอาเงินก้อนหนึ่งมาปลอบขวัญครอบครัวผู้ตายและทำให้ทุกคนพึงพอใจให้ได้ ครึ่งปีหลังจากนี้อยู่แต่ในวัง ห้ามก้าวเท้าออกนอกประตู ตั้งใจอ่านคำสอนของนักปราชญ์ผู้รู้มากๆ จะได้เข้าใจหลักในการประพฤติปฏิบัติตนเสียบ้าง รอหลังจากครึ่งปีเรื่องนี้ก็ย่อมเงียบหายไปเป็นธรรมดา”

ทุกคนกล่าวพร้อมเพรียงกัน

“ฝ่าบาททรงวินิจฉัยด้วยพระปรีชาญาณ ทำให้ผองชนศิโรราบทั้งกายใจ”

ซย่าอวี้จิ่นซึ่งนิ่งเงียบมาโดยตลอดพลันเอ่ยปากขึ้น

“ไม่! ข้าไม่ศิโรราบ!”

จักรพรรดิโมโหจนกล่าววาจาไม่ยั้งปาก

“เจ้าคนบัดซบ ยังคิดจะเอาอย่างไรอีก”

“ครอบครัว?” ซย่าอวี้จิ่นคลี่ยิ้ม “ช่างใหญ่หลี่เป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดา กระทั่งพื้นเพที่มาก็ยังไม่แจ่มแจ้ง เขาลุ่มหลงในงานฝีมือ ไม่มีลูกเมีย ไหนเลยจะมีครอบครัวได้ หรือแม้แต่เรื่องนี้พวกท่านก็มิได้สืบให้กระจ่างชัด”

เจ้าเมืองนครหลวงเอ่ยอย่างตกตะลึง

“เขาย้ายจากเหอซีมาตั้งรกรากในเมืองหลวง ในหนังสือทะเบียนที่ทางที่ว่าการส่งมาให้มีบันทึก…”

ซย่าอวี้จิ่นโคลงศีรษะ

“หนังสือทะเบียนของที่ว่าการนั่นเป็นของปลอม ตอนเขาอายุราวสิบขวบอาศัยอยู่ที่ลั่วตง ประทังชีพด้วยการทำของปลอมหลอกคนจนล่วงเกินผู้มีอิทธิพลเข้า เขากลัวถูกคนตามสืบสาวราวเรื่องจึงปลอมแปลงหนังสือทะเบียนของที่ว่าการลั่วตงขึ้น จากนั้นเปลี่ยนชื่อแซ่และย้ายมาตั้งรกรากที่เมืองหลวง”

เจ้าเมืองนครหลวงเอ่ยอย่างกระฟัดกระเฟียด

“ดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง คนผู้นี้สมควรตาย!”

ซย่าอวี้จิ่นมองเขาอย่างเย็นชา

“ปลอมแปลงหนังสือราชการ หากว่ากันตามกฎหมายแล้วสมควรตายจริงๆ ทว่าเขาสมควรตายที่หน้าตลาด มิใช่ถูกคนสังหารในบ้าน นี่ยังคงเป็นคดีอุกฉกรรจ์อยู่ดี!”

จักรพรรดิโกรธจนหนวดกระดิก พระองค์ผ่อนลมหายใจหลายเฮือกก่อนถามขึ้น

“ในเมื่อเจ้าคิดว่าเขาถูกสังหาร เช่นนั้นเป็นฝีมือผู้ใด”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้า

“แต่กระหม่อมทราบว่าเขามิได้ปลิดชีพตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”

เสนาบดีกรมอาญาถาม

“ท่านอาศัยอะไรถึงยืนกรานเช่นนี้”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ย

“ช่างใหญ่หลี่มิใช่ช่างต่ำชั้นที่ทำของปลอมดาษดื่นทั่วไป เขาเป็นนายช่างใหญ่ในการปลอมแปลงอย่างแท้จริง ในครั้งนั้นเขาเอาลูกหินสิงโตหยกขาวฉลุลายมาหลอกเงินข้าไปแปดพันตำลึง ข้ายังไม่โกรธเคือง กลับชื่นชมว่าเขาเป็นผู้มีความสามารถ ทั้งยังเคยดื่มสุราร่วมกันเป็นบางครั้งจนนับได้ว่าเป็นสหายกัน อีกประการหนึ่ง คนผู้นี้ไม่ละโมบในเงินทอง ใช้ชีวิตเรียบง่าย เพียงหลงใหลในศาสตร์การปลอมแปลงสิ่งของ

กริชของเยี่ยเจามีราคาแค่ห้าพันกว่าตำลึง แต่ที่ข้ากับเขามีปากเสียงกันมาจากสาเหตุที่คนที่จับได้ว่ากริชเป็นของปลอมมิใช่เยี่ยเจา ไม่สอดคล้องกับหลักการที่เขาจะคืนของให้ พวกเราทะเลาะกันอยู่ครึ่งค่อนราตรี ข้าเลยเดิมพันกับเขาว่าภาพวาดของหลี่ป๋อเหนียนยากแก่การปลอมแปลงที่สุด ฉะนั้นข้าจะเอา ’ภาพเที่ยวยามสารท’ ในวังข้ามาให้เขาทำปลอมชิ้นหนึ่ง เมื่อทำเสร็จแล้วให้เขานำภาพจริงกับภาพปลอมวางไว้ด้วยกัน หากข้าทายถูก เรื่องกริชก็เลิกแล้วต่อกันเท่านี้ ถ้าข้าทายผิด ข้าจะมอบภาพจริงให้เขา ตอนนี้เขายังไม่ได้ภาพวาดไว้ในมือ จะหักใจตายไปได้อย่างไร”

