ฝูถิงเพิ่งสังเกตว่าแผ่นหลังนางเบียดชิดผนัง ดวงหน้าสะคราญแทบแนบติดอกเขา สีแดงเรื่อฉีดซ่านอยู่ใต้ผิวหน้าขาวละเอียด
เครื่องแบบทหารตัดเย็บจากผ้าเนื้อหยาบ เขานึกกังวลขึ้นมาอย่างจริงจังว่าหากเสียดสีแก้มเนียนจะทำให้ผิวเนียนถลอกปอกเปิกเอาได้
เขาใช้นิ้วถูปาก นึกเยาะตนเองที่ระมัดระวังเกินเหตุ ชายหนุ่มยืนเต็มสองเท้าอย่างมั่นคงแล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูออกจนสุด ส่งเสียงร้องบอกข้างนอกว่า “ไม่มีอะไร”
เสียงข้างนอกเงียบไปนานแล้ว เพราะหลัวเสี่ยวอี้ได้รับสัญญาณจากฝูถิงจึงระวังตัวเตรียมพร้อม พอเห็นว่าคนที่อยู่ในห้องปีกเป็นใครก็ค่อยเบาใจ “ที่แท้ก็พี่สะใภ้นี่เอง”
ฝูถิงนึกถึงรถม้าที่จอดอยู่หน้าร้านตอนเดินเข้ามาแล้วหันไปถาม “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
นับตั้งแต่ที่นางเลือดกำเดาไหลคราวก่อน เขาก็ไม่ได้ไปถามไถ่อีกเลยว่านางเป็นอย่างไรบ้าง เพิ่งจะฉุกคิดตอนนี้เองว่าหรือนางจะยังไม่หