ทดลองอ่าน แม่ทัพอยู่บน ข้าอยู่ล่าง บทที่ 1 – บทที่ 11 – หน้า 9 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพอยู่บน ข้าอยู่ล่าง บทที่ 1 – บทที่ 11

บทที่ 9

เยี่ยเจาเป็นแม่ทัพหญิงเพียงหนึ่งเดียวในรอบร้อยปี บันดาลให้บรรดาสตรีเมืองหลวงหลงใหลบูชาแทบจะเข้าขั้นคลั่งไคล้

เมื่อแม่ทัพใหญ่ไม่อยู่แล้ว พวกนางล้วนจับจ้องมองไปที่สามีของท่านแม่ทัพเป็นตาเดียวกัน

ซย่าอวี้จิ่นถูกมองจนรู้สึกหนาวยะเยือกเป็นระลอก

“เมื่อครู่ภรรยาข้าอยู่หรือไม่”

ชิวเหล่าหู่คาดเดาความคิดของผู้เป็นนายแล้วสั่นศีรษะ

ซย่าอวี้จิ่นถามคนอื่น

“ไม่อยู่จริงๆ รึ”

แม่นางทั้งหลายเข้าใจความประสงค์ของเยี่ยเจาจากคำตอบของชิวเหล่าหู่ สั่นศีรษะเช่นกัน

ซย่าอวี้จิ่นฉุกคิดได้ว่าภรรยาตนเดินไปที่ใดล้วนมีสตรีทิ้งผ้าเช็ดหน้าทอดสะพานให้ตลอดทาง แม้แต่ในเวลานี้เขาไปเที่ยวเตร่ที่ใดที่มีสตรีเช่นหอคณิกาหรือเรือสำราญ บรรดาแม่เล้า หญิงคณิกา และนางขับร้องจะคอยพร่ำเตือนสั่งสอนเขา กระทั่งยายเฒ่ากวาดถนนยังบ่นว่าเขาสองคำว่า ‘ท่านรีบกลับไปเร็วๆ เถอะ อย่าทำให้ท่านแม่ทัพผิดหวังเสียใจเลยนะเจ้าคะ’ ทำให้เขาพลันรู้สึกสลดหดหู่สุดจะเปรียบ

เขาเมาสุราสามส่วนและทดท้อใจสามส่วน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ครั้นฤทธิ์สุราแผ่ซ่านขึ้นไปถึงศีรษะจนมึนงง เขาอดเอามือถูหน้ามิได้

ปลายจมูกแดงเรื่อขึ้น ดวงตาสุกใสฉ่ำปรือแฝงความจนใจหลายส่วนและเคว้งคว้างหลายส่วน ดูไปก็คล้ายกับกระต่ายบาดเจ็บ

เกิดเป็นบุรุษแท้ๆ ไยต้องมีใบหน้าสวยงามปานนี้ ยากจะโทษที่ท่านแม่ทัพตัดใจมิได้!

ชิวเหล่าหู่หวั่นใจแต่เพียงว่าหากอยู่ต่อไปจะยั้งปากตัวเองไม่อยู่ รีบพูดว่าจะไปกรมพิธีการ จากนั้นก็หมุนกายวิ่งออกไป

ซย่าอวี้จิ่นถามไปก็ไม่ได้ความใดอีกจึงคิดทบทวนไปมา ตัดสินใจให้คนอื่นสลดหดหู่ยิ่งกว่าเขา

หลังจากพวกพลตรวจตรามัดตัวเถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบกับพวกลูกจ้างไปส่งให้เจ้าเมืองนครหลวงแล้ว เขาก็วิ่งตามไปอย่างเริงร่าคึกคักราวกับเด็กน้อย ฉุดตัวเจ้าเมืองนครหลวงออกมาจากเรือนด้านหลัง กล่าวอ้างว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างยิ่ง จะต้องสะสางอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ส่วนเขาได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ทำให้จักรพรรดิต้องผิดหวังในตัวเอง ฉะนั้นตอนที่ตัดสินคดีจะมานั่งฟังอยู่ด้านข้างเพื่อเรียนรู้จากใต้เท้าทุกคนให้มากๆ

เจ้าเมืองนครหลวงเช็ดเหงื่อกาฬบนหน้าผากพลางกล่าวรับคำได้ไม่นาน เยี่ยเจาก็ส่งคนมาบอกเป็นนัยว่าระยะนี้ในเมืองหลวงมียาปลอมปรากฏขึ้นไม่ขาดสาย ซ้ำร้ายญาติห่างๆ ของนายทหารเล็กๆ คนหนึ่งยังตกเป็นผู้เคราะห์ร้าย ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอันมากจริงๆ

เจ้าเมืองนครหลวงกอดหมวกตำแหน่งบนศีรษะตนไว้ ใคร่ครวญอยู่ครึ่งเค่อ

ต่อให้อนุภรรยาคนงามของตนร่ำไห้น้ำตานองหน้าประหนึ่งบุปผาต้องหยาดฝนปานใดก็เปล่าประโยชน์

เขาลงมืออย่างเด็ดขาดฉับไว ส่งคนไปตรวจสอบร้านยาทั้งหมดประเดี๋ยวนั้นเลย จับกุมผู้กระทำผิดทั้งที่ลอบค้าและทำยาปลอมในลักษณะต่างๆ รวมได้สิบแปดคน วินิจฉัยคดีทันทีทันควัน ตัดสินโทษให้โบยผู้ที่เป็นตัวการใหญ่หกสิบที ตีตรวนสามวัน คุกเข่าประจานอยู่หน้าประตูร้าน และชดใช้เงินมากมาย ส่วนผู้ที่มีส่วนรู้เห็นถูกโบยสามสิบที ตีตรวนหนึ่งวัน

เมื่อถึงเวลาลงโทษ ซย่าอวี้จิ่นมาตามที่ลั่นวาจาไว้จริงๆ หลังจากโอภาปราศรัยกับเจ้าเมืองนครหลวงแล้วเขาก็ยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างๆ ผู้ที่กำลังจะถูกลงโทษ ยกมือเท้าคาง เบิกตากว้างมองดูอย่างตื่นเต้น ทั้งยังพูดออกความเห็นไม่หยุดปาก

“คราวก่อนข้ายังมิได้เห็นภรรยาข้าโบยคน คราวนี้ข้าจะพลาดโอกาสมิได้ ทุกคนตั้งใจโบยให้ดี ผู้ใดโบยดีมีรางวัลให้อย่างงาม ส่วนคนที่นอนคว่ำกับพื้นก็ต้องร้องเสียงดังๆ นะ อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง”

เหล่าหยางโถวทำหน้าละห้อย เอ่ยปรามขึ้น

“จวิ้นอ๋อง โบยดีก็ไม่มีการตกรางวัลนะขอรับ”