เจ้าเมืองนครหลวงรีบเอ่ย

“จวิ้นอ๋อง ท่านอย่ากล่าวอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า หากเขามิได้ปลิดชีพตัวเอง แต่ในที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยของผู้อื่นเลย อย่าลืมว่าบ้านเรือนรอบข้างยังเลี้ยงสุนัขอีกเจ็ดแปดตัวนะขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นจนวาจาไปชั่วขณะ

เยี่ยเจามองลำคอของเจ้าเมืองนครหลวงแล้วหรี่ตาลงอย่างไม่พอใจ เอ่ยทีเล่นทีจริง

“ใต้เท้าเหอ ในเรือนของท่านดูเหมือนจะเลี้ยงสุนัขไว้ไม่น้อย หากข้าอยากลอบเข้าไปปาดคอท่านกลางดึก รับรองว่าไม่ทิ้งร่องรอยไว้เช่นกัน จะทดสอบดูหรือไม่”

เจ้าเมืองนครหลวงรู้สึกเสียววาบที่ลำคอกะทันหัน เขาเอ่ยพลางยิ้มอย่างจืดเจื่อน

“คือว่า…ท่านแม่ทัพมีวรยุทธ์สูงส่ง ไม่จำเป็นต้องทดสอบ ข้าก็เชื่อขอรับ”

เยี่ยเจาถามอีก

“เหตุใดท่านไม่เชื่อว่าคนที่สังหารช่างใหญ่หลี่ก็เป็นยอดฝีมือเช่นกัน”

เจ้าเมืองนครหลวงพูดตะกุกตะกัก

“ขะ…เขาเป็นแค่คนต่ำต้อยไม่สลักสำคัญอะไร ผู้ใดจะใช้ยอดฝีมือมาจัดการเขาขอรับ”

ความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นในห้วงสมองของซย่าอวี้จิ่นฉับพลัน เขาเอ่ยอย่างร้อนรน

“หากมีคนให้เขาปลอมแปลงของสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ จากนั้นฆ่าคนปิดปากล่ะ อาเจา เจ้าพูดว่าคณะทูตตงซย่าอาจมีแผนการร้ายอะไรบางอย่างอยู่มิใช่หรือ หากแผนการที่พวกเขาวางไว้คือเอาของปลอมชิ้นนี้มาทำเรื่องไม่ดีล่ะ”

ยอดช่างเลียนแบบผู้หนึ่งกับของสำคัญซึ่งเป็นของปลอมตบตาชิ้นหนึ่งจะก่อเรื่องใดขึ้นได้ ทุกคนคิดไปแล้วพลันขนลุกชันอยู่บ้าง

เยี่ยเจาพูดอย่างขึงขัง

“เรื่องนี้กันไว้ดีกว่าแก้ ต้องสืบให้ถึงที่สุด”

องค์หญิงฉางผิงถามอย่างลังเล

“อวี้จิ่น เรื่องนี้เจ้าตั้งใจจะ…”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวด้วยสุ้มเสียงแน่วแน่เด็ดขาดที่สุด

“ข้าจะร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมให้เขาเอง!”

เยี่ยเจาเดินเข้าไปยืนข้างกายเขาด้วยสีหน้านิ่งสนิท

 

ปกติไม่มีผู้ต้องสงสัยคนใดวิ่งออกไปสืบคดีด้วยตัวเอง ทว่าจักรพรรดิสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายของเรื่องนี้ พระองค์จึงหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ไม่เอ่ยอนุญาตและไม่เอ่ยว่าไม่อนุญาต เพียงถอนคำสั่งกักบริเวณ ปล่อยให้ซย่าอวี้จิ่นไปไหนมาไหนได้ตามชอบใจ

เจ้าเมืองนครหลวงก็ฉลาดหัวไวยิ่ง ปฏิบัติตามคำสั่งทันควัน พาคนทั้งสองไปที่ห้องผ่าศพ ให้พวกเขาตรวจดูศพของช่างใหญ่หลี่

ในห้องผ่าศพส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวล เยี่ยเจาสาวเท้าปราดๆ เข้าไปโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี เดินไปสองก้าวเห็นด้านหลังไม่มีคนตามมาก็หันหน้าไป เห็นซย่าอวี้จิ่นหน้าซีด เอามืออุดจมูก ใกล้จะอาเจียนรอมร่อ นางจึงหยุดฝีเท้าลง แสร้งทำท่าชมทิวทัศน์ข้างทางไปพลางรอเขาไปพลาง

ผ่านไปพักใหญ่ซย่าอวี้จิ่นหายใจได้เป็นปกติดังเดิม เขามองภรรยาที่กำลังสำรวจดูศพด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายๆ พาให้รู้สึกเสียหน้า ต้องกัดฟันแสดงความเป็นชายชาตรีออกมา แสร้งทำเป็นไม่หวาดหวั่นสักนิดสุดความสามารถขณะก้าวเท้าข้ามธรณีประตู เดินไปที่ข้างศพและเอ่ยเสียงดัง

“จะอย่างไรก็ต้องดูสาเหตุการตาย ไม่แน่ว่าอาจตรวจสอบอะไรตกหล่นไปก็เป็นได้”

ผู้พลิกศพของคดีนี้แซ่สวี่ รับผิดชอบการวินิจฉัยศพมาสามสิบห้าปีแล้ว เนื่องจากเป็นงานต่ำต้อย หมดหวังกับการเลื่อนขั้นตำแหน่ง ทั้งจะหาภรรยาก็มิได้ เลยทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดศึกษาการวินิจฉัยศพ

เขาแทบจะโมโหจนเนื้อเต้นเลยทีเดียวที่ซย่าอวี้จิ่นเคลือบแคลงในความถนัดเชี่ยวชาญของตน ลากเสียงยาวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“จวิ้นอ๋องสายตาแหลมคมดุจมีตาทิพย์ จะต้องมองเห็นสาเหตุการตายอย่างอื่นนอกเหนือจากจบชีวิตในดาบเดียวเป็นแน่”

ซย่าอวี้จิ่นมาหาร่องรอยเงื่อนงำโดยตั้งความหวังว่าตัวเองจะบังเอิญโชคดีเพียงอย่างเดียว พอได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

เยี่ยเจาเอ่ยปากขึ้นเนิบๆ

“ฝีมือพลิกศพของท่านเป็นหนึ่งในต้าฉินอย่างแน่นอน ใต้เท้าเหอกล่าวว่าท่านแค่มองปราดเดียวก็ดูออกว่าเสียชีวิตเวลาไหนอย่างไรได้โดยไม่เคยผิดพลาดมาก่อน”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่แค่นเสียงฮึ

ผู้ที่มีดีอยู่ในตัวมักเจ้าอารมณ์ ผู้ที่คลุกคลีอยู่แต่กับศพทุกวันล้วนมีนิสัยประหลาด ดังนั้นเยี่ยเจาหาได้ใส่ใจกับความเย่อหยิ่งของเขา เอ่ยสืบไป

“ข้าหลงใหลวิชายุทธ์มาตั้งแต่เด็ก สังหารคนมาก็ไม่น้อย พอจะมีความรู้ด้านอาวุธที่พบเห็นบ่อยๆ ทั่วหล้าอยู่บ้าง อีกทั้งคุ้นเคยวิธีสังหารคนด้วยดาบและกระบี่ รวมถึงลักษณะการตายอย่างมาก ข้าเลยอยากขอคำชี้แนะเล็กๆ น้อยๆ จากท่าน”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่คิดถึงข่าวลือของแม่ทัพเยี่ยขึ้นมาได้ในที่สุดจึงพยักหน้าอย่างเสียมิได้

เยี่ยเจาทรุดตัวลงนั่งยองๆ พินิจพิเคราะห์บาดแผลอย่างจริงจัง นางยังยื่นนิ้วจิ้มเข้าไปคะเนความลึกของแผลอย่างถี่ถ้วน

ซย่าอวี้จิ่นจับไหล่นางพยุงตัวไว้ ฝืนเกร็งคอเพ่งมองตรงๆ โดยไม่เผยสีหน้าตื่นกลัว ผิดแผกไปจากยามปกติจนคนรอบข้างต้องแปลกใจเลยทีเดียว

เยี่ยเจาลุกขึ้น

“แทงเข้าหัวใจในดาบเดียว เฉียบขาดทรงพลัง จากนั้นหมุนคว้านหัวใจอย่างรวดเร็วให้เหวอะหวะ ลักษณะการตายเช่นนี้มิใช่ปลิดชีพตัวเองแน่นอน”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่เอ่ย

“ถูกต้องขอรับ ยามที่คนปลิดชีพตัวเองมักลังเล ปากแผลคงไม่เรียบลึกปานนั้น อีกประการหนึ่ง หลังจากแทงเข้าหัวใจแล้วสองมือจะต้องไร้เรี่ยวแรง เป็นไปไม่ได้ที่จะหมุนมือคว้านหัวใจจนเหวอะหวะ ข้าบอกเรื่องนี้ให้ใต้เท้าเหอทราบแล้ว…แต่เขาไม่ให้ข้าพูด”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่างมีน้ำโห

“มารดามันเถอะ! ขุนนางสุนัขผู้นี้คิดจะให้ข้ารับผิดแทนเพื่อปิดคดี!”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่มองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างมีนัยลึกซึ้ง

“สุนัขรอบข้างเห็นคนคุ้นหน้ายังไม่เห่า บางทีใต้เท้าเหอไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่”

ซย่าอวี้จิ่นขุ่นเคือง

“มองอะไร! ข้ากับสุนัขมิได้เป็นมิตรกัน! ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าเขา!”

เยี่ยเจาตบไหล่เขาเบาๆ พลางพูดปลอบ

“อืม ตั้งแต่แรกเริ่มข้าก็มั่นใจว่าท่านไม่ได้เป็นคนฆ่าเขา”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวอย่างเบิกบานใจ

“เจ้าเชื่อใจข้าถึงเพียงนั้น!”

“ก็มิใช่สักทีเดียว” เยี่ยเจาเอ่ย “สาเหตุการตายแบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่ท่านเป็นคนลงมือ”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่ถาม

“ไยท่านคิดเช่นนั้นขอรับ”

เยี่ยเจาล้วงกริชสั้นออกมาจากอกเสื้อโยนส่งให้เขาแล้วถาม

“สมมติว่าท่านใช้กริชเล่มนี้แทงข้า จะลงมือตรงจุดไหน”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่รับกริชมาแล้วลองออกท่าทาง

“ส่วนท้องอ่อนนุ่มแทงง่าย แม้อาจตายไม่เร็วเท่าไร แต่ขอแค่แทงเข้าไปได้แล้วหมุนกริชนิดเดียว ไม่ว่าจะทำร้ายถูกอวัยวะภายในส่วนใดก็ล้วนจบชีวิตเพราะเสียเลือดได้ทั้งสิ้น”

เยี่ยเจาถามต่อ

“เหตุใดไม่เลือกหัวใจ”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่เอ่ย

“ด้านหน้าหัวใจมีกระดูกหลายท่อน หากมุมที่แทงคลาดเคลื่อน เป็นไปได้มากว่าจะแทงเข้ากระดูก” เขากล่าวถึงตรงนี้ก็หูตาสว่างในบัดดล พูดอย่างตื่นเต้น “คนทั่วไปลงมือสังหารคนล้วนแทงที่ส่วนท้องซ้ำๆ หลายครั้ง ไม่ก็ใช้ของหนักตีศีรษะ หากเลือกลงมือที่หัวใจ เป็นเรื่องยากมากที่จะปลิดชีพด้วยการจู่โจมครั้งเดียว การสังหารคนด้วยอารมณ์ชั่ววูบคงไม่คิดรอบคอบเช่นนี้”

เยี่ยเจาถามต่อ

“หากท่านแทงกริชเข้าที่หัวใจข้า จะหมุนมือไปทางใด”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่ลองทำไม้ทำมือดู

“ทางขวา”

เยี่ยเจาพยักหน้า

“ช่างใหญ่หลี่กับข้าตัวสูงพอกัน สมมติว่าคนร้ายก็สูงไม่ต่างจากข้ามากนักหรือเตี้ยกว่า หากใช้กริชแทงผ่านกระดูกเสียบเข้าที่หัวใจอย่างแม่นยำล่ะก็ จะต้องเงื้อมือค่อนข้างสูง หลังมือข้างที่กำกริชจะต้องหันไปด้านบน การจะคว้านหัวใจให้เละต้องหมุนมือออกถึงจะถนัด แต่ทิศทางการคว้านหัวใจของช่างใหญ่หลี่กลับเป็นการหมุนมือเข้า ข้าจึงคิดว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนที่เคยชินกับการใช้มือซ้าย”

“ฉะนั้นต่อให้คนร้ายที่สังหารช่างใหญ่หลี่มิใช่ยอดฝีมือ ก็ต้องเป็นนักฆ่าซึ่งมีทักษะสูงมากอย่างที่จวิ้นอ๋องไม่สามารถทำได้” ผู้พลิกศพแซ่สวี่ฟังถ้อยคำของเยี่ยเจาแล้วยอมรับนับถือนางทั้งกายใจจนร้องชมไม่หยุด “ท่านแม่ทัพละเอียดถ้วนถี่! ล้ำเลิศ!”

เยี่ยเจารีบเอ่ย

“ท่านเป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจหาสาเหตุการตาย มิได้สังหารคนบ่อยๆ จะไม่ล่วงรู้รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องปกติ อันที่จริงข้าเพียงเข้าใจเรื่องดาบเรื่องกระบี่อยู่บ้างเท่านั้น ทว่าเรื่องการวินิจฉัยศพข้าไม่มีความรู้แม้แต่น้อย”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่เอ่ยชื่นชม

“ถ่อมตนแล้ว ท่านแม่ทัพเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่งโดยแท้”

ทั้งคู่กล่าวสรรเสริญกันไปมา

ชั่วชีวิตของผู้พลิกศพแซ่สวี่นั้นยากนักจะหาผู้เข้าใจในงานของตน พาให้ปลื้มปีติเสียจนอยากลากศพของคดีอื่นออกมาให้เยี่ยเจาดูทั้งหมด

“พวกเจ้าพูดเยินยอกันพอหรือยัง”

หลังจากซย่าอวี้จิ่นดีอกดีใจที่ได้หลักฐานล้างมลทินแล้วก็คิดขึ้นได้ว่าภรรยาเป็นยอดฝีมือในการสังหารคน ส่วนตัวเองแม้แต่ฆ่าไก่ก็ยังทำไม่ได้ ในใจรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าอยู่สักหน่อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำหน้าขึ้งเคียด นั่งยองๆ ด้านข้างครุ่นคิดอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็นึกถึงสิ่งที่จะพิสูจน์ความสามารถของตนจนได้

“กริชที่ตกอยู่ข้างศพเป็นของที่ร้านเจ้าหน้าปรุหวงเอ้อร์ตีขึ้น ข้าจำฝีมือได้!”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่คุยกับเยี่ยเจาอย่างออกรสออกชาติ ได้ยินซย่าอวี้จิ่นกล่าวขัดจังหวะก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เอ่ยพลางโบกไม้โบกมืออย่างรำคาญ

“จวิ้นอ๋อง บนกริชก็มีตราประทับของร้านเจ้าหน้าปรุหวงเอ้อร์อยู่แล้ว ใต้เท้าเหอสอบสวนจนกระจ่างชัดแต่แรกแล้วว่าก่อนเกิดเหตุช่างใหญ่หลี่เป็นคนซื้อมาเอง”

ซย่าอวี้จิ่นหน้าม่อย เป็นผู้ดูอยู่ด้านข้างต่อไป

เยี่ยเจาวัดความยาวของบาดแผลแล้วถามขึ้นอีก

“ท่านแน่ใจนะว่าอาวุธสังหารคือกริชเล่มนี้?”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่เอ่ย

“ความยาวเท่ากันขอรับ”

“ยอดฝีมือล้วนมีอาวุธคู่มือของตัวเอง น้อยนักที่จะใช้เศษขยะที่ขายกันตามตลาด เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลังจากสังหารคนแล้ว คนร้ายใช้มันเป็นเครื่องอำพราง หมายจะป้ายความผิดให้อวี้จิ่น อย่างเช่นใช้กระบี่เรียวบางที่ถนัดมือฆ่าให้ตายก่อน แล้วค่อยเอากริชเล่มนี้แทงซ้ำอีกทีเพื่อสร้างภาพลวงตาว่ากริชเป็นอาวุธสังหาร”

