ทดลองอ่าน แม่ทัพอยู่บน ข้าอยู่ล่าง บทที่ 1 – บทที่ 11 – หน้า 5 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพอยู่บน ข้าอยู่ล่าง บทที่ 1 – บทที่ 11

บทที่ 5

รูปโฉมโนมพรรณของนักพรตหญิงอารามเขาหนาวเหน็บจัดได้ว่างามเข้าขั้น ผิวกายนุ่มละมุน นัยน์ตาเย้ายวนชวนฝัน กิริยาอ่อนช้อย สุ้มเสียงออดอ้อน พอได้สวมอาภรณ์ผ้าไหมหรูหราและเครื่องประดับอัญมณี ความงามยิ่งฉายชัดเพิ่มขึ้นสามส่วน

นอกจากนี้ด้วยชีวิตกลางภูเขายากจนข้นแค้น ไร้อนาคต พวกนางจึงรักเงินทองยิ่งกว่าใครๆ เมื่อซย่าอวี้จิ่นหว่านเงินเป็นเบี้ยอย่างมือเติบ แต่ละคนล้วนกระตือรือร้นจนออกนอกหน้า แสดงท่าไม่หวั่นเกรงความตายและไม่หวาดกลัวท่านแม่ทัพ ชม้ายชายตายั่วยวนได้น่าหลงใหลยิ่งกว่าหญิงคณิกาแม่น้ำฉินเสียอีก จึงยากจะโทษที่พวกชายฉกรรจ์ห่ามห้าวบนเรือสำราญของแม่ทัพใหญ่จะพากันผิวปากตบมือ จ้องเขม็งจนลูกตาแทบถลนออกมานอกเบ้ารอมร่อ

ซย่าอวี้จิ่นพึงพอใจอย่างมาก เขาให้เรือสำราญแล่นเข้าไปใกล้ขึ้นอีกอย่างอวดศักดา หมายให้ทุกคนเห็นได้ชัดถนัดตาว่าหนานผิงจวิ้นอ๋องเสเพลเจ้าสำราญ ลุ่มหลงนารี มีสตรีอยู่ในอ้อมแขนทั้งซ้ายขวาไม่น้อยหน้าภรรยาแม้แต่น้อย

ไม่คาดว่าพอเรือสำราญอยู่ใกล้กัน เขาก็ต้องประหลาดใจมากเมื่อพบว่าคนบนเรือสำราญฝั่งตรงข้ามที่ผิวปากพวกนั้นหุบปากเงียบกันหมด ส่วนเยี่ยเจายืนผงาดอยู่กลางกลุ่มคน มองดูเขาอย่างไม่ละสายตา สีหน้านางบูดบึ้งอยู่บ้าง พาให้บรรยากาศตึงเครียด

ใช่เลย! ผลลัพธ์เช่นนี้แหละที่เขาต้องการ!

ซย่าอวี้จิ่นกอดสาวงามอย่างดีอกดีใจ วางท่าผยองพองขนเต็มที่

มีขี้เมาคนหนึ่งขยับเข้าไปเอ่ยกับเยี่ยเจาสองสามคำเบาๆ ก่อนที่นางจะกระดิกนิ้วเรียกเขาเป็นเชิงบอกให้เอาเรือสำราญเข้ามาใกล้ขึ้นอีก

ซย่าอวี้จิ่นย่อมไม่ยอมคล้อยตามเป็นธรรมดา ซ้ำยังแลบลิ้นปลิ้นตาให้ เยี่ยเจาจึงหยิบเชือกเส้นหนึ่งตรงข้างเรือขึ้นมามัดปลายกับกาสุราทองแดงใบหนึ่ง เหวี่ยงหมุนเป็นวงกลมสองรอบแล้วขว้างออกไป มันลอยพุ่งไปเกี่ยวรัดกับราวกั้นตรงกราบเรือฝั่งตรงข้ามในพริบตา จากนั้นนางก็กระโจนตัวขึ้นเดินไต่เชือกข้ามไปอย่างสบายๆ

นางจะซ้อมเขาต่อหน้าคนมากมายอย่างนี้?

ซย่าอวี้จิ่นวิตกอยู่บ้าง แต่ครั้นนึกขึ้นได้ว่าหากนำเรื่องการประทุษร้ายสามีต่อหน้าธารกำนัลไปกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ก็จะสามารถตกลงหย่ากันได้ทันที เขาก็ยินดีปรีดาเป็นการใหญ่ รีบยืดอกขึ้น บุ้ยใบ้ให้นักพรตหญิงถอยออกไปสองก้าว รอรับการทุบตีอย่างกล้าหาญ

ไม่คาดว่าเยี่ยเจาซึ่งเดินโซเซไต่เชือกข้ามมาถึงนั้นมีกลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั้งตัว นางมองไปทางนักพรตหญิงก่อนแล้วค่อยมองดูเขาด้วยท่าทางอึกๆ อักๆ

เขาถามเสียงเยาะ

“มองอะไร ไม่เคยเห็นผู้ชายเที่ยวหญิงคณิกาหรือไร อ๊ะ…ขออภัย ข้าลืมไปว่าเจ้าเป็นพวกที่ดื่มเหล้าเคล้านารีจนเป็นนิสัย”

นางกวาดตามองนักพรตหญิงแวบหนึ่ง ขยับเข้าไปกระซิบถาม

“พวกนางมาจากที่ใดกัน”

เขาเชิดหน้ากล่าว

“ข้าจะหาความสุขกับสตรี กงการอะไรของเจ้าด้วย”

“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น อย่าเสียงดังนักสิ” นางโอบไหล่เขาพาเดินไปมุมหนึ่ง ลดสุ้มเสียงเบาลงยิ่งขึ้น เอ่ยถามอย่างมีลับลมคมใน “ผู้ช่วยแม่ทัพหลิวบอกว่าแม่นางตัวเตี้ยข้างกายท่านคนนั้นหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ท่าทางร่าเริงผิดจากผู้อื่น ให้ข้ามาถามดูว่าเป็นแม่นางของหอคณิกาใด จะได้ไปอุดหนุนสักหน่อย”

ซย่าอวี้จิ่นโกรธแทบอกแตกตาย เขาสะบัดตัวออกอย่างแรง ชี้หน้าเยี่ยเจา

“เมื่อครู่พวกเขาตะโกนตบมือชอบใจก็เพราะคิดจะแย่งผู้หญิงที่ข้าพามารึ!”

คำถามนี้ช่างน่ากระอักกระอ่วนใจเสียจริง

นางสองจิตสองใจอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเบนสายตามองไปที่ผืนน้ำ ผงกศีรษะพลางเอ่ยอย่างหนักใจ

“ทำนองนั้นกระมัง…”

เขาลำพองใจอยู่บ้างจึงกล่าวโอ้อวด

“ฮึ ต่อให้เจ้าจับจองหญิงคณิกาในแถบแม่น้ำฉินไปจนเกลี้ยง ข้ายังคงหาคนที่งามกว่ามาปรนนิบัติได้อยู่ดี เจ้าอย่ามายุ่งเรื่องของข้า!”

