ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน แม่ทัพอยู่บน ข้าอยู่ล่าง บทที่ 1 – บทที่ 11
บทที่ 8
ซย่าอวี้จิ่นตัดสินใจครั้งที่ยากเย็นที่สุดในชีวิต
เขากระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา นอนไม่หลับจนขอบตาคล้ำเป็นวง แทบต้องฝืนมโนธรรมในใจถึงมองเห็นข้อดีในตัวเยี่ยเจาที่เหมาะจะเป็นภรรยาอยู่เหมือนกัน
เช่นว่านางไม่ขี้หึงจึงไม่เป็นเช่นเดียวกับฮูหยินของรองเสนาบดีสวีที่พอเห็นสามีดื่มเหล้าเคล้านารีก็เงื้อไม้นวดแป้งไล่ทุบตีไปไกลห้าถนน ส่วนเรื่องที่นางมาหาเขาเพื่อปรึกษาปัญหาเรื่องดื่มเหล้าเคล้านารีที่ใดได้รสชาติกว่า หรือหญิงงามของหอคณิกาไหนสะโพกใหญ่อะไรทำนองนี้อย่าไปคิดมากจะเป็นการดีที่สุด
แล้วก็เช่นว่าเดิมทีวรชายาอันไท่เฟยรังเกียจอยู่บ้างที่ชายาอันอ๋องมีชาติกำเนิดไม่สูงและฐานะต่ำต้อย มักเชิดหน้าปั้นปึ่ง ไม่ว่านางจะเอาอกเอาใจอย่างไรก็ไม่บังเกิดผล ทว่าหลังจากเยี่ยเจาแต่งเข้ามา เมื่อได้เปรียบเทียบสะใภ้ทั้งสองแล้ว ท่าทีของวรชายาอันไท่เฟยที่มีต่อสะใภ้ใหญ่ก็ดีขึ้นทันตาเห็น รู้สึกเพียงมองนางอย่างไรล้วนถูกตาไปหมด เป็นสะใภ้แสนดีและเป็นศรีภรรยาที่สุดในใต้หล้า เวลานี้ทั้งคู่รักใคร่กลมเกลียวกันจนเป็นที่อิจฉาของใครๆ แทบจะถูกยกให้เป็นแบบอย่างที่ดีของชาวเมืองเลยทีเดียว
ยังมีอีกเช่นว่าพี่ชายเขาขาพิการ ส่งผลให้เป็นคนเงียบขรึมหดหู่ไปบ้าง ตอนนี้ให้เมียบ่าวไปเล่าเรื่องขบขันในเรือนเขาให้ฟังทุกวัน ใบหน้ามีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นบ้าง
เฮ้อ ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยเรื่องสุดวิสัย จะอย่างไรก็ต้องมีจิตใจเสียสละบ้าง
ขอเพียงเขากัดฟันทน ทำหน้าหนาแบกรับคำติฉินนินทาไว้ จากนั้นก็เก็บซ่อนหนังสือหย่าในมือไว้ให้ดี พูดคุยกับเยี่ยเจาให้เข้าใจ อบรมสั่งสอนนางมากๆ อย่างน้อยต้องทำให้นางเข้าใจสักหน่อยว่าการเป็นสตรีต้องทำอย่างไร อย่าเอาแต่กระทำตัวเยี่ยงชายอกสามศอกจนชวนให้เหลืออด เช่นนี้แล้วเขาก็พอจะฝืนใจไม่ตกลงหย่ากันได้
เมื่อซย่าอวี้จิ่นตัดสินใจได้ก็ลงมือทันที เขาเริ่มด้วยการรื้อค้นตำราต่างๆ เช่น ‘บัญญัติสตรี’ ‘คัมภีร์ธิดา’ ‘ตำนานภรรยาประเสริฐ’ ‘ตำนานสตรีกล้าแกร่ง’ ‘รวมอรรถาธิบายสี่ตำราแห่งกุลสตรี’ ‘โอวาทสอนหญิง’ ออกมาจากห้องหนังสือทั้งหมด จากนั้นพุ่งตรงไปหาเยี่ยเจาซึ่งประชุมขุนนางกลับมาพร้อมวาดภาพฝันอันงดงามของการนั่งเคียงคู่กันท่องตำรายามราตรี
ขณะก้าวปราดๆ เข้าไปในห้องที่ได้เห็นอีกครั้งหลังจากเหินห่างไปนาน เขารู้สึกดวงตาพร่าพรายอย่างฉับพลัน
ตรงหน้าประตูมีแท่นตั้งอาวุธสองแถว บนนั้นมีอาวุธด้ามยาวนานาชนิดตั้งแต่หอก ขวานศึก ทวนวงเดือน สามง่าม คราดเก้าซี่ ง้าว และอื่นๆ ปักเรียงรายเอาไว้ ส่วนผนังห้องแขวนกระบองเขี้ยวหมาป่ากับเกาทัณฑ์หน้าไม้ ในแจกันลายครามลายเถาไม้เลื้อยก็มีดาบและกระบี่เสียบไว้หลายเล่ม บนโต๊ะยังมีขวาน กระบองเหล็ก แส้ยาว พลองสองท่อน พลองสามท่อนวางอยู่ ขณะที่ตู้ตั้งของประดับซึ่งเคยวางวัตถุโบราณล้ำค่าในตอนแรกล้วนถูกเปลี่ยนเป็นอาวุธลับทั้งหมด
นี่มันคลังเก็บอาวุธของกองทหารหรือ
ซย่าอวี้จิ่นรีบถอยออกมาทางประตู ขยี้ตาแล้วเบิกตามองแผ่นป้ายซึ่งแขวนอยู่เหนือประตูเรือนวาโยนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อแน่ใจแล้วว่ามิได้เดินมาผิดที่ถึงก้าวเท้าผ่านประตูเข้าไปอีกครั้ง กระแอมไอดังๆ เสียงหนึ่งใส่เยี่ยเจาซึ่งนั่งขัดสมาธิชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง แลดูไม่งามตาอย่างยิ่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ นางกำลังง่วนอยู่กับการเล่นดาบฝูซาง ที่เพิ่งได้มาใหม่อย่างเพลิดเพลิน
นางเห็นเขานานทีปีหนจะมาหาก็ปีติยินดีเหลือหลาย รีบลุกขึ้นไปต้อนรับ
ซย่าอวี้จิ่นพักเรื่องที่ห้องตัวเองถูกตกแต่งประดับประดาใหม่ลงก่อนชั่วคราว ไม่ติดใจเอาความอีก เพียงวางตำรากองหนึ่งลงบนโต๊ะอย่างแรง บอกกล่าวจุดประสงค์ที่มาว่าเขาจะรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหลักจริยาหญิงให้ด้วยตัวเอง
ทั้งคู่บอกกล่าวให้อีกฝ่ายรับทราบถึงระดับสติปัญญาความรู้ของตัวเองก่อน เพื่อยืนยันให้แน่ชัดว่ามิใช่พวกอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
ซย่าอวี้จิ่นร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก ไม่อาจคร่ำเคร่งตรากตรำได้ เรียนหนังสือวันหนึ่งก็ต้องหยุดพักสามวัน ทว่าเขาเป็นคนฉลาดหัวไวมาแต่เกิด ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของพระพันปี อาจารย์ที่จ้างมาสอนล้วนเป็นบัณฑิตใหญ่แห่งยุคที่รอบรู้และเป็นพหูสูตอย่างแท้จริง แม้เขาจะร่ำเรียนมาแบบกระท่อนกระแท่นก็ยังมีความรู้เกือบเทียบชั้นผู้สอบได้ซิ่วไฉ หากจะสอนตำราจำพวกคัมภีร์สามอักษรt ก็หาใช่เรื่องยากเย็นเข็ญใจ
ขณะที่เยี่ยเจาชื่นชอบฝึกยุทธ์ตั้งแต่เด็ก พอเห็นตำราก็ปวดศีรษะ กอปรกับมีนิสัยหยิ่งผยองและอารมณ์ร้อน จึงเกิดเรื่องราวระหว่างการศึกษาเล่าเรียนมากมายพอจะเขียนรวบรวมขึ้นเป็นบันทึกประวัติศาสตร์นองเลือดเคล้าน้ำตาของบรรดาอาจารย์ได้
นับแต่เริ่มร่ำเรียนเขียนอ่านเมื่ออายุแปดขวบ นางยั่วโมโหอาจารย์จนบอกศาลาไปราวๆ ปีละห้าคน สุดท้ายเนื่องจากบิดาของหูชิงมีฐานะยากจนมากจริงๆ ทั้งยังคิดจะผูกสัมพันธ์เพื่อให้บุตรชายได้มีอนาคตก้าวหน้า เขาจึงกล้ำกลืนความอัปยศอยู่รับหน้าที่ต่อไปอย่างอดทนอดกลั้นตามคำวิงวอนขอร้องของเยี่ยจง สิ้นเปลืองเวลาสองปีกว่า สรรหาทุกวิธีมาสอนนางด้วยความลำบากแสนสาหัส ในที่สุดเยี่ยเจาก็ท่องจำ ‘ตำราพันอักษร’ จนขึ้นใจได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้นางไม่ถึงขั้นไม่รู้หนังสือ
กระทั่งหลังจากนำทัพออกศึก เยี่ยเจาถึงได้ประจักษ์ว่าตัวเองมีความรู้น้อยนิดจนน่าใจหาย เมื่อสถานการณ์บังคับ นางจำใจต้องให้หูชิงรับหน้าที่เป็นอาจารย์ต่อจากบิดา พยายามเร่งสอนวิชาการทหารและประวัติศาสตร์ให้เป็นการด่วน
เมื่อเทียบกับ ‘อาจารย์หู’ ผู้มีวาจาสนุกสนานแฝงอารมณ์ขัน อธิบายเรื่องลึกซึ้งให้เข้าใจได้ง่ายแล้ว ฝีมือการสอนของ ‘อาจารย์ซย่า’ นั้นแทบจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แม้เขาจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี พูดอธิบายอย่างเอาจริงเอาจังอย่างมาก ทว่าจนปัญญาที่เขาทำได้แต่สอนตามตำรา ไม่รู้จักการอุปมาสาธก หัวข้อที่เลือกมาก็น่าเบื่อเหลือแสน
เดิมทีเยี่ยเจาใช่ว่าจะเป็นผู้มีความอดทนในการเล่าเรียน อีกทั้งเรื่องของสตรีก็ยิ่งไม่สนใจ นางฟังแล้วลอบหาวหวอดๆ เพียงเห็นแก่ที่อาจารย์รูปงามชวนน้ำลายหกจึงกัดด้ามพู่กันข่มใจไว้ พยายามแสร้งทำท่าตั้งอกตั้งใจพลางแอบชำเลืองมองดาบฝูซางที่ตัวเองเพิ่งได้มาใหม่ซ้ำๆ อย่างห้ามใจไม่อยู่และใคร่ครวญว่าอีกประเดี๋ยวจะไปลองดาบที่ไหนดี
อาจารย์ซย่าสอนจนคอแหบคอแห้ง เคาะโต๊ะถามขึ้นด้วยสีหน้าขึงขัง
“อะไรคือเรือนสามน้ำสี่ เจ้าเข้าใจหรือไม่ ไหนทวนให้ข้าฟังอีกทีซิ”
ลูกศิษย์เยี่ยตื่นขึ้นจากภวังค์ ได้ยินเพียงครึ่งเดียวก็มองเขาอย่างงุนงง นิ่งเป็นเบื้อใบ้อยู่พักใหญ่ก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
“เรือน? เรือนอะไร งานปักผ้าอะไรนั่นข้าทำไม่เป็นนะ หรือว่า…กวาดพื้นเรือนให้ท่านวันละครั้ง?”
เจ้าอันธพาลสมควรตายผู้นี้มิได้ฟังเลยสักนิด!
ซย่าอวี้จิ่นโกรธเจียนคลั่งตาย หากมิใช่กลัวว่าจะไม่ระวังทำกระบองเขี้ยวหมาป่าบนผนังหล่นใส่เท้าตัวเอง เขาต้องฉวยมันลงมาขว้างใส่ศีรษะนางเป็นแน่
“อย่าโมโหๆ เวลาข้าเรียนหนังสือชอบเหม่อลอยเสมอ”
เยี่ยเจารู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง กระวีกระวาดรินน้ำชาส่งให้เป็นการกล่อมเขาให้อารมณ์เย็นลงและเพื่อเบี่ยงเบนความขัดเคือง
นางยังหยิบกระบี่ธารมรกตที่ตัวเองสะสมเอาไว้ออกมาให้เขาชม เอ่ยอย่างเอาอกเอาใจ
“อย่าคิดมากเลย การเรียนหนังสือใช่ว่าจะจบได้ในชั่วครู่ชั่วยาม กระบี่เล่มนี้เป็นของล้ำค่าที่มีเงินนับพันชั่งก็หาซื้อได้ยากเชียวนะ มีผู้ฝึกยุทธ์มากมายถึงขั้นยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อมันได้ ท่านอยากจับดูเล่นๆ ไหม”
ซย่าอวี้จิ่นลูบกระบี่ทีหนึ่งแล้วถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ฟันเจ้าตายได้หรือไม่”
“อาศัยท่าน?”
เยี่ยเจาส่ายหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ซย่าอวี้จิ่นฟุบหน้ากับโต๊ะอย่างสิ้นหวัง ไม่ขยับตัวอีก
ภรรยาเขาคลั่งไคล้อาวุธเข้าขั้นหมดทางเยียวยาแล้ว เขาหวั่นใจว่าตัวเองจะถูกยั่วโมโหจนต้องลาจากโลกนี้ไปก่อนเวลาอันควร สุดท้ายจึงให้นางจดจำถ้อยคำหนึ่งให้ขึ้นใจ
“ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลังคนต้องไว้หน้าสามี”
จากนั้นเขาก็ล้มเลิกแผนการสอนหนังสืออย่างสิ้นเชิง
ราวครึ่งเดือนต่อมาวังหนานผิงจวิ้นอ๋องก่อสร้างเสร็จสิ้น ตระกูลอันอ๋องต้องแยกเรือนกันต่างคนต่างอยู่
แม้วรชายาอันไท่เฟยจะรักเอ็นดูบุตรชายคนเล็ก แต่หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่อยากอยู่กับเยี่ยเจาให้เจ็บช้ำน้ำใจ ด้วยเหตุนี้นางยอมทนปวดร้าว ตัดใจรั้งอยู่ข้างกายบุตรชายคนโต เพียงคัดเลือกบ่าวคนสนิทหลายคนที่ทำงานเก่งและซื่อสัตย์ส่งไปที่วังหนานผิงจวิ้นอ๋องเพื่อให้บุตรชายคนเล็กเรียกใช้ มิให้เขาถูกภรรยาข่มเหงเกินไป
ซย่าอวี้จิ่นไม่แน่ใจว่าวันหน้าจะตกลงหย่ากับภรรยาหรือไม่ จึงไม่คิดจะอยู่ร่วมห้องกับนาง ทว่าพักนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีขึ้นเล็กน้อย เขาจึงเลือกเรือนสองหลังซึ่งมีลานเชื่อมต่อกันแล้วแยกย้ายเข้าไปอยู่คนละหลัง นับแต่นี้ไปฟากหนึ่งคือดงอาวุธ แลเห็นเงาดาบประกายกระบี่ ฟากหนึ่งคือเสียงจิ้งหรีดลูกเต๋า เสนาะหูรื่นรมย์ ดูแล้วแปลกอย่างยิ่ง
หยางซื่อเลือกเรือนที่อยู่ห่างจากทั้งแม่ทัพใหญ่และจวิ้นอ๋องค่อนข้างไกลและขะมักเขม้นกับการเป็นผู้ดูแลวัง ส่วนเหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์แย่งชิงเรือนแว่วบุปผาซึ่งอยู่ใกล้กับเรือนเกล็ดน้ำค้างอันเป็นที่พำนักของท่านแม่ทัพมากที่สุด
พวกนางทะเลาะกันลั่นวัง คนหนึ่งบริภาษอีกฝ่ายเป็นนางจิ้งจอก คนหนึ่งด่าทออีกฝ่ายว่าอกใหญ่ไร้ปัญญา จวนเจียนจะบีบคอกันอยู่แล้ว สุดท้ายเป็นซย่าอวี้จิ่นมาพบเข้าและตวาดให้หยุด อัปเปหิทั้งคู่ไปอยู่เรือนจันทร์มืดที่อยู่ห่างจากเรือนเกล็ดน้ำค้างไกลที่สุด
ในวังอลหม่านโกลาหล ยุ่งวุ่นวายจนแม้แต่แม่สุกรยังต้องปีนขึ้นต้นไม้เลยทีเดียว
เมื่อการแบ่งเรือนเสร็จสิ้น ชุดขุนนางของซย่าอวี้จิ่นก็ส่งมาถึง ช่างปักในวังหลวงมีฝีมือไม่เลว เสื้อคลุมแพรใหม่เอี่ยมอ่องมีลายปักดอกไม้ด้วยด้ายทองบนพื้นสีเขียว แม้จะเรียบง่ายหากแฝงด้วยความประณีตบรรจง สวมใส่แล้วดูสง่างามไม่น้อย
เยี่ยเจาเอ่ยชม
“สวมบนตัวท่านแล้วดูไม่เลวจริงๆ มีราศีของขุนนางใหญ่”
“ชิ่วๆ ใครจะไปเชื่อสายตาเจ้า”
ซย่าอวี้จิ่นปากพูดแย้ง ในใจกลับปลาบปลื้มอยู่บ้างที่ได้รับคำชม
เขาเดินอยู่ในลานกว้างไม่กี่ก้าวก็มาถึงเบื้องหน้าชิวหวากับชิวสุ่ย จึงถามพวกนางว่าเห็นเป็นอย่างไร
ด้วยท่านแม่ทัพยื่นคำขาดไว้ ชิวหวากับชิวสุ่ยไม่กล้าทำเสียงเย็นชาเหน็บแนมเขาอีกก็พร้อมใจกันพยายามพูดป้อยอ
“จวิ้นอ๋องดูเป็นผู้เป็นคนต่างจากเมื่อก่อน ไม่เลวจริงๆ เจ้าค่ะ!”
“ให้ช่างปักทำผ้าคาดศีรษะสีเขียวให้ท่านสักชิ้นดีหรือไม่เจ้าคะ แล้วเอาไข่มุกเม็ดโตที่ท่านแม่ทัพสะสมไว้ติดประดับบนนั้น สวมเข้าคู่กันเป็นชุดจะต้องงามมากแน่ๆ เจ้าค่ะ!”
ซย่าอวี้จิ่นตั้งสัตย์ปฏิญาณ ถ้าเขาพูดกับคนข้างกายเยี่ยเจาอีก เขาก็คือสุกร!
ไม่ว่าชิวหวากับชิวสุ่ยจะใช้วาจาค่อนแคะแดกดันซย่าอวี้จิ่นลับหลังสักแค่ไหน ขอเพียงเยี่ยเจาปรากฏตัวขึ้น พวกนางก็กลายเป็นลูกแพะที่แสนเชื่องและว่าง่าย สีหน้าใสซื่อปราศจากพิษภัยเต็มประดา ราวกับเรื่องชั่วร้ายอะไรก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางทั้งสิ้น
สตรีช่างเปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วจนแทบต้องอุทานด้วยความทึ่งเลยทีเดียว ซย่าอวี้จิ่นสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความโมโห
ชิวหวากับชิวสุ่ยแลบลิ้นปลิ้นตาใส่แผ่นหลังเขาทันควันและแอบตบมือดีใจกันเงียบๆ
เยี่ยเจารอหลังจากซย่าอวี้จิ่นเดินไปไกลแล้วค่อยมาที่ข้างกายพวกนาง ยื่นมือไปเขกหัวทั้งคู่อย่างแรงคนละที
“นับวันยิ่งไร้สัมมาคารวะขึ้นเรื่อยๆ จะรังแกสามีข้าก็อย่าให้เลยเถิดเกินไปนัก!”
ชิวหวากับชิวสุ่ยกุมหัวร้องโอดโอย มองท่านแม่ทัพใหญ่อย่างตัดพ้อพลางกล่าวแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“รังแกที่ไหนกันเจ้าคะ”
“ยังจะกล้าเฉไฉ? พวกเจ้าไม่รังแกเขา มีหรือที่เขาจะออกจากห้องข้าอย่างร่าเริงแต่ก้าวออกจากประตูไปอย่างฉุนเฉียว” เยี่ยเจาดุสั่งสอนต่อ “แต่ละคนดีแต่หาเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้ามาให้ จะต้องก่อกวนจนเรือนลุกเป็นไฟถึงจะพอใจใช่หรือไม่”
หญิงสาวทั้งสองมองตากันปริบๆ หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วเวลาสั้นๆ ชิวหวาซึ่งเป็นคนขวานผ่าซากก็เก็บความในใจไว้ไม่อยู่ ชิงเอ่ยขึ้นก่อน
“ท่านแม่ทัพ พวกเราไม่ชอบขี้หน้าเขาเลย! บุรุษไร้ค่าที่เติบโตขึ้นมาอย่างสุขสบายบนกองเงินกองทอง มีบริวารห้อมล้อมเอาใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ท่านไม่รังเกียจเขานับว่าเป็นบุญกุศลที่เขาสั่งสมมาสามชาติ! เขากลับรังเกียจท่านก่อน เสียทีที่ท่านดีต่อเขาขนาดนั้น ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ! คนบัดซบไม่มีน้ำยาและไร้ยางอายพรรค์นี้สุ่มสี่สุ่มห้าเลือกหมาแมวสักตัวจากสามเหล่าทัพของเราล้วนเหนือกว่าเขาทั้งสิ้น!”
ชิวสุ่ยพูดเสริม
“อย่างเช่นกุนซือหูยังดีกว่าเขาเป็นหมื่นเท่า ทั้งยังเคารพเชื่อฟังท่าน หากท่านให้เขาแต่งท่านเป็นภรรยา เขาจะต้องไม่ปริปากสักคำก็…”
“เจ้าจิ้งจอก?” เยี่ยเจานึกขันในวาจาไร้สาระของพวกนาง “อย่าพูดจาส่งเดช เขาจะต้องไม่ปริปากสักคำก็ปาดคอก่อนแล้วกระโดดน้ำตายทีหลัง พวกเจ้ายังเด็ก มีเรื่องราวในอดีตมากมายที่ไม่รู้…”
ในครั้งนั้นบิดาของหูชิงเป็นอาจารย์อยู่ในสกุลเยี่ย ส่วนหูชิงเป็นเด็กรับใช้ซึ่งติดตามพี่ชายคนรองของนาง ฟังอาจารย์สอนอยู่ข้างห้องเรียน
เยี่ยเจาเรียนหนังสือได้ย่ำแย่ พี่ชายคนรองก็มิได้ดีไปกว่านางเท่าไร ส่วนหูชิงที่อายุน้อยกลับฉลาดหลักแหลม เป็นเด็กดีรู้ความ ได้รับฉายาว่าเป็นเด็กอัจฉริยะมาแต่ไหนแต่ไร คนในสกุลเยี่ยเอ่ยถึงเขาไม่มีคนใดไม่กล่าวชม ครั้นมองดูเด็กไม่เอาไหนสองคนของตระกูลตัวเองก็อดทุบกำปั้นกับฝ่ามือตนพลางทอดถอนใจมิได้ มักยกคนทั้งสามมาเปรียบเทียบกันเสมอ อย่างเช่น ‘ดูหูชิงสิ แล้วดูเจ้าสิ’ ไม่ก็ ‘เด็กเหลือขอเช่นเจ้าสองคนรวมกันแล้วรู้ความได้ครึ่งหนึ่งของหูชิง ข้าคงอายุยืนอีกสิบปี’
เยี่ยเจามีนิสัยถือตนเป็นใหญ่ ไหนเลยจะรับฟังคำพูดเหล่านี้ นางพาสหายเกเรมากลั่นแกล้งหูชิงหนักมือยิ่งกว่าเดิม หาข้ออ้างสั่งสอนเขาแทบจะวันเว้นวัน ทำเอาบนตัวเขามีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำๆ ตามจุดที่มองไม่เห็นจากภายนอก เพียงเพื่อขับไล่พวกเขาพ่อลูกไป
หูชิงทำเพื่อบิดา ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ สะกดกลั้นไม่พูดออกมา แต่ในใจกลับเกลียดชังเยี่ยเจาเข้ากระดูกดำ อยากเติบโตโดยไวเพื่อไปสอบรับราชการ ได้เป็นขุนน้ำขุนนางหวนคืนสู่บ้านเกิดอย่างมีหน้ามีตา แล้วค่อยหาโอกาสชำระแค้นกับนางอย่างสาสม
ต่อมา…
ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่มไม่มีเรื่องราวต่อมา วันนั้นเปลวเพลิงปะทุขึ้นทั้งสี่ทิศของโม่เป่ย เสียงเข่นฆ่าสังหารดังก้องนภา บ้านเรือนถูกทำลาย บิดามารดาของทั้งคู่ตายอย่างอนาถในระหว่างการฆ่าล้างเมือง เมื่อประสบกับความแค้นใหญ่หลวงที่แผ่นดินถูกรุกราน บุญคุณความแค้นในวัยเยาว์ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง
คนทั้งสองร่วมมือกันต่อต้านหมานจิน ความสัมพันธ์จึงเริ่มดีขึ้น
หูชิงยังคงชอบยียวนกวนโทสะนางเล็กๆ น้อยๆ อยู่เป็นนิจ นับว่าเป็นการแก้แค้นเรื่องเมื่อครั้งอดีต
“เจ้าจิ้งจอกกับข้าเป็นพี่น้องกัน เขาอายุมากขนาดนั้นยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาก็น่าสงสารพอแล้ว พวกเจ้าก็อย่าทำลายชื่อเสียงเขาอีกเลย เขาจะยิ่งหาภรรยาไม่ได้ใหญ่ หากมิใช่เขายืนกรานว่าไม่อยากได้สตรีแข็งกระด้าง ข้าคงยกพวกเจ้าสองพี่น้องให้เขาไปแล้วเป็นแน่!” เยี่ยเจาชะงักครู่หนึ่งแล้วพูดดุ “ขืนพวกเจ้าก่อความวุ่นวายอีก ข้าจะให้ชิวเหล่าหู่พาพวกเจ้ากลับไปอยู่บ้านเพื่อตั้งใจปักเสื้อคลุมเจ้าสาว รอการสอบรับราชการฤดูใบไม้ผลิจบสิ้น ข้าจะเป็นธุระเลือกบัณฑิตที่อ่อนแอปวกเปียกที่สุดมาสองคนแล้วให้พวกเจ้าออกเรือนซะ!”