“พวกอาวุธที่ทำปลอมขึ้นลักษณะภายนอกอาจเหมือนกันได้ ทว่าคมมีดน่าจะผิดกันอยู่บ้าง” ผู้พลิกศพแซ่สวี่ตรึกตรองครู่หนึ่ง หมุนกายไปหยิบเครื่องมือแล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ควักหัวใจออกมาตรวจสอบดูเถอะขอรับ”

เยี่ยเจาพยักหน้าหงึกหงัก

ซย่าอวี้จิ่นถามอย่างยุ่งยากใจ

“นี่…จะเป็นการไม่เคารพคนตายเกินไปกระมัง”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่ทำงานไปกล่าววาจาไปอย่างเบิกบานใจ

“ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีครอบครัวเป็นเจ้าทุกข์ อีกประการหนึ่ง นี่เป็นผลดีอย่างยิ่งต่อการเรียกร้องความเป็นธรรมให้เขา เขาจะต้องไม่ถือสาแน่ขอรับ”

ครู่เดียวก็ตรวจสอบบาดแผลในหัวใจได้แจ่มแจ้ง

ผู้พลิกศพแซ่สวี่พูดขึ้นพร้อมเอามือฟาดที่น่องของศพ

“ข้าถึงกับมองพลาดไปเชียวหรือนี่! ด้านในมีรอยแผลสองรอยไม่เหมือนกัน แผลจากกริชเป็นการแทงซ้ำทีหลังเพื่อทิ้งร่องรอยตบตา ส่วนอาวุธสังหารที่แท้จริงน่าจะเป็น…”

เยี่ยเจาเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มที่

“กระบี่สั้น”

มันเป็นเรื่องน่าเยาะหยันอยู่สักหน่อยที่ศพของยอดช่างเลียนแบบปรากฏสาเหตุการตายที่ปลอมแปลงขึ้น

ซย่าอวี้จิ่นลงความเห็น

“พวกเราต้องหายอดฝีมือที่ถนัดมือซ้าย ถนัดใช้กระบี่ และวิชาตัวเบายอดเยี่ยมมาก?”

เยี่ยเจาคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มขณะลูบคางมองเขา จากนั้นพลันกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม

“เหตุใดคนร้ายต้องใส่ความท่านด้วย จะเป็นการสุ่มหาแพะรับบาป วางแผนอำพรางฐานะแล้วบังเอิญให้ร้ายท่านโดยมิได้ตั้งใจ หรือเขามีเจตนาเป็นปฏิปักษ์กับท่าน?”

ซย่าอวี้จิ่นสะท้านเยือกขึ้นมาจริงๆ เขาเอ่ยยิ้มๆ อย่างกระดากใจ

“ไม่กระมัง พักนี้ข้ามิได้ล่วงเกินใครที่ไหน…”

เยี่ยเจาทำท่านับนิ้ว

“หลิวเชียน เฉินเต๋อไห่ ลู่เหล่าเอ้อร์ อูยา…”

บนหน้าผากซย่าอวี้จิ่นมีเหงื่อเย็นผุดซึมขึ้นหลายเม็ด

เยี่ยเจาเอ่ยอย่างเด็ดขาด

“ข้าจะจัดคนสองสามคนไปเฝ้าเวรยามดึกให้ท่านก็แล้วกัน”

 

ยามราตรี หลังจากกลับวัง ซย่าอวี้จิ่นคิดคำนึงเรื่องคนร้ายที่สังหารช่างใหญ่หลี่ซึ่งไปมาไร้ร่องรอยแล้วก็หวนนึกถึงศพน่ากลัวที่เห็นในวันนี้ขึ้นมาอีกครั้ง พาให้ในใจบังเกิดความประหวั่นพรั่นพรึงจนต้องกัดผ้าห่มไว้ พอได้ยินเสียงลมพัดยอดหญ้าไหวก็ตกใจสะดุ้งเฮือก แม้แต่เงาของสาวใช้หรือเด็กรับใช้ที่เดินผ่านหน้าต่างไปล้วนคล้ายปีศาจร้ายผู้นั้นปรากฏตัวขึ้น หมายจะเล็ดลอดมาที่ข้างเตียงปลิดชีพเขาในดาบเดียว

ซย่าอวี้จิ่นยิ่งคิดยิ่งหวาดผวา นอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ

เมื่อเขาพลิกตัวไปมาเป็นครั้งที่เก้าสิบแปดก็เรียกซีซ่วยเข้ามาอย่างทนไม่ไหวในที่สุด ต้องฝืนข่มความกลัวเอาไว้ขณะกล่าวขึ้น

“คือว่า…ข้านอนไม่ค่อยหลับน่ะ”

ซีซ่วยเข้าใจความหมายของเขา

“ท่านนอนเพียงลำพังคงยากจะหลับลงได้ จะหาคนปรนนิบัติหรือไม่ขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นคิดๆ ดู รู้สึกว่าเหตุผลนี้ไม่เลว

“ใช่!”

