ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน แม่ทัพอยู่บน ข้าอยู่ล่าง บทที่ 1 – บทที่ 11
บทที่ 2
วันต่อมาวรชายาอันไท่เฟยอ้างว่าตัวเองปวดศีรษะ เจ็บเท้า แน่นหน้าอก เพียงให้เยี่ยเจายกน้ำชาคารวะจอกหนึ่งพอเป็นพิธี นางมอบกำไลหยกขาวบริสุทธิ์แก่สะใภ้แล้วผลุนผลันออกไปเลย ทิ้งชายาอันอ๋องผู้เป็นสะใภ้ใหญ่ให้อยู่รับหน้า
ด้วยอันอ๋องมีร่างกายพิการ ชายาเขาจึงเป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาหลวงของขุนนางขั้นสี่ ซึ่งชาติกำเนิดที่ไม่สูงส่งพอนี้บ่มเพาะนางให้มีความคิดอ่านละเอียดอ่อน ฉะนั้นนางรู้ดีแก่ใจว่าถ้าให้ความสนิทสนมกับเยี่ยเจาเกินไปจะล่วงเกินแม่สามี แต่ทำตัวห่างเหินเกินไปก็จะล่วงเกินคนของคฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงกับเยี่ยเจา เป็นความน่าลำบากใจทั้งขึ้นทั้งล่อง
นางเพียงกล่าวเรียบๆ ตามมารยาทไม่กี่ประโยค กระนั้นกลับแฝงคำชี้แนะเรื่องการผูกสัมพันธ์กับผู้คนในวังที่สำคัญๆ ให้ไม่น้อยด้วยน้ำใสใจจริงเพื่อแสดงไมตรี จากนั้นจึงขอตัวออกไปดูแลวรชายาอันไท่เฟยที่ไม่สบายก่อน
ส่วนซย่าอวี้จิ่นเล่า เขาออกจากวังไปแต่เช้าและมิได้ปรากฏตัวตั้งแต่ต้นจนเสร็จพิธี
เยี่ยเจาดูคล้ายไม่ใส่ใจสักนิด นางนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ดื่มชาอย่างเอ้อระเหย เรือนร่างสูงระหงสวมชุดทหารสีแดงเข้ม แขนสอบสาบเสื้อป้ายทับไขว้กัน คาดเข็มขัดหัวสำริดรูปเทาเที่ย และสวมรองเท้าทรงสูงลายเมฆเหินสีดำ นางรวบผมขึ้นแล้วปักด้วยปิ่นหยกขาวง่ายๆ รับกับรูปหน้าคมเข้มแฝงเค้าชนต่างเผ่า ยิ่งแลดูสง่าน่ายำเกรง พวกสาวใช้พากันแอบเหลียวมองซ้ำหลายครั้ง
สาวใช้ด้านข้างเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง
“คนในเรือนของจวิ้นอ๋องกำลังรอคารวะอยู่นอกประตู จะให้พวกนางเข้ามาหรือไม่เจ้าคะ”
“ได้!”
เยี่ยเจาคิดว่าซย่าอวี้จิ่นมีรูปโฉมงดงาม พวกบ้านเล็กบ้านน้อยที่ต้องตาต้องใจเขาก็ยิ่งสมควรสวยหยาดฟ้ามาดิน และเมื่อนึกถึงอีกว่าในค่ายทหารพบเจอสตรีได้ยากยิ่ง ส่วนหญิงงามยิ่งยากจะพบเห็น ควรค่าแก่การตั้งตารอคอย สายตาที่แลมองไปทางหน้าประตูก็กระตือรือร้นขึ้นมาบ้างขณะเอ่ยสั่ง
“ให้พวกนางเข้ามา”
หยางซื่อพร้อมด้วยเมียบ่าวทั้งสองเดินนวยนาดเข้ามาและแสดงคารวะอย่างเนิบนาบ
เยี่ยเจาเกือบพ่นน้ำชาในปากออกมา
หยางซื่อยังพอทำเนา นางสวมชุดกระโปรงสีเขียวกับเสื้อคลุมขนสัตว์สีตุ่น บนเรือนผมดำขลับมีหวีสับรูปดอกไม้เงินฝังไข่มุกสองอันปักไว้เอียงๆ และสวมต่างหูไข่มุก แม้รูปโฉมไม่เด่นสะดุดตา แต่กิริยาท่าทางมาดมั่นสง่างาม ขณะที่เสื้อผ้าอาภรณ์ของเมียบ่าวสองคนนั้นกลับทุเรศตาสุดจะบรรยาย เหมยเหนียงซึ่งเห็นชัดว่าไม่เหมาะจะแต่งกายฉูดฉาดกลับสวมเสื้อคลุมสั้นสีม่วงเข้มกับกระโปรงไหมสีขาว เขียนหน้าทาปากดูพิลึกพิลั่น หากแยกทีละส่วนจะบอกไม่ถูกว่าผิดแปลกที่ใด แต่พอรวมกันแล้วน่าเกลียดจนทนพิศดูไม่ได้ ส่วนเซวียนเอ๋อร์สวมอาภรณ์เก่าล้าสมัย ตลอดทั้งตัวไม่มีเครื่องประดับสักชิ้น ทำท่าทางเป็นภรรยาตัวน้อยที่หวาดกลัวคนแปลกหน้า หน้าตาซีดเซียวราวกับจะเป็นลมหมดสติได้ทุกเมื่อ ไม่ผัดแป้งประทินโฉม
นี่น่ะหรือบ้านเล็กบ้านน้อยของเขา?
เยี่ยเจานึกถึงนางขับร้องสวยหยาดเยิ้มในเรือนของเสนาบดีหวง สาวงามเย้ายวนจับใจในเรือนของสมุหกลาโหมหลิว หญิงชาวหูอกอิ่มสะโพกผายในเรือนของผู้บัญชาการมณฑลอวี๋
สามีตัวเอง…กระทั่งสายตาในการมองหญิงงามก็ยังไม่ได้เรื่อง
นางรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงในที่สุด กระนั้นผิดหวังก็ส่วนผิดหวัง นางยังคงมอบของรับขวัญชิ้นใหญ่ให้อีกฝ่าย
เยี่ยเจารับราชการทหารหลายปี ได้สินสงครามมานับไม่ถ้วน ตามกฎซึ่งเป็นที่รู้กันในกองทัพ ของชั้นเลิศนำขึ้นถวาย ของชั้นรองลงมาเหลือเก็บไว้เองได้ไม่น้อย ในจำนวนนั้นย่อมมีเครื่องประดับอัญมณีของเชื้อพระวงศ์หมานจินรวมอยู่ด้วย
ตัวนางชื่นชอบแต่อาวุธ ไม่ชมชอบของสวยๆ งามๆ เครื่องประดับที่งดงามปานใดก็ล้วนไม่อยู่ในสายตา นางจึงนำไปตกรางวัลให้ผู้อื่นได้โดยไม่ตระหนี่แม้แต่น้อย
หยางซื่อคารมคมคาย กิริยาสุภาพมีมารยาท แม้ไม่นับว่าเป็นหญิงงาม กลับมีสง่าราศีมาก เป็นที่พึงตาพึงใจมากที่สุด เยี่ยเจาจึงมอบปิ่นทองที่มเหสีแห่งหมานจินเคยใช้ให้อีกฝ่าย ปิ่นนี้แกะสลักเป็นลายปักษามงคลสองตัว ประดับยอดด้วยไข่มุกสองพวงล้อมรอบไพลินคล้ายตามังกร มีแสงระยิบระยับอยู่ข้างใน ยามต้องแสงอาทิตย์จะเปล่งประกายแพรวพรายวาววับ เหมยเหนียงได้กำไลทองหนักอึ้งคู่หนึ่ง แต่ละวงมีไข่มุกขนาดใหญ่ห้าเม็ดฝังอยู่ตรงกลาง เซวียนเอ๋อร์ได้ต่างหูทองระย้าห้อยเพชรเม็ดใหญ่เท่าเล็บมือคู่หนึ่ง
แม้แต่หญิงสูงศักดิ์ในเมืองหลวงที่ออกเรือนแล้วก็ไม่แน่ว่าจะมีเครื่องประดับสูงค่าขนาดนี้ สตรีทั้งสามล้วนตะลึงพรึงเพริดจนกล่าววาจาไม่ออก
ในห้วงสมองของเหมยเหนียงว่างเปล่า ไม่รู้ว่านายหญิงน้อยมีจุดประสงค์ใด มือที่รับเครื่องประดับมาจึงสั่นระริกอยู่บ้าง ฝ่ายเซวียนเอ๋อร์ครุ่นคิดไปว่าอีกฝ่ายคงคิดจะหยิบยื่นไมตรีให้ก่อน เป็นการปิดปากทุกคนเอาไว้แล้วค่อยขับไล่พวกนางออกไปทีเดียวพร้อมกัน พานอยากร่ำไห้มากขึ้นทุกที
เยี่ยเจารู้สึกฉงนฉงายกับสีหน้าเศร้าเสียใจปานบิดามารดาตายจากของทั้งคู่ ตรึกตรองว่าตัวเองมิได้กลับเมืองหลวงสิบกว่าปี ทั้งยังไม่เคยร่วมสังสรรค์กับเหล่าสตรีเลยประเมินสถานการณ์ผิดพลาด มอบของขวัญด้อยค่าเกินไปใช่หรือไม่
มีเพียงหยางซื่อที่ปฏิกิริยาฉับไว นางก้าวเข้าไปกล่าวขอบคุณก่อน จากนั้นเอ่ยพลางยิ้มประจบ
“วังหนานผิงจวิ้นอ๋องใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว ถึงเวลานั้นจวิ้นอ๋องกับท่านจะต้องแยกเรือนไปอยู่ที่นั่น ไม่ทราบว่าท่านจะขอตัวบ่าวไพร่จากวังอันอ๋องไปหรือจะซื้อหาใหม่เจ้าคะ ยังมีเรื่องอื่นอย่างเช่นค่าใช้จ่ายจิปาถะของพวกข้าทาสบริวารเอย การจัดสรรห้องหับเอย ขอให้ท่านตัดสินใจแต่เนิ่นๆ ด้วย”
เยี่ยเจาฟังแล้วขมวดคิ้ว นางมีงานราชการมากมายต้องสะสาง กอปรกับทหารชุดใหม่เข้าประจำการมีทั้งเก่งไม่เก่งปะปนกัน จึงเป็นเวลาที่ต้องเริ่มฝึกฝนใหม่พอดี อีกประการหนึ่ง นางหลงใหลในวรยุทธ์ กลับมามีเวลาว่างก็อยากฝึกยุทธ์ ไหนเลยจะเต็มใจรับผิดชอบงานหลังบ้านจุกจิกหยุมหยิมเหล่านี้
ทว่าเรื่องจวนตัวเข้ามาแล้ว ไม่อาจไม่จัดการได้ นางไตร่ตรองครู่หนึ่งจึงถามขึ้น
“เมื่อก่อนใครเป็นคนดูแลเรื่องของจวิ้นอ๋อง”
หยางซื่อรีบตอบ
“ชายาอันอ๋องเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยในวัง ส่วนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเรือนของจวิ้นอ๋องมีข้ากับหัวหน้าสาวใช้ชื่อจื่อเถิงเป็นคนดูแล แต่ฤดูร้อนที่ผ่านมาจื่อเถิงได้รับเมตตาให้หมั้นหมายกับลูกชายคนรองของพ่อบ้านใหญ่ ปีหน้าจะออกเรือนแล้วเจ้าค่ะ”
เยี่ยเจาถามต่อ
“เจ้าอ่านออกเขียนได้?”
หยางซื่อพยักหน้า
“เมื่อก่อนข้าต้องช่วยแบ่งเบาภาระของมารดาจึงรู้หนังสืออยู่บ้าง แค่พอจะอ่านสมุดบัญชีได้เข้าใจเจ้าค่ะ”
เยี่ยเจาตัดสินใจเด็ดขาดฉับไว
“วันหน้าธุระปะปังเหล่านี้มอบให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ส่วนเรื่องบ่าวไพร่ หลังจากแยกเรือนไปแล้วเจ้าก็จงไปคัดเลือก แต่ต้องถือตามความเห็นของวรชายาอันไท่เฟยกับชายาอันอ๋องเป็นสำคัญ เรื่องการพบปะสังสรรค์ส่งของขวัญของกำนัลเจ้าก็รับไปด้วย ทำตามที่เห็นควร ข้าไม่มีความอดทนพอจะร่วมงานเลี้ยงชุมนุมของพวกสตรี หากเป็นคนที่ไปมาหาสู่กันตามธรรมดาบอกปัดได้ก็บอกปัดไป ส่วนพวกเชื้อพระวงศ์ที่ไม่สะดวกใจจะบอกปัดก็เอาเทียบเชิญมาให้ข้าจัดการ ที่เหลือเจ้าก็เป็นตัวแทนข้าไปร่วมงาน ถ้าสะสางไม่ได้ค่อยเอามาให้ข้าดู”
ดวงตาทั้งคู่ของหยางซื่อเป็นประกาย นางพยักหน้าถี่รัว
เหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์คล้ายมีแสงสว่างส่องวาบขึ้นในหัว พวกนางเรียกสติคืนมาได้ในที่สุดและคิดขึ้นได้ว่าวังหนานผิงจวิ้นอ๋องผิดแผกจากทั่วไป
บ้านอื่นล้วนถือบุรุษเป็นใหญ่ ฮูหยินที่แต่งเข้ามาก็ต้องปกครองบ้าน ดูแลเหย้าเรือนทั้งหมดอย่างปฏิเสธมิได้ ทว่าฮูหยินผู้นี้เป็นถึงขุนนางใหญ่คับฟ้า เป็นผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้าที่ปกครองชายชาตรียี่สิบหมื่น ไม่มีเวลาว่างจัดการงานหลังบ้านอย่างสิ้นเชิง ย่อมต้องหาคนรับภาระแทนเป็นธรรมดา และถึงหนานผิงจวิ้นอ๋องจะอยู่ว่างๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำหน้าที่ของสตรี
ฉะนั้นบ้านนี้ไม่มีภรรยาหลวงที่จะใช้อำนาจข่มเหงทำลายอนุภรรยาและเมียบ่าวอย่างพวกนาง มีแต่นายท่านสองคนให้การปกปักคุ้มครอง หลังจากแยกเรือนไปแล้ว หากพวกนางสามารถดูแลจัดการงานในวังหนานผิงจวิ้นอ๋องให้ท่านแม่ทัพได้ แม้ตัวจะมิใช่ฮูหยิน แต่ก็มีอำนาจสูงส่งเช่นฮูหยิน
หลายวันนี้หยางซื่อพร่ำพูดถึงความน่ากลัวของท่านแม่ทัพกรอกหูพวกนางไม่หยุดหย่อน ยุยงให้พวกนางแสร้งโง่ซุกงำประกาย เพื่อตัวเองจะได้ลืมตาอ้าปากในวันนี้ แล้วก็สมดั่งใจหมายหยางซื่อน่าชังผู้นั้นจริงๆ
ท่านแม่ทัพรูปงามปานนั้น ไม่คล้ายปีศาจกินคนเลยสักกระผีก!