ชิวหวากับชิวสุ่ยเห็นท่านแม่ทัพบันดาลโทสะก็ตกใจจนหน้าซีด ส่ายหน้าเป็นพัลวัน
เยี่ยเจาเอ่ยเสียงเย็นเยียบ
“ถึงซย่าอวี้จิ่นจะไม่ดีปานใดก็เป็นหนานผิงจวิ้นอ๋อง เป็นหลานแท้ๆ ที่ได้รับความโปรดปรานจากพระพันปี ทั้งยังเป็นเจ้าถิ่นในเมืองหลวง หากเขาตั้งใจจะเล่นงานพวกเจ้าจริงๆ ย่อมมีวิธีการเป็นสิบเอามาใช้ได้อย่างสบายๆ ตอนนี้เป็นเพราะเขาจิตใจดี ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงสองคน พวกเจ้าก็อย่าเอาความอดทนข่มกลั้นของเขามาเป็นข้อได้เปรียบ เหยียบจมูกเขาตามชอบใจ”
ชิวสุ่ยขยับปากขมุบขมิบ ยังอยากออกหน้าพูดแทนหูชิงอีก แต่ครั้นแลเห็นดวงตาเยี่ยเจาทอประกายวาวโรจน์ นางก็รีบกลืนคำพูดทั้งหมดกลับลงคอไป
เยี่ยเจาก้มหน้าลง กล่าวเตือนพวกนางด้วยสุ้มเสียงขึงขังและเนิบช้าที่สุด
“แต่ไรมาข้าเยี่ยเจามิเคยทำศึกที่ไร้ความหมาย ไม่โจมตีเมืองที่ไร้ประโยชน์ ในเมื่อข้าเลือกเขาแล้วก็แสดงว่าเขามีสิ่งที่ข้าต้องครอบครองให้ได้ ส่วนเขาจะเป็นคนอย่างไร ดีหรือไม่ดี เหมาะหรือไม่เหมาะ ข้ามีคำตอบอยู่ในใจ ยังต้องให้พวกเจ้ามาตัดสินด้วยรึ”
ชิวหวากับชิวสุ่ยยืนตัวตรง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ
เยี่ยเจากล่าวปิดท้าย
“เรื่องในวันนี้ข้าจะละเว้นให้สักครั้ง วันหน้าอย่าให้เกิดซ้ำสอง”
มาตรว่าผู้ตรวจการนครหลวงจะเป็นตำแหน่งเล็กๆ กระนั้นยังมีลูกน้องถึงร้อยกว่าคน
เหล่าหยางโถว ผู้รับผิดชอบงานอักษรได้ข่าวว่าจะมีผู้ตรวจการนครหลวงคนใหม่มารับตำแหน่ง เขาก็ใช้เวลาตลอดคืน ตะลีตะลานจัดเรียงบันทึกทั้งหมดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่พอได้ยินว่าผู้ตรวจการคนใหม่คือหนานผิงจวิ้นอ๋อง เขานิ่งอึ้งไปครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็ใช้เวลาสิบคืนจัดเรียงและคัดลอกบันทึกบางส่วนอีกชุด ทำงานหามรุ่งหามค่ำจนผ่ายผอมลงไปเป็นกอง
พอซย่าอวี้จิ่นมาถึงกองตระเวนตรวจพร้อมความขุ่นเคืองเต็มอก เขาขานชื่อและทำความรู้จักกับลูกน้องจนครบทุกคน พบว่าส่วนใหญ่เป็นคนที่เห็นหน้าค่าตากันตามถนนมาก่อนจึงผูกมิตรกันได้อย่างง่ายดาย กระทั่งเหล่าหยางโถวนำบันทึกต่างๆ มาส่งให้ เขาเก็บแต่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลตรวจตราและวางกำลังป้องกันเมืองเอาไว้ แล้วเอารายชื่ออันธพาลนักเลงเจ้าถิ่นซึ่งถูกหมายหัวและคดีความต่างๆ วางลง โบกมือไปมาพลางพูดอย่างไม่มีพิธีรีตอง
“ไม่ต้องดูแล้ว เจ้าสารเลวพวกนี้มีคนใดบ้างที่ข้าไม่รู้จัก”
เหล่าหยางโถวพลันบังเกิดอารมณ์ชั่วแล่นอยากร่ำไห้
หากรู้เช่นนี้แต่แรก ไยเขาต้องใช้เวลามากมายลบชื่อของหนานผิงจวิ้นอ๋องในบันทึกออกด้วย
ซย่าอวี้จิ่นรับตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการนครหลวงคนใหม่ก็ออกไปเดินเล่นเป็นอันดับแรกโดยให้ลูกน้องพาตัวเองไปทำความคุ้นเคยกับงาน
ขณะที่ซย่าอวี้จิ่นขี่ม้าเชื่องๆ ตัวหนึ่งเหยาะย่างนำหน้า ฝูงนักเลงอันธพาลก็กำลังชุลมุนวุ่นวายกันด้วยความตื่นเต้น ต่างชักชวนสมัครพรรคพวกรวมตัวกันมาเป็นกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่ วิ่งออกมาร่วมวงนั่งดูอยู่ในหอน้ำชาโรงสุรา บ้างดื่มสุรา บ้างดื่มชา บ้างแทะเมล็ดแตง ชี้ไม้ชี้มือไปที่ซย่าอวี้จิ่นซึ่งสวมชุดขุนนางใหม่เอี่ยมพร้อมซุบซิบนินทา
ทุกคนคิดถึงพฤติกรรมของเขาในกาลก่อนแล้วเอาแต่พูดว่า…
“ใช้แมวเฝ้าปลาย่าง ขุนนางเป็นโจรเสียเอง”
ซย่าอวี้จิ่นชี้ตัวคนสองสามคนที่หัวเราะมากกว่าใครในนั้นแล้วสั่งการกับเจ้าหน้าที่
“เจ้าคนที่ใส่ชุดสีน้ำเงินกินอาหารในหอเมฆาเมามัวแล้วไม่จ่ายเงิน เจ้าอ้วนที่มีไฝอยู่ตรงคางมีส่วนรู้เห็นในคดีทำร้ายร่างกายเมื่อห้าวันก่อน ส่วนเจ้าคนที่ผอมเหมือนวานรนั่นพัวพันคดีต้มตุ๋น พาตัวกลับไปให้ข้าไต่สวนทั้งหมด”
คุณชายเสเพลทั้งหลายล้วนมีชนักติดหลังกันไม่มากก็น้อย พอเห็นซย่าอวี้จิ่นซึ่งอับอายจนพาลโกรธกำลังจะระบายโทสะแบบไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้นก็รีบหุบปาก กลั้นหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
หลังจากเห็นทุกคนสงบเสงี่ยมแล้ว ซย่าอวี้จิ่นขี่ม้าวนไปตามถนนเรื่อยๆ รอบหนึ่ง บอกเตือนคนที่รู้จักมักคุ้นกันว่าวันหลังพวกเขาจะทำเรื่องชั่วร้ายอะไรก็ทำให้สะอาดหมดจดสักหน่อย อย่าให้เขาเสียหน้า แล้วก็อย่าให้เรื่องราวใหญ่โตจนรู้กันไปทั่ว
คนพวกนั้นแต่ละคนพากันแสดงอาการพินอบพิเทาเกินกว่าเหตุ พูดยิ้มๆ ว่ารับทราบและจะไม่ทำอะไรให้เดือดร้อนถึงหนานผิงจวิ้นอ๋องเด็ดขาด
ขณะที่ผ่านหอดอกซิ่งเป็นยามเที่ยงตรงพอดี ได้กลิ่นหอมหวนของสุราอาหาร พาให้ท้องร้องจ๊อกๆ
ซย่าอวี้จิ่นปีนลงจากหลังม้าแล้วทิ้งมันไว้กับเสี่ยวเอ้อร์ที่เข้ามาต้อนรับ เขาพาพวกเจ้าหน้าที่กับข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ตามมาพร้อมตนยี่สิบกว่าคนเข้าไปกินอาหาร
เดิมทีเขาเป็นคนรูปงาม เป็นที่ชื่นชอบของใครต่อใคร ทั้งยังมีนิสัยไม่ถือเนื้อถือตัว ส่วนคนอื่นก็มีเจตนาจะประจบสอพลออยู่แล้ว หลังจากร่วมดื่มกันไม่กี่จอกทุกคนก็สนิทสนมและเข้ากันได้เป็นอย่างดี ราวกับเป็นสหายสนิทที่รู้จักกันมานานนับสิบปี
ดื่มไปๆ ซย่าอวี้จิ่นตาไว เห็นร่างในชุดสีเขียวสาวเท้าเอื่อยๆ เข้ามา สั่งสุราหนึ่งกาและกับแกล้มสองจาน จากนั้นก็เดินปลีกตัวไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างติดกับถนนตรงมุมร้าน รินสุราดื่มอย่างสำราญใจตามลำพัง
เขาสั่งกำชับลูกน้องคำหนึ่งก่อนจะเดินรี่เข้าไปตบบ่าคนผู้นั้นเบาๆ แล้วกล่าวยิ้มๆ
“หูชิงเพื่อนยาก หลายวันนี้ท่านยุ่งจนหัวไม่วางหางไม่เว้นเลยหรือ เหตุใดสหายจะเลี้ยงสุราก็ไม่เห็นท่านปรากฏตัวขึ้นเลย”
หูชิงได้ยินเสียง มองดูจอกสุราในมือเงียบๆ และลอบสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง
ยามเขาเงยหน้าขึ้น ประกายเหยียดหยันในดวงตายาวรีทั้งคู่ก็เลือนหายไป แทนที่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ท่านแม่ทัพมอบหมายภารกิจให้ข้ามากมาย ข้ายุ่งเสียจนกระทั่งยามนอนก็ข่มตาหลับมิได้”
“แม่เสือคนนั้นช่างถนัดการใช้งานคนจริงๆ ดูสีหน้าท่านอิดโรยซะ…เฮ้อ…”
ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกเห็นใจคนตรงหน้าที่ถูกภรรยาเขากดขี่ตามประสาคนหัวอกเดียวกัน ดึงตัวเถ้าแก่มาบอกให้ยกสุราฮวาเตียวเหลืองที่ดีที่สุดสองกากับหูหมูพะโล้ครึ่งชั่งมาให้ ก่อนจะนั่งลงพูดปลอบ
“ด้วยความสามารถของท่าน หากเข้าร่วมการสอบรับราชการฤดูใบไม้ผลิ จะสอบผ่านเป็นบัณฑิตจวี่เหรินหรือบัณฑิตเอกจิ้นซื่อก็ไม่เป็นปัญหา ไยต้องลำบากไปเป็นกุนซือเล็กๆ ด้วย มันออกจะกล้ำกลืนฝืนทนเกินไป”
หูชิงกล่าวเรียบๆ
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”
ซย่าอวี้จิ่นถาม
“ท่านรู้จักกับภรรยาข้าได้อย่างไร”
หูชิงนิ่งคิดแล้วเอ่ย
“ท่านพ่อข้าเป็นอาจารย์อยู่ในสกุลเยี่ย ข้ารู้จักกับนางตั้งแต่เยาว์วัย”
ซย่าอวี้จิ่นพูดยิ้มๆ
“ฮ่า นางบอกว่าตัวเองตอนเด็กๆ มิใช่ดุร้ายธรรมดา”
หูชิงพยักหน้า
“หาใช่แค่ดุร้าย แทบจะเป็นคนสารเลวคนหนึ่งเลยทีเดียว ตั้งแต่เล็กก็สวมใส่อาภรณ์บุรุษ วางอำนาจบาตรใหญ่ เกะกะระรานไปทั่ว เห็นคนไหนขัดหูขัดตาก็รังแกทุบตีตามอำเภอใจ เรื่องชั่วร้ายอะไรล้วนเข้าไปมีเอี่ยวด้วย ท่านแม่ทัพเยี่ยจงเกลียดชังพฤติกรรมของนางแทบตายที่ก่อเหตุทะเลาะต่อยตีแทบไม่เว้นแต่ละวัน ทุกครึ่งเดือนต้องมีเสียงตะโกนจะขับไล่นางออกจากตระกูลสักครั้ง”
ซย่าอวี้จิ่นถามอย่างสนใจใคร่รู้
“ชาวโม่เป่ยไม่รู้เลยหรือว่านางเป็นสตรี?”