เจ้าเมืองนครหลวงกล่าวปรามด้วย

“จวิ้นอ๋อง ก่อความวุ่นวายเกินกว่าเหตุจะถูกฟ้องร้องได้นะขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นหันไปถามอย่างยินดีปรีดา

“ถูกฟ้องร้องแล้วถอดหมวกขุนนางได้หรือไม่”

อันว่าสุกรตายย่อมไม่กลัวถูกน้ำร้อนลวก

ทุกคนโมโหจนกล่าววาจาไม่ออกเพราะอันธพาลผู้นี้ เห็นทีการที่จักรพรรดิให้เขาทำงานก็คงผ่านการไตร่ตรองมาแล้วว่าเขาจะก่อความวุ่นวายขึ้นอย่างไร ฉะนั้นขอแค่ไม่เลยเถิดเกินไปก็ปล่อยไปตามใจเขาแล้วให้จักรพรรดิชำระความเอาเอง

เดิมทีพวกเจ้าหน้าที่ของที่ทำการได้รับค่าตอบแทนจากเถ้าแก่ร้านยาเหล่านี้เพื่อให้โบยเบามือหน่อย แต่ตอนนี้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ทั้งยังเอ่ยไปถึงเหตุการณ์โบยทหารในค่ายเมื่อคราวก่อนอีก จะอย่างไรหากโทษโบยหกสิบทีแบบเดียวกันได้ผลที่แตกต่างเกินไปคงไม่เข้าทีนัก พวกเขาจำต้องหักใจทิ้งเงิน สมควรโบยอย่างไรก็โบยไปตามนั้น โบยจนพ่อค้ายาสมุนไพรใจทรามที่ร่ำรวยอยู่ดีกินดีส่งเสียงโอดโอยดังลั่นไปหมด

หลังจากโบยเสร็จ ซย่าอวี้จิ่นลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจคราหนึ่ง เดินตามเจ้าหน้าที่ซึ่งตีตรวนนักโทษแล้วกุมตัวออกไป กล่าวปิดท้ายต่อหน้าฝูงชนที่มุงดูอยู่

“กลับไปรักษาบาดแผลให้ดี แผลของผู้ใดหายเร็วที่สุดก็พิสูจน์ได้ว่ายาของร้านนั้นมีสรรพคุณดีที่สุด นี่จะเป็นตัวชูโรงเรียกลูกค้าเชียวนะ วันหน้าทุกคนก็จะพากันไปอุดหนุน”

ชาวเมืองฟังแล้วกุมท้องหัวเราะเสียงดัง แต่ละคนตบมือพยักพเยิดเห็นด้วย

สีหน้าของพวกพ่อค้ายาสมุนไพรใจทรามซีดขาวราวกระดาษ

ความรู้สึกที่ได้ใช้ไม้โบยลงโทษคนเป็นครั้งแรกไม่ค่อยเหมือนกับการลอบดักตีคนเช่นแต่ก่อน พาให้อารมณ์ของซย่าอวี้จิ่นแช่มชื่นเบิกบานเหลือหลาย มิน่าภรรยาเขาถึงชมชอบโบยคนนัก เห็นทีคงด้วยเหตุผลเดียวกันนี้

ซย่าอวี้จิ่นคุยโม้โอ้อวดไปทั่วอย่างลำพองใจ กระทั่งกลางดึกยังคงนอนไม่หลับด้วยความตื่นเต้น ได้แต่ออกไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ ในเวลานี้เองเขามองเห็นเยี่ยเจาเสร็จงานกลับมา หวนนึกถึงเรื่องคราวก่อนจึงเดินเข้าไปหา ถามหยั่งเชิง

“เมื่อวันก่อนตอนบ่ายเจ้ากับชิวเหล่าหู่ผ่านไปทางถนนตะวันออกหรือไม่”

เยี่ยเจากล่าวอย่างสุขุม

“เปล่า”

ซย่าอวี้จิ่นถาม

“ตอนนั้นเจ้าอยู่ที่ใด”

เยี่ยเจาขมวดคิ้วพลางเอ่ย

“หลายวันนี้ข้าอยู่ที่กรมพิธีการหารือกับบรรดาใต้เท้าทุกท่านถึงงานด้านต่างๆ ที่ต้องทำตอนคณะทูตตงซย่ามาเยือนในเดือนหน้า กว่าจะตกลงกำหนดการได้มิใช่ง่ายดายเลย”

ซย่าอวี้จิ่นนิ่งคิดแล้วถามอีก

“เจ้ากลับมาดึกดื่นป่านนี้ทุกวันเลยหรือ”

“ตงซย่าเคยลอบสนับสนุนอาวุธกับม้าให้ชาวหมานจินไม่น้อย ถึงขั้นตีชิงตามไฟ รุกรานหน้าด่านทางตะวันตกของเราด้วยซ้ำ ตอนนี้พวกเขาขอเจรจาสงบศึก หมายจะใช้ม้ามาแลกเสบียงและแพรพรรณกับแคว้นต้าฉิน เมื่อก่อนข้าเคยประมือกับตงซย่าอยู่หลายครั้ง คุ้นเคยกับทางนั้นมากกว่า กรมพิธีการถึงได้เรียกตัวไปไถ่ถามถึงสถานการณ์ของตงซย่าในเวลานี้ ทุกคนมีคำถามโต้เถียงกันค่อนข้างมากข้าจึงกลับดึก” เยี่ยเจาพยักหน้าแล้วมองสีหน้าเขาอีกครั้ง พยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “วันนี้พอสะสางงานเสร็จสิ้น ก่อนกลับทุกคนครึ้มอกครึ้มใจ ท่านเสนาบดีจึงจัดงานเลี้ยงดื่มสุรากันเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่มีอะไรอย่างอื่นเด็ดขาด แล้วก็ข้ามิได้ไปเที่ยวหญิง…”

“หญิงอะไรของเจ้า” ซย่าอวี้จิ่นกระจ่างแจ้งความนัยในถ้อยคำนางก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดเตลิดไปไกลว่าตัวเองหึงหวง เขาโมโหจนเต้นผางๆ “ข้าไม่ได้ระแวงว่าเจ้าจะไปดื่มเหล้าเคล้านารี! อีกประการหนึ่ง ข้าจะใส่ใจไปทำไมว่าภรรยาตัวเองดื่มเหล้าเคล้านารีหรือไม่”

“ท่านไม่ใส่ใจหรือ”

เยี่ยเจาโน้มกายเข้ามาใกล้เล็กน้อย ได้กลิ่นสุราจางๆ ลอยอวล นัยน์ตาสีอ่อนใสดุจลูกแก้วทอประกายพราวระยับขึ้นอีกราวกับร่ายมนตร์ดึงดูดคนเข้าไปได้ จากนั้นนางก็วาดแขนเกี่ยวคอเขา ใช้ปลายนิ้วลูบเบาๆ ยื่นหน้าเข้าไปแทบจะชิดติดข้างแก้ม เผยอปากพ่นลมหายใจอุ่นชื้นที่ข้างหู

“มิสู้…พวกเราไปดื่มด้วยกันคราวหน้า”

นางไปดื่มสุรากับสหายขุนนางด้วยกันก็แล้วไปเถอะ แต่นี่เมาแล้วยังแทะโลมเขาอีก มันสุดจะทนไหวแล้ว!