เยี่ยเจาหันหน้ามามองแวบหนึ่ง เห็นขนจิ้งจอกสีขาวปลิวคลอเคลียริมหูเขา ใบหน้าซึ่งถูกลมตีจนแดงเรื่อฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่อง แลดูสดใสมีชีวิตชีวาอย่างมาก นางก็อดกล่าวอย่างเห็นพ้องด้วยมิได้

“เป็นคนงามจริงๆ”

เขาโบกมืออย่างรำคาญ

“เอาเป็นว่าข้าสำเริงสำราญกับหญิงงามของข้า ส่วนเจ้าก็กลับไปสำเริงสำราญกับบุรุษกลุ่มนั้นเถอะ”

“อย่าพูดส่งเดช” นางรีบอธิบาย “พวกเขาล้วนติดตามข้ามาหกปี เป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ข้าเคยรับปากว่าหลังจากกรีธาทัพกลับมาพร้อมชัยชนะจะจัดงานเลี้ยงที่แม่น้ำฉินเพื่อเป็นการฉลองให้ทุกคน บัดนี้กว่าจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้เลือดตาแทบกระเด็น ทั้งยังสร้างความดีความชอบและมีชื่อเสียงแล้ว เป็นลูกผู้ชายก็ต้องมีสัจจะ จะเขียนด้วยมือลบด้วยเท้าไม่ได้”

“ผู้ใดอยากรู้เรื่องของเจ้ากัน”

ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกว่าที่นางกล่าวก็พอจะมีเหตุผลเล็กน้อย ทว่าในใจยังคงไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง

เยี่ยเจาโอบไหล่เขาเข้ามาอีกครั้งแล้วยื่นหน้าไปที่ข้างหู เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มอยู่บ้าง

“ท่านมิสู้…ข้ามไปร่วมดื่มสุรากับทุกคนด้วยเสียเลย ว่าอย่างไร”

เขาขมวดคิ้ว ปัดมือนางออกอย่างรังเกียจ

นางกลับยิ้มพราย พูดกระซิบกระซาบ

“ข้าจะแนะนำท่านให้พวกเขารู้จักดีหรือไม่”

สีหน้าเฉยเมยเป็นนิจของเยี่ยเจาละมุนลง มุมปากประดับรอยยิ้มอ่อนโยน นัยน์ตาสีอ่อนใสดุจลูกแก้วฉ่ำปรือด้วยฤทธิ์สุรา เป็นประกายวาววับใต้แสงโคมสลัว แววตาแพรวพราวแฝงเสน่ห์รัดรึงใจหลายส่วน

ซย่าอวี้จิ่นลังเลอยู่ชั่วครู่ถึงทำใจแข็ง ตั้งท่าจะเอ่ยปากปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

ไม่คาดว่ามีขี้เมาคนหนึ่งเปลือยกายท่อนบนพรวดพราดออกมาจากห้องในเรือฝั่งตรงข้าม ส่งเสียงโหวกเหวกมา

“สาวงามล่ะ? คนที่พวกเจ้าพูดว่างามหยาดเยิ้ม เอวบางขายาวน่ะอยู่ที่ไหน”

ชิวเหล่าหู่กำลังร่วมวงดูอยู่อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน เห็นเจ้าคนความรู้สึกช้าผู้นี้ทำเสียบรรยากาศก็โมโหจนถีบเขาตกลงไปในแม่น้ำพลางสบถด่า

“เพ้อเจ้อเหลวไหล! ผายลมส่งเดช! สาวงามเอวบางขายาวอะไรกัน นั่นสามีของท่านแม่ทัพชัดๆ เจ้ายังจะสะเออะมาเกี้ยวพาราสี ไม่เห็นหรือไรว่าทุกคนหุบปากหมดแล้ว”

เยี่ยเจารู้สึกได้ว่าร่างของบุรุษในอ้อมแขนแข็งทื่อไปชั่วขณะ สีหน้าบูดบึ้งลงทุกที นางจึงคิดจะอธิบาย

ซย่าอวี้จิ่นกระทืบหลังเท้านางทีหนึ่งแล้วกำดินในกระถางดอกไม้ซัดใส่ดวงตานาง ดิ้นขัดขืนด้วยความโกรธเกรี้ยวดุร้ายยิ่งกว่าพยัคฆ์ติดกับดัก

นางจนปัญญา ได้แต่คลายมือออก เขาสบช่องพุ่งทะยานเข้าห้องในเรือไปแล้วเหวี่ยงประตูปิดอย่างแรง

ท่านแม่ทัพเดินไปเคาะประตูกล่าวขอขมา

“อย่ามีน้ำโหไปเลย พวกพี่น้องหาได้มีเจตนา เพียงแค่ตาลายไปชั่วขณะ”

“ไสหัวไปให้พ้น นางตัวดี! วันหลังอย่ามาให้ข้าเห็นหน้านะ!” เสียงตะโกนคำรามของซย่าอวี้จิ่นดังกลบเสียงดนตรี สะท้อนก้องเหนือแม่น้ำฉินอยู่เนิ่นนาน “ข้าขอสาบานต่อฟ้า วันหน้ามีเจ้าไม่มีข้า!”

บรรดานักพรตหญิงกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นไม่หยุด พากันคำนับอำลาเยี่ยเจาพลางลอบชำเลืองมองอีกแวบหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งกลับไปปลอบประโลมบ่อเงินบ่อทองของพวกตน

เยี่ยเจาถูกปิดประตูใส่หน้าก็หน้าม่อยคอตกกลับไป เห็นพี่น้องแต่ละคนหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง

ชิวเหล่าหู่ซึ่งเป็นตัวการใหญ่กล่าวขึ้น

“เจ้าหนุ่มผู้นี้ไม่เลว อยู่ต่อหน้าแม่ทัพใหญ่ผู้กร้าวแกร่งปานนี้ รู้ทั้งรู้ว่ามิใช่คู่มือ ยังกล้าเหวี่ยงประตูใส่อย่างดื้อแพ่งแข็งข้อ มีความใจเด็ดดุจเดียวกับข้าในครั้งนั้นอยู่หลายส่วน ท่านแม่ทัพสายตาแหลมคมยิ่ง!”

นางเงื้อเท้าถีบก้นคนพูดจาเลอะเทอะเพ้อเจ้ออย่างแรงจนเขาตกน้ำลงไปอยู่เป็นเพื่อนกับพี่น้องคนก่อนหน้านี้ แล้วกลับไปดื่มสุราด้วยสีหน้าขุ่นมัว

“หนาวจะตายอยู่แล้ว!” ชิวเหล่าหู่ตะเกียกตะกายลอยคออยู่กลางน้ำพลางร้องโวยวาย “ท่านแม่ทัพ! ท่านเห็นบุรุษสำคัญกว่าสหายเกินไปแล้ว ข้าไม่ยอมเลิกราแน่”

เยี่ยเจาคว้ากาสุราใบหนึ่งขว้างลงไป

“ไสหัวไปซะ!”

หูชิงซึ่งนั่งกอดจอกสุราดื่มเงียบๆ มาตลอดขยี้ตาแล้วคลานเข้าไปพูดที่ข้างหูนาง

“แม่ทัพใหญ่ เจ้าเมาแล้ว”

เยี่ยเจากรอกสุราลงคออีกสองอึก ตบโต๊ะตวาดลั่น

“เหลวไหล! ข้าพันจอกไม่เมา!”

เขาพินิจดูนางอย่างจริงจังแล้วโคลงศีรษะ

“แล้วกันไปเถอะ รู้จักเจ้ามาเจ็ดแปดปี ทุกครั้งที่เจ้าเมาสุราเป็นต้องแทะโลมหญิงงาม คราวนี้คงชนกำแพงเข้าล่ะสิ”

นางกล่าวอย่างฉุนเฉียว

“ข้าแทะโลมสามีตัวเองนับว่าเป็นการแทะโลมด้วยหรือ อย่างไรก็ดีกว่าเจ้าที่เมาสุราทีไรต้องไล่จับคนให้มาฟังเจ้าครวญเพลงชาวเขา ทั้งที่เสียงเจ้าแหบแห้งอย่างกับเป็ด ร้องก็ร้องหลงทำนองจากโม่เป่ยไปถึงหนานอี๋ ซ้ำยังมีแต่เรื่องความรักหวานเอียนชวนคลื่นไส้จนทำเอาอยากสำรอกอาหารคืนก่อนหน้าออกมา ข้าขอเตือนไว้นะ คราวนี้ถ้าเจ้าคิดจะร้องเพลงล่ะก็ ไปจับตัวชิวเหล่าหู่ข้างนอกนั่น ขืนมาร้องเพลงกับข้าอีกจะถีบเจ้าลงไปอาบน้ำในแม่น้ำ”