ทั้งคู่นึกเสียใจแทบแดดิ้น
เยี่ยเจามองคนทั้งสามแวบหนึ่ง เอ่ยสืบไปเรียบๆ
“ไม่ต้องขอตัวผู้ดูแลบัญชีมา แต่ก่อนในกองทัพข้ามีผู้ดูแลบัญชีคนหนึ่ง รับผิดชอบทำบัญชีเสบียงและยุทธปัจจัย ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ ทั้งยังวางตัวเหมาะสม ตอนนี้อายุมากแล้ว ให้เกษียณมาอยู่ในวังหนานผิงจวิ้นอ๋อง เหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์มีเวลาว่างก็คอยแวะเวียนไปหาหยางซื่อบ่อยๆ ดูว่ามีอะไรต้องการให้ช่วยเหลือหรือไม่ พวกเจ้าล้วนอยู่ในวัยงามสะพรั่ง สมควรแต่งกายสวยงาม ยามไม่มีอะไรทำก็ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ไม่ต้องเข้มงวดกับตัวเองเกินไปนัก”
หลักการปกครองคือรู้จักใช้คนและต้องให้อำนาจ ขอเพียงควบคุมเรื่องเงินทองไว้ในมือ ใช้เมียบ่าวจับตาดูอนุภรรยา พวกนางก็คงก่อคลื่นลมใหญ่โตปานใดมิได้นัก
หยางซื่อชิงความได้เปรียบก่อนจึงได้ประโยชน์ไปมากมาย นางลอบนึกปีติยินดี พึงพอใจกับรูปการณ์ในยามนี้เป็นอันมาก กระนั้นแม้หยางซื่อสามารถสั่งการข้าทาสบริวารทั่วไป นางกลับไม่มีอำนาจเหนือพวกเมียบ่าว อีกทั้งไม่อาจก้าวก่ายชีวิตและผลประโยชน์ของพวกนาง และยิ่งไม่อาจส่งผลกระทบต่อหนานผิงจวิ้นอ๋องกับท่านแม่ทัพได้
เหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์ก็รู้สึกโล่งใจกับการมอบหมายงานเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อทั้งคู่ประจักษ์ว่าท่านแม่ทัพชอบมองหญิงงามก็เร่งรีบกลับห้องไปแต่งกายประทินโฉมใหม่ สวมเครื่องประดับที่ได้รับมา และใส่เสื้อผ้าอาภรณ์อย่างสวยงามแล้วปรี่เข้าไปพะเน้าพะนอท่านแม่ทัพ เริ่มทำตัวให้เป็นที่โปรดปราน
หลังแต่งงาน เยี่ยเจาได้หยุดพัก ไม่ต้องเข้าประชุมขุนนาง นางจึงไปอ่านตำราในห้องหนังสือโดยให้เหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์อยู่ปรนนิบัติข้างกาย
โฉมสะคราญสองคนขนาบซ้ายขวา เหมยเหนียงสวยเย้ายวน เซวียนเอ๋อร์งามพริ้มพราย คนหนึ่งฝนหมึก คนหนึ่งวางกระดาษ ต่างฉายรัศมีความงามในแบบของตน
หลังจากเยี่ยเจาไปฝึกยุทธ์ ชิวหวากับชิวสุ่ยวิ่งเข้ามาพูดคุยกับพวกนางอย่างร่าเริงเป็นกันเอง เล่าโอ้อวดด้วยความภาคภูมิใจถึงความกล้าหาญชาญชัยของท่านแม่ทัพที่เด็ดศีรษะนายทัพข้าศึกกลางกองทหารนับหมื่นเมื่อครั้งอยู่ที่โม่เป่ย
สองหญิงงามไร้กำลังความสามารถ ได้แต่ใฝ่ฝันอยากเป็นเช่นนั้นอยู่ในใจ
ทั้งคู่แลมองท่านแม่ทัพที่แสนสง่าอีกครั้ง นึกถึงความแล้งน้ำใจของหนานผิงจวิ้นอ๋องแล้วพากันชิงชังที่โชคชะตาเล่นตลก รู้สึกประหนึ่งหัวใจแตกสลายไปจริงๆ
หนานผิงจวิ้นอ๋องเถลไถลอยู่ข้างนอกเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่กลับวัง แม้แต่ธรรมเนียมกลับไปเยี่ยมคารวะครอบครัวภรรยาก็ละเลยเชือนแช
วรชายาอันไท่เฟยบุกไปที่ห้องของเยี่ยเจา ดึงมือนางพลางคร่ำครวญน้ำหูน้ำตานองหน้า
“เพราะเจ้าไม่ดีคนเดียว เป็นเหตุให้ลูกข้าไม่กล้ากลับบ้าน”
เยี่ยเจากำลังทำความสะอาดอาวุธ ฟังแล้วอดขมวดคิ้วมิได้
“พระพันปีเป็นผู้พระราชทานสมรสให้”
“ข้าไม่สน! ข้าไม่สน!” วรชายาอันไท่เฟยน้ำตาไหลดุจทำนบแตก แผดเสียงร่ำไห้แทบจะพังกำแพงเมืองลงได้จนใครๆ ล้วนไม่อาจทนไหว นางเขย่าร่างเยี่ยเจาไม่หยุดโดยไม่นำพาอะไรทั้งสิ้น “ผู้หญิงอย่างเจ้าช่างไร้มโนธรรม บังคับให้ลูกข้าระเหเร่ร่อนอยู่ข้างนอก ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย หิมะก็ตกหนักขนาดนั้น จะตกระกำลำบากอย่างไรบ้างก็สุดรู้ หากเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร เจ้ารีบไปตามตัวลูกข้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ”
เยี่ยเจาอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน
“เป็นเขาหนีออกจากบ้านไปเอง ข้าแต่งงานมาจนบัดนี้เพิ่งคุยกับเขาสองประโยครวมได้ห้าคำ เคยบังคับเขาเสียที่ไหนกัน”
วรชายาอันไท่เฟยมองคนตรงหน้าที่ถือลูกตุ้มดาวตกในมือกวัดแกว่งไปมาโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย หางตากระตุกคราหนึ่ง นางเช็ดน้ำตา ตัดสินใจกล่าวอ้อมค้อมสักหน่อย
“ต่อให้เขาทำไม่ถูกแค่ไหนก็เป็นสามีเจ้า ถึงเจ้าไม่อ่อนโยนเป็นศรีภรรยาก็ช่าง จะไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็แล้วไป จะไม่กตัญญูมากพอก็ไม่ว่ากัน ทว่าวันๆ เจ้าเอาแต่แกว่งดาบรำทวนได้อย่างไร”
“งานของข้าคือการแกว่งดาบรำทวน”
วรชายาอันไท่เฟยนึกถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เคราะห์ร้ายได้รับพระราชทานสมรสนี้แล้วน้ำตารื้นขึ้น ร่ำไห้ออกมาอีก
“อย่าได้คิดข่มเหงพวกเราหญิงม่ายลูกกำพร้านะ! หากเจ้าไม่ตามเขากลับมา ข้า…ไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว!”
เยี่ยเจาว้าวุ่นใจกับความไม่มีเหตุมีผลของนาง เอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา
“ได้ๆ ข้าจะไปตามเขา แต่ถ้าเขาไม่กลับล่ะ?”
วรชายาอันไท่เฟยรีบเอ่ย
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปขอขมาลาโทษ ก้มหัวอ้อนวอนเขาให้กลับมาดีๆ”
“เหลวไหล!” เยี่ยเจาเดือดดาล “เป็นเขาที่ไม่ยอมพบหน้าข้า หาใช่ข้าไม่ยอมพบหน้าเขา ยิ่งกว่านั้นข้าเป็นถึงขุนนางใหญ่ขั้นสอง ประจำการอยู่ในเมืองหลวง จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นข้าเป็นตัวตลกได้อย่างไร”
ท่านแม่ทัพบันดาลโทสะในที่สุด แม้น้ำเสียงและท่าทางลดทอนความดุดันลงแล้ว แต่ยังคงไว้ซึ่งท่วงท่าจอมทัพผู้นำกองกำลังนับหมื่นนับพันเข้าสู่สนามรบบั่นศีรษะคนดุจเดิม แลดูน่าเกรงขามเหลือประมาณ
วรชายาอันไท่เฟยตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น จิตใจที่ปลุกให้ฮึกเหิมขึ้นมาอย่างไม่ง่ายดายอ่อนยวบลงกึ่งหนึ่ง นางละล้าละลังชั่วครู่ แต่ครั้นคิดถึงลูกรักนางก็รวบรวมความกล้าอีกครั้ง กล่าววาจาข่มขู่อย่างตะกุกตะกัก
“ถะ…ถ้าเจ้าตามลูกข้ากลับมาไม่ได้ภายในสามวัน ข้าจะไปโขกศีรษะตายต่อเบื้องพระพักตร์พระพันปี กราบทูลฟ้องร้องเจ้าโทษฐานอกตัญญู!”
เอ่ยจบวรชายาอันไท่เฟยก็ผลุนผลันออกไป ไม่กล้ามองสีหน้าของเยี่ยเจา
หลังจากวรชายาอันไท่เฟยจากไปไกลแล้ว เหมยเหนียงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างโดยตลอดก็ขยับกายเข้ามาชิดแขนเยี่ยเจา กระซิบที่ริมหู
“ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป ในใจวรชายาอันไท่เฟยเห็นจวิ้นอ๋องเป็นเพียงเด็กน้อย เอะอะก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดขู่ว่าจะไปแขวนคอบ้าง วิ่งชนกำแพงบ้าง อดอาหารบ้างไม่น้อยกว่าปีละสี่ห้าครั้งด้วยเรื่องของเขา แต่ไม่เห็นนางเป็นอะไรไปจริงๆ สักที นางแค่ขู่ให้ตกใจเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
เซวียนเอ๋อร์กระซิบที่หูอีกข้าง
“มีบางคราวจวิ้นอ๋องก็ทนไม่ไหวเช่นกัน หายหน้าไปสิบวันครึ่งเดือนไม่กลับวังจนเป็นเรื่องปกติ แต่ถึงอย่างไรฝีมือการเล่นพนันของเขาก็เป็นเลิศ ทั้งยังรู้จักพวกเกะกะเกเรมากมาย ต่อให้ครึ่งปีไม่กลับมาก็ไม่อดตาย…ถ้าท่านจะตามหาจวิ้นอ๋องก็ไปที่หอคณิกา ร้านสุรา บ่อนพนันหรือวัดร้าง เป็นไปได้มากว่าเขาจะหลบอยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ”
หลังจากพวกนางมั่นใจแล้วว่าภายภาคหน้าใครคือผู้เป็นใหญ่ในวังก็ทำตัวเป็นพวกกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาอย่างรวดเร็ว หักหลังซย่าอวี้จิ่นทันควันเพื่อหวังเป็นคนโปรด
ชิวหวากล่าวอย่างฉะฉาน
“ท่านจะส่งคนไปช่วยตามหาหรือไม่เจ้าคะ พวกเราส่งองครักษ์แกะรอยไป รับรองว่าลากตัวเขาออกมาได้แน่”
“ไม่ต้อง ข้ารู้ว่าเขาอยู่ที่ใด”
เยี่ยเจาหยิบเสื้อคลุมขลิบริมด้วยขนจิ้งจอกสีดำมาสวมเอง จากนั้นเดินออกไปข้างนอก แต่แล้วนางก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้
“เจ้าจิ้งจอกไปไหน ไฉนหมู่นี้ไม่เห็นหน้าเลย”
ชิวหวารีบเอ่ย
“เมื่อไม่นานมานี้ท่านกุนซือลาหยุด คงไปเตร็ดเตร่อยู่ที่ใดสักแห่งกระมัง”
ชิวสุ่ยเงยหน้ามองท่านแม่ทัพอย่างคาดหวัง กล่าวเสริมขึ้นอย่างระแวดระวัง
“พักนี้เขาอารมณ์ไม่ดี อยากผ่อนคลายจิตใจเจ้าค่ะ”
เยี่ยเจาขมวดคิ้ว ออกคำสั่ง
“บอกเขาว่าพักผ่อนพอแล้วก็ไสหัวกลับมารายงานตัว”
ชิวสุ่ยทำปากขมุบขมิบอย่างกระวนกระวายใจคล้ายยังอยากพูดอะไรอีก ทว่าเยี่ยเจาออกนอกประตูไปแล้ว
กลางพายุหิมะ นางเดินมุ่งหน้าไปทางตะวันตกโดยไม่หยุดฝีเท้าอย่างเด็ดเดี่ยว
ซย่าอวี้จิ่นซ่อนตัวอยู่ ณ ที่ใด
บบถนนสายตะวันตกของเมืองหลวง ตรงหัวมุมตรอกเปลี่ยวมีร้านเล็กๆ แคบๆ สกปรกมอซอร้านหนึ่ง ธงผ้ามีตัวอักษรคำว่าสุราเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบมันแขวนมาเนิ่นนานกี่ปีก็สุดรู้ สุนัขแก่นอนหมอบอย่างเกียจคร้านอยู่บนขั้นบันไดซึ่งมีตะไคร่น้ำเกาะเป็นสีเขียว อ่างไฟในร้านลุกโพลงแผ่ไออุ่นผะผ่าว เหนือเตาดินเผาใบเล็กกำลังตุ๋นเนื้อแพะหม้อหนึ่งอยู่ ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ บรรยากาศสุขสงบราวกับเวลาหยุดเดินลงในชั่วเสี้ยวขณะนี้