ซย่าอวี้จิ่นตาขวาง ยกขากระทืบหลังเท้าเยี่ยเจาอย่างแรงพร้อมสบถด่า

“เจ้าผีขี้เมาสมควรตาย!”

ลมเย็นโชยมาพาให้เยี่ยเจาสร่างเมา นางรีบยืดตัวตรง ปรับสีหน้าเป็นจริงจังดังเดิม

ซย่าอวี้จิ่นซักถามอย่างดุดัน

“เจ้าเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ดื่มสุรารึ”

“ข้าดื่มสุราไม่เก่ง แค่ไม่กี่จอกก็เมาแล้ว มีบางคราวยากจะบอกปัดถึงได้ดื่ม”

“พอเมาแล้วเจอใครก็แทะโลม?”

“เปล่า แทะโลมแต่คนงาม…”

ซย่าอวี้จิ่นคับแค้นใจสุดจะกล่าว

“ช่างคออ่อนเหลือเกิน!”

สายตาของเยี่ยเจาวอกแวกไปวูบหนึ่งขณะพยายามพูดแก้ตัว

“คออ่อนแค่ไหนก็ดีกว่าเจ้าจิ้งจอก เวลาเขาร้องเพลงรักขึ้นมาผู้ที่เคราะห์ร้ายคือทหารทั้งค่าย”

ซย่าอวี้จิ่นนึกถึงถ้อยคำที่หูชิงกล่าวกับตนขึ้นมาได้

แม้ในใจจะไม่ใส่ใจภรรยาแย่ๆ คนนี้มากเท่าไร ทว่าเขายังคงรู้สึกไม่พอใจอยู่สักหน่อย

เขาค่อนข้างจะเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ชอบเก็บงำความรู้สึกให้อึดอัดทรมานใจ ครั้นใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่เขาก็รู้สึกว่าถึงอย่างไรแม้เขากับนางดูภายนอกกลมเกลียวกัน แต่ที่แท้ต่างคนต่างอยู่ จะผิดใจกันเพิ่มขึ้นอีกสักเรื่องก็ไม่ต่างกันเท่าไร มิสู้ถามให้แจ่มแจ้งไปเลยดีกว่า ยิ่งกว่านั้นภรรยาเขาดูแล้วก็มิได้หน้าบางไปกว่าตัวเอง นางกล้าดื่มเหล้าเคล้านารี กล้าหาคนเขียนหนังสือหย่าแทน กล้าแทะโลมคนงาม แล้วเขายังต้องกลัวด้วยหรือว่านางจะทนถูกตราหน้าว่าคบชู้สู่ชายไม่ไหว

ซย่าอวี้จิ่นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนับแต่รู้จักกับหูชิงเป็นต้นมา รวมถึงการคาดเดาของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่มีตกหล่นและเสนอขึ้น

“หากเจ้ากับเขาผูกสมัครรักใคร่กัน สามปีให้หลังข้าสามารถไปขอพระเมตตาจากพระพันปีได้ เจ้าเพียงปล่อยมือจากอำนาจทางการทหารทีละน้อยก็ไม่ถึงขั้นว่าจะครองคู่กันมิได้อย่างสิ้นเชิง”

“หูชิงพูดว่าชอบข้ารึ” สีหน้าประหนึ่งภูเขาน้ำแข็งของเยี่ยเจาปรากฏรอยร้าวบางๆ ขึ้นในที่สุด อีกทั้งยังขยายกว้างมากขึ้นทุกขณะ “เขาพูดเช่นนี้จริงหรือ”

ซย่าอวี้จิ่นรีบอธิบาย

“เขาไม่ได้พูดตรงๆ เป็นข้าคาดเดาเอาเอง”

เยี่ยเจาย้อนถาม

“ท่านเชื่อด้วย?”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่างกระสับกระส่าย

“ก็มีบ้างเล็กๆ น้อยๆ กระมัง…”

สายตานางที่มองเขาคล้ายมองดูเด็กน้อยที่พลาดพลั้งทำความผิดก็ไม่ปาน ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง เอ่ยอย่างเศร้าใจ

“ข้าไม่นึกไม่ฝันเลยว่าคำพูดของเจ้าจิ้งจอกยังมีคนเชื่อถือด้วย…”

ซย่าอวี้จิ่นลนลานแก้ต่างแทนสหาย

“ข้าเห็นสีหน้าท่าทางของเขาดูไม่คล้ายแสร้งทำเลย ไฉนเจ้ากล่าวถึงเขาเช่นนี้”

เยี่ยเจาถาม

“ถ้าเขาพูดว่าเขาชมชอบตัดแขนเสื้อ ท่านเชื่อหรือไม่”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้า

“ถ้าเขาพูดว่าเขาชอบหญิงม่าย ท่านเชื่อหรือไม่”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้าอีก

“ถ้าเขาพูดว่าเขาชอบเทพธิดาแห่งแม่น้ำลั่ว ท่านเชื่อหรือไม่”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้าต่อไป

“ถ้าเขาพูดว่าเขาเป็นภิกษุกลับชาติมาเกิด อยากบำเพ็ญเพียรเป็นพระอรหันต์ ท่านเชื่อหรือไม่”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้าดุจเดิม

เยี่ยเจาตบไหล่เขาเบาๆ ถามอย่างคับแค้นใจเหลือหลาย

“แล้วไฉนพอเขาพูดว่าเขาชอบข้า ท่านก็โง่งมถึงกับไปเชื่อเขาเสียแล้วล่ะ”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวอย่างฉุนเฉียว

“ก็ตอนเขาพูดสีหน้าท่าทางไม่คล้ายแสร้งทำเลยนี่!”

“ทั้งหมดที่ข้าถามท่านเมื่อครู่มีเรื่องใดที่เขาพูดแล้วดูคล้ายแสร้งทำบ้าง เขายังเคยหลอกจนเหมาเอ้อร์หู่ไปเฝ้าอยู่ข้างพงหญ้าริมแม่น้ำลั่ว นั่งคอยเก้อทั้งคืนเพื่อแอบดูเทพธิดาอะไรนั่น พอกลับมาก็ล้มป่วยไปครึ่งเดือน” เยี่ยเจาพูดด้วยความหัวเสีย “ท่านนึกว่าสมญานามจิ้งจอกมีที่มาอย่างไร เจ้าตัวเหม็นผู้นี้เกิดมาก็เพื่อกวนโทสะคน ปั้นเรื่องโกหกได้โดยตาไม่กะพริบ พบผู้ใดก็กลั่นแกล้ง เป็นไปได้มากว่าเขาเห็นท่านขวางหูขวางตาถึงได้ปั่นหัวท่านเล่นแล้ว”

ซย่าอวี้จิ่นอดเชื่ออยู่หลายส่วนมิได้เมื่อเห็นสีหน้าเดือดดาลของนางไม่คล้ายแสร้งทำ พูดตะกุกตะกัก

“ตะ…แต่…”

“ไม่มีแต่!” เยี่ยเจาหวนคิดถึงความหลัง เอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ตอนเมาสุรา เขาจะร้องเพลงชาวเรือกับคนอื่นไปทั่ว ร้องกับข้า กับชิวหวา กับชิวสุ่ย กับเจ้าพยัคฆ์ กับตาเฒ่าคนหุงข้าวก็ยังร้องเลย ซ้ำยังร้องหลงทำนองสะเปะสะปะ ระคายหูได้มากเท่าไรก็ระคายหูมากเท่านั้น ทำเอาทั้งกองทัพอยู่ไม่เป็นสุข ตอนไม่เมา เขาก็จะโกหกคนไปทั่วเพื่อความสนุก เว้นแต่เรื่องงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำแล้ว เขาแทบจะพูดโป้ปดมดเท็จตลอดเวลา แต่ก็มีคนเบาปัญญาหลายคนที่ยังหลงเชื่อคำพูดเขา”

ใต้แสงจันทร์งามกระจ่าง ซย่าอวี้จิ่นยืนนิ่งตาค้างอยู่กับที่ด้วยความตะลึงลาน ในหัวสมองว่างเปล่า เป็นนานกว่าจะเค้นเสียงออกจากลำคออย่างยากเย็น

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”

เขาหมุนกายไปด้วยท่าทางแข็งทื่อ ตั้งท่าจะกลับห้อง

“รอประเดี๋ยว!”

ฤทธิ์สุราทำให้ศีรษะเยี่ยเจาร้อนผ่าวอยู่บ้าง นางคว้าหมับที่ไหล่เขา ออกแรงเล็กน้อยดึงตัวเขากลับมาแล้วโน้มกายเข้าไปใกล้อีกครั้ง พิศดูใบหน้าเขาอย่างละเอียด

ฉับพลันนั้นเองมุมปากนางก็แย้มออกเป็นรอยยิ้มกว้าง เผยฟันขาววาววับเรียงเป็นสองแถวอย่างน่ากลัว ขณะถามด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

“เจ้าจิ้งจอกชอบข้า ดูเหมือนท่านจะดีใจมาก?”

“มิใช่นะ”

ซย่าอวี้จิ่นสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่สักหน่อย คิดจะสาวเท้าเดินหนี

“อย่างนั้นหรือ” ใต้แพขนตายาวเหยียดของเยี่ยเจา นัยน์ตาสีอ่อนใสเปลี่ยนเป็นดำเข้มด้วยเงามืด ฉายแววเย็นเยียบอำมหิต นางละม้ายคล้ายเสือดำกำลังเฝ้าดูเหยื่อ จากนั้นก็กางกรงเล็บแหลมคมตะปบเหยื่อไว้ในอุ้งมือ หากแต่สุ้มเสียงที่เอ่ยถามเนิบๆ กลับนุ่มนวลขึ้นเรื่อยๆ “เวลายังไม่ครบสามปี ท่านก็เร่งรีบหาบุรุษมารับทอดข้าต่อแล้วรึ”

ขอเพียงเป็นสัตว์ที่ยังมีสมองสักน้อยนิดล้วนฟังออกได้ว่าน้ำเสียงนุ่มนวลนี้แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายสังหาร

“คือว่าข้า…” ซย่าอวี้จิ่นตกใจจนเหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผากสองเม็ด เพียรดิ้นขัดขืนอยู่หลายครั้งก็ไม่เป็นผล สายตาเขาล่อกแล่กไปมาด้วยความร้อนรน แม้จะไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ ปากกลับยังพยายามพูดแก้ตัว “ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะอยู่ดีมีสุขเท่านั้นเอง”

“อย่างนั้นหรือ” เยี่ยเจาโน้มกายเข้าไปใกล้อีกนิดจนริมฝีปากเฉียดผ่านข้างแก้มเขาไปอย่างไม่ตั้งใจ เรียกขานเขาอย่างสนิทชิดเชื้อ “ท่านช่างปรารถนาดีเสียจริง ดีจนน่าตื้นตันใจนัก…”

สัมผัสอุ่นร้อนที่ไล้ผ่านใบหน้าบันดาลให้รู้สึกสั่นสะท้านระคนวาบหวิว ดวงตาเย้ายวนใจคู่นั้นทำให้หัวใจเขาเริ่มเต้นแรงขึ้นจนแทบจะกระดอนออกมานอกอก ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้คล้ายเคยประสบพบเจอมาก่อน

เขาคิดจะเอ่ยอะไรสักสองสามคำที่สมเหตุสมผลเป็นการโต้คืนเสียงแข็งบ้าง ทว่าคำพูดมารอที่ปลายลิ้นกลับหาวาจาเหมาะใจมิได้ เขาจึงสบถคำผรุสวาทไปเสียเลย

“หญิงแพศ…”

ซย่าอวี้จิ่นยังกล่าวไม่จบครบถ้อยกระทงความ ปากของเยี่ยเจาก็ประกบชิดปิดปากเขาไว้ เป็นการประทับจูบที่ฉับไวคละเคล้ากลิ่นสุราและลมหายใจอุ่นร้อน

นางผละออกห่างเพียงครึ่งองคุลี หยุดอยู่ในระยะที่ลมหายใจรินรดกัน เสียงหายใจเข้าออกดังที่ข้างหู ดวงตาประหนึ่งสัตว์ป่ายังเพ่งมองคนที่ถูกตรึงตัวแน่นเบื้องหน้าอย่างไม่วางตาและไม่เปิดช่องให้หลบหนี มุมปากประดับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมไว้ดุจเดิม ดูคล้ายกำลังหยอกเย้าเหยื่อก็ไม่ปาน

นางกระซิบถามเสียงกรุ้มกริ่มที่ริมหู

“ท่านอยากทำอะไรข้าหรือ เอาสิ”

ซย่าอวี้จิ่นใช้เวลานานครึ่งเค่อกว่าจะเรียกสติคืนมาได้ เขาโกรธจนหน้าแดงจรดใบหู ถลึงตาตวาดเอ็ดเสียงลั่น

“ข้าเคยเห็นสตรีหน้าไม่อาย แต่ไม่เคยเห็นสตรีหน้าไม่อายขนาดนี้!”