ดวงตาของหูชิงหม่นแสงลงวูบหนึ่ง แต่ชั่วอึดใจเดียวเขาก็เอ่ยขึ้นยิ้มๆ อย่างบริสุทธิ์ใจ

“มีอะไรน่าขายหน้ากัน บุรุษชอบพอสตรีคนหนึ่ง เรื่องโง่งมอะไรก็ล้วนทำเพื่อนางได้ ทว่าสามีเจ้าปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้เกรงว่าเขาจะไม่ชอบเจ้าอย่างมาก”

“ฮะ นับแต่เริ่มแรกเขาก็ใช้ความตายปฏิเสธการแต่งงาน ต่อมาก็ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาหาใช่ไม่ชอบข้าเพียงเท่านั้น แทบจะเกลียดชังเลยทีเดียวต่างหาก” นางเงยหน้ากระดกสุราในจอกหมดรวดเดียว “แต่ความโกรธของเขาก็จวนเจียนถึงขีดจำกัดแล้ว”

หูชิงถาม

“ศึกนี้ท่านแม่ทัพตั้งใจจะสู้อย่างไร”

เยี่ยเจาโยนจอกในมือทิ้ง จุ่มน้ำสุราวาดภาพเมืองหนึ่งซึ่งมีกำแพงปิดล้อมแน่นหนาทั้งสี่ทิศ จากนั้นก็กล่าวเสียงเรียบ

“เปิดฉากก็เป็นทางตัน สมควรเดินหมากเสี่ยง”

หูชิงถามอีก

“รุกแล้วรุกอีกก็ตีไม่แตก จะทำเช่นไร”

เยี่ยเจากล่าวอย่างเฉียบขาด

“ถอยชั่วคราว ล่อศัตรูออกมา”

หูชิงถาม

“โจมตียามใด”

เยี่ยเจาเอ่ย

“ราตรีนี้เลย”

จอกสุราถูกบีบแหลกละเอียดคามือ

แผ่นดินนี้ยังมีคู่ต่อสู้ที่นางไม่อาจเอาชนะหรือสัตว์ที่นางล่ามิได้อีกหรือ

 

แสงเดือนเลือนลับ ขอบฟ้าทิศบูรพาปรากฏแสงแรกแห่งวัน เสียงดนตรีเหนือแม่น้ำฉินเงียบหายไป ผู้คนเพิ่งแยกย้ายกลับบ้านไปทีละคนสองคน

ตลอดราตรีนั้นซย่าอวี้จิ่นมิได้รับความสนุกเพลิดเพลิน กลับโดนบุรุษหลายสิบคนรุมล้อมแทะโลม เป็นความอัปยศใหญ่หลวงครั้งที่สองนับแต่เขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นชายบำเรอเป็นต้นมา แม้แต่ความอ่อนหวานของนักพรตหญิงและคำพูดหว่านล้อมของกลุ่มสหายเสเพลยังไม่สามารถบรรเทาความโกรธเคืองในใจเขาลงได้ ส่วนสตรีที่นำความอัปยศมาให้เขาผู้นั้นยังเดินอาดๆ กลับไปหาความบันเทิงเริงใจต่อ คล้ายอยากยั่วให้เขาโมโหขาดใจตายไปจนแทบทนรอไม่ไหว

ทว่าเขาจะทำอย่างไรได้…

ทุบตีผู้หญิงเป็นเรื่องที่เขาไม่ลดเกียรติไปกระทำ มิหนำซ้ำถึงนางใช้นิ้วมือเดียวเขาก็ยังต่อกรมิได้

วิวาทกลางถนนเขาไม่เคยระย่อ แต่พอคิดในทางกลับกัน ไม่ว่าจะด่านางไร้ความเป็นหญิงหรือกดขี่บุรุษ คนที่อับอายขายหน้าล้วนเป็นเขาผู้เดียว

คิดจะยกมารดาขึ้นข่มอีกฝ่าย ก็กลัวมารดาตนจะหดหู่ตรอมใจตาย

อนุภรรยาและเมียบ่าวยิ่งมิต้องฝากความหวัง ต่างยื้อแย่งกันคบคิดศัตรูขายชาติ ถูกล่อลวงไปหมดแล้ว

เซียนกระโดด? นางเป็นสตรี จะกระโดดไปทำไม

วางแผนลวง? นางไม่ชมชอบเรื่องกินดื่มเที่ยวเล่น ทุกวันถ้ามิใช่ยุ่งกับงานราชการก็ฝึกยุทธ์ ยังหาจุดอ่อนไม่พบ

ลักพาตัวขู่กรรโชก? เรื่องนี้เลิกคิดได้เลย…

จับญาติพี่น้องของนางมาเป็นเครื่องต่อรอง? แม้เขาจะเดรัจฉานมาก…แต่ยังไม่เดรัจฉานถึงขั้นนั้น

เทียบพลังยุทธ์ เทียบอำนาจอิทธิพล เทียบความชั่วร้าย เทียบนิสัยอันธพาล ฝีมือเขาล้วนอ่อนด้อยกว่านางขั้นหนึ่ง

ซย่าอวี้จิ่นตกอยู่กลางวงล้อมเพียงลำพัง เสบียงหมดสิ้น กำลังหนุนถูกตัดขาด หากเปิดประตูเมืองยอมแพ้ก็ไม่หลงเหลือสิ่งใดแล้วจริงๆ ต้องอยู่อย่างอดสูใต้อาณัติสตรีตราบจนวันตาย ชีวิตเขาจะเปลี่ยนแปลงไปนับแต่นี้ เป็นคนไร้ศักดิ์ศรีดั่งลูกเขยที่แต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิง ต้องระมัดระวังตัวและคอยพะเน้าพะนอภรรยาเพื่อมีกินอิ่มท้องไปวันๆ

ไม่! ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ ต่อให้หัวเดียวกระเทียมลีบ เขาก็จะดื้อแพ่งแข็งข้อถึงที่สุด จะไม่ยอมให้สตรีน่าชังผู้นั้นเลี้ยงดูเขาอย่างลูกเขยที่แต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิง

ซย่าอวี้จิ่นคิดคำนึงจนเลือดในกายเดือดพล่าน ลืมตาที่ฉ่ำปรือแดงก่ำประหนึ่งตากระต่าย กำจอกสุรา ร้องตะโกนบอกฟ้า

“ข้าคือลูกชายของอดีตอันอ๋อง เป็นหนานผิงจวิ้นอ๋อง มิใช่หนุ่มหน้าหยกที่ถูกเลี้ยงไว้ดูเล่น! ข้าจะกลับไปตัดขาดกับนางเดี๋ยวนี้เลย ต่อให้ถูกจักรพรรดิลากตัวไปประหารที่ประตูอู่เหมินหน้าวังหลวง ข้าก็จะหย่ากับนางให้ได้!”

เหล่านักพรตหญิงเข้าไปขัดขวางเขา

“จวิ้นอ๋อง ไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ”

เขาเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว

“อย่าห้ามข้า! หรือพวกเจ้าคิดว่าข้ากลัวตาย จะบอกให้นะ หลังออกจากท้องมารดามา สิ่งที่ข้าไม่กลัวที่สุดก็คือความตาย!”

พวกนางสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ท่านเดินขึ้นหน้าไปอีกก้าวก็จะตกลงไปในแม่น้ำแล้วเจ้าค่ะ!”

“ว้าย! รีบมากันเร็วเข้า จวิ้นอ๋องตกน้ำแล้ว”

“ช่วยด้วย…“

แรกวสันต์จวนมาเยือน แม่น้ำฉินอุ่นคนรู้ก่อน

 

เหล่าคุณชายเสเพลล้วนเปลือยกายท่อนบนกลับบ้านไปแล้ว

ซย่าอวี้จิ่นสวมเสื้อผ้ามิดชิดแน่นหนา ประคองเตาพกเดินมุ่งหน้าไปยังวังอันอ๋องด้วยท่าทางฮึกเหิมห้าวหาญ ให้เด็กรับใช้ถือเสื้อคลุมที่เปียกโชกของตนไว้

วรชายาอันไท่เฟยรู้มานานแล้วว่าบุตรชายคนเล็กมักออกไปก่อความวุ่นวายนอกวังเสมอจึงเปิดประตูรอไว้และให้สาวใช้ข้างกายดุด่าเขาแรงๆ หลายคำ จากนั้นสั่งให้ลงกลอนประตูด้านข้าง ไม่อนุญาตให้ออกไปตามอำเภอใจอีก

เขาผลักคนที่ขวางทางออกไปด้วยสีหน้าถมึงทึง ถกแขนเสื้อขึ้น รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีบุกไปที่ห้องของเยี่ยเจา เตรียมการจะประหารก่อนรายงานทีหลัง สะบัดพู่กันเขียนหนังสือหย่าตัดขาดกับนางเพื่อเฉดหัวหญิงสารเลวที่ไม่เพียงไม่เอาใจใส่สามี ยังรวมหัวกับลูกน้องแทะโลมสามีออกจากประตูวัง

กู่โถว เด็กรับใช้ประจำตัวฉุดเขาไว้สุดกำลังพลางตะโกนพูด

“จวิ้นอ๋อง ท่านรีบสร่างเมาโดยไวเถอะ กระด้างกระเดื่องกับท่านแม่ทัพอาจจบชีวิตได้นะขอรับ นางสังหารคนมามากมายแล้ว เพิ่มท่านอีกคนก็ไม่ต่างกันเท่าไร ท่านสงสารเวทนาข้าด้วยเถอะ…”

ไม่คาดว่าสองนายบ่าวกลับไม่พบผู้ใด ในห้องว่างเปล่าโหวงเหวง มีเพียงชิวหวากับชิวสุ่ยงีบหลับอยู่ในห้องอุ่น

ซย่าอวี้จิ่นปลุกคนทั้งสองให้ตื่นขึ้นเพื่อถามความ

“ท่านแม่ทัพล่ะ?”

ชิวหวาส่งยิ้มเหี้ยมเกรียมให้เขา ดูคล้ายเถ้าแก่เนี้ยร้านซาลาเปาเนื้อคน

ชิวสุ่ยมีใจอารีมากกว่า ชี้นิ้วบอกทางให้

เขามองไปตามทิศทางที่นางบอก เป็นห้องหนังสือที่ตัวเองพำนักอยู่ชั่วคราวพอดี เขารู้สึกเย็นวาบที่กลางอกจนขนลุกเกรียวอยู่สักหน่อย

ในห้องหนังสือจุดโคมแก้วดวงหนึ่ง เยี่ยเจาเอนตัวพิงอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย วางกระบี่ไว้ข้างกาย พลิกอ่านหนังสือซึ่งถืออยู่ในมือตามสบาย บรรยากาศชอบกลอย่างไรบอกไม่ถูก

ซย่าอวี้จิ่นถีบประตูเปิดก้าวเข้าไป เชิดหน้าเอ่ยถาม

“เจ้ามาที่นี่ทำอะไร”

เยี่ยเจาชูบันทึกจอมยุทธ์อุดรในมือโบกไปมา เอ่ยยิ้มๆ

“หนังสือในนี้สนุกดี”

ซย่าอวี้จิ่นยื่นมือไปกระชากหนังสือมา กล่าวอย่างเดือดดาล

“ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเข้ามารื้อค้นในนี้ส่งเดช”

“แค่ดูๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้หรือ”

“ไม่ได้แน่นอน!” ซย่าอวี้จิ่นหวนนึกถึงเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจเมื่อคืน ระบายอารมณ์อย่างกระฟัดกระเฟียด “เจ้าชิงเอาบ้านข้า ห้องข้า แล้วก็ชีวิตข้าไป กระทั่งอนุภรรยาและเมียบ่าวข้า เจ้าก็แย่งไปหมด ตอนนี้เจ้ายังมาปักหลักอยู่ในนี้ทำอะไร แม้แต่สถานที่ที่สงบเงียบแห่งสุดท้ายของข้าเจ้าก็จะแย่งเอาไปอีกหรือ หากเจ้าหมายบีบให้ข้าตาย ข้าก็จะขอแลกชีวิตกับเจ้าก่อน!”

“ใจเย็นๆ” เยี่ยเจาพยายามปลุกปลอบแมวที่ถูกไล่ต้อนจนพองขนชันตัว “ข้ามาก็เพราะอยากมอบของดีๆ อย่างหนึ่งให้ท่าน”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยปรามาส

“เจ้าจะให้ของดีๆ อะไรแก่ข้าได้”

เยี่ยเจาลุกขึ้นยืน หยิบกระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งบนโต๊ะมาแล้วเลื่อนไปตรงหน้าเขา

ซย่าอวี้จิ่นมองสีหน้าเคร่งขรึมของนางแล้วเบนสายตาไปที่กระดาษแผ่นนั้นในที่สุด

กระดาษสูเซวียน ชั้นดีมีอักษรตัวเล็กๆ ตวัดเส้นหนาหนักทรงพลังแฝงความอ่อนพลิ้วเขียนไว้หลายบรรทัด คำขึ้นต้นคือ ‘หนานผิงจวิ้นอ๋องและซย่าอวี้จิ่นเขียนหนังสือหย่านี้ขึ้นด้วยความเคารพยิ่ง’ ต่อมาเป็นคำขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณสั้นกระชับ จากนั้นเป็นถ้อยคำบอกกล่าวตามตรงว่าทั้งคู่อุปนิสัยไม่ลงรอยกัน ต่างฝ่ายต่างชิงชังรังเกียจ สิ้นรักตัดสัมพันธ์ เต็มใจตกลงหย่ากันด้วยดี นับแต่นี้ชายแต่งงานหญิงออกเรือนไม่ข้องเกี่ยวกันอีกต่อไป จบด้วยคำลงท้ายเป็นลายมือชื่อของเยี่ยเจา

“ขะ…ของจริง?”

เขามองกระดาษในมือซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ครั้นยืนยันจนแน่ใจว่าลายมือชื่อที่ลงไว้ไม่ผิดก็ตาค้างไปชั่วขณะ ความโกรธที่สุมแน่นอยู่ในอกคล้ายกลองหนังที่ถูกเจาะแตก ความตั้งใจที่จะหย่ากับนางมลายหายไปสิ้น เขาเพียงถามขึ้นอย่างตะกุกตะกัก

“จะ…เจ้ายินยอมจริงๆ รึ”

เยี่ยเจาถอนหายใจเฮือกหนึ่งเบาๆ

“อย่าข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า บุรุษที่ถูกมัดมือชกย่อมปราศจากความจริงใจ เหตุผลนี้ข้ากระจ่างแจ้งดี เดิมทีข้าตั้งความหวังไว้ว่าเราสองอาจบังเอิญโชคดีนิสัยเข้ากันได้ แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตเยี่ยงแมวกับหนู เช่นนี้ก็หาได้มีความจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันต่อไป ตกลงหย่ากันเร็วขึ้นยังพอจะหลงเหลือมิตรภาพอยู่หลายส่วน ผ่านมาพบกันก็ยังพูดคุยกันได้สะดวกใจ หากดันทุรังจนถึงที่สุดมีแต่จะบอบช้ำทั้งสองฝ่าย”

ไฉนเมื่อก่อนเขาถึงไม่ประจักษ์ว่านางมีเหตุมีผลปานนี้

เรื่องที่ใจจดใจจ่อถึงตลอดเวลาเป็นจริงขึ้นโดยพลัน ซย่าอวี้จิ่นตื้นตันใจจนน้ำตาแทบไหลออกมา