เจ้าของร้านมีนามว่าเหล่าเกา ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น แลดูแก่ชราสมชื่อ เขาสวมเสื้อคลุมขนแพะเก่าขาด นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตา
ฝั่งตรงข้ามใต้แสงไฟสลัวรางมีคุณชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งนั่งอยู่ เขาสวมเสื้อคลุมหนังเตียว หรูหรา ในมือประคองเตาพก ลายดอกบัวใบหนึ่ง เรือนผมดำขลับดุจม่านน้ำตกถูกรวบขึ้น ใช้สายรัดไข่มุกสีม่วงเส้นหนึ่งมัดไว้รวมกันกลางท้ายทอยหลวมๆ ตามสบาย ผิวกายไร้ตำหนิเรียบเนียนปานหยก วงหน้างามคมขำราวกับรูปปั้นแกะสลัก ดวงตาเรียวยาวดั่งตากวางดำสนิทประหนึ่งม่านรัตติกาล เปล่งประกายสุกใสเจิดจ้า มุมปากประดับรอยยิ้มปราศจากเล่ห์กล
คนที่แสนจะผิดแผกแปลกแยกมาอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างสิ้นเชิง เป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกประหลาดพิกลอย่างมาก หากแต่ท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์ของเขากลับทำให้รู้สึกว่าไม่ประหลาดพิกลปานนั้นในเวลาเดียวกัน
เหล่าเกาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รินสุราให้เขาเต็มจอกอีกครั้ง
“ท่านอ๋องน้อย…ไม่สิ ตอนนี้ท่านเป็นหนานผิงจวิ้นอ๋องไปแล้ว คนที่เพิ่งเข้าพิธีมงคลใหญ่โตอย่างท่านหมกตัวอยู่ที่นี่ไม่กลับไปก็มิช่วยให้อะไรดีขึ้น จะอย่างไรท่านคงไม่อาจซ่อนตัวไปได้ชั่วชีวิตกระมัง”
“หนวกหู!” ซย่าอวี้จิ่นชะงักตะเกียบ มองอีกฝ่ายตาขวางแวบหนึ่ง “จะติงว่าข้ากินล้างกินผลาญเจ้าหรือไร ข้าชอบกินเนื้อแพะร้านนี้ก็เพราะให้เกียรติเจ้า อย่าลืมว่าเจ้ายังติดหนี้ข้าอยู่อีกเจ็ดร้อยแปดสิบเจ็ดตำลึง หลายวันนี้ข้าเพิ่งกินเนื้อแพะไปห้าตำลึง แต่เป็นเจ้าต่างหากที่ดื่มสุราชั้นดีของข้าไปยี่สิบตำลึงแล้ว!”
เหล่าเกาปากกล่าววาจาเกรงอกเกรงใจ ทว่าท่าทางปราศจากความยำเกรงแม้แต่น้อย เขาพูดกลั้วหัวเราะ
“มิบังอาจๆ ท่านมาเป็นลูกค้า ช่วยเชิดหน้าชูตาให้ร้านนี้ ต่อให้ท่านกินไปร้อยแปดสิบวันข้าก็ต้องต้อนรับขับสู้”
“เจ้าแค่อยากต้อนรับสุราของข้ามากกว่า”
ซย่าอวี้จิ่นเบะปาก ดื่มสุราเงียบๆ หลายคำ รับฟังเสียงด้านนอกซึ่งมีหิมะโปรยปรายลงมาอย่างเงียบสงัด จากนั้นจึงเอ่ยชวนด้วยความคันไม้คันมือแกมเบื่อหน่าย
“เหล่าเกา มาเล่นกันอีกสักสองสามตา”
เหล่าเกาวางชามกับตะเกียบในมือลง ฉีกยิ้มกว้าง
“ได้”
ซย่าอวี้จิ่นกล่าวยิ้มๆ
“ฮ่า…ไม่กลัวเสียอีกหลายร้อยตำลึงหรือ”
“ข้าไม่กลัว ไม่ว่าติดหนี้เจ็ดร้อยตำลึงหรือเจ็ดหมื่นตำลึง ข้าไม่มีปัญญาชดใช้คืนทั้งสิ้น”
“ฮึ่ย!” ซย่าอวี้จิ่นทำหน้าบึ้ง ตบโต๊ะพลางกล่าววาจาข่มขู่ทีเล่นทีจริง “เจ้าชาวบ้านอวดดี! บังอาจล้อเล่นกับข้าเชียวรึ! ไม่มีปัญญาใช้หนี้ก็ลากลูกสาวเจ้าไปขายซะ!”
“ได้ ข้ากลัดกลุ้มเรื่องแต่งงานของนางจะตายอยู่แล้ว” ดวงตาทั้งคู่ของเหล่าเกาเป็นประกาย เขาปีติยินดีจนออกนอกหน้า “คราวนี้ขายให้เรือนของท่านผู้ตรวจการหวงหรือเรือนของท่านเสนาบดีจางดีล่ะ ท่านสมุหกลาโหมหลิวก็ได้นะ ข้าสอบถามมาแล้ว ล้วนเป็นตระกูลสุจริตทั้งนั้น กลั้นใจทำงานสักสองสามปี หาคู่ครองเป็นลูกจ้างหรือพ่อบ้านสักคนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง พอได้ปล่อยตัวกลับบ้านออกเรือนก็มีหน้ามีตาเหมือนกัน”
ซย่าอวี้จิ่นสะอึกกับวาจายอกย้อนของอีกฝ่ายจนแทบพ่นเนื้อแพะออกมา ฉวยโอกาสยามเมาอยู่สามส่วนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“ช่างเถอะ ลูกสาวเจ้าอวดเก่งปากกล้าจนขึ้นชื่อลือชา เจ้ายังคิดจะให้นางออกเรือนไปก่อความเดือดร้อนให้ผู้คนอีก หากมีคนไม่รักชีวิตกล้าแต่งนางเป็นภรรยา ข้าจะสมทบเงินให้เจ้าผีเคราะห์ร้ายนั่นยี่สิบตำลึง”
เหล่าเกาไม่รอให้เขากล่าวจบ ตอบกลับทันใด
“ข้าขอขอบคุณท่านที่จะช่วยสมทบสินเดิมเจ้าสาวแทนชุ่ยฮวาด้วย”
ซย่าอวี้จิ่นถลึงตาใส่เหล่าเกาพร้อมเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว
“ฮึ! เป็นค่าทำขวัญให้เขาต่างหาก!”