เยี่ยเจาใช้ปลายนิ้วแตะริมฝีปากเขาพร้อมเอ่ยถาม

“ที่แท้ท่านยังมียางอายอยู่หรือนี่”

“ปล่อยข้า!”

ซย่าอวี้จิ่นอยากกัดเจ้าอันธพาลตรงหน้าให้ตายใจแทบขาด เขาผ่อนลมหายใจยาวสองเฮือกให้หัวใจเต้นช้าลง พอมองดูใบหน้าของอีกฝ่ายที่มีรอยยิ้มร้ายกาจอยู่ตลอดก็รู้ในที่สุดว่าสีหน้าเช่นนี้ตนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

นี่มันเหมือนกับเวลาที่เขาพาพวกสหายเสเพลไปแทะโลมหญิงสาวตามถนนอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลยมิใช่หรือ

ครั้นกระจ่างแจ้งแล้วเขาก็ถามยืนยันให้แน่ใจอีกครั้ง

“บัดซบ นี่เจ้ากำลังแทะโลมข้าอยู่รึ”

เยี่ยเจาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“อืม ก็น่าจะเป็นการแทะโลมนะ”

“เจ้ามันบัดซบสิ้นดี! เคยแทะโลมคนมามากเท่าไรแล้ว”

ซย่าอวี้จิ่นแทบอยากตีอกชกหัวตัวเองเพราะฝีมือการแทะโลมอันช่ำชองของภรรยาเขาเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าเป็นผลมาจากการฝึกฝนหลายปีด้วยไม่อ่อนด้อยกว่าเขาแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อมาแล้วกี่คน ยิ่งไม่รู้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี!

“ตอนเด็กข้าทำตัวเกะกะเกเร หลงตนว่าเป็นบุรุษ หยอกเอินเด็กสาวมาไม่น้อย…ระวัง” เยี่ยเจาคลายมือในที่สุด แต่แล้วนางก็ช่วยพยุงเขาไว้อีกที พูดอย่างสงบนิ่งมาก “ตอนนี้ข้าก็แทะโลมอยู่ แต่เป็นการแทะโลมสามีตัวเองสนุกๆ เท่านั้น”

ซย่าอวี้จิ่นยืนทรงตัวได้ก็ชี้หน้านางพลางด่าทอ

“เจ้าคนไร้ยางอาย! แผ่นดินนี้มีภรรยาบ้านไหนบ้างที่ประพฤติตนเช่นเจ้า บ้าเอ๊ย! ในที่สุดข้าก็รู้เช่นเห็นชาติแล้ว…”

“ท่านรู้เช่นเห็นชาติอะไร”

เยี่ยเจายกสองมือกอดอก ยิ้มพรายขณะถามขึ้น

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่างเดือดดาล

“ต่อให้เจ้ามีเปลือกนอกเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้ทรงเกียรติน่าเกรงขาม แต่เนื้อแท้ยังเป็นอันธพาลไร้ยางอายคนหนึ่ง”

เยี่ยเจาเลียริมฝีปาก กล่าวอย่างถวิลหา

“ถึงอย่างไรข้าก็เคยเป็นอันธพาลมาหลายปีอย่างนั้น บางครั้งข้าก็อยากระลึกความหลังบ้าง”

“เจ้ายังกล้ายอมรับอีกรึ” ซย่าอวี้จิ่นยิ่งโมโห “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะบอก…บอก…”

เขาพูดไปๆ สุ้มเสียงก็เบาลงทุกที ไม่รู้ว่าจะพูดต่ออย่างไร นางจึงเอ่ยเตือนด้วย ‘ความหวังดี’

“ท่านจะบอกคนอื่นว่าภรรยาท่านเป็นอันธพาลมาก อีกทั้งท่านยังถูกนางปล้ำจูบและแทะโลมด้วยอย่างนั้นหรือ”

เรื่องพรรค์นี้จะมีบุรุษคนใดมีหน้าเอ่ยถึง

ซย่าอวี้จิ่นได้แต่น้ำท่วมปาก มีความทุกข์หากแต่พูดไม่ออก

เขาปลอบใจตัวเองไม่หยุดว่าถึงอย่างไรเขาก็มีอนุภรรยาและเมียบ่าวหลายคน ไปหอคณิกาเรือสำราญกอดจูบลูบคลำสตรีบ่อยๆ จนมีประสบการณ์โชกโชน บัดนี้เพียงตกเป็นฝ่ายถูกภรรยาลวนลามบ้าง นับว่าไม่เสียเปรียบมากนัก

“เป็นชายอกสามศอก อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพรรค์นี้เลย”

เยี่ยเจารู้ตัวว่าเป็นเพราะตัวเองดื่มสุรา เลยกระทำเรื่องที่ขาดความยับยั้งชั่งใจไปสักหน่อยและไม่สุขุมเยือกเย็นพอ ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงอย่างไรนางก็ฉวยโอกาสลวนลาม ทำตัวเป็นอันธพาลไปแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เกิดขึ้นได้อีก

นางจะจับตัวเขามาสานต่อให้คืบหน้าไปอีกขั้นก็ไม่เป็นปัญหา ทว่าดูเหมือนเขาไม่ชอบถูกแทะโลม ครั้นจะทำให้เขาโมโหเกินไปก็ดูเหมือนไม่เป็นการดี เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ยังต้องอยู่ด้วยกัน

ซย่าอวี้จิ่นเห็นนางยืนคิดคำนึงอยู่ที่เดิมก็เอ่ยอย่างขัดเคืองใจ

“ไปให้พ้น!”

“ได้ ท่านเองก็รีบไปพักผ่อนเช่นกัน”

เยี่ยเจาไม่ยั่วโทสะอีกฝ่ายต่อ หมุนกายเดินเอ้อระเหยกลับไปเข้านอนโดยไม่เหลียวหลัง

นางเล่นสนุกกับเขาพอแล้วก็จากไปอย่างนี้?