“แต่…” เยี่ยเจาชะงักครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างลำบากใจ “พระพันปีเป็นผู้พระราชทานสมรสให้พวกเรา ถึงตอนนี้ผ่านไปเพียงสามสี่เดือนเท่านั้น หากตกลงหย่ากันรวดเร็วเกินไปจะเป็นการหมิ่นน้ำพระทัยอันเมตตาของจักรพรรดิกับพระพันปีเกินไป ข้าจึงกำหนดเวลาของการหย่าในอีกสามปีให้หลัง ถึงตอนนั้นข้าจะไปเข้าเฝ้ากราบทูลให้จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร”

ซย่าอวี้จิ่นมองดูหนังสือหย่า ขณะนี้เป็นรัชสมัยเต๋อจงปีที่เก้า เวลาที่เขียนไว้ด้านล่างคือรัชสมัยเต๋อจงปีที่สิบสอง

เยี่ยเจาเอ่ยสืบไป

“หนังสือหย่ามอบไว้ในมือท่านแล้ว ขอเพียงท่านลงลายมือชื่อและประทับตรา สามปีให้หลังส่งไปให้ทางการดำเนินเรื่องก็เป็นอันเรียบร้อย ข้ากับท่านได้มาเป็นสามีภรรยากัน ถึงจะเป็นเวรกรรม กระนั้นก็นับได้ว่าพวกเรามีวาสนาต่อกันด้วย ดีชั่วอย่างไรต้องรักษาหน้าให้กับจักรพรรดิ พระพันปี วังอันอ๋อง และคฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงบ้าง”

เวลาสามปีพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว มีหนังสือหย่าที่นางลงลายมือชื่อไว้เองแล้วแผ่นนี้อยู่ในมือ นางเล่นลวดลายอะไรมิได้แน่นอน

ซย่าอวี้จิ่นเหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกเบาสบายไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย แม้แต่ยามมองใบหน้าเยี่ยเจาก็ไม่รู้สึกขัดนัยน์ตาดังเดิม เขาเอ่ยทีเล่นทีจริง

“ก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ชอบข้า ตกลงหย่ากันแล้วอย่างน้อยยามนอนเจ้าก็ไม่ต้องพกอาวุธติดกายกระมัง เจ้าไม่ต้องมองหน้าข้าหรอก ถึงอย่างไรวังอันอ๋องก็เป็นบ้านข้า คนที่นี่ก็เป็นคนของข้า ลูกไม้ตื้นๆ ของเจ้าแค่นี้ปิดบังข้าไม่ได้หรอก”

เยี่ยเจามองเขาด้วยสายตาแปลกพิกล

“จัดการท่านยังต้องใช้อาวุธด้วยหรือ”

เขาหน้าแดง

“เช่นนั้นคืนวันแต่งงานเจ้าพกอาวุธไว้ทำไม จะขู่ให้ข้ากลัวใช่หรือไม่”

นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยขึ้น

“ท่านคิดมากไปเอง ก็แค่ความเคยชินที่ติดตัวข้ามาจากตอนออกรบเท่านั้น จะได้สะดวกต่อการลุกขึ้นมาบุกโจมตีหรือล่าถอยได้ทุกเมื่อ มีครั้งหนึ่งข้านอนหลับอยู่ เกือบถูกมือสังหารลอบทำร้าย ดังนั้นตอนนี้ไม่มีอาวุธอยู่ใต้หมอนข้าก็จะหลับไม่สนิท เรื่องนี้คงทำให้ท่านตกใจ กลับลืมอธิบาย ข้าเป็นคนผิดเอง”

ซย่าอวี้จิ่นนิ่งงันไป คำบอกเล่าเรียบง่ายทำให้เสียงเล่าลือถึงการศึกที่ดุเดือดโหดร้ายของโม่เป่ยผุดขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง

สกุลเยี่ยถูกฆ่าล้างตระกูล โม่เป่ยถูกบดขยี้ราบคาบ ผู้กล้าทหารหาญสามพันนายโลหิตเจิ่งนองดุจสายน้ำ โครงกระดูกกองพะเนินเป็นภูเขา

เบื้องหลังสมญานามพญายมแห่งแดนดินคือความศรัทธาและความแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า

ผู้ที่ผ่านการเคี่ยวกรำจากดงหอกดาบและห่าฝนธนูเช่นนางสามารถเป็นแม่ทัพที่ดีคนหนึ่ง แต่ไม่อาจกลายเป็นภรรยาธรรมดาคนหนึ่งได้

ทั่วทั้งเมืองหลวงมีบุรุษมากมายยินยอมทำงานอยู่ใต้อาณัตินาง ทว่าบุรุษที่ยินยอมแต่งนางเป็นภรรยากลับมีอยู่น้อยนิดแทบนับนิ้วได้ อีกทั้งนางก็หยิ่งทะนงตน ไหนเลยจะเต็มใจปรนนิบัติสามีเลี้ยงลูกเช่นเดียวกับสตรีทั่วไปตลอดชีวิต หากเป็นการตกลงหย่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ เกรงว่าชาตินี้นางคงมิได้ออกเรือนอีกแล้ว

แต่นางยังคงยินยอมปล่อยเขาไปโดยเลือกที่จะตกลงหย่า

เขา…กระทำเกินกว่าเหตุไปสักหน่อยหรือไม่

หลังคลื่นลมสงบซย่าอวี้จิ่นถึงได้เริ่มไม่สบายใจ

“อย่ากังวลไปเลย นี่เป็นหนทางที่ข้าเลือกเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน” เยี่ยเจาอ่านออกว่าเขารู้สึกผิดในใจ มุมปากนางคล้ายจะมีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นรางๆ “หากท่านรู้สึกละอายใจก็เลี้ยงสุราข้าเถอะ เป็นการฉลองที่พวกเราตกลงหย่ากันได้สำเร็จลุล่วง ดีชั่วอย่างไรก็ได้เป็นสามีภรรยากัน ถึงความรักความผูกพันสิ้นสุด หากแต่คุณธรรมน้ำมิตรยังคงอยู่ ภายภาคหน้ายังเป็นพี่น้องหรือสหายกันได้!”

ซย่าอวี้จิ่นเพียรดึงความคิดกลับคืนมา เอ่ยพลางยิ้มฝืดๆ

“ก็จริง อริน้อยลงหนึ่งคน พี่น้องเพิ่มขึ้นหนึ่งคน”

“จวิ้นอ๋องเป็นคนตรงไปตรงมาดี!” เยี่ยเจาตบมือ พูดอย่างเปิดเผย “ท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่สันทัดในเรื่องกินดื่มเที่ยวเล่นของเมืองหลวงที่สุด จะเลี้ยงข้าทั้งทีจะตระหนี่มิได้ ต้องให้ข้าได้ลิ้มรสสุราอาหารชั้นเลิศ!”