ทว่าจะไปหาคนไหนดี

หลังจากหยางซื่อเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยในวังก็มีสง่าราศีผิดหูผิดตา อีกทั้งนิสัยนางก็ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเป็นที่หนึ่ง กลัวอยู่เรื่องเดียวว่าอนุภรรยาได้กุมอำนาจจะถูกผู้อื่นครหาว่ายั่วยวนมอมเมาสามีแล้วโดนดูหมิ่นดูแคลน ดังนั้นจึงระมัดระวังตัวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทุกเรื่องต้องยึดตามธรรมเนียม อายุยังน้อยก็วางตัวเคร่งครัดคร่ำครึคล้ายยายเฒ่าน้อยๆ คนหนึ่ง มิหนำซ้ำเอะอะอะไรก็จะไปฟ้องเยี่ยเจา หากนอนกับนางคงต้องทรมานน่าดูชม

เหมยเหนียงเป็นพวกกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา คนใดมีผลประโยชน์ให้ก็นับคนผู้นั้นเป็นมารดาตน ท่าทางที่แทบจะกระดิกหางเฉกเดียวกับสุนัขแสนเชื่องเวลามองเห็นเยี่ยเจาชวนให้สุดจะทนดูได้จริงๆ

เซวียนเอ๋อร์ยังพอทำเนา แต่เผอิญเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ทั้งยังชอบส่งเสียงกรีดร้อง หากนอนกับนาง ถ้ามีแมลงสาบหรือหนูวิ่งเข้ามาในห้อง มิต้องรอให้นักฆ่าเข้าประตูมา เขาคงตกใจตายด้วยเสียงกรีดร้องของนางไปแล้ว

ซย่าอวี้จิ่นใคร่ครวญอยู่เนิ่นนาน จวบจนซีซ่วยเอ่ยถามเป็นคำรบที่สาม

เขาก้าวเท้าออกเดินไปยังเรือนของเยี่ยเจาอย่างเด็ดเดี่ยว

นางเพิ่งเช็ดผมแห้งเตรียมตัวจะเข้านอน พอเห็นเขาเข้ามาก็ถามพร้อมยิ้มบางๆ

“ดึกๆ ดื่นๆ ไฉนท่านมีเวลาว่างมาหาข้าได้”

“มีไม่มีเวลาว่างอะไรกัน” ซย่าอวี้จิ่นรวบรวมความกล้าพูดขึ้น “ข้ามานอนกับภรรยาตัวเองเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม ยังต้องรายงานให้รู้ด้วยหรือ คืนนี้ข้าจะนอนที่นี่!”

เยี่ยเจาเลิกคิ้วสูง เอ่ยอย่างมีนัยกำกวม

“ได้สิ”

มิใช่ปีนขึ้นเตียงสตรีเป็นครั้งแรกสักหน่อย มีอะไรน่าตื่นเต้นนักหนา

ซย่าอวี้จิ่นได้รับคำอนุญาตจากเยี่ยเจาก็รีบถอดเสื้อออก ขึ้นไปบนเตียงไม้พะยูงของนางทันที เขากลิ้งตัวสองรอบจนมั่นใจว่าฟูกนอนกว้างขวางสบาย จากนั้นก็แตะๆ คลำๆ ทางนั้นทางนี้ พบว่านอกจากกริชใต้หมอนแล้ว มีกระบี่เรียวบางเล่มหนึ่งซุกอยู่เตียงด้านใน มีเมล็ดบัวเหล็กเล็กกะทัดรัดน่ารักห้อยอยู่ทั้งสี่มุมของผ้าห่ม ติดอาวุธพร้อมพรักไร้ช่องโหว่ มั่นใจได้เต็มเปี่ยม

ใต้หล้านี้ยังมีองครักษ์ที่ใกล้ชิดและไว้วางใจได้ยิ่งกว่าภรรยาอีกหรือ

ซย่าอวี้จิ่นได้กลิ่นหอมอ่อนๆ บนหมอน ความตึงเครียดในใจผ่อนคลายลงช้าๆ พร้อมความหวาดกลัวที่มลายหายไป แทนที่ด้วยความอ่อนล้าที่จู่โจมเข้ามา เปลือกตาบนหลุบลงมาชนเปลือกตาล่างไม่หยุด

เขากอดผ้าห่ม เพิ่งจะขดตัวเป็นก้อนกลมก็เห็นเยี่ยเจาสะบัดแขนเสื้อดับเปลวเทียน ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วขึ้นเตียงอย่างคล่องแคล่ว พูดกับเขา

“คืนผ้าห่มให้ข้า”

“ผู้หญิงสมควรนอนด้านใน!”

แม้ซย่าอวี้จิ่นจะง่วงมาก แต่ยังคงยึดมั่นในหลักการของตน เขากอดผ้าห่มปีนข้ามตัวนาง พลิกกายลงนอนฝั่งด้านนอกของเตียง

ท่ามกลางความรู้สึกสะลึมสะลือ เสียงหัวเราะของเยี่ยเจาดังแว่วที่ข้างหู ดูเหมือนนางเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าเขาเหนื่อยเกินไปจริงๆ จึงขานตอบ “อืมๆ” ส่งเดชก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

เยี่ยเจาโน้มกายไปดู

แสงจันทร์สีเงินรำไรส่องลอดม่านโปร่งใต้เงาโคม กระทบใบหน้างามปานหยกสลัก เรือนผมยาวดำสนิทเรียบลื่นสยายรุ่ยร่ายคล้ายผ้าต่วนแพรหรูหรา ขนตาดกหนาเหมือนผีเสื้อพยับปีกน้อยๆ ด้านหลังใบหูมีไฝแดงเม็ดเล็กๆ นวลเนียนน่ารัก ผิวกายเรียบลื่นดูน่าสัมผัสอย่างยิ่ง

“นี่”

นางส่งเสียงเรียกหยั่งเชิง

เขาพลิกตัวทีหนึ่ง

“นี่”