ซย่าอวี้จิ่นอ้าปากค้าง มองแผ่นหลังนางห่างออกไปเรื่อยๆ

เขากำหมัดชกใส่ต้นไทรข้างกายอย่างฉุนเฉียว จากนั้นก็เอามือกุมกำปั้นไว้ เจ็บปวดจนแทบน้ำตาไหลออกมา

 

ที่หมู่บ้านไม่ไกลจากกองทัพนครหลวงมีเรือนเล็กหลังหนึ่ง ด้านในปลูกต้นท้อไว้สามต้น แผ่กิ่งก้านรกครึ้มยื่นออกมานอกกำแพงซึ่งมีสุนัขล่าเนื้อเป็นขี้เรื้อนบนหลังตัวหนึ่งกำลังอาบแสงตะวันยามเช้า แทะกระดูกอย่างเอร็ดอร่อย

เสียงฝีเท้าม้าห้อตะบึงถี่รัวดังแว่วมาระลอกหนึ่งก่อนจะกระชั้นใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

สุนัขล่าเนื้อตกใจ ทะลึ่งตัวขึ้นมาเห่ากระโชกอย่างบ้าคลั่งเพื่อปกป้องกระดูกของมันด้วยวิญญาณนักสู้เต็มเปี่ยม

อาชาสีขาวปานหิมะยกขาหน้าขึ้นตะกุยอากาศแล้วหยุดลงตรงเบื้องหน้ามัน

สุนัขล่าเนื้อโก่งหลัง ยกหางตั้งขึ้น แสยะเขี้ยวแหลมคมมีน้ำลายไหลย้อย ส่งเสียงคำรามต่ำในลำคอ ทว่าอาชาสีขาวกลับแผดเสียงร้องอย่างเย่อหยิ่ง บนหลังของมัน เสื้อคลุมสีดำสนิทแผ่กางออกตามแรงลมพร้อมชุดทหารสีแดงด้านในปลิวสะบัด

ในชั่วเสี้ยวอึดใจ คนผู้นั้นพลิกกายลงมาด้วยท่วงท่าพลิ้วเบาดุจดอกท้อลอยลิ่วลม ปราดเปรียวดั่งเหยี่ยวถลาโฉบเหยื่อ วงหน้าทั้งคมคายและคร้ามเข้มอันเป็นลักษณะเด่นของชนต่างเผ่า ท่วงทีผึ่งผายคล้ายกระบี่ชื่อดังหลุดออกจากฝัก งดงามทว่าอาบย้อมไปด้วยโลหิตแดงฉาน สามารถล่อลวงคนให้ลุ่มหลง และยิ่งทำให้คนสะพรึงกลัวได้อีกด้วย

นางเงยศีรษะกวาดตามองไปรอบๆ ในมือกำแส้หางดำแน่นจนกระดูกข้อนิ้วลั่นเปาะๆ

ยามที่สุนัขล่าเนื้อสบสายตาคู่นี้ก็สะท้านเยือกขึ้นมาในพริบตา ไม่กล้าส่งเสียงเห่าอีกต่อไป มันก้มหัวลงอย่างสิ้นพยศ คาบกระดูกบนพื้นขึ้นมาแล้ววิ่งหางจุกก้นหนีไปโดยไว

ประตูหน้าของเรือนถูกผลักเปิดออก ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดด้วยความเก่าทรุดโทรม

ตาเฒ่าหัวหงอกนั่งสัปหงกอยู่ข้างประตูลุกพรวดขึ้นกะทันหัน ยื่นมือไปฉวยมีดผ่าฟืนบนพื้นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ดวงตาฉายแววอำมหิตเฉกเช่นผู้ที่ผ่านการกรำศึกมามาก ทว่ายามมองเห็นผู้มาเยือนชัดถนัดตา ประกายอำมหิตก็ดับวูบลงอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปชั่วครู่กว่าจะได้สติคืนมา เขาร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ

“ทะ…ท่านแม่ทัพ ท่านมาได้อย่างไรขอรับ”

เยี่ยเจาถามอย่างเฉยชา

“เจ้าจิ้งจอกล่ะ”

“ท่านมาหาทะ…ท่านกุนซือ…” สีหน้าของตาเฒ่าจืดเจื่อนไปถนัดตา สุ้มเสียงก็แปร่งปร่าด้วยความตื่นตกใจ เขาพยายามถ่วงรั้งฝีเท้าของอีกฝ่ายไว้พลางตะโกนลากเสียงยาว “ทะ…ท่านแม่ทัพ เขาไม่อยู่ข้างในขอรับ ขะ…เขา…”

เยี่ยเจาผลักอีกฝ่ายออก สาวเท้าก้าวยาวเดินฉับๆ อ้อมผ่านเรือนกลางเข้าไปถึงห้องหนังสืออย่างคุ้นทาง นางทนรอเสียงอนุญาตจากข้างในไม่ไหวก็ยกเท้าถีบประตูเปิดออก แผดเสียงดังด้วยท่าทางถมึงทึง

“เจ้าจิ้งจอกตัวดี! ไสหัวออกมานะ!”

ในห้องมีชั้นหนังสือสูงใหญ่เจ็ดแปดแถว บนนั้นมีตำรับตำราวางกองอยู่นับไม่ถ้วน หมึกในแท่นฝนหมึกยังไม่แห้ง พู่กันขนเพียงพอนถูกทิ้งไว้ด้านข้าง หน้าต่างอ้ากว้าง ขยับไปมาเบาๆ ตามแรงลม ดูเหมือนยังมีไออุ่นจากกายคนหลงเหลืออยู่ในอากาศ

เยี่ยเจาขมวดคิ้ว

“เขาหนีไปแล้ว?”

ตาเฒ่าทำหน้าม่อย ถูมือไปมา ทั้งไม่กล้าขัดขวางและไม่กล้าส่งเสียงพูด

“ช่างหนีได้รวดเร็วจริงๆ นะ เขามีขากระต่ายงอกออกมาจากตัวแล้วหรือไร” เยี่ยเจาพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็หมุนกายไปพูดกำชับ “พอเขากลับมาก็บอกด้วยว่าข้ามีบัญชีต้องสะสางกับเขา”

ตาเฒ่าพยักหน้าถี่รัว

“แน่นอนขอรับ”

เยี่ยเจากวาดตามองในห้องอีกรอบแล้วออกไปโดยไม่เหลียวหลัง

เสียงฝีเท้าม้าวิ่งออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ราวสามสี่เค่อ แผ่นกระดานในห้องหนังสือขยับออก เผยช่องขนาดใหญ่ดำทะมึน

ศีรษะคนผู้หนึ่งชะโงกออกมาอย่างระแวดระวัง ดวงตายาวรีมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าปลอดคนถึงก้าวออกจากช่องนั้นอย่างว่องไว ทว่าเพิ่งจะได้บิดคอยืดกล้ามเนื้อที่แข็งตึงให้คลายออก ตั้งท่าจะเขียนหนังสือต่อ กลับเห็นตาเฒ่าที่รับใช้เขาทางนอกหน้าต่างมีสีหน้าเหยเกสุดจะกล่าว ดูคล้ายเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น ซ้ำยังลูบคอขยิบตาบุ้ยใบ้ไม่หยุด

หูชิงหน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน

ไม่รอให้เขาได้ทันตั้งตัวก็มีลมแรงพัดมาวูบหนึ่ง เยี่ยเจากระโดดลงจากหลังคา สองขาเกี่ยวขอบหน้าต่างไว้แล้วม้วนตัวกลางอากาศคราหนึ่งอย่างแผ่วพลิ้ว ร่างนางก็มาอยู่ด้านหลังของหูชิงและวางมือบนไหล่เขา

นางจับตัวอีกฝ่ายกระชากเข้ามาใกล้ เอ่ยถามด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

“ลูกไม้เดิมใช้อีกก็ไม่ได้ผลแล้ว เจ้านึกว่าหลบได้ครั้งหนึ่งก็จะหลบไปได้ตลอดหรือไร”

“หามิได้ๆ พักนี้ข้ากำลังฝึกกรรมฐานอยู่” ชั่วพริบตาใบหน้าของหูชิงเผยรอยยิ้มบางๆ อย่างใสซื่อ หางตาโค้งลงเหมือนจันทร์เสี้ยว ฉายความอบอุ่นดั่งน้ำแข็งละลาย วสันตฤดูคืนสู่ปฐพี “ข้าแค่ไปกวาดห้องใต้ดิน ไม่นึกว่าวันนี้เจ้าจะว่างถึงขั้นมาหาข้าได้ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร”

“ก็มิใช่ธุระสำคัญอะไร” เยี่ยเจายกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มน่ากลัว เอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าเพียงมาถามคำถามเจ้าไม่กี่ข้อ”

หูชิงกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง

“ท่านแม่ทัพมีบัญชา ข้าย่อมต้องตอบทุกสิ่งที่รู้และจะพูดโดยไม่ปิดบังอำพราง”

เยี่ยเจาบีบมือแรงขึ้นอีกหลายส่วนพร้อมถามขึ้นเอื่อยๆ โดยไม่แยแสใบหน้าบิดเบี้ยวของเขา

“เจ้าเติบโตมาด้วยกันกับข้าตั้งแต่เล็ก ไยจะไม่รู้จิตใจข้า หลังจากชนะศึกที่โม่เป่ยก็เป็นเจ้าที่วางแผนให้ข้า ใช้กำลังทหารห้าสิบหมื่นเป็นเหยื่อล่อให้จักรพรรดิยกข้าให้แต่งงานกับซย่าอวี้จิ่น ช่วยให้ข้าสมหวังดังที่เฝ้าปรารถนามาเนิ่นนาน อีกทั้งได้อยู่รอดปลอดภัยไปชั่วชีวิต แต่เหตุใดหลังจากแผนการสำเร็จลุล่วงแล้วเจ้ากลับขัดแข้งขัดขาข้าลับหลัง”

หูชิงงุนงง

“ข้าไปขัดแข้งขัดขาเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน”

เยี่ยเจาเอ่ยอย่างเดือดดาล

“หน็อย! ตอนนั้นข้ากลัดกลุ้มว่าหลังจากสงครามจบลงแล้วจะทำเช่นไรเพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์ของท่านพ่อ เจ้าทำหน้าเศร้าโอดครวญ ยกนิ้วชี้ฟ้าสาบานว่ากระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง จะให้ผู้ใดเสียสละก็ได้ทั้งนั้น ขออย่าเป็นเจ้าเด็ดขาด แต่ละคำที่เจ้าพูดทำเอาข้าโมโหจนอยากทุบตีเจ้าให้ตาย ตอนนี้กว่าข้าจะได้แต่งงานกับซย่าอวี้จิ่นมิใช่ง่ายดาย การสานสัมพันธ์ให้คืบหน้าก็ยากเย็นแสนเข็ญ เจ้ากลับโพนทะนาไปทั่ว ทำให้ทุกคนคิดว่าพวกเรามีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน นี่เจ้าคิดจะเล่นงานเขาหรือข้า เชื่อหรือไม่ว่าวันนี้ข้าจะทุบตีเจ้าให้ตายจริงๆ”

หูชิงกล่าวอย่าง ‘ฉงนใจ’

“ข้าโพนทะนาอะไรกัน ข้าแค่บอกว่าสตรีที่ข้าชอบพอออกเรือนไปแล้ว นางเป็นคนที่ท่านพ่อข้าหมั้นหมายให้ตั้งแต่เด็ก ทั้งงามพริ้มเพราและเป็นกุลสตรี ตอนนั้นเกิดศึกวุ่นวาย นางนึกว่าข้าตายไปแล้วถึงได้ออกเรือนไปกับคนอื่น ตอนนี้ข้าอยากรำพันด้วยความโศกเศร้าบ้างก็มิได้หรือ เป็นจวิ้นอ๋องที่คิดฟุ้งซ่านไปเองจึงเข้าใจผิดกระมัง”

เยี่ยเจาหรี่ตาลงเล็กน้อย เพ่งพิศสีหน้าเขา

“เจ้ามิได้พูดจริงๆ รึ”

หูชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“ข้าก็มีพูดถึงบางเรื่องเมื่อครั้งที่ทำสงครามด้วยกันในโม่เป่ย”

เยี่ยเจาถามอีก

“เหตุใดชิวหวากับชิวสุ่ยก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”

หูชิงครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ย

“อาจเป็นเพราะตอนชิวเหล่าหู่บังคับให้ข้าแต่งงานกับลูกสาวเขา ข้าคงทนถูกทุบตีไม่ไหวถึงได้พูดจาเรื่อยเปื่อย อ้างถึงเจ้าเพื่อเอาตัวรอดว่าท่านแม่ทัพยังไม่แต่งงาน ข้าเป็นลูกน้องไหนเลยจะมีหน้าแต่งงานอะไรได้ จากนั้นเขาเลยเข้าใจผิด ไม่กล้าบังคับข้าแล้ว”

เยี่ยเจาตวาด

“เหลวไหลสิ้นดี!”

หูชิงแบมือยักไหล่อย่างจนปัญญา

“ก็มิใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้นิสัยป่าเถื่อนของโจรอย่างชิวเหล่าหู่ หากข้าพูดว่าไม่ถูกตาต้องใจลูกสาวเขา เขาคงตีข้าหัวแบะแน่”

เยี่ยเจาระบายลมหายใจในที่สุด จากนั้นก็เห็นคนตรงหน้ามีท่าทางใสซื่อแฝงเล่ห์ร้ายดุจเดิม นางยังรู้สึกโกรธเคืองสุดจะทน ต่อยเขาสองสามหมัดโดยผ่อนแรงลงพร้อมพูดด่า

“เจ้าคนบัดซบ วันใดไม่กวนโทสะข้า ในใจคงอึดอัดมากสินะ!”