เขาตบอกรับรอง

“วางใจได้! วันหลังเจ้าอยากได้สิ่งใดเอ่ยปากมาได้เต็มที่! ข้าซย่าอวี้จิ่นถึงต้องบุกน้ำลุยไฟก็จะหามาให้ถึงมือเจ้า!” จากนั้นเขาก็หมุนกายวิ่งออกไปพร้อมตะโกน “สุรารสดีที่สุดต้องหอดอกซิ่ง เนื้อแพะอร่อยที่สุดต้องร้านเหล่าเกา เหมาะจะกินคลายหนาวในฤดูหนาว เจ้าอยู่บนเรือสำราญมาทั้งคืนคงร่างกายเย็น ข้าจะไปซื้อมาให้เจ้ากินแกล้มเหล้าสักสองสามชั่ง”

หลังจากเยี่ยเจามองเขาออกจากห้องไปแล้ว นางก็วาดภาพบนโต๊ะไปพลางเอ่ยพึมพำกับตัวเองไปพลาง

“หลักการทำสงคราม จู่โจมจิตใจเป็นหลัก ยามฝ่ายตั้งรับสูญสิ้นกำแพงล้อมรอบเมือง เข้าโจมตีได้”

 

การตกลงหย่าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ว่าซย่าอวี้จิ่นจะทำตัวเหลวไหลเพียงใดก็ต้องไปแจ้งข่าวมารดาตนเป็นอันดับแรก

วรชายาอันไท่เฟยยกมือทาบอก น้ำตาเอ่อคลอ อุทานด้วยความปีติซ้ำๆ ไม่หยุด อีกทั้งรู้สึกโชคดีที่ตนมีข้ออ้างเต็มปากเต็มคำไม่ต้องตื่นขึ้นมารับการคารวะจากสะใภ้แต่เช้าทุกวัน แล้วก็มิต้องหวาดระแวงว่าสะใภ้แวะเวียนมาที่ห้องนางอยู่บ่อยๆ เพราะถูกตาถูกใจสาวใช้คนใด อยากขอตัวไปเป็นอนุภรรยาหรือไม่ และยิ่งมิต้องเป็นห่วงว่าบุตรชายคนเล็กจะถูกทุบตีทำร้าย ด้วยนับแต่แม่ทัพใหญ่สังหารคนไม่เลือกหน้าเพื่อสร้างระเบียบวินัยในกองทัพครั้งใหญ่เป็นต้นมา นางก็ฝันร้ายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าบุตรชายคนเล็กถูกสะใภ้ลากตัวไปบั่นศีรษะ

ซย่าอวี้จิ่นบอกข่าวเรียบร้อยก็ออกไปซื้อหาสุราอาหารมาให้ภรรยาอย่างเริงร่าสุขใจ

หยางซื่อเห็นเขาแสดงสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานเป็นครั้งแรกในหลายวันนี้ นึกสังหรณ์ใจไม่ดี เรียกอวิ๋นเซียง สาวใช้คนสนิทไปสืบข่าวทันควัน

อวิ๋นเซียงเป็นคนฉลาดเฉลียวน่ารัก เป็นหญิงในดวงใจที่กู่โถว เด็กรับใช้ประจำตัวจวิ้นอ๋องหมายใจอยากสู่ขอมาเป็นภรรยาอยู่ทุกเช้าค่ำ เพื่อเอาอกเอาใจอีกฝ่าย เขาจึงรีบบอกเรื่องการตกลงหย่าของเจ้านายอย่างหมดเปลือกและกล่าวสำทับกับนางว่าเรื่องนี้เป็นความลับ จะเปิดเผยให้คนนอกล่วงรู้มิได้เด็ดขาด

อวิ๋นเซียงรับคำแล้วกลับไปเล่าให้เจ้านายฟังอย่างครบถ้วนกระบวนความ หยางซื่อตะลึงพรึงเพริด

เดิมทีสกุลหยางเป็นพ่อค้าราชสำนักตกอับ บิดานางถูกบังคับให้เล่าเรียนเขียนอ่านนานยี่สิบกว่าปีถึงสอบรับราชการผ่านได้อย่างลำบากยากเย็น ต่อมายังทุ่มเทเงินทองและพึ่งพาเส้นสายจนได้เป็นขุนนางตำแหน่งเล็กๆ แต่เนื่องจากไม่มีความสามารถอื่นใดนอกจากเงินทอง ส่งผลให้เขาเป็นที่ดูแคลนในราชสำนักเป็นนิจ ไม่ว่าทำอะไรก็พบกำแพงอุปสรรคไปหมด

ฝ่ายอันอ๋องมีร่างกายพิการ ไม่สามารถรับตำแหน่งขุนนางเช่นคนอื่น จักรพรรดิจึงให้เขาควบคุมดูแลพ่อค้าราชสำนักเป็นกรณีพิเศษ มาตรว่าจะปราศจากอิทธิพลอำนาจ กลับเป็นงานที่ให้ผลประโยชน์มากมาย นับว่าเป็นการชดเชยความรู้สึกผิดต่ออดีตอันอ๋องที่ตรากตรำทำงานจนจากไปก่อนเวลาอันควร

เมื่อสกุลหยางได้ข่าวว่าซย่าอวี้จิ่นจะรับอนุภรรยาเพื่อแก้เคล็ดเสริมมงคล ก็ยกบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาซึ่งมิได้รับความเอ็นดูโปรดปรานให้แต่งงานด้วยเพื่อแลกกับความมั่งมีหลายปี

หยางซื่ออาศัยอยู่ในเรือนเล็กอย่างไม่เป็นที่โปรดปราน ต้องอยู่อย่างระมัดระวังตัวใต้อำนาจของนายหญิงของวังเพื่อมีข้าวกินอิ่มท้อง ถูกผู้อื่นปรามาส ปล่อยให้วันเวลาและวัยสาวล่วงเลยไปอย่างสูญเปล่าช้าๆ ทำได้เพียงตั้งความหวังถึงการเกิดใหม่ในภพหน้า

นี่คือชะตาชีวิตของนาง

ตอนแรกนางยอมรับชะตากรรมแล้ว นางกลับได้พบแม่ทัพใหญ่ผู้นี้

ท่านแม่ทัพมีงานยุ่ง จวิ้นอ๋องก็มีเรื่องยุ่ง ธุระปะปังในวังหนานผิงจวิ้นอ๋องจึงตกเป็นภาระของนางเพียงคนเดียว การส่งของขวัญของกำนัลส่วนใหญ่ล้วนต้องผ่านมือนางทั้งสิ้น หลายเดือนที่ผ่านมานี้งานการทุกด้านก็นับว่านางดูแลจัดการได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ท่านแม่ทัพพึงพอใจเหลือประมาณ พอรู้ว่านางมาจากตระกูลพ่อค้าราชสำนัก ได้เห็นได้ฟังมาแต่เล็กแต่น้อยก็ต้องมีความสามารถเรื่องทำการค้าติดตัวมาหลายส่วน ถือได้ว่ามีสติปัญญาหลักแหลม ถึงกับโยนหน้าที่ให้นางดูแลร้านค้ารวมถึงทรัพย์สินที่นาซึ่งเป็นสินเดิมเจ้าสาวของตนทั้งหมดและให้ผลประโยชน์อย่างงามก้อนหนึ่ง มิหนำซ้ำยังรับปากนางอีกด้วยว่าหลังจากวังหนานผิงจวิ้นอ๋องสร้างเสร็จและแยกเรือนไปแล้วก็จะให้นางเป็นผู้รับผิดชอบความเรียบร้อยภายในวัง

สถานะของนางเมื่อก่อนมิอาจเทียบได้กับขณะนี้เลย นางเป็นคนที่พ่อบ้านบ่าวไพร่ทุกคนต้องประจบประแจง แม้แต่ฮูหยินของขุนนางตำแหน่งไม่สูงนักพบนางก็ยังต้องให้ความเกรงอกเกรงใจด้วยกลัวว่าจะล่วงเกินแม่ทัพใหญ่ที่หนุนหลังนางอยู่

อนุภรรยาได้ดูแลความเรียบร้อยภายในวัง อีกทั้งมิถูกตราหน้าว่าประพฤติผิดศีลธรรม ยั่วยวนมอมเมาสามี มันเป็นความโชคดีและเป็นเกียรติชั้นไหนกันล่ะนี่ ภรรยาหลวงไม่เพียงไม่หึงหวงอนุภรรยา ยังเอ็นดูตามใจทุกอย่างและให้ท้าย คงหาคนเช่นนี้จากเหย้าเรือนใดมิได้อีกแล้ว

หากท่านแม่ทัพกับจวิ้นอ๋องตกลงหย่ากันแล้วมีนายหญิงคนใหม่ นางจะเป็นเช่นไร

นางอับโชคถึงถูกบังคับให้เป็นอนุภรรยา หาใช่เกิดมาเป็นคนใฝ่ต่ำ

แม้นายหญิงคนใหม่มิใช่สตรีขี้หึง ทว่าไม่มีทางที่จะให้ประโยชน์มากเท่าครึ่งหนึ่งของที่ท่านแม่ทัพให้นาง!