หูชิงมองเขาด้วยหางตาแวบหนึ่งอย่างเอือมระอา
“ท่านเห็นว่าการได้ชื่อว่ามีลูกชายเกกมะเหรกคนหนึ่งหรือมีลูกสาวเกกมะเหรกคนหนึ่งในตระกูล อย่างไหนดีกว่า”
ล้วนอับอายขายหน้าพอกัน ย่อมต้องเลือกที่ขายหน้าน้อยกว่าเป็นธรรมดา
สกุลเยี่ยทนความเหลือขอของเยี่ยเจาไม่ไหว แต่ก็ไม่อาจตากหน้ายอมรับว่านางเป็นบุตรสาว จำต้องออกคำสั่งปิดปากคนในบ้าน
เยี่ยเจามีเรือนร่างสูงโปร่ง วรยุทธ์สูงส่ง การพูดจาวางตัวดุดันห่ามห้าวยิ่งกว่าบุรุษ หากบอกว่านางเป็นสตรีก็ไม่ต่างจากการชี้ไปที่พยัคฆ์ตัวหนึ่งแล้วดันทุรังบอกว่าเป็นแพะ คงไม่มีใครเชื่อสักนิด นานวันเข้าชาวโม่เป่ยจึงนึกว่าสกุลเยี่ยมีบุตรชายสามคน
ซย่าอวี้จิ่นเข้าใจถึงความเป็นมาเป็นไปของเรื่องนี้
“ในเมื่อท่านไม่ชอบขี้หน้านาง ไยต้องฝืนใจทำงานให้นางด้วย”
“ไม่ชอบขี้หน้า? บางทีกระมัง”
หูชิงดูเหม่อลอยอยู่บ้าง เขาหวนนึกถึงคืนนั้นเมื่อหกปีก่อนขึ้นมาอีกโดยไม่รู้ตัวและจมอยู่ในภวังค์อดีตที่เป็นดั่งฝันร้ายที่ไม่อาจตื่นขึ้นได้ตลอดชีวิต
พระเพลิงโหมแรงรายล้อมรอบกาย กลิ่นเหม็นคาวลอยอวลติดปลายจมูก
เมืองยงกวนของโม่เป่ยแตกแล้ว สกุลเยี่ยตกเป็นเป้าหมายแรกในการตามล่าฆ่าล้างตระกูล ฮูหยิน พวกอนุภรรยา และบ่าวไพร่ไม่มีคนใดเคราะห์ดีหนีรอดไปได้
กลางคฤหาสน์ที่มีเปลวไฟลุกโชนสู่ท้องฟ้า บิดาพาเขาไปซ่อนตัวอยู่ในตะกร้าใส่ของในห้องเก็บฟืนแล้วเอาเศษฟางคลุมทับด้านบนอีกชั้นพร้อมกำชับเขา
‘มีชีวิตรอดไปให้ได้’ เขาเห็นบิดายังไม่ทันวิ่งออกจากประตูหน้าก็ถูกทหารของหมานจินเงื้อดาบฟันศีรษะขาดในฉับเดียวต่อหน้าต่อตาอย่างสบายมือและถูกเอาไปเตะเล่นเป็นลูกหนัง พวกมันยังเอะอะโวยวายว่าลูกหนังของใครกลมกว่ากันหรือใครเตะได้ไกลกว่ากัน
โลหิตสีแดงฉานซึ่งไหลมาตามพื้นศิลาเขียวอย่างเชื่องช้าซึมผ่านตะกร้าหวาย ถูกชายเสื้อเขาจนเปียกแฉะ ยังหลงเหลือไออุ่นอยู่
ร่างของบิดาซึ่งหลังงองุ้มด้วยวัยชรานอนสงบนิ่งหลับใหลชั่วนิรันดร์
บิดาจะไม่ท่องตำราทั้งสี่คัมภีร์ทั้งห้า . ด้วยเสียงระคายหูในยามดึกกล่อมเขาเข้านอนอีกต่อไปแล้ว
เสียงสรวลเสเฮฮาของเหล่าสัตว์เดรัจฉาน เสียงกรีดร้องอย่างเสียสติของสตรีที่ถูกขืนใจ และเสียงคำรามด้วยความกราดเกรี้ยวของบุรุษดังกระทบโสตประสาท
เสียงด่าทอว่า ‘ไอ้ชาติชั่ว’ อย่างบ้าคลั่งนั่นเป็นเสียงของเสี่ยวหม่าที่แต่ไรมาเป็นคนขี้ขลาดตาขาวกระมัง
เสียงร้องไห้กระซิกอ้อนวอนนั่นเป็นของพี่หงซิ่วที่ใจดีเอายามาให้ในเวลาที่เขาได้รับบาดเจ็บกระมัง
เสี่ยวเหมา ลูกชายของป้าหลิวแม่ครัวลอยมากลางอากาศแล้วตกลงบนพื้นกลิ้งไปสองตลบ ร่างถูกดาบคมกริบแทงทะลุนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงเช่นกัน เด็กน้อยไม่ต้องแอบมาหาเขาให้สอนอ่านหนังสือและฝันอยากเป็นซิ่วไฉอีกแล้วกระมัง
ยังมีผู้ใดอีก ยังมีผู้ใดรอดชีวิตไปได้
เขาแตกตื่นลนลานจนขาดสติ
หลังจากตัวสั่นเทิ้มอย่างสะพรึงกลัวถึงขีดสุด รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงัด ครั้นล่วงเข้าสู่ราตรีกาล ทหารของหมานจินถือคบไฟค้นหาไปทั่ว บอกว่าจะตามหาเด็กชาติสุนัขของสกุลเยี่ย
การค้นหาอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมส่งผลให้ไม่มีปลาตัวใดหลุดรอดจากแหไปได้
‘ตรงนี้ยังมีไอ้ลูกสุนัขอีกตัว! ซ่อนเก่งจริงๆ ทำเอาข้าหาแทบตาย’
ทหารของหมานจินที่จับเขาได้ทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ดึงคอเสื้อเขาลากตัวออกมาจากตะกร้าหวายหิ้วไว้ในมือ จากนั้นมันมองเห็นตัวเองถูกฟันกลางลำตัวจนขาดเป็นสองท่อนอย่างงงงวย ก่อนจะล้มถลาลงกับพื้นพร้อมเขา
บนพื้นมีโลหิตไหลนองเต็มไปหมด หูชิงแหงนหน้าขึ้น
ท่ามกลางความงุนงง เขามองเห็นเทพนักรบผู้เหี้ยมหาญน่าเกรงขามยืนอยู่กลางประกายเพลิงเจิดจ้าบาดตาปานดอกบัวแดง
เรือนผมยาวรุ่ยร่ายปลิวสะบัดกลางสายลมหนาวเหน็บยามดึก ทั่วร่างถูกอาบย้อมไปด้วยโลหิต ดวงตาสีอ่อนใสดุจลูกแก้วแดงฉานจากการเข่นฆ่าศัตรู นางถือกระบี่ที่มีเลือดไหลหยดลงมาอยู่ในมือขวา ขณะที่ยื่นมือซ้ายมาหาเขา
เขานั่งอยู่บนพื้น ขยับเขยื้อนเคลื่อนกายมิได้ชั่วขณะ
‘ไปกัน’ นางพูด ‘ไปกับข้า’
สุ้มเสียงเด็ดเดี่ยวปลุกขวัญนั้นทำให้เขาลุกขึ้นยืนได้และเดินตัวสั่นงันงกตามนางไป
ทั้งคู่มาถึงข้างกำแพงหลังห้องเก็บฟืน ตรงนั้นมีโพรงลับเล็กๆ ที่นางใช้แอบหนียามถูกกักตัว
หลังจากออกมาแล้วนางสังหารทหารของหมานจินตายไปสองคน อาศัยความชำนาญเส้นทางของเจ้าถิ่นเดินทะลุผ่านบ้านเรือนอีกสองหลัง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เล็ดลอดหูตาชาวหมานจินซึ่งวางกำลังปิดล้อมไว้ หลบหนีเข้าไปในป่าเขาวิหคนอกเมืองเป็นผลสำเร็จ
เขาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมาทั้งคืน เหนื่อยหอบจนหายใจไม่ทัน สองเท้าคล้ายถูกถ่วงด้วยของหนักนับพันชั่ง ก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป
‘พักสักครู่เถอะ’ นางหยุดฝีเท้าลงยืนอยู่ตรงไหล่เขา แลมองไปทางเชิงเขาพลางพูดเสียงเบา ‘ไฟไหม้ในเมืองยงกวนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ’
พระพายคละเคล้าไอร้อนพัดโชยกิ่งไม้เสียดสีกันเป็นท่วงทำนองโหยไห้อาลัยชวนให้วังเวงใจ
เสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังยังคงดังก้องวนเวียนอยู่ข้างหู
คนทั้งสองที่เคยจงเกลียดจงชังกันยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เฝ้ามองอย่างเงียบงัน ดูเปลวไฟโหมแรงสาดแสงสีแดงเจิดจรัสทาทาบเป็นวงใหญ่เหนือม่านรัตติกาลมืดมิด กลืนกินบ้านเกิดของตนอย่างเหี้ยมโหด
พวกพ้องในคฤหาสน์สกุลเยี่ย สหายร่วมเรียนในสำนักศึกษานิ่งคำนึง สุรารสเลิศของร้านสุราหอมหมื่นลี้ หญิงงามที่ถนนตะวันตก วัตถุโบราณของหอจันทร์เสี้ยว ดอกเหมยที่เรือนหมื่นกาล…มีเพียงยามสูญเสียไปแล้วจึงตระหนักถึงความงดงามของทุกสิ่งได้อย่างลึกซึ้ง
เขาฝันอยากสวมชุดขุนนางกลับสู่บ้านเกิด กตัญญูบิดา
ทว่าบ้านเกิดอยู่ที่ใด บิดาอยู่ที่ใด
เขากลับไปมิได้แล้ว กลับไปมิได้อีกต่อไปแล้ว
อากาศสดชื่นชำแรกเข้าสู่ปอดพาให้ความหวาดกลัวมลายหายไปและแทนที่ด้วยความปวดร้าวทรมานใจเจียนขาด สุดท้ายหยาดน้ำตาก็ไหลพรากลงมาหยดแล้วหยดเล่า หนุ่มแรกรุ่นวัยสิบหกกอดเข่าร่ำไห้สุดเสียง
เยี่ยเจานั่งอยู่ข้างกายเขาเงียบๆ ตลอดราตรี นางไม่พูดจา ไม่หลั่งน้ำตา เพียงมองกระบี่ในมือ ครุ่นคิดอะไรอยู่ก็สุดรู้