หูชิงวอนขอความเห็นใจยิ้มๆ

“ผู้ใดใช้ให้ตอนเด็กเจ้ากลั่นแกล้งข้าทุกวันล่ะ”

เยี่ยเจาหยุดมือแล้วปล่อยเขา ถามอย่างจริงจัง

“เจ้าแค่ล้อเล่นจริงๆ?”

ดวงตาของหูชิงมีประกายหม่นเศร้าวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว

แปดปีที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน จากความเกลียดชังในตอนแรกกลายเป็นความช่วยเหลือเกื้อกูล จะไร้ความรักความผูกพันได้อย่างไร

ในใจเขา นางเป็นเหยี่ยวที่เหินบินอหังการ เป็นพยัคฆ์ที่เผ่นโผนลำพอง เป็นเจ้าอสูรอาบโลหิต เป็นดาวประกายพรึกบนฟากฟ้า เป็นความเลื่อมใสศรัทธาเพียงหนึ่งเดียว นอกจากนี้แล้วไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น อีกทั้งไม่อาจเป็นได้

สิ่งที่ไม่สมควรคิดก็อย่าคิดมากเกินไป สิ่งที่ครอบครองมิได้ก็อย่าเอื้อมมือออกไป กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง สำหรับคนที่มีชีวิตรอดจากนรกมาเช่นเขา ความรักเป็นสิ่งที่เพ้อฝันเกินไป เพราะไม่ว่าใครก็ไม่อยากเห็นหน้าอีกฝ่ายแล้วระลึกถึงฝันร้ายสีเลือดที่โม่เป่ยครั้งแล้วครั้งเล่า

ยามหักห้ามใจไว้ไม่อยู่จนพลั้งปากพูดออกไปยิ่งต้องยิ้มสู้เข้าไว้ ใช้คำโกหกนับไม่ถ้วนกลบฝังความจริง และเขาก็ทำได้สำเร็จ

หูชิงทบทวนความรู้สึกของตนจนแจ่มชัดแล้วก็คลายมือที่กำเป็นหมัดแน่น อมยิ้มอย่างว่องไว

“ล้อเล่นแน่นอน ข้าก็แค่อยากดูว่าเจ้ามีความรักต่อฮูหยินลึกซึ้งเพียงใดเท่านั้นเอง”

“ฮึ!” คราวนี้เยี่ยเจาจับความได้ทันควัน เขกหัวเขาทีหนึ่งและตะคอกดุ “เขาเป็นสามีข้า เป็นบุรุษ!”

“พูดผิดเล็กๆ น้อยๆ ไยต้องถือสาด้วย” หูชิงยังคงแย้มยิ้มตาหยี “สามีเจ้าอย่างอื่นใช้ไม่ได้ ใบหน้ากลับงามดี แม้มีนิสัยบัดซบ แต่เทียบชั้นกับเจ้าแล้วยังห่างไกลนัก ครั้งนี้นักเลงน้อยปะทะนักเลงใหญ่ เกรงว่าจะเสียเปรียบไม่น้อยกระมัง เจ้ามีวาสนากับหนุ่มรูปงามไม่เบา”

เยี่ยเจาหวนคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ลูบริมฝีปากกล่าวยิ้มๆ อย่างมีนัยกำกวม

“รสชาติไม่เลว”

หูชิงทอดถอนใจ

“หน้าไม่อายจริงๆ”

“เช่นกันๆ”

เขาถูกนางกวนโทสะบ้างพลันรู้สึกว่าการได้รู้จักกับสตรีผู้นี้อาจเป็นผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้ในชาติก่อน ชักจะเห็นใจซย่าอวี้จิ่นขึ้นมาสักหน่อยที่ต้องแต่งภรรยาที่เป็นอันธพาลยิ่งกว่าอันธพาล

บัญชีเกิดตายของยมบาลบันทึกหนี้กรรมไว้มากเท่าไรกันแน่

วันหน้าเจอเด็กน้อยผู้น่าเวทนาคนนั้น เขาสมควรกลั่นแกล้งให้น้อยลงดีหรือไม่

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 84.1-84.2

    By

    บทที่ 84.1 ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องมองชุดรัดเอวแขนหลวมทำจากผ้าพลิ้วกรุยกรายลายปักซูซิ่ว บนร่างองค์หญิงอวี๋หยางอีกครา ดูคล้ายกับแบบที่ซูลั่วอวิ๋นสวม...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 83.1-83.2

    By

    บทที่ 83.1 หานเหยาได้ยินน้องชายพูดขึ้นมา นางก็เอ่ยอย่างลิงโลด “ดี! พี่สะใภ้ ท่านไม่ต้องกลับไปที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยแล้ว ที่นั่นวุ่นวายเหลือเก...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 82.1-82.2

    By

    บทที่ 82.1 ที่แท้จ้าวกุยเป่ยคิดว่าให้สัญญากับหานเหยาไว้ว่าจะมารับลูกอมก็จำเป็นต้องรักษาคำพูดหรือไร หานหลินเฟิงคร้านจะแยแสบุรุษหัวทึบผู้นี้ เ...

  • คืนลมพัดต้องเหมยงาม

    ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 ราตรีวุ่น แววตาเสิ่นเฉียนมืดทะมึน กัดริมฝีปาก ปลายคางเกร็งแน่นเผยความแข็งกร้าวอยู่ในที “ที่แท้ถูกเด็ดปีกหมดสิ้นแล้วเนรเทศมาให้ข้านี่...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 81.1-81.2

    By

    บทที่ 81.1 ฉิวเจิ้นเพ่งตามองดูแล้วก็พบว่าไม่เพียงกำแพงของค่ายเสบียงมีการต่อเติมให้สูงขึ้น ยังขุดคูลึกรอบตัวกำแพงทั้งด้านนอกด้านในเพิ่มอีกสอง...

  • คืนลมพัดต้องเหมยงาม

    ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 หงหลวนแต่งงาน ลมราตรีพัดกรู แสงจันทร์สาดส่อง ภายในหอตั้นเสวี่ยของจวนสกุลเซี่ยเวลานี้ เซี่ยจิ่นสองมือไพล่หลัง ฟังน้องชายตัวน้อยเซี่ยซ...

  • คืนลมพัดต้องเหมยงาม

    ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ลมตะวันตกพัดมา สุริยันจมลับประจิม แสงสายัณห์สาดส่องขอบฟ้า เสิ่นเฉียนเปลี่ยนม้าไปตัวหนึ่งแล้วในจุดพักม้า เช่นนี้จึงเร่งมาถึงนอกเมืองห...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com