เคยลิ้มรสน้ำผึ้งแล้วจะกลับไปกินหวงเหลียน ได้อย่างไร

เคยมีความหวังจะหวนไปจมปลักแห่งความสิ้นหวังอีกได้อย่างไรเล่า

หยางซื่อกัดฟันแน่น ขยำผ้าเช็ดหน้าจนยับยู่ยี่ นางตัดสินใจรีบเร่งส่งคนไปตามเหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์มาเพื่อหารือกลยุทธ์รับมือ

เหมยเหนียงน้ำตาแทบร่วงรินเมื่อได้ยินข่าวร้าย

ท่านแม่ทัพไม่ชอบแต่งเนื้อแต่งตัว กลับชมชอบหญิงงามแต่งกายประทินโฉมให้เฉิดฉายชวนพิศเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้กำไลหยกขาวที่สวมอยู่บนมือ ปิ่นมุกลายผีเสื้อบินหยอกบุปผาที่ปักข้างมวยผม ต่างหูโบตั๋นทองฝังไพลินที่เสียบบนหู ป้ายทองฝังหินโมราที่เหน็บตรงเอว ล้วนเป็นสิ่งของที่ท่านแม่ทัพมอบให้ ทั้งยังเป็นงานฝีมือของชาวหมานตะวันตกที่หาได้ยาก

นอกจากนี้ท่านแม่ทัพยังเอาแพรพรรณกับผ้าขนสัตว์ล้ำค่าสวยงามในสินเดิมเจ้าสาวของตนมอบให้นางไปตัดเย็บอาภรณ์ นางอยากอวดโฉมอย่างไรก็ได้ตามแต่ใจ

หลายวันก่อนเป็นวันประสูติเจ้าแม่กวนอิม สตรีในวังล้วนไปจุดธูปเซ่นไหว้ นางแต่งกายงามพริ้งโดดเด่นเกินหน้าใคร สายตาของคนอื่นที่จับจ้องมาด้วยความริษยาแทบจะทะลุทะลวงร่างนางเป็นรูพรุนเลยทีเดียว ถ้าเปลี่ยนเป็นนายหญิงที่ร้ายกาจ ชิงชังความงามของนางแล้วลงมือเล่นงานอย่างโหดเหี้ยมจะทำอย่างไร

ฝ่ายเซวียนเอ๋อร์อ้าปากตาค้าง กล่าววาจาไม่ออกอยู่นาน

พี่ชายนางเป็นนายทหารชั้นล่าง มีนิสัยซื่อตรงจึงล่วงเกินขุนนางเบื้องบน เป็นเหตุให้การเลื่อนตำแหน่งถูกระงับยับยั้งทุกทาง แต่หลังจากท่านแม่ทัพมาแล้วได้ยินนางเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ตรวจสอบทันที ครั้นยืนยันจนแน่ใจว่าไม่ผิดพลาดก็เรียกตัวผู้บังคับบัญชาของพี่ชายนางมาอบรมสั่งสอนยกหนึ่ง จากนั้นไม่นานพี่ชายนางก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นทีเดียวสองขั้น ครอบครัวนางปลาบปลื้มเป็นสุขกันถ้วนหน้า

อีกประการหนึ่ง ท่านแม่ทัพยังรับปากว่าหลังจากแยกเรือนจะให้นางกลับไปเยี่ยมบ้านบ่อยๆ ปีนี้น้องชายคนเล็กนางอายุสามขวบ ฉลาดเฉลียว น่ารักปานกระต่ายตัวน้อย เห็นนางก็เรียกพี่สาวเสียงหวาน ทำให้นางทั้งรักทั้งหลง ถ้าเปลี่ยนเป็นนายหญิงที่เคร่งครัดธรรมเนียมไม่ให้นางกลับบ้านจะทำอย่างไร

ทุกคนล้วนรับรู้ได้ถึงอันตรายอย่างชัดเจน

ท่านแม่ทัพไปแล้ว…ชีวิตที่แสนสุขทั้งหมดล้วนมลายหายไป ไหนเลยพวกนางจะปล่อยให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้

สตรีทั้งสามมีศัตรูร่วมกันก็จัดกระบวนทัพขึ้นในพริบตา พร้อมใจกันให้คำสัตย์ปฏิญาณ

“ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม จะปล่อยให้จวิ้นอ๋องกับท่านแม่ทัพตกลงหย่ากันมิได้เด็ดขาด!”

 

เยี่ยเจากำลังนั่งอยู่ในสวนดอกไม้ ลับดาบไปพลางรอสุรากับเนื้อแพะไปพลางอย่างเบิกบานอารมณ์ดี

ฉับพลันนั้นเองแลเห็นหญิงงามสามคนเดินกรูกันเข้ามาด้วยท่าทางกระวีกระวาดอย่างออกนอกหน้า

หยางซื่อประคองน้ำแกงสร่างเมาในมือ เหมยเหนียงถือขนมโก๋เมล็ดซิ่งเหริน ส่วนเซวียนเอ๋อร์หิ้วส้มเขียวหวานมาตะกร้าใหญ่ รุมล้อมอยู่รอบตัวเยี่ยเจา แต่ละคนประชันกันส่งสายตาอ่อนโยนและรอยยิ้มหวานซึ้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มาให้ เห็นแล้วชวนให้หนาวเยือกที่กลางอก

เยี่ยเจาวางดาบใหญ่ในมือลง มองดูสตรีที่รายล้อมตนไว้อย่างคลางแคลงใจและถามอย่างเคร่งขรึม

“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่”

เหล่าหญิงงามตอบเป็นเสียงเดียวกัน

“ได้ยินว่าเมื่อคืนท่านเมาสุรา พวกเราเลยตั้งใจมาปรนนิบัติเจ้าค่ะ”

เมื่อวานจวิ้นอ๋องเมาสุราตกลงไปในแม่น้ำ มิใช่เมาหนักกว่าหรือ

เยี่ยเจาโคลงศีรษะ ยิ่งรู้สึกว่าคำตอบไม่กระจ่างชัด

เหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์ขยิบตาส่งกำลังใจให้หยางซื่อไม่หยุด หยางซื่อจึงหยิบช้อนเงินตักน้ำแกงสร่างเมาแล้วเป่าให้หายร้อน ป้อนใส่ปากเยี่ยเจาพลางเอ่ยเสียงเบา

“เรื่องเมื่อคืนเป็นจวิ้นอ๋องที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเกินไป เกรงว่าคงทำให้ท่านขุ่นเคือง แต่ใช่ว่าเขาจะทำตัวเช่นนี้บ่อยๆ หญิงงามเมืองพวกนั้นแค่ชั่วข้ามราตรีจวิ้นอ๋องก็ลืมหมดแล้ว เทียบมิได้แม้แต่หมาแมวสักตัว ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลยนะเจ้าคะ

อีกประการหนึ่ง จวิ้นอ๋องมิได้เลวร้ายขนาดนั้น เป็นคนอารมณ์เย็นใจดี บ่าวไพร่ทำอะไรผิดอย่างมากก็ดุด่าสองคำ น้อยครั้งนักที่ลงโทษรุนแรง มีบ้างที่เขาจะออกไปก่อความวุ่นวายข้างนอก แล้วก็มีบ้างที่เขาถูกคนตามมาทุบตีถึงประตูวัง แม้เขาจะใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่มิได้ถึงขั้นผลาญสมบัติ ฉะนั้นไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตร้ายแรงอะไร