นางเรียกเสียงดังขึ้นเล็กน้อยพร้อมผลักเขาทีหนึ่ง

ซย่าอวี้จิ่นเคี้ยวฟันกรอดๆ

เยี่ยเจาสังเกตการณ์อยู่ครู่ใหญ่แล้วลงมือโดยไม่รอช้า เอานิ้วจิ้มๆ ที่หน้าเขา ผิวขาวกระจ่างเรียบเนียนละเอียดตามคาด ซ้ำยังเย็นเล็กน้อยไม่ว่าลูบกี่ครั้งก็ล้วนสนุก

นางหยิกแก้มเขาแล้วดึงเบาๆ สัมผัสได้ถึงความเต่งตึงนุ่มมือยิ่งกว่า

เขาขมวดคิ้ว ดิ้นขยุกขยิก พูดเสียงงึมงำ

“คนเลว ไม่เอา ไม่เอา…”

นางรีบคลายมือออก เอ่ยปลอบ

“ไม่เอาก็ไม่เอา”

นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเขาพลันยิ้มแหะๆ ออกมา

“แม่นางน้อยคนสวย มานี่ ให้ข้าหอมแก้มที”

ฝันอยู่ยังไม่วายแทะโลมหญิงสาว ดีๆ สามีนางมีหน่วยก้านในการเป็นอันธพาลแฝงอยู่มาก เสียดายเพียงขาดความกล้า ท่าทางเก้งก้างเงอะงะไม่เข้าขั้น หากเทียบกับนางในกาลก่อนที่แค่ส่งสายตาหว่านเสน่ห์ก็ทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ของโม่เป่ยอายม้วนต้วนกันไปหมดแล้ว ช่างห่างชั้นกันลิบลับจริงๆ

ดวงตาทั้งคู่ของเยี่ยเจาหรี่ลง นางเลียริมฝีปาก ตัดสินใจจะรื้อฟื้นวิชา ถ่ายทอดให้เขากระจ่างแจ้งว่าอะไรคือแก่นแท้ของการเป็นอันธพาล

นางก้มหน้าลงจุมพิตขนตาซย่าอวี้จิ่นเบาๆ จากนั้นก็เอาปากแตะที่ปลายจมูก สุดท้ายประทับบนเรียวปากที่ชื้นเล็กน้อยและเล็มแผ่วๆ ลิ้มรสอยู่ด้านนอก มิได้คลึงเคล้าซุกไซ้ด้วยกลัวทำให้อีกฝ่ายตกใจตื่น

เยี่ยเจากอดเขาหลวมๆ แล้วล้มตัวลงนอน ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

นางรู้วิธีเป็นคนพาลเกเร หากแต่ไม่รู้วิธีเป็นภรรยา

นางช่ำชองเรื่องรบในสมรภูมิ หากแต่ไม่ช่ำชองเรื่องรักในห้องหอ

ก่อนแต่งงาน หวงซื่อเคยสอนเรื่องในคืนส่งตัวเข้าหอ ทว่าพูดคลุมเครืออย่างยิ่ง ไม่โจ่งแจ้งเท่าถ้อยคำสัปดนยามทุกคนกินเนื้อสัตว์แกล้มสุรา คุยเรื่องนารีเมื่อครั้งอยู่ในกองทัพ

นางยังจำที่ผู้ช่วยแม่ทัพหม่ากล่าวว่าบนเตียงสตรีจะต้องเป็นฝ่ายรุก ยิ่งดุเดือดยิ่งระทึกใจ ส่วนรองแม่ทัพหวังพูดว่าสตรีต้องจูบอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จูบจนพอใจแล้วยามหาความสุขกันถึงจะหรรษา

ทุกคนล้วนแย่งกันคุยโอ้ว่าตนมีลีลาชั้นยอด

ชิวเหล่าหู่ถอดเสื้อตัวบนออก อวดรอยเล็บแปดรอยบนหลัง เชิดหน้าพูดอย่างหยิ่งผยอง

‘เมื่อคืนข้าถูกหญิงที่ซ่องนางโลมข่วนเอา’

ทุกคนส่งเสียงฮือฮาด้วยความเลื่อมใส พูดชมกันไม่หยุดว่าเขาเป็น ‘บุรุษขนานแท้’ ‘หนุ่มทรงพลัง’ ‘ลูกผู้ชาย’ กระทั่งรองแม่ทัพหลันซึ่งบั่นศีรษะคนไปยี่สิบกว่าศพตัวคนเดียวก่อนหน้านี้ยังมิได้รับคำชื่นชมอย่างสูงขนาดนั้น

รองแม่ทัพหลันเห็นเขาลำพองใจแล้วขัดนัยน์ตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมอิจฉา

‘อย่าลืมสิว่าทั้งกองทัพ บุรุษที่แกร่งกร้าวที่สุดคือท่านแม่ทัพ’

เยี่ยเจากำลังง่วนอยู่กับการแทะน่องแพะ ได้ยินพวกเขาพูดคุยพาดพิงมาถึงตัวเองก็เงยศีรษะขึ้นอย่างงุนงง

ทหารคนอื่นหมายเหยียบหางของชิวเหล่าหู่ที่ชูขึ้นสูงลงไปก็ตะโกนผสมโรงไปด้วย

‘ท่านแม่ทัพออกโรง ต้องหนึ่งต่อสาม!’

‘พวกสตรีเห็นท่านแม่ทัพ ไม่ต้องแตะตัวก็อ่อนระทวยแล้ว!’

‘ท่านแม่ทัพเก่งกล้าองอาจ ปราบสี่ยอดหญิงงามหอคณิการาบคาบ!’

‘ปัดโธ่! ท่านแม่ทัพมีวรยุทธ์เป็นหนึ่งในใต้หล้า จะอย่างไรก็สยบได้เจ็ดแปดคนต่างหาก!’

