กระนั้นหลี่ชีฉือก็ยังมองเห็น แล้วคิดกับตนเองว่าหรือเขาจะไม่สบอารมณ์ที่นางถือวิสาสะวุ่นวายตามใจชอบ
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกหลัวเสี่ยวอี้ดังเข้าหู
หลัวเสี่ยวอี้ที่ยืนอยู่ตรงประตูพูดขึ้นทันทีอย่างรู้ใจ “พี่สะใภ้เซี่ยนจู่จ่ายไปเท่าไรให้สาวใช้มาบอกข้า ท่านผู้บัญชาการจะได้คืนเงินให้ถูกขอรับ”
ความจริงแล้วที่พูดนี่เสียดายใจแทบขาด พวกสตรีสูงศักดิ์ช่างฟุ้งเฟ้อแท้ๆ เพิ่งจะมาถึงก็ใช้เงินราวกับหว่านเล่น
พี่สามของเขายังบาดเจ็บอยู่ พูดจาไม่สะดวก เลยให้เขาพูดแทน แต่ปากพูดออกไปสบายๆ อย่างนั้น ถึงเวลาจริงจะเอาเงินที่ใดมาให้กัน
แม้เขาจะคิดเช่นนี้ แต่กระถางไฟในห้องก็อุ่นสบายดีจริงๆ ไม่ได้สัมผัสไออุ่นท่ามกลางสภาพอากาศหนาวจัดของที่นี่มาหลายปีดีดักแล้ว
หลัวเสี่ยวอี้ขยับเข้าไปข้างในอีกนิดโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นเสียงหัวเราะแผ่วๆ ก็ดึงดูดความสนใจให้ต้องเหลือบมอง
หลี่ชีฉือนั่นเอง นางหัวเราะเบานิดเดียวเพราะกลั้นไม่อยู่จริงๆ ไม่คิดเลยว่าชายผู้นี้จะมีศักดิ์ศรีในตนเองสูงลิ่ว “แต่ก่อนพอถึงเทศกาลทีไรท่านมักจะส่งของไปที่กวงโจวไม่ขาด ทั้งที่จวนผู้บัญชาการก็อยู่ในสภาพนี้ ถือว่าข้ามอบของตอบแทนท่านบ้างจะเป็นไรไป”
ส่วนหนึ่งของถ้อยคำเหล่านี้เอ่ยเอื้อนออกมาจากใจจริง ความขุ่นเคืองที่มีอยู่แต่เดิมพลอยสลายหายไปไม่น้อยเมื่อคิดถึงข้อนี้
ฝูถิงไม่เอ่ยอะไร แต่กลับเหลือบตามองไปทางประตู
หลัวเสี่ยวอี้ทำตาหลุกหลิกลุกลน
ฝูถิงจำไม่ได้ว่าตนเองเคยส่งของไปที่กวงโจวด้วย หากเดาไม่ผิด จะต้องเป็นฝีมือหลัวเสี่ยวอี้แน่
นับตั้งแต่แต่งงานมา ผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทมักคะยั้นคะยอให้เขาไปกวงโจวอยู่บ่อยครั้ง จะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตเยี่ยงภิกษุทั้งที่มีภรรยาแล้ว
คนใกล้ชิดที่คอยใส่ใจเรื่องส่วนตัวของเขา นอกจากจอมจุ้นจ้านตรงหน้า เขาก็นึกไม่ออกว่ายังมีใครได้อีก
หลี่ชีฉือสังเกตเห็นสายตาที่ทั้งคู่มองกันก็พอจะเข้าใจได้เลาๆ
นางเหลือบมองฝูถิงแวบหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ซินลู่ ทำกระถางไฟไปวางไว้ในห้องขุนพลหลัวด้วย พวกเราออกไปกันก่อนเถิด จะได้ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของท่านผู้บัญชาการกับท่านขุนพล”
ซินลู่รับคำว่า ‘เจ้าค่ะ’ แล้วประคองผู้เป็นนายเดินกลับไปนั่งที่ตั่งยาว เอาตัวบังไว้ขณะสวมรองเท้าถุงเท้าให้นางเงียบๆ
หลัวเสี่ยวอี้ที่อยู่ตรงประตูปวดใจด้วยความเสียดายขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยิน
จุดกระถางไฟเพิ่มก็เท่ากับต้องจ่ายเงินเพิ่ม
หากไม่เพราะเวลานี้ห้องนอนของพี่สามมีเจ้าของเพิ่มขึ้นอีกคน เขาอยากโพล่งออกไปเหลือเกินว่าขออาศัยนอนห้องนี้ด้วยก็ได้ จะต้องเปลืองเงินเปลืองทองโดยใช่เหตุไปไย
ส่วนฝูถิงไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
เขาเห็นหลี่ชีฉือสวมถุงเท้ารองเท้าอยู่วอมแวมเพราะมีสาวใช้บังไว้ จากนั้นนางก็ลุกเดินออกจากห้องในสภาพแต่งกายเรียบร้อย มีเพียงปอยผมข้างหูที่ยุ่งไปเล็กน้อยด้วยฝีมือเขาเมื่อครู่
ชายหนุ่มรวบนิ้วทั้งห้าเข้าหากัน ปลายนิ้วยังจดจำสัมผัสจากริมฝีปากนางได้ถนัดถนี่
จากนั้นคำที่หลัวเสี่ยวอี้เคยพูดไว้ก็ดังขึ้นในมโนนึก… ‘ดูนุ่มละมุนไปหมดราวกับว่าทั้งเนื้อทั้งตัวทำจากน้ำก็มิปาน’
หลี่ชีฉือเดินออกจากห้อง
หลัวเสี่ยวอี้หลบไปยืนแอบข้างๆ เพื่อเปิดทางให้
ปลายเท้าของนางหยุดชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยเบาๆ “ขอบคุณท่านขุนพลมากที่เมื่อก่อนยอมสิ้นเปลืองส่งของขวัญมาให้หลายครั้งหลายครา”
ไหนๆ นางก็รู้แล้ว หลัวเสี่ยวอี้จึงตอบผ่านรอยยิ้มแห้งๆ โดยไม่ปิดบัง “โปรดอย่าได้เกรงใจ ข้าส่งไปให้แทนท่านผู้บัญชาการต่างหาก ของขวัญเหล่านั้นเป็นความรู้สึกที่ท่านผู้บัญชาการมีต่อท่าน”
หลี่ชีฉือพยักหน้ายิ้มๆ แล้วออกเดินต่อ จวบจนเดินเลี้ยวไปตามโค้งเฉลียง รอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหาย
ตอนที่ซินลู่เหลือบมองไปอีกครั้ง ก็พบว่าเรียวปากผู้เป็นนายขยับเบาๆ
“ฝูถิง…” นางเอ่ยชื่อชายผู้นั้นพลางใช้นิ้วแตะปอยผมข้างใบหู หัวใจขุ่นหมองอย่างยากจะบรรยาย
ที่แท้ข้าก็ทึกทักไปเอง