ตอนจวิ้นอ๋องยังเด็กร่างกายอ่อนแอ ถูกวรชายาอันไท่เฟยบังคับให้อยู่แต่ในเรือนพักรักษาตัวสิบกว่าปี นางกลัวว่าเขาจะมีอันเป็นไป ไม่เหลือแม้แต่เลือดเนื้อเชื้อไขสักคนถึงได้รับพวกเราเข้ามา ทั้งที่ความจริงแล้วมิได้ชมชอบโปรดปรานเท่าไร ต่อมาร่างกายเขาดีขึ้นมาก เขาก็เลือดร้อนตามประสาเด็กหนุ่ม รักสนุกไปบ้าง สามีภรรยาใช้ชีวิตร่วมกันแรกๆ ล้วนต้องกระทบกระทั่งกัน แต่อีกไม่นานก็จะเข้ากันได้ดี…”

เหมยเหนียงกล่าวต่อ

“จวิ้นอ๋องเป็นคนดีมากจริงๆ นะเจ้าคะ แล้วก็มิใช่คนโง่เขลาด้วย ลูกหลานเชื้อพระวงศ์ล้วนมีเมียบ่าวก่อนแต่งงานทั้งนั้น วรชายาอันไท่เฟยถึงเลือกข้ากับเซวียนเอ๋อร์มาปรนนิบัติ แต่จวิ้นอ๋องห่างเหินมาโดยตลอด ถึงจะมีมาหาบ้างกลับมิได้รักใคร่เอ็นดูนัก เวลานั้นข้ายังไม่เข้าใจเลยถามเขาว่าเพราะอะไร จวิ้นอ๋องบอกว่าป่าช้าทางเหนือมีศพที่ถูกหามออกมาจากเรือนหลังเพิ่มขึ้นอีกหลายศพ มีมาจากทั้งวังท่านอ๋องและคฤหาสน์ขุนนาง สตรีเหล่านั้นหากมิใช่ล่วงเกินนายหญิงจนถูกเล่นงานก็ถูกคนเจตนาไม่ดีใส่ความ ในบรรดาคนเหล่านั้นมีหลายคนที่เขาเคยเห็นมาก่อน ล้วนเป็นหญิงงามฉลาดปราดเปรื่อง กลับต้องพบจุดจบน่าสังเวชใจเช่นนี้ ก็มิใช่เพราะได้รับความเอ็นดูโปรดปรานมากเกินไปหรือถึงสร้างความไม่พอใจให้ผู้อื่น

เขายังพูดว่าวันหน้าตัวเองต้องแต่งชายาเอกแน่นอน ถ้านางอ่อนโยนใจกว้าง เขารักเอ็นดูพวกเราก็เป็นการทำร้ายจิตใจนาง ถ้านางไม่อ่อนโยนใจกว้าง เขารักเอ็นดูพวกเราก็เป็นการทำร้ายชีวิต เขารู้จักคนต่ำช้ามากมาย กระจ่างแจ้งถึงความอำมหิตของคนเหล่านั้นดีและแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะระวังป้องกันเลยทีเดียว มิสู้ห่างเหินเช่นนี้แต่มีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยไปตลอดจะเป็นการดีกว่า…”

เซวียนเอ๋อร์เอ่ยปากเป็นคนสุดท้าย แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดคำชมไม่ออก

ครั้นถูกทุกคนถลึงตาใส่ นางพยายามอ้าปากหลายครั้ง ในที่สุดก็ขยับเข้าไปกล่าวออดอ้อน

“จวิ้นอ๋องรูปงามมากนะเจ้าคะ ฉะนั้นท่านอย่าโกรธเขาได้หรือไม่ สามีภรรยาต้องรักใคร่ให้เกียรติกัน…”

พวกนางทุ่มเทสุดความสามารถ เยินยอซย่าอวี้จิ่นเสียจนเลิศลอย เยี่ยเจาฟังแล้วแทบจะหลุดหัวเราะออกมา ต้องเพียรกลั้นเอาไว้อย่างสุดกำลังก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เป็นเขาที่โกรธข้า”

หยางซื่อ

“ไม่ต้องกลัวเจ้าค่ะ! ขอเพียงผู้ชายชอบท่าน โกรธเล็กๆ น้อยๆ เท่านี้จะเป็นอย่างไร ข้าจะสอนวิธีทำตัวอ่อนโยนเป็นศรีภรรยาให้ท่านเอง รับรองว่าจวิ้นอ๋องคลายโทสะแน่นอน!”

เหมยเหนียง

“ข้าจะสอนท่านเองว่าจะประจบเอาใจวรชายาอันไท่เฟยอย่างไรเจ้าค่ะ”

เซวียนเอ๋อร์

“ขะ…ข้าอยู่ข้างหลังคอยเป็นกำลังใจให้ท่านนะเจ้าคะ”

เยี่ยเจามองดูสตรีทั้งสามที่กระเหี้ยนกระหือรือดุจหมาป่าดั่งพยัคฆ์แล้ว แม้คนกร้าวแกร่งเช่นนางก็อดหนาวสะท้านขึ้นมาเป็นระลอกมิได้

สบโอกาสชิวหวาขอพบ แม่ทัพใหญ่เผ่นหนีตะลีตะลานราวกับได้รับอภัยโทษก็ไม่ปาน

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 84.1-84.2

    By

    บทที่ 84.1 ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องมองชุดรัดเอวแขนหลวมทำจากผ้าพลิ้วกรุยกรายลายปักซูซิ่ว บนร่างองค์หญิงอวี๋หยางอีกครา ดูคล้ายกับแบบที่ซูลั่วอวิ๋นสวม...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 83.1-83.2

    By

    บทที่ 83.1 หานเหยาได้ยินน้องชายพูดขึ้นมา นางก็เอ่ยอย่างลิงโลด “ดี! พี่สะใภ้ ท่านไม่ต้องกลับไปที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยแล้ว ที่นั่นวุ่นวายเหลือเก...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 82.1-82.2

    By

    บทที่ 82.1 ที่แท้จ้าวกุยเป่ยคิดว่าให้สัญญากับหานเหยาไว้ว่าจะมารับลูกอมก็จำเป็นต้องรักษาคำพูดหรือไร หานหลินเฟิงคร้านจะแยแสบุรุษหัวทึบผู้นี้ เ...

  • คืนลมพัดต้องเหมยงาม

    ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 ราตรีวุ่น แววตาเสิ่นเฉียนมืดทะมึน กัดริมฝีปาก ปลายคางเกร็งแน่นเผยความแข็งกร้าวอยู่ในที “ที่แท้ถูกเด็ดปีกหมดสิ้นแล้วเนรเทศมาให้ข้านี่...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 81.1-81.2

    By

    บทที่ 81.1 ฉิวเจิ้นเพ่งตามองดูแล้วก็พบว่าไม่เพียงกำแพงของค่ายเสบียงมีการต่อเติมให้สูงขึ้น ยังขุดคูลึกรอบตัวกำแพงทั้งด้านนอกด้านในเพิ่มอีกสอง...

  • คืนลมพัดต้องเหมยงาม

    ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 หงหลวนแต่งงาน ลมราตรีพัดกรู แสงจันทร์สาดส่อง ภายในหอตั้นเสวี่ยของจวนสกุลเซี่ยเวลานี้ เซี่ยจิ่นสองมือไพล่หลัง ฟังน้องชายตัวน้อยเซี่ยซ...

  • คืนลมพัดต้องเหมยงาม

    ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ลมตะวันตกพัดมา สุริยันจมลับประจิม แสงสายัณห์สาดส่องขอบฟ้า เสิ่นเฉียนเปลี่ยนม้าไปตัวหนึ่งแล้วในจุดพักม้า เช่นนี้จึงเร่งมาถึงนอกเมืองห...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com