นางนับถือในความช่างคิดเพ้อเจ้อของทุกคนจากใจจริง

ชิวเหล่าหู่เสียเชิง ขอคำยืนยันอย่างไม่ใคร่ยอมจำนนนัก

‘ท่านแม่ทัพ คืนหนึ่งท่านได้มากที่สุดกี่คน’

เยี่ยเจามีสำนึกในความเป็นชายอยู่มาก รู้สึกว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เป็นไก่อ่อนสอนขันต่อหน้าพี่น้องเป็นเรื่องน่าอายอย่างยิ่ง อีกทั้งนางก็ไม่คิดจะพูดเท็จ นางจึงเอ่ยกำกวม

‘เรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ข้าไม่จดจำใส่ใจหรอก ลืมไปแล้ว’

คิดไม่ถึงว่าหูชิงซึ่งดื่มสุราเงียบๆ ด้านข้างยังไม่ลืมทำหน้าที่เป็นผู้กระหน่ำซ้ำเติม เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชมสุดจะเปรียบทันควัน

‘ท่านแม่ทัพต้องยอดเยี่ยมเป็นธรรมดา อายุสิบสี่เริ่มเข้าซ่องนางโลม พอย่างสิบหกก็ผ่านหมู่มวลนารีมาอย่างโชกโชน คืนหนึ่งสี่ห้าคนไม่ต้องหยุดพัก เคราะห์ดีที่ตอนนี้ท่านแม่ทัพเบื่อหน่ายแล้วถึงได้วางมือ รักษากายใจให้บริสุทธิ์ฝึกยุทธ์ หาไม่แล้วไหนเลยพวกเจ้าจะมีโอกาสสำแดงฝีมือ’

เยี่ยเจาสำลักเนื้อแพะเกือบขาดใจตาย รอจนหายใจได้เป็นปกติ หูชิงก็พูดเป็นตุเป็นตะจนสร้างข่าวลือได้เป็นผลสำเร็จ

ทหารทั้งหมดล้วนจ้องนางเขม็งด้วยสายตาน่ากลัวที่แฝงด้วยความอิจฉาริษยา

ด้วยติดขัดที่ตนเป็นหญิง เยี่ยเจายากจะปริปากแก้ต่างได้ ราตรีนั้นนางลงมือซ้อมหูชิงจนน้ำตาร่วงด้วยความโกรธจัด

ต่อมาคำเล่าลือยิ่งแพร่ออกไปก็ยิ่งต่อเติมเสริมแต่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนหญิงม่ายของโม่เป่ยพบเจอนางก็ทำตาลุกวาวเป็นสีเขียวเรืองๆ คล้ายหมาป่ามองเห็นเนื้ออันโอชะ

ยามสตรีหิวกระหายขึ้นมาแสนจะน่าสะพรึงกลัวจริงๆ ซึ่งมันได้ทิ้งเงามืดในใจนางอย่างลึกล้ำเลยทีเดียว

กระนั้นดูเหมือนว่าบุรุษจะชมชอบสตรีที่หิวกระหายจนน่ากลัว

ต้องร่ำเรียนแล้วสินะ…

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

11 of 11หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 84.1-84.2

    By

    บทที่ 84.1 ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องมองชุดรัดเอวแขนหลวมทำจากผ้าพลิ้วกรุยกรายลายปักซูซิ่ว บนร่างองค์หญิงอวี๋หยางอีกครา ดูคล้ายกับแบบที่ซูลั่วอวิ๋นสวม...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 83.1-83.2

    By

    บทที่ 83.1 หานเหยาได้ยินน้องชายพูดขึ้นมา นางก็เอ่ยอย่างลิงโลด “ดี! พี่สะใภ้ ท่านไม่ต้องกลับไปที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยแล้ว ที่นั่นวุ่นวายเหลือเก...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 82.1-82.2

    By

    บทที่ 82.1 ที่แท้จ้าวกุยเป่ยคิดว่าให้สัญญากับหานเหยาไว้ว่าจะมารับลูกอมก็จำเป็นต้องรักษาคำพูดหรือไร หานหลินเฟิงคร้านจะแยแสบุรุษหัวทึบผู้นี้ เ...

  • คืนลมพัดต้องเหมยงาม

    ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 ราตรีวุ่น แววตาเสิ่นเฉียนมืดทะมึน กัดริมฝีปาก ปลายคางเกร็งแน่นเผยความแข็งกร้าวอยู่ในที “ที่แท้ถูกเด็ดปีกหมดสิ้นแล้วเนรเทศมาให้ข้านี่...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 81.1-81.2

    By

    บทที่ 81.1 ฉิวเจิ้นเพ่งตามองดูแล้วก็พบว่าไม่เพียงกำแพงของค่ายเสบียงมีการต่อเติมให้สูงขึ้น ยังขุดคูลึกรอบตัวกำแพงทั้งด้านนอกด้านในเพิ่มอีกสอง...

  • คืนลมพัดต้องเหมยงาม

    ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 หงหลวนแต่งงาน ลมราตรีพัดกรู แสงจันทร์สาดส่อง ภายในหอตั้นเสวี่ยของจวนสกุลเซี่ยเวลานี้ เซี่ยจิ่นสองมือไพล่หลัง ฟังน้องชายตัวน้อยเซี่ยซ...

  • คืนลมพัดต้องเหมยงาม

    ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ลมตะวันตกพัดมา สุริยันจมลับประจิม แสงสายัณห์สาดส่องขอบฟ้า เสิ่นเฉียนเปลี่ยนม้าไปตัวหนึ่งแล้วในจุดพักม้า เช่นนี้จึงเร่งมาถึงนอกเมืองห...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com