“เหมือนกันๆ” เหล่าเกาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น กล่าวอย่างมีอัธยาศัย “มาๆ กินเนื้อแพะอีกสองชิ้นเรียกขวัญกลับมา”
ซย่าอวี้จิ่นโมโหโทโสจนส่งเสียงถุยใส่เขาดังๆ
ดื่มเมรัยดับทุกข์กลับยิ่งทุกข์ คิดถึงสตรีที่บ้านซึ่งดุดันยิ่งกว่า เขาก็รู้สึกเพียงตัวเองเคราะห์ร้ายมากขึ้นจนอดทอดถอนใจมิได้
เหล่าเกาเห็นดังนั้นก็กล่าวหว่านล้อม
“จวิ้นอ๋อง ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว ท่านก็ปลงซะเถอะ ระบายอารมณ์พอแล้วก็สมควรกลับไปสักที”
ซย่าอวี้จิ่นพูดเสียงแข็ง
“ไม่กลับ ข้าไม่อยากพบหน้าหญิงผู้นั้น ข้าอายจนแทบจะสู้หน้าใครไม่ได้แล้ว”
“ท่านทำเรื่องขายหน้ามามากแล้ว เพิ่มเรื่องนี้อีกสักเรื่องก็ไม่ต่างกันเท่าไร”
ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยด้วยความอับอายจนพาลโกรธ
“เต็มใจขายหน้าเองกับคนอื่นบีบให้ขายหน้ามันคนละเรื่องกัน! ข้าดื่มเหล้าเมามายอยากเห่าตามอย่างสุนัขก็เพราะข้าพอใจ หากเป็นคนอื่นบังคับข้าเห่าตามอย่างสุนัขก็คือการหยามน้ำหน้า!”
“เจ้าคนที่ด่าท่านไม่ดูตาม้าตาเรือนั่นก็ถูกท่านใช้แผนเซียนกระโดด เล่นงานปางตายแล้วมิใช่หรือ” เหล่าเกาเพียรเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี “ท่านน่าจะได้ระบายโทสะพอสมควรแล้ว ยิ่งกว่านั้นท่านแม่ทัพก็เป็นยอดวีรสตรี แม้รูปร่างหน้าตาจะสมชายชาตรีไปสักหน่อย แต่เพ่งดูให้ดีกลับไม่เลวเหมือนกัน นางยักษ์ขมูขีตาเดียวบ้านข้าสิ นางโมโหร้ายเอาแต่ใจ ข้าแค่เหลียวมองหญิงสาวบนถนนนานหน่อยก็คว้าค้อนไม้ไล่ทุบข้าไปไกลสองถนน ข้าก็ยังอยู่ของข้ามาได้นานขนาดนี้”
ซย่าอวี้จิ่นแค่นเสียงเยาะ
เหล่าเกาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“ตาแก่อย่างข้าอยู่มาหกสิบปี รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว อันว่าสตรีนี้สำคัญที่สุดคือคนที่ดีต่อท่านอย่างหมดจิตหมดใจและดูแลท่านด้วยน้ำใสใจจริง เรื่องอื่นอย่างรูปโฉมเอย นิสัยใจคอเอย ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งนั้น”
“นางดีต่อข้า? พระอาทิตย์คงขึ้นทางตะวันตกกระมัง”
เหล่าเกาเอ่ยพร้อมรินสุราให้เขาอีก
“ยังไม่อยู่ด้วยกันจะรู้ได้อย่างไร”
ซย่าอวี้จิ่นโคลงศีรษะ
“ข้าเป็นลูกผู้ชาย! บอกว่าไม่ก็คือไม่! ข้าไม่มีวันยอมถูกสตรีกดหัว!”
“กล่าวได้ดี หนานผิงจวิ้นอ๋องสมเป็นลูกผู้ชายโดยแท้!”
ม่านไม้ไผ่เก่าโทรมถูกเลิกขึ้นหลังเสียงตบมือดังก้อง ลมหนาวพัดกรูเข้ามาพร้อมบุรุษร่างผอมสูงแต่งกายด้วยอาภรณ์เรียบง่าย เสื้อตัวบนบุผ้าสองชั้นขลิบริมด้วยหนังเพียงพอนขนเงิน เขาสวมรองเท้าทรงสูง คลุมผ้าคลุมกันหิมะ ใบหน้าเขียวคล้ำด้วยความหนาว
รูปโฉมเขาดูเหมือนดาษดื่น แต่กลับดึงดูดสายตาอย่างมาก โดยเฉพาะยามที่ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงคล้ายจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ล่อหลอกนายพราน
“หูชิง?”
“พี่หูชิงมาแล้วหรือ รีบมาดื่มกันสักจอกเร็วเข้า”
ซย่าอวี้จิ่นให้เหล่าเกาหยิบจอกสุรามาอีกจอก
หูชิงสูดกลิ่นหอมที่อวลอยู่ในอากาศ ชิมเนื้อแพะคำหนึ่งพลางกล่าวยิ้มๆ
“ข้านับถือท่านจริงๆ ที่หาร้านเล็กๆ เช่นนี้พบได้ รสชาติชั้นหนึ่ง”
ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“แน่นอน ทั่วทั้งเมืองหลวงนี้จะมีใครสันทัดเรื่องกินดื่มเที่ยวเล่นยิ่งกว่าข้าได้ ของล่ะ?”
หูชิงยื่นมือไป มีขวดน้ำเต้าใบเล็กแขวนอยู่ที่ปลายนิ้วเรียวยาว เขาวางมันลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ดึงจุกขวดออก กลิ่นสุราหอมลอยฟุ้งออกมาเป็นระลอก
ซย่าอวี้จิ่นดมๆ ดูแล้วกล่าวชม
“เป็นนารีแดงที่ฝังไว้ใต้ดินสิบแปดปีของหอมองตะวันตรงมุมถนนตะวันออกจริงๆ ท่านมิต้องวางอำนาจข่ม เถ้าแก่จอมตระหนี่นั่นถึงกับหักใจขายให้ คงต้องมีกลเม็ดเด็ดพรายไม่เบา”
หูชิงแบมือไปตรงหน้าเขา
“กล้าได้ก็ต้องกล้าเสีย”
“นึกว่าข้าจะโกงท่านหรือ” ซย่าอวี้จิ่นล้วงแขนเสื้อครู่ใหญ่ ดึงตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงใบหนึ่งออกมาวางแปะลงบนฝ่ามือเขา จากนั้นก็ถามขึ้นอีก “จะเล่นลูกเต๋ากันอีกสักสองสามตาหรือไม่”
หูชิงโคลงศีรษะ
“คนฉลาดย่อมรู้จักประมาณตน ฝีมือเขย่าลูกเต๋าของข้าเทียบท่านไม่ได้ พนันไปก็เท่านั้น”