บรรยากาศหม่นหมองด้วยความโศกเศร้าอาดูร ยามอรุณรุ่งเบิกฟ้า นางเอ่ยปากขึ้นในที่สุด
‘ตั้งแต่เด็กข้าก็หลงใหลในการฝึกยุทธ์ แต่ท่านพ่อบอกว่าข้าเป็นสตรี แม้จะแกร่งกล้าปานใด ภายภาคหน้าก็ต้องถูกขังอยู่ในเรือนล้อมรอบด้วยกำแพงสี่ด้านกับผืนฟ้าด้านบน แม้จะร่ำเรียนวิชายุทธ์ได้เก่งกาจปานใด นอกจากจะเป็นที่รังเกียจรังงอนของตระกูลสามีแล้วไร้ประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น’
หูชิงเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างตะลึงลาน
สุ้มเสียงของเยี่ยเจาราบเรียบ ราวกับเล่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
‘ข้าทะนงตนว่ามีพรสวรรค์เหนือบุรุษ ทั้งยังเรียนรู้ได้ดีกว่าและมีความมานะบากบั่นมากกว่า หากต้องลงเอยเช่นนั้นจะให้ข้าทำใจยอมรับได้อย่างไร ข้าจึงโกรธแค้นท่านพ่อ ชิงชังโซ่ตรวนที่มาพร้อมความเป็นหญิง เกลียดทุกสิ่งของสกุลเยี่ยและโม่เป่ย ทุกวันพาสหายเกเรไปก่อเรื่องก่อราว ทะเลาะต่อยตี พอได้รับการยอมรับนับถือจากพวกนักเลงใหญ่ก็ใช้กำลังทำร้ายชาวบ้านตามแต่ความพอใจชั่วครู่ชั่วยาม ถึงขั้นขโมยตราแม่ทัพของท่านพ่อ ปลอมแปลงสารนำกำลังทหารไปสู้รบอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเพราะอยากกวนโทสะเขา อยากพิสูจน์ว่าตัวเองเก่งกล้ากว่าบุรุษ…ข้านึกว่าทำเช่นนี้แล้วก็จะหลุดพ้นจากพันธนาการและได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระสักที’
มีเพียงความเจ็บปวดแทบขาดใจเท่านั้นถึงจะทำให้เด็กที่อ่อนต่อโลกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน
เยี่ยเจาลูบตัวอักษรคำว่า ‘เจา’ ที่สลักอยู่บนกระบี่ พูดเสียงแผ่ว
‘ตอนที่ข้ารีบรุดกลับไปคฤหาสน์สกุลเยี่ย ท่านแม่ยังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย ท่านมอบกระบี่ที่ท่านพ่อหวงแหนที่สุดให้ข้า และบอกว่าข้าเป็นลูกสาวที่ท่านพ่อภาคภูมิใจและห่วงใยมากที่สุด คนสกุลเยี่ยจบชีวิตในสนามรบมากพอแล้ว ดังนั้นท่านพ่อไม่อยากให้ข้าเข้าสู่สนามรบโดยเอาชีวิตเข้าแลกอย่างพี่ชาย หากแต่ได้ออกเรือนมีความสุขที่เรียบง่ายเฉกเช่นสตรีทั่วไป’
ท่านแม่บอกว่าอย่าแก้แค้น ให้รีบหนีไปทางตะวันตก
ทิศตะวันตกของเมืองยงกวนคือหมู่บ้านเหมิงฉีซึ่งพวกหมานจินยังรุกรานไปไม่ถึง ฉวยโอกาสยามฟ้าสาง เป็นเวลาที่ผู้คนระมัดระวังตัวน้อยที่สุดรีบหนีโดยไว
เปลวเพลิงโหมแรงในเมืองยงกวนค่อยๆ ดับมอดลง
บ้านเกิดถูกเผาผลาญเกือบสิ้น มีคนรอดชีวิตไม่มาก หลงเหลือเพียงความเคียดแค้นชิงชัง
ท่านพ่อ ข้าขอโทษ
คำสั่งเสียของท่านข้าไม่อาจปฏิบัติตามได้ในตอนนี้
เยี่ยเจายืนเหยียดหลังตรง มองบ้านเกิดที่ถูกทำลายและเอ่ยขึ้นอย่างแน่วแน่สุดจะเปรียบ
‘โม่เป่ยเป็นบ้านข้า ในตัวข้ามีเลือดสกุลเยี่ยไหลเวียนอยู่ ข้าเกะกะระรานอยู่ที่นี่หลายปี เคยทำความชั่วที่ไม่อาจอภัยให้ได้มากมาย บัดนี้โม่เป่ยประสบกับเภทภัยครั้งใหญ่หลวง ข้าจะทอดทิ้งชาวโม่เป่ยไว้แล้วจากไปเช่นนี้ได้อย่างไร’
นางหยิบกระบี่ของบิดา ชูตราแม่ทัพขึ้น รวบรวมกำลังทหารที่เหลืออยู่เตรียมตะลุยเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง
นางตัดสินใจแล้วว่าจะไถ่บาปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ขอชดเชยความผิดที่เคยทำไว้ด้วยโลหิต
เยี่ยเจาเดินไปทางทิศบูรพา ดาวประกายพรึกส่องแสงระยิบระยับอยู่ที่ขอบฟ้า สวยงามกระจ่างตา
หูชิงเช็ดน้ำตาจนแห้งแล้วไล่กวดตามฝีเท้านาง ตะโกนถาม
‘นี่! เจ้าคนป่าเถื่อนเรียนหนังสือไม่ได้ความ เจ้าต้องการกุนซือหรือไม่!’
ขณะที่ซย่าอวี้จิ่นฟังหูชิงเล่าเรื่องราวในอดีต เขารู้สึกอยู่ไม่วายว่าสีหน้าของอีกฝ่ายแปลกๆ ดูคล้ายเปี่ยมไปด้วยความรักและความศรัทธาต่อภรรยาตน
“นี่…ท่านกับแม่เสือนั่นคงมิได้…”
หูชิงส่ายศีรษะ สีหน้าหม่นหมอง
“นางมีศักดิ์ฐานะใด ข้ามีศักดิ์ฐานะใด ร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายปีอย่างนั้น ตอนนี้นางอยู่ดีมีสุข ข้าก็ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้แล้ว ท่านอย่าได้เข้าใจผิดเด็ดขาด ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างข้ากับนางทั้งสิ้น เรื่องในวันนี้ก็ถือเสียว่าข้าไม่เคยพูด แค่พลั้งวาจาไปเพราะความเมาเถอะ”
บอกออกมาเป็นนัยแล้วชัดๆ
ซย่าอวี้จิ่นตะโกนก้องอยู่ในใจ นึกถึงตอนที่พบหูชิงขึ้นมาได้ เวลานั้นอีกฝ่ายมีสีหน้าท้อแท้ ก้มหน้าก้มตาดื่มสุราเงียบๆ จากนั้นพูดว่าสตรีที่ตัวเองหลงรักออกเรือนไปกับไอ้หนุ่มสารเลวคนหนึ่งซึ่งเป็นไปได้มากว่าจะหมายถึงเขา
น่าสรรเสริญที่หูชิงยังนับพี่นับน้อง ร่วมวงสุราพูดคุยกับเขาได้ คงเพราะอยากรู้ว่าหญิงในดวงใจอยู่ดีมีสุขหรือไม่กระมัง
ถึงอย่างไรทั้งคู่ก็ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน อยู่ใกล้ชิดกันทั้งเช้าทั้งเย็นในสนามรบ จะก่อเกิดความรักขึ้นในใจก็สมควรอยู่
แม่ทัพคู่กุนซือหรือแม่ทัพคู่คุณชายเสเพล ขอแค่เป็นคนที่ยังพอมีสติปัญญาอยู่บ้างล้วนรู้ว่าคู่ไหนสมกันมากกว่า
ให้ตายสิ! เสด็จลุงของเขาเป็นหัวโจกอันธพาลที่ไร้ความเป็นคนจริงๆ
เพื่อแย่งสินเดิมเจ้าสาวของแม่ทัพใหญ่ ถึงกับเจตนาพรากคู่นกเป็ดน้ำ จับคู่รักหนุ่มสาวที่สมกันดั่งกิ่งทองใบหยกแยกออกจากกัน บังคับให้นางแต่งงานกับลูกหลานเสเพลในตระกูลตนจนกุนซือได้แต่แอบเจ็บช้ำน้ำใจ อาศัยสุราดับทุกข์เลียบาดแผลทุกเมื่อเชื่อวัน อีกทั้งเป็นตัวการทำให้ลูกหลานตัวเองต้องอยู่อย่างว้าวุ่นเป็นทุกข์ สับสนหลงทางภายใต้อุ้งมือของแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งกร้าว
ซย่าอวี้จิ่นตบไหล่หูชิงเบาๆ อย่างสะทกสะท้อนใจ ไม่รู้ว่าสมควรปลอบใจอย่างไรดี
แม้จะกระทำเรื่องไม่ดีมามาก ทว่าเขาถือตัวเกินกว่าจะไปแย่งชิงของรักของผู้อื่นพรรค์นี้ จนปัญญาที่หูชิงมิได้แซ่ซย่า ทั้งยังฉลาดเกินไป รักดีเกินไป ถึงได้ไม่อยู่ในสายตาของหัวโจกอันธพาล เหนืออื่นใด เขาปกป้องเยี่ยเจาจากอันตรายมิได้ ส่งผลให้คนรักกันไม่อาจลงเอยด้วยความสุขสมหวัง ส่วนเขาเป็นคนเลวที่แทรกอยู่ตรงกลางอย่างทรมานใจ
หูชิงเห็นท่าทางของซย่าอวี้จิ่นก็กล่าวทอดถอนใจ
“ชีวิตดุจละคร แต่ละคนไม่อาจแสดงบทบาทที่ตัวเองต้องการได้เสมอไป”
ซย่าอวี้จิ่นรีบให้กำลังใจ
“อย่างน้อยก็ต้องดิ้นรนต่อสู้”
“การแข่งขันยังไม่เริ่มต้นก็จบสิ้นแล้ว”
“จะล้มเลิกความตั้งใจโดยง่ายมิได้!”
หูชิงมองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาแปลกๆ
“ท่านไม่อยากให้ข้าล้มเลิกความตั้งใจเรื่องใดกัน”
ซย่าอวี้จิ่นตระหนักได้ในที่สุดว่าตัวเองกำลังดิ้นรนอยากถูกสวมเขา ให้กำลังใจคนอื่นแย่งภรรยาตัวเอง เขาจะกระทำเกินไปสักหน่อยหรือไม่
หูชิงเห็นสีหน้าเขาประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวซีด ดูไปแล้วคล้ายกับกระต่ายที่กระเสือกกระสนลนลานก็จวนเจียนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ กระนั้นด้วยอุปนิสัยของคนเช่นเขา เมื่อมีโอกาสสร้างความปั่นป่วนให้อีกฝ่ายก็จะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด
กุนซือหนุ่มเบือนหน้าถอนหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่งได้อย่างแนบเนียนไปกับสถานการณ์ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วให้ผู้ดูแลร้านเทสุราใส่ในขวดน้ำเต้า เดินตุปัดตุเป๋ออกทางประตูหน้า เห็นเพียงแผ่นหลังที่จากไปอย่างหงอยเหงา
ซย่าอวี้จิ่นนั่งเหม่อลอยอยู่พักใหญ่ ทางหนึ่งรู้สึกว่าการพรากคู่นกเป็ดน้ำเป็นเรื่องไม่สมควรยิ่งนัก ทางหนึ่งรู้สึกว่าภรรยาตนชอบพอกับคนอื่นทำให้เสียหน้ามากเช่นกัน ทางหนึ่งรู้สึกว่าเพื่อหูชิงแล้วสมควรทำดีต่อเยี่ยเจาบ้าง ทางหนึ่งรู้สึกว่าเพื่อหูชิงแล้วตนไม่สมควรดีต่อเยี่ยเจาเกินไป จะได้ไม่เป็นการทำลายความรักระหว่างทั้งคู่
เขาคิดไปคิดมา สุดท้ายรู้สึกหงุดหงิดมาก แต่จะพูดระบายออกมาก็ไม่สะดวกใจ เขาจึงดื่มสุราเพิ่มอีกสองจอกโดยไม่รู้ตัว
สุราฮวาเตียวเหลืองจะเมาช้าแต่ออกฤทธิ์หนักหน่วง เมื่อเริ่มเวียนศีรษะเล็กน้อย ซย่าอวี้จิ่นก็เรียกผู้ติดตามมาสั่งกำชับเสียงอ้อแอ้
“กลับ! เตรียมเกี้ยวกลับวัง!”
เจ้าหน้าที่กับข้าราชการชั้นผู้น้อยหน้าเสีย พากันส่งเสียงเรียก
“จวิ้นอ๋อง อีกประเดี๋ยวต้องไปตรอกหกประสาน…”
ซย่าอวี้จิ่นสะบัดมือพลางพูดอย่างใจกว้าง
“ตรอกหกประสาน? ฮะ เจ้าพวกมากตัณหา คิดถึงแม่นางแห่งหอบุปผาเมามายอีกแล้วล่ะสิ”
เหล่าผู้ติดตามใกล้จะร่ำไห้อยู่รอมร่อ
“จวิ้นอ๋อง ไปออกตรวจตราต่างหาก…”
ซย่าอวี้จิ่นโบกไม้โบกมือตัดบท
“วันนี้ข้าไม่มีอารมณ์จะดื่มเหล้าเคล้านารี วันหลังค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
เขาสาวเท้าเดินโซเซไปทางวังอันอ๋อง
เหล่าผู้ติดตามไล่ตามหลังมาพลางร่ำไห้ออกมาจริงๆ
“จวิ้นอ๋อง ผิดทาง…”
ซย่าอวี้จิ่นนึกขึ้นได้ว่าตัวเองแยกเรือนแล้วก็เปลี่ยนทางเดินไปยังวังหนานผิงจวิ้นอ๋อง
เหล่าผู้ติดตามมองตาค้างอ้าปากหวอ เห็นเขากำลังจะเดินห่างไปไกลแล้วก็แทบจะกระโจนเข้าไปดึงขาเขาไว้ประหนึ่งเสือหิวขย้ำเหยื่อ ร้องโอดครวญเป็นเสียงเดียวกัน
“จวิ้นอ๋อง ท่านยังต้องออกตรวจตราต่อนะขอรับ! จะละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่มิได้ เป็นความผิดร้ายแรง!” ผู้ติดตามทั้งหลายรู้ซึ้งถึงนิสัยของผู้เป็นนายดี หวั่นใจแต่เพียงว่าตนจะพลอยเดือดร้อนถูกลงโทษไปด้วยจึงรีบพูดเสริมทันที “ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่จะถูกโบยหรือตัดหัว! ท่านก็เห็นแล้วว่าพักก่อนท่านแม่ทัพน่ากลัวขนาดไหนขอรับ!”
ซย่าอวิ้จิ่นสองจิตสองใจครู่หนึ่ง
“อย่ากล่าวเหลวไหล” เหล่าหยางโถวเป็นคนซื่อสัตย์ เห็นทุกคนพูดจาเลยเถิดก็รีบตัดบท บอกกฎระเบียบของกองตระเวนตรวจให้ทราบโดยไม่แยแสสายตาของพวกผู้ติดตามที่ส่งมาให้ พูดประจบประแจงอย่างพินอบพิเทาเกินกว่าเหตุ “เมาสุราในเวลาเข้าเวร แม้ไม่ต้องถูกโบยหรือตัดหัวก็ต้องถูกขุนนางฝ่ายฎีกาฟ้องร้อง ลดตำแหน่งตัดเบี้ยหวัดขอรับ”
“ดีเลย! วิเศษมาก!” ซย่าอวี้จิ่นได้ฟังแล้วยินดียกใหญ่ ป่าวประกาศอย่างใจกล้าด้วยความเมา “ผู้ใดมีหนทางกราบทูลจักรพรรดิให้ปลดข้าออกจากตำแหน่ง ข้าจะให้เงินคนผู้นั้นหนึ่งร้อยตำลึงไปซื้อสุราดื่ม”
มีผู้บังคับบัญชาเช่นนี้คนหนึ่งชวนให้กระอักโลหิต ทว่ามีผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้กลุ่มหนึ่งก็ชวนให้ปลื้มใจ
ทุกคนตัดสินใจเลิกพูดกับเขาด้วยเหตุผล บ้างพยุง บ้างประคอง ช่วยกันคนละไม้คนละมือเอาตัวจวิ้นอ๋องขึ้นไปนั่งตัวตรงบนหลังม้าให้ได้และออกตรวจตราต่อให้เสร็จ ภาวนาว่าถนนสายที่เหลืออยู่จะไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น จวิ้นอ๋องจะได้ไม่กล่าววาจาน่าตกใจใดๆ อีก
จนปัญญาที่ฟ้าไม่เป็นใจ ขณะเดินไปถึงถนนตะวันออกมีเสียงร้องไห้ดังแว่วมาระลอกหนึ่ง
บุรุษวัยกลางคนสามสี่คนกับหญิงผู้หนึ่งพาเด็กชายหน้าตาซูบซีดมาเอะอะโวยวายอยู่หน้าประตูเรือนยาคุ้มสงบ เงื้อง่าไม้คานตั้งท่าจะสู้กับลูกจ้างของร้านอยู่รอมร่อ
พลตรวจตราทั้งหลายเห็นสถานการณ์ไม่เข้าที คิดจะพาจวิ้นอ๋องอ้อมไปอีกทาง
“เกิดเรื่องใดขึ้น”
ซย่าอวี้จิ่นได้ยินเสียงร้องไห้ก็คึกคักขึ้นมาในบัดดล กระโดดลงจากหลังม้าอย่างร่าเริงจนแทบจะหัวปักพื้น วิ่งซวนเซเข้าไปโดยมีกลิ่นสุราคลุ้งทั่วกาย เขาถกแขนเสื้อขึ้น เอามือปัดชุดขุนนางที่เปื้อนคราบน้ำมันสองดวง จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงประหนึ่งกำลังร้องละคร
“จงเล่าความมาให้หมด เทพแห่งความยุติธรรมจะตัดสินให้พวกเจ้าเอง”
รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงัด ทุกคนตาค้างไปตามๆ กัน
ซย่าอวี้จิ่นเดินเข้าไปด้านใน คว้าไม้เคาะในร้านขึ้นมาใช้เป็นค้อนทุบลงบนโต๊ะอย่างแรงเสมือนอยู่ในที่ว่าการศาล แล้วนั่งยกขาไขว่ห้างตะคอกขึ้น
“รีบพูดมา!”
สตรีผู้นั้นปัญญาไว เห็นว่าแม้ชุดขุนนางบนตัวเขาจะมีลักษณะแปลกตา ทว่าแพรพรรณที่ใช้กลับไม่คล้ายเป็นของปลอม ใบหน้าที่งามดั่งบุปผาเนียนดุจเนื้อหยก ดูแล้วมีสง่าราศียิ่ง คาดเดาได้ว่าเขาคงมีศักดิ์ฐานะไม่สามัญ นางจึงตัดสินใจถลาเข้าไปคุกเข่า เอ่ยขึ้นทันใด
“ข้ามีนามว่าจางหวงซื่อ ขอคารวะท่านเทพแห่งความยุติธรรม โปรดตัดสินความให้ด้วยเจ้าค่ะ”
ซย่าอวี้จิ่นฟังแล้วยินดียกใหญ่
“ฟังเจ้าพูดก็รู้ว่าเป็นคนดี”
เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบจำหน้าซย่าอวี้จิ่นได้ ทว่าไม่เคยเห็นชุดขุนนางแปลกประหลาดอย่างนั้น พอได้ยินเขาพูดจาเลอะเทอะก็ร้อนใจเป็นการใหญ่ รีบเข้ามาพูด
“จวิ้นอ๋อง ท่านเมาแล้ว เรื่องนี้มอบหมายให้กองตระเวนตรวจจัดการจะดีกว่ากระมัง อีกประเดี๋ยวข้าค่อยเลี้ยงสุราท่านสักจอก แล้วให้หญิงคณิกาที่งามที่สุดมาดื่มเป็นเพื่อนนะขอรับ”
ซย่าอวี้จิ่นฟังแล้วเดือดดาลหนัก
“ฟังเจ้าพูดก็รู้ว่าเป็นคนถ่อย!”
เหล่าหยางโถวเห็นว่าเรื่องชักจะวุ่นวายไปกันใหญ่ก็กระแอมไอดังๆ สองเสียงอยู่ด้านหลัง ประกาศขึ้นเหมือนจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์
“ท่านผู้นี้คือผู้ตรวจการนครหลวงคนใหม่”
ทุกคนส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ นอกจากจางหวงซื่อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้ว คนอื่นพากันแหงนหน้ามองฟ้าแล้วรู้สึกว่ามันมืดมนลงหลายส่วน
เรื่องราวง่ายดายมาก เจ้าทุกข์ที่สร้างความวุ่นวายขึ้นแซ่จาง มีนามว่าจางต้าเป่า อาศัยอยู่ในหมู่บ้านสกุลจางใกล้กับเมืองหลวง เมื่อเดือนก่อนบุตรชายเขาจางซานหลางล้มป่วย เขาจึงพามาให้หมอประจำเรือนยาคุ้มสงบดูอาการ ซื้อยาไปสิบกว่าเทียบ ทว่าหลังจากเอากลับไปกินแล้วอาการทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว เมื่อวานกลางดึกทั้งสำรอกทั้งอาเจียน จะหมดลมอยู่รอมร่อ
จางต้าเป่าปักใจเชื่อว่าเป็นเพราะหมอประจำเรือนยาคุ้มสงบไร้ฝีมือรักษาโรคผิด เขาจึงพาบุตรชาย ภรรยา และพี่น้องสามสี่คนมาดักรอหน้าประตูเพื่อขอคำอธิบาย ทว่าหมอประจำเรือนยาคุ้มสงบกล่าวอ้างว่าใบสั่งยากับสมุนไพรของตนไม่มีปัญหา เป็นจางซานหลางเองที่ป่วยหนักจนหมดทางเยียวยา อีกทั้งสกุลจางดูแลไม่ดี เป็นเหตุให้อาการทรุดลง ขณะที่เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบคิดว่าอีกฝ่ายจงใจหาเรื่อง พาบุตรชายที่ใกล้จะหมดลมแล้วคนหนึ่งมาขู่กรรโชกเงินทองถึงหน้าประตู
จางหวงซื่อปาดน้ำตาออก กล่าวสะอึกสะอื้น
“แม้ข้าจะโฉดเขลาก็รู้ว่าเสือร้ายไม่กินลูกตัวเอง ในระยะสิบลี้รอบหมู่บ้านสกุลจางล้วนรู้ว่าซานหลางเป็นลูกที่ข้ารักมากที่สุด ไฉนจะใช้เขาขู่กรรโชกเงิน ข้าเพียงหวังว่าลูกชายจะสามารถหายดีได้ หากไม่หายข้าก็จะให้หมอไร้ฝีมือคนนี้ชดใช้ด้วยชีวิต”
“เหลวไหล!” เหล่าหยางโถวตะคอก “ต่อให้หมอไร้ฝีมือรักษาคนตายก็เพียงรับโทษตามกฎหมายด้วยการจ่ายเงินให้อีกฝ่ายเท่านั้น มีเหตุผลถึงขั้นชดใช้ด้วยชีวิตที่ไหนกัน”
จางต้าเป่าถามเสียงอ่อย
“จะชดใช้เท่าไรขอรับ”
จางหวงซื่อตบหน้าเขาอย่างแรงฉาดหนึ่งแล้วก่นด่า
“ภูตผีตนใดสิงใจเจ้ารึ! ลูกข้ายังไม่ตายนะ!”