นารีแดงล่วงผ่านลำคอ ขับไล่ไอหนาวไปสิ้น
ชนจอกผ่านไปสามรอบ ต่อให้เป็นพวกคอทองแดงอย่างซย่าอวี้จิ่น ใบหน้าก็เริ่มแดงก่ำ เขาพ่นไอสีขาวจางๆ ออกจากปากสองครั้ง ขดตัวอยู่ในเสื้อคลุมหนังเตียวจนเป็นก้อนกลม ดวงตาฉ่ำปรือมองหิมะพลิ้วลอยนอกหน้าต่าง หวนคิดถึงร่างสีแดงยืนเหยียดหลังตรงกลางหิมะเมื่อหลายวันก่อนแล้ว ในใจแสนจะกลัดกลุ้ม เขาทอดถอนใจอย่างสุดระงับ
หูชิงเอ่ย
“ท่านเมาแล้ว”
ซย่าอวี้จิ่นชูนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่งโบกไปมา กล่าวอย่างหดหู่
“ท่านบอกมาซิ เหตุใดคนผู้นั้นถึงได้ดึงดันนัก”
หูชิงถาม
“ผู้ใด”
ซย่าอวี้จิ่นพูดเองตอบเองราวกับไม่ได้ยินคำพูดเขา
“นางแต่งงานกับข้าไม่ได้ประโยชน์อะไรสักนิด มันก็เป็นแค่การรักษาพระพักตร์ของจักรพรรดิเท่านั้น…ข้าทำเรื่องเหลวไหลในคืนวันแต่งงาน ขอแค่นางฉวยโอกาสทุบตีข้าสักตั้ง เอะอะตึงตังสักสองปีก็ตกลงหย่ากันได้แล้ว ข้าคิดแล้วไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจจริงๆ”
“จิตใจนางยากจะอ่านออก บางทีนางอาจพึงใจในรูปโฉมของท่าน ไม่ก็เห็นว่าท่านบงการได้ง่าย”
“ใช่! พูดจามีเหตุผล” ซย่าอวี้จิ่นพยักหน้าด้วยอาการมึนเมา เริ่มพูดจาสับสนเพ้อเจ้อ “ต้องเป็นเพราะใบหน้าข้าสวยงามเกินไปแน่ถึงตรงกับความชอบของนางขุนโจรพอดี”
หูชิงพยักหน้าอย่างเห็นใจ
“สตรีล้วนหาดีมิได้สักคน”
ซย่าอวี้จิ่นฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เขาเงยหน้าถาม
“สหาย แล้วแม่เสือของท่านล่ะ จะอย่างไรก็น่าจะดีกว่าคนที่บ้านข้ากระมัง”
หูชิงเอ่ยพลางยิ้มฝืด
“ข้ายังไม่ได้แต่งงาน”
ซย่าอวี้จิ่นยันกายขึ้น กวาดตามองหูชิงขึ้นๆ ลงๆ อย่างแปลกใจ เอ่ยแบบปากไม่มีหูรูด
“ท่าทางท่านจะแก่กว่าข้าสองปี แม้จะเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยต่ำต้อยไม่ใคร่ได้เรื่องเท่าไรก็นับว่าเป็นขุนนาง จะไร้คู่ได้อย่างไร เอ๊ะ หรือท่านมีความลับคับอกยากจะเอ่ย ไม่ต้องกลัว ข้ารู้จักหมอยุทธภพที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง ยาบำรุงพลังหยางของเขามีสรรพคุณเป็นเลิศ อีกประเดี๋ยวข้าจะพาท่านไปหาเขา”
“มิใช่” หูชิงถูกเจ้าขี้เมาผู้นี้ทำเอากระอักกระอ่วนใจไปหลายส่วนจึงอธิบาย “สตรีที่ข้าพึงใจออกเรือนไปแล้ว”
ซย่าอวี้จิ่นกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“สตรีมากรักหลายใจพรรค์นี้ได้มาก็เท่านั้น”
หูชิงส่ายหน้า
“นางออกเรือนตามคำสั่งบิดามารดา ซ้ำยังแต่งงานกับไอ้หนุ่มสารเลวคนหนึ่ง”
“อุวะ! บิดามารดานางตาต่ำยิ่งกว่าตาตุ่มหรือไร ลูกเขยดีๆ อย่างท่านกลับไม่เอา จำเพาะต้องไปเลือกไอ้หนุ่มสารเลวคนหนึ่ง” ซย่าอวี้จิ่นตบอก เอ่ยอย่างมีคุณธรรมน้ำมิตร “อย่าได้เสียใจไป! ไว้ข้าจะคิดหาหนทางให้ท่านเอง ใช้แผนเซียนกระโดดกับสามีนาง ส่งหญิงงามไปยั่วยวน ปอกลอกสมบัติเขาให้สิ้นเนื้อประดาตัว ดักรุมทุบตี ก่อกวนให้สามีภรรยาหย่าขาดจากกันให้ได้ จนกว่าท่านจะได้ตัวนางมาเป็นภรรยา”
หูชิงเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
“วันหลังค่อยว่ากันอีกทีเถอะ ตอนนี้ท่านเที่ยวหลบซ่อนตัวไปทั่วก็มิได้อยู่สบายนัก มาคิดหาวิธีให้ท่านกลับไปรับหน้าท่านแม่ทัพกันก่อน”
“รับหน้าอะไรกัน ท่านก็ดูแคลนข้าเช่นกันหรือ” ใบหน้าขาวกระจ่างของซย่าอวี้จิ่นแดงก่ำ เขาโวยวายเสียงกร้าว “ข้าไม่กลัวแม่เสือคนนั้นหรอก กลับไปต้อง…หย่ากับนางให้ได้!”
หูชิงโคลงศีรษะ
“ค่อยเป็นค่อยไป อย่าหุนหัน”
ขณะที่การร่ำสุรากำลังได้ที่ บทสนทนากำลังออกรสออกชาติ ม่านไม้ไผ่พลันถูกผลักเปิดอย่างแรง เด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามา ใบหน้าที่เรื่อแดงจากการออกแรงวิ่งมีหยดเหงื่อผุดซึม เขาตะโกนกระหืดกระหอบ
“ลูกพี่! ท่านแม่ทัพบุกมาแล้ว!”
ซย่าอวี้จิ่นตกใจจนลุกขึ้นจากเตียงเตา เขาสร่างเมาไปกว่าครึ่ง รู้สึกใจคอไม่ดี
เหล่าเกาซึ่งสัปหงกอยู่สะดุ้งตื่นขึ้น เห็นซย่าอวี้จิ่นตื่นตระหนกก็ช่วยพูดเรียกสติ
“จวิ้นอ๋อง ท่านปีนกำแพงหนีไปทางด้านหลังเถอะ”
“ใช่! หนีก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที” ซย่าอวี้จิ่นล้วงเงินตำลึงสองก้อนจากอกเสื้อ ตกรางวัลให้เด็กชายที่คาบข่าวมาบอกอย่างง่ายๆ แล้วออกคำสั่ง “เจ้าทำได้ดีมาก หาวิธีใดก็ได้ไปหน่วงเหนี่ยวนางไว้อีกชั่วครู่”
“ขอรับ!”
เด็กชายได้รับคำสั่งก็ปาดน้ำมูกทิ้ง หันหลังวิ่งออกไปอย่างดีอกดีใจ
ซย่าอวี้จิ่นสวมเสื้อคลุมตัวนอก ถือเตาพกทะยานไปด้านหลังเรือน จะตะกายป่ายปีนขึ้นกำแพง แต่ด้วยความลุกลี้ลุกลนกอปรกับเสื้อผ้าหนาหนัก มือเท้าแข็งทื่อเพราะความหนาวเย็น เขากระเสือกกระสนอยู่หลายครั้งก็ปีนไม่ขึ้น
เหล่าเการีบเร่งให้เขาอาศัยบ่าตนเป็นฐานเหยียบขึ้นไป
หูชิงเดินตุปัดตุเป๋ตามมา ชี้นิ้วไปทางประตูหน้า พูดพลางยิ้มร้ายกาจ
“หากข้าเป็นท่านจะพุ่งออกไปทางประตูหน้า”
“เหลวไหล! เห็นข้าเป็นพวกปัญญาทึบหรือไร”
ซย่าอวี้จิ่นหันหน้ามาเอ่ยพร้อมยิ้มเยาะ
หูชิงโคลงศีรษะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง กระดกจอกสุราดื่มอีกอึกแล้วสาวเท้าเดินเอ้อระเหยลอยชายกลับไป
ซย่าอวี้จิ่นกระโดดลงจากกำแพงอย่างว่องไว แต่แล้วก็รู้สึกถึงคลื่นพลังระลอกหนึ่งที่คุกคามเข้ามา
เขาแหงนศีรษะขึ้นช้าๆ แสงแดดเล็ดลอดผ่านเมฆหนาทึบ เงาร่างสายหนึ่งทอดยาวบนพื้นหิมะ เสื้อคลุมสีดำปลิวไสวกลางลมหนาว
ห่างออกไปไม่ไกลนัก เยี่ยเจายืนกอดอก บนผมมีละอองหิมะเกาะอยู่เต็ม นางยืนอยู่มุมถนนอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ดวงตาทั้งคู่หลุบลงเล็กน้อย ริมฝีปากพ่นไอสีขาวออกมาเบาๆ หลายระลอก คล้ายรอคอยมาพักใหญ่แล้ว
ปัดโธ่! นางเดาได้อย่างไรว่าเขาจะปีนกำแพง
ซย่าอวี้จิ่นไม่หยุดคิดใคร่ครวญ หันหลังกลับหมายจะวิ่งหนีไปในทิศทางตรงข้าม ทว่าเขาเพิ่งย่างเท้าก้าวแรก เยี่ยเจาก็ลืมตาขึ้น เอ่ยเนิบนาบ
“สามปีก่อนวิชาตัวเบาของข้าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว”
ถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ สกัดทางหนีทั้งหมดไว้ เขาชักเท้าที่สืบขึ้นหน้ากลับมาอย่างสิ้นหวัง กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง
นางทิ้งมือลงข้างตัว เดินมาหาเขา
ซย่าอวี้จิ่นนึกอยากถอยหลังโดยไม่รู้ตัว พลันประจักษ์ได้ว่าท่าทางแตกตื่นของตนไม่เข้าท่าเอาเสียเลย เขาจึงยืดอกเอ่ยถามอย่างตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว ถึงถูกทุบตีก็จะไม่ยอมเสียหน้า
“เจ้ามาทำอะไร”
เขาอยากวางท่าหยิ่งทะนงอย่างมาก กระนั้นความหนักแน่นในน้ำเสียงยังไม่ค่อยจะเพียงพอนัก
เยี่ยเจาหาได้ใส่ใจ นางเดินเข้าไปจนอยู่ห่างจากเขาสามก้าวก่อนจะชะงักเท้าลงพูดเสียงเบาอย่างลังเล
“กลับบ้านเถอะ”
ซย่าอวี้จิ่นทำคอแข็งเชิดหน้า
“ข้าไม่อยากกลับ”
เยี่ยเจากล่าวอย่างไม่ร้อนรน
“ท่านแม่สั่งให้ข้ามาตามท่านกลับไป นางเป็นห่วงท่านมาก”
“ฮะ“ ซย่าอวี้จิ่นหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่งอย่างกลั้นไม่อยู่ “ท่านแม่ให้เจ้ามาตาม เจ้าก็มาแต่โดยดี?”
เยี่ยเจาพยักหน้า
“ใช่”
ซย่าอวี้จิ่นถามอีก
“ถ้าท่านแม่ไม่ให้เจ้ามาตาม เจ้าก็จะไม่มาตามชั่วชีวิต?”
เยี่ยเจากำสองมือแน่น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเช่นเดิม
“ใช่”
นางจะบอกเป็นนัยว่าไม่เป็นห่วงเขาอย่างสิ้นเชิงกระมัง
ภรรยาเช่นนี้ใส่ใจเขามากเกินไป เป็นการลบหลู่ศักดิ์ศรีกันอย่างยิ่ง
แต่ครั้นภรรยาเช่นนี้ไม่ใส่ใจเขาเลย เขาก็ไม่พอใจอยู่สักหน่อยเหมือนกัน
ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกแปลกๆ ในใจ เขารีบสลัดความรู้สึกกระอักกระอ่วนออกไป แลมองกำปั้นที่กระดูกข้อนิ้วกำลังส่งเสียงลั่นเปาะๆ น่ากลัวของอีกฝ่าย รู้ดีแก่ใจว่าถึงติดปีกบินก็ยากจะหนีพ้น เขาจึงได้แต่ยอมจำนนไปก่อน
“เกี้ยวล่ะ?”
“จะเอาของพรรค์นั้นมาทำอะไร”
เยี่ยเจางงงันไปชั่วครู่
ซย่าอวี้จิ่นโมโหจนแทบกระอักโลหิต
“หิมะตกหนักออกปานนั้น! พื้นก็ลื่นออกปานนั้น! ทางก็ไกลออกปานนั้น! เจ้าจะให้ข้าเดินกลับไปหรือ”
“ถนนแค่ห้าสายเท่านั้นเอง”
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะมีบุรุษที่แม้แต่ระยะใกล้เท่านี้ยังเดินไม่ไหว นางอดกวาดตามองเขาขึ้นๆ ลงๆ ซ้ำอีกครั้งมิได้
“ถึงเจ้าจะเก่งกาจผิดมนุษย์มนาก็อย่านึกว่าผู้อื่นผิดมนุษย์มนาเหมือนเจ้า!” ซย่าอวี้จิ่นสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายดูหมิ่นตน ไฟโทสะพลุ่งขึ้นกลางอกเป็นคำรบที่สอง “ข้าไม่เดินเสียอย่างจะมีอะไรไหม ไปตามเกี้ยวมา!”
“ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านคลาดสายตาข้าไปได้”
เยี่ยเจาผิวปากเสียงแหลมสูง อึดใจเดียวอาชาพ่วงพีสีขาวโพลนยิ่งกว่าหิมะตัวหนึ่งก็วิ่งเหยาะย่างเข้ามาอย่างสง่างาม
“ขึ้นไป”
นางรั้งสายบังเหียน จัดอานม้าให้เข้าที่
“ช้าก่อน! เจ้าตั้งใจจะให้ข้าขี่ม้า ส่วนเจ้าเดินอยู่ด้านล่าง?”
“อืม ก็ข้าเก่งกาจผิดมนุษย์มนานี่”
คนสองคน ม้าหนึ่งตัว
แม่ทัพขี่ม้า จวิ้นอ๋องเดินตามหลัง น่าเกลียดเกินไป
บุรุษขี่ม้า ภรรยาเดินตามหลัง น่าอายเกินไป
สองคนขี่ม้าด้วยกันยิ่งน่าหวาดผวาว่าจะถูกฟ้าผ่าเอาได้
ในใจซย่าอวี้จิ่นขัดแย้งกันอย่างหนักอีกครั้ง เขายืนปักหลักอยู่ที่เดิม ถึงถูกตีตายก็ไม่ยอมไปที่ใดแล้ว