จางต้าเป่าขอบตาแดงเรื่อ เอ่ยอย่างร้อนรน
“อย่ามาทำไขสือหน่อยเลย! บ้านเรามีสภาพอย่างไรก็มิใช่ว่าเจ้าไม่รู้! หลายปีมานี้แห้งแล้ง เก็บเกี่ยวพืชผลได้น้อย ต้องอดมื้อกินมื้อ แล้วสองเดือนที่ผ่านมานี้ยังต้องพาซานหลางไปหาหมอจนในเรือนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ตอนนี้ท่านหมอก็พูดว่าเขาไม่รอดแล้ว เจ้าข้าหิวตายก็ช่างเถอะ จะอย่างไรก็ต้องคิดถึงต้าหลาง เอ้อร์หลาง และนิวนิวบ้าง!”
คนอื่นยังไม่ทันเปิดปากพูดอะไร สองสามีภรรยาก็มีปากมีเสียงกันแล้ว ทำให้พี่น้องหลายคนที่อยู่รอบๆ เข้าไปห้ามทัพเป็นพัลวัน
เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบเดินไปที่ข้างกายซย่าอวี้จิ่น โคลงศีรษะพลางเอ่ย
“ท่านดูสิ ข้าก็บอกแล้วว่าผียาจกสองคนนี้อยากกรรโชกเงิน”
หมอประจำเรือนยาคุ้มสงบยังพูดอ้าง
“เรื่องการรักษาโรคไหนเลยจะมั่นใจได้ว่าต้องหายดีแน่นอน ลูกชายเขาป่วยหนักอยู่แต่แรก กินยาแล้วไม่หายก็เป็นชะตาฟ้าลิขิต”
เดิมทีซย่าอวี้จิ่นรู้สึกมึนศีรษะอยู่บ้าง ครั้นเจอพวกเขาโต้เถียงกันไปมาก็ยิ่งวิงเวียนมากขึ้น เขาเดินออกนอกประตูแล้วเข้าไปใกล้เด็กน้อย ประคองใบหน้าเล็กที่ซูบซีดด้วยอาการป่วยพลิกดูซ้ายทีขวาที ซ้ำยังจับชีพจรด้วย
เหล่าหยางโถวตามออกมา ถามอย่างประจบประแจง
“จวิ้นอ๋องรู้วิชาแพทย์ด้วยหรือขอรับ”
ซย่าอวี้จิ่นถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง กล่าวเสียงขุ่น
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
ไม่รู้ยังจะแสร้งวางท่า?
เหล่าหยางโถวพูดเยาะในใจแล้วเอ่ยถึงธรรมเนียมเดิมที่ใช้คลี่คลายเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเป็นการชี้แนะเขา
“แต่ก่อนหากมีเรื่องเช่นนี้ล้วนให้หมอจากร้านอื่นมาดูใบสั่งยา เพื่อยืนยันให้แน่ชัดว่าคนป่วยจนรักษาไม่ได้แล้วจริงหรือไม่ หากเป็นความเข้าใจผิดก็เกลี้ยกล่อมให้ประนีประนอมกัน หากเป็นคนป่วยที่มีเจตนาใส่ร้ายก็ลงโทษด้วยการโบย แต่ถ้าเป็นความผิดของผู้รักษาก็ชดใช้เงินขอรับ”
เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบถือเงินตำลึงเล็กๆ หลายก้อนอยู่ในมือ หมายจะพึ่งพาเส้นสายตามธรรมเนียมเดิมเช่นกัน ทว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือหนานผิงจวิ้นอ๋อง เป็นน้องชายของอันอ๋องซึ่งดูแลพ่อค้าราชสำนักและเป็นสามีของผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้า ไม่ว่าเขาจะขาดคุณธรรมหรือขาดความยั้งคิด สิ่งที่ไม่ขาดก็คือเงินทอง หากคิดจะใช้เงินซื้อตัวเขาหรือลูกน้องที่เขาจับจ้องอยู่ต่อหน้าธารกำนัล แทบจะรนหาที่ให้ตัวเองขายหน้าเลยทีเดียว
เมื่อไม่อาจติดสินบน เรื่องนี้คงได้แต่สะสางกันไปอย่างยุติธรรม
“ไปเรียกหมอร้านอื่นมาสิ” ซย่าอวี้จิ่นตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอีก “เอามาหลายๆ คนเลย เรือนยาคุ้มสงบเป็นร้านยาใหญ่ของเมืองหลวง ผู้ใดจะรู้ว่าจะลำเอียงเข้าข้างช่วยกันปกปิดความผิดหรือไม่”
กองตระเวนตรวจได้รับคำสั่งก็ไปพาหมอมาสี่ห้าคน เมื่อดูใบสั่งยาของเด็กน้อยแล้ว แต่ละคนล้วนพยักหน้าบอกว่าไม่ผิด เป็นใบสั่งยาที่ดี
หมอประจำเรือนยาคุ้มสงบฟังแล้วลำพองใจอย่างมาก วางท่าสะบัดแขนเสื้อ
“ข้าเป็นหมอมาสามสิบปี จะตรวจอาการผิดได้อย่างไร”
จางต้าเป่าฟังแล้วแสนจะผิดหวัง ส่วนจางหวงซื่อร่ำไห้จนเสียงแหบแห้ง
หมอที่มีอายุน้อยกว่าใครในกลุ่มเห็นแล้วอดรนทนไม่ไหว ร้องท้วงขึ้น
“ในเมื่อใบสั่งยาไม่มีปัญหา จะเป็นที่สมุนไพรหรือไม่”
จางหวงซื่อได้ยินก็ลุกลน หยิบห่อผ้าเล็กๆ ที่มีบางอย่างเป็นก้อนสีดำออกมาแล้วพูดเสียงดัง
“ข้าเอากากยาที่เหลืออยู่ติดตัวมาด้วย ท่านโปรดดูผ่านตา”
ซย่าอวี้จิ่นรีบกระถดตัวถอยหลัง
“ข้าไม่รู้วิชาแพทย์สักหน่อย จะให้ดูผ่านตาอะไร นี่! พวกเจ้าอย่ามัวแต่ดูยา ไปดูเด็กก่อนสิว่ายังรักษาได้หรือไม่”
พวกหมอดูกากยาเสร็จก็ถกเถียงกันอื้ออึง บ้างพูดว่าไม่มีอะไรไม่เหมาะสม บ้างพูดว่าแปลกประหลาดเล็กน้อย มีบางคนพูดว่าเด็กยังรักษาได้ มีบางคนพูดว่ารักษาไม่ได้ สุดท้ายก็พาดพิงไปถึงฝีมือการรักษา ทุ่มเถียงกันหน้าดำหน้าแดงอย่างไม่มีใครยอมใคร
หมอประจำเรือนยาคุ้มสงบแผดเสียงขึ้น
“โวยวายอะไรกันนักหนา กากยานี่จะมีปัญหาใดได้ ต่อให้เมิ่งซิ่งเต๋อมาเองก็กล่าววาจามิได้แม้แต่ครึ่งคำ!”
“เมิ่งซิ่งเต๋อ? เป็นความคิดที่ดี” สติของซย่าอวี้จิ่นแจ่มใสขึ้นบ้างในที่สุด เขาตบไหล่เหล่าหยางโถวเบาๆ “ไปสำนักแพทย์หลวง เอาตัวตาเฒ่าเมิ่งมาที่นี่!”
เหล่าหยางโถวหน้าซีดเผือด ละล้าละลังไม่ก้าวขาสักที
เมิ่งซิ่งเต๋อเป็นหมออันดับหนึ่งของแคว้นต้าฉินซึ่งทำงานรับใช้อยู่ในวังหลวง เขาเป็นคนหยิ่งทะนง ถือเนื้อถือตัวอย่างที่สุด นอกจากเชื้อพระวงศ์แล้วไม่แยแสผู้ใดทั้งสิ้น ชาวบ้านทั่วไปอยากพบก็ไม่แน่ว่าจะได้พบ นับประสาอะไรกับการให้เขารักษาอาการป่วยของเด็กยากจนคนหนึ่งที่นี่เพื่อไต่สวนคดี
ซย่าอวี้จิ่นพูดอย่างฉุนเฉียว
“ข้าเรียกให้เจ้าไปก็ไปสิ!”
“แต่…แพทย์หลวง…”
ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่างปรามาส
“ก็แค่แพทย์หลวงคนหนึ่ง มิได้นับว่าเป็นคนใหญ่คนโตอะไร ข้าเรียกเขามา เขาก็ต้องมา!”
ถึงแพทย์หลวงในสายตาคนอื่นจะสูงส่งปานใดก็เป็นเพียงข้ารับใช้ที่รักษาอาการป่วยไข้ให้ราชสกุลซย่าโดยเฉพาะเท่านั้น หลานแท้ๆ ที่พระพันปีรักเอ็นดูที่สุดจะเรียกใช้มีอะไรต้องพะวักพะวนด้วย
เหล่าหยางโถวตระหนักขึ้นมาได้กะทันหันว่าเมื่อซย่าอวี้จิ่นมารับตำแหน่งนี้ ฐานะขุนนางฝ่ายบุ๋นของตนก็ขยับเลื่อนขึ้นเสมือนน้ำขึ้นเรือย่อมลอยสูงตาม กลายเป็นตำแหน่งที่จะใช้ขั้นขุนนางเป็นมาตรวัดมิได้แล้ว เขาก็อดลิงโลดใจมิได้
“จวิ้นอ๋องบอกว่าเป็นแค่แพทย์หลวงคนหนึ่งก็เป็นแค่แพทย์หลวงคนหนึ่ง รีบไปเชิญมาเร็วเข้า!”
ไม่ถึงชั่วครู่ใหญ่เมิ่งซิ่งเต๋อก็สะพายหีบยาพร้อมพาแพทย์หลวงติดตามมาด้วยสามสี่คน สั่งคนหามเกี้ยวให้เร่งฝีเท้าพุ่งทะยานมาถึงอย่างรวดเร็วราวกับเหาะได้ เขาไม่แยแสคำพูดประจบประแจงของหมอคนอื่น ผลักทุกคนออกแล้วเข้าไปพูดกับซย่าอวี้จิ่นอย่างพินอบพิเทา
“ร่างกายของท่านไม่ดี ต้องดื่มสุราให้น้อยลงนะขอรับ”
จางหวงซื่อถึงกับตาค้างเมื่อเห็นหมอผู้เลื่องชื่อลือนามไปทั้งแคว้นต้าฉินมาดูอาการให้บุตรชายตน ส่วนจางต้าเป่าคลำๆ ที่ถุงใส่เงินโดยไม่รู้ตัว ในนั้นดูคล้ายยังมีเงินอยู่อีกสามสี่อีแปะ
ซย่าอวี้จิ่นสั่งงานเมิ่งซิ่งเต๋อเรียบร้อยแล้วก็กำชับกับเหล่าหยางโถวสองสามคำ
“ใบสั่งยาบกพร่องเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วยังตรงกับอาการ” เมิ่งซิ่งเต๋อดูไปพลางส่ายหน้าถอนหายใจไปพลาง “เด็กร่างกายอ่อนแอ หมาหวง* ในใบสั่งยามากไปสองส่วน ผลการรักษาอาจด้อยไปบ้าง แต่ไม่น่าจะถึงขั้นทนรับไม่ไหว เป็นไปได้ว่าเด็กจะตากลมในระหว่างที่รักษาตัวจนถูกความเย็น ส่งผลให้อาการทรุดหนักลง”
จางหวงซื่อสบถสาบาน
“หากข้าปล่อยให้ลูกชายถูกความเย็นก็ขอให้โดนฟ้าผ่ามิได้ตายดี!”
ซย่าอวี้จิ่นขยับเข้าไปเอ่ยถาม
“ยังรักษาได้หรือไม่”
เมิ่งซิ่งเต๋อฝังเข็มให้เด็กหลายเข็ม
“ใช้โสมประคองลมหายใจไว้ก่อน ข้าจะสั่งยาให้แล้วพักฟื้นให้ดี น่าจะยังช่วยได้ขอรับ”
ข้อเสียประการใหญ่ที่สุดของแพทย์หลวงคือสนใจแต่การรักษา ไม่สนใจว่าต้องเสียเงินเท่าไร สมุนไพรในใบสั่งยาที่กินแล้วกระฉับกระเฉงมีพลังปานหงส์ร่อนมังกรรำจึงมีราคาที่ทำให้คนที่ยังมิได้เจ็บป่วยตกใจจนล้มป่วยได้ทันตา
จางต้าเป่าทรุดลงนั่งแปะกับพื้น หอบหายใจหนักหน่วง ส่วนจางหวงซื่อยังฟังไม่เข้าใจก็คาดคั้นสามี โวยวายสะอึกสะอื้นจะช่วยเหลือบุตรชายให้ได้ จางต้าเป่าจึงบันดาลโทสะ ตบหน้านางฉาดหนึ่ง
“จับเจ้ากับลูกสาวมัดแล้วเอาไปขายในซ่องนางโลมพร้อมกันยังซื้อยาสักเทียบไม่ได้เลย!” เขาอ้อนวอนเมิ่งซิ่งเต๋อ “ท่านหมอเทวดา เปลี่ยนเป็นยาที่ราคาถูกสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”
เมิ่งซิ่งเต๋อเป็นผู้ฝักใฝ่ในศาสตร์การแพทย์ที่สมบูรณ์ไร้ข้อติติง ด้วยเหตุนี้จึงเผยสีหน้าดูแคลนพวกผียาจก ยืนกรานไม่เปลี่ยนใบสั่งยาให้
ซย่าอวี้จิ่นแคะเล็บเล่นอย่างเบื่อหน่ายพลางสั่งการ
“ในเมื่อเรือนยาคุ้มสงบมีฝีมือไม่ดีพอ รักษาไม่หายก็ต้องรับผิดชอบ แพทย์หลวงเมิ่งให้เกียรติมาเยือนและสอนให้พวกเขาได้รู้จักตำรับยาดีๆ ฉะนั้นสมุนไพรในตำรับนี้ถือเสียว่าเป็นค่าเล่าเรียน ย่อมต้องให้พวกเขาจ่ายเป็นธรรมดา ไม่เช่นนั้นข้าจะตรวจค้นที่นี่ตั้งแต่หน้าร้านจรดท้ายร้านสักรอบ ดูว่ามีที่ใดบ้างที่ไม่สุจริต จะได้หาลำไพ่พิเศษให้ทุกคนดื่มชากัน”
พลตรวจตราล้วนเป็นพวกมือหนัก ให้พวกเขารื้อค้นในร้านคงทำกันจนเละเทะกระจัดกระจายไปหมด นับว่าสร้างความปั่นป่วนให้ผู้ดูแลร้านได้
เดิมทีไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าหลังจากเมิ่งซิ่งเต๋อมา เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบซึ่งมีสีหน้าบูดบึ้งน้อยๆ มาโดยตลอดได้ยินผู้ตรวจการนครหลวงเอ่ยปากขึ้นในเวลานี้ก็ลังเลครู่หนึ่ง แล้วรีบเอ่ยขึ้นอย่างพินอบพิเทาเกินกว่าเหตุ
“ถูกต้องขอรับ การช่วยชีวิตคนป่วยและคนใกล้ตายเป็นหน้าที่ที่ผู้เป็นหมอพึงกระทำ เรื่องนี้ก็ขอให้จบลงเพียงเท่านี้ พวกเราจะออกเงินให้เองขอรับ”
ซย่าอวี้จิ่นได้ยินอีกฝ่ายตอบตกลงอย่างง่ายดายก็ฉีกยิ้มกว้าง ขยับเข้าไปใกล้พินิจดูใบหน้าอวบอ้วนซ้ายทีขวาทีพักใหญ่ ก่อนจะแสร้งถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ใครๆ ล้วนพูดว่าเจ้าเป็นคนขี้งกที่ไม่ยอมควักเงินสักอีแปะเดียวและใจไม้ไส้ระกำที่สุด คนจนมาหาหมอถึงหน้าประตูล้วนถูกไล่ตีออกไป ไฉนวันนี้ถึงใจกว้างเช่นนี้ เจ้าร้อนตัวอะไรอยู่ใช่หรือไม่”
เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบคั่งแค้นจนอยากกัดเขาสักคำ กระนั้นยังคงเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“นี่มิใช่เป็นการให้เกียรติท่านหรอกหรือขอรับ”
“เช่นนั้นหรือ” ซย่าอวี้จิ่นพลันแสยะยิ้มออกมา “เจ้าให้เกียรติข้าหรือยาปลอมที่เจ้าขายกัน นับแต่บิดาเจ้าจากไปเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีกลาย เจ้าก็สืบทอดกิจการเรือนยาคุ้มสงบต่อ แต่ไม่ว่าดื่มสุรา เที่ยวหอคณิกา หรือเล่นพนันล้วนไม่มีเรื่องใดที่ไม่กระทำ ทุกครั้งที่ข้าไปดื่มเหล้าเคล้านารีเป็นต้องพบเห็นเจ้าเสมอ ได้ยินว่าเจ้ายังติดเงินลูกพี่ใหญ่ก้อนหนึ่ง เลยคิดอุบายสกปรกทำยาปลอมขึ้นมาโดยเฉพาะแล้วผสมอยู่ในยาจริงที่มีราคาแพงเพื่อใช้หลอกเอาเงินคน แม้จะทำให้คนตายไปหลายคนแต่ก็ได้พี่สาวเจ้าที่เป็นอนุภรรยาของเจ้าเมืองนครหลวงช่วยทำให้เรื่องเงียบหายไปกระมัง”
เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบพร่ำร้องว่าตนถูกใส่ความ
ซย่าอวี้จิ่นแค่นเสียงเยาะ ดีดนิ้วส่งสัญญาณเข้าไปในร้าน
เมื่อครู่เมิ่งซิ่งเต๋อตรวจอาการคนป่วยอยู่ด้านนอก ดึงดูดความสนใจของคนทั้งหมดเอาไว้ ส่วนพลตรวจตราสองสามคนกับแพทย์หลวงที่เขาพามาได้รับคำสั่งแต่แรกให้ลอบเข้าไปด้านในเงียบๆ และควบคุมตัวผู้รับใช้ในร้าน
พวกเขารื้อค้นตู้ยาจนทั่ว จากนั้นก็หอบสมุนไพรออกมากองใหญ่แล้วเทลงบนพื้นอย่างแรง ในนั้นมีทั้งโสม เห็ดหลินจือ นอแรดหั่นเป็นแผ่น ดูแล้วไม่ต่างจากยาทั่วไป หากแต่เมื่อหยิบขึ้นมาพินิจให้ละเอียดกลับมีของปลอมที่คนทั่วไปดูไม่ออกผสมปนเปอยู่ด้วย ทุกคนส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ขึ้นอีกคำรบหนึ่ง
เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบหน้าถอดสีไปถนัดตา สายตาที่มองซย่าอวี้จิ่นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ซย่าอวี้จิ่นทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ถีบยอดอกอีกฝ่ายทีหนึ่งอย่างแรงด้วยท่าทางองอาจตามอย่างภรรยาตนทันที เขาเซถอยหลังสองก้าวจนยืนทรงตัวได้แล้วก็พูดขึ้นอย่างฉุนเฉียว
“ข้าบอกแล้วว่าเขามิใช่พวกคนดีมีสำนึก ยังไม่รีบจับกุมตัวโจรสุนัขชั่วช้าสามานย์ผู้นี้อีกรึ”
เหล่าพลตรวจตราเร่งรีบเข้าไปจับเถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบที่เข่าอ่อนล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว
ซย่าอวี้จิ่นกล่าวอย่างเคร่งขรึมน่ายำเกรง
“โบยหนึ่งร้อยไม้ก่อนแล้วกุมตัวไปขังในคุกใหญ่ รอประหารหลังฤดูใบไม้ร่วง!”
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี เหล่าหยางโถวเข้าไปห้ามจวิ้นอ๋องที่กำลังให้คนหาของมาลงโทษโบยด้วยเสียงสั่นเครือ
“หยุดก่อนเถอะขอรับ ผู้ตรวจการนครหลวงไม่มีสิทธิ์ลงโทษ ต้องมอบให้ท่านเจ้าเมืองนครหลวงเป็นผู้จัดการ ท่านโบยเขามิได้…”
ซย่าอวี้จิ่นตวาด
“อาศัยอะไร ภรรยาข้าตัดหัวคนได้แต่ข้าทำไม่ได้ ไสหัวไปให้พ้น! วันนี้ข้าจะทุบตีเจ้าคนถ่อยนี่ให้ตายให้จงได้!”
เหล่าหยางโถวร้อง
“หยุดมือก่อน! ท่านตีผิดคนแล้ว นี่มันหัวข้าขอรับ!”
ทุกคนเสมองไปทางอื่น…จวิ้นอ๋องยังไม่สร่างเมากระมัง
มุมตรอกไม่ไกลจากเรือนยาคุ้มสงบมีเงาร่างสองสายยืนอยู่ในเงามืด ชมดูภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างสนใจครามครัน
ชิวเหล่าหู่ที่เกิดมาในครอบครัวยากจนอดกล่าวชมมิได้
“ท่านแม่ทัพ จวิ้นอ๋องยังมีดีพอตัว จิตใจก็ไม่เลว”
เยี่ยเจาตอบ
“เป็นธรรมดา”
“ดูท่านไม่เหนือความคาดหมายสักนิด หรือท่านรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนอย่างไร”
“พอจะรู้”
“จวิ้นอ๋องทำงานได้ดี ท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”
“ข้าไม่ได้เป็นห่วงเขา แค่ผ่านมาเท่านั้น”
“ดูเหมือนพวกเราจะไปกรมพิธีการหารือเรื่องคณะทูตตงซย่ามาเยือนในเดือนหน้ากระมัง แล้วที่ทำการของกรมพิธีการดูเหมือนอยู่ทางตะวันตก พวกเราอ้อมมาตั้งไกลอย่างนี้ ตอนนี้ยังอยู่ที่ถนนตะวันออกอีก ท่านแน่ใจนะว่าเป็นทางผ่านจริงๆ”
“ใช่”
“…”
ซย่าอวี้จิ่นเห็นแต่ไกลว่าแม่นางน้อยหลายคนชม้ายตาไปทางมุมตรอก นึกสงสัยว่าภรรยาสะกดรอยตามมาจึงปรี่เข้าไปมองหาด้วยท่าทางถมึงทึง กลับได้ยินเสียงลมพัดวูบผ่านไปแผ่วๆ
ในตรอกมืดมีชิวเหล่าหู่ยืนอยู่ลำพังคนเดียว ดวงตาดุดันของเขาเบิกโพลง
เขามองหลังคาแล้วมองกิ่งไม้ด้วยอาการลุกลี้ลุกลน พูดตะกุกตะกัก
“จะ…จวิ้นอ๋อง ข้าผ่านทางมา”
ซย่าอวี้จิ่นมองหาไปรอบๆ อย่างคลางแคลงใจ แต่ไม่พบวี่แววของเยี่ยเจา
ชิวเหล่าหู่พยายามวางท่าองอาจห้าวหาญเป็นธรรมชาติอย่างสุดความสามารถ เห็นกล้ามที่วงแขนเป็นมัด
ซย่าอวี้จิ่นมองใบหน้าดำคล้ำอัปลักษณ์พลางนึกชอบกลอยู่ในใจบ้าง
หรือสายตาของสตรีเมืองหลวงเปลี่ยนไป? มิน่าตั้งแต่เขาแต่งภรรยาแล้วดูเหมือนไม่เป็นที่นิยมชมชอบเช่นเมื่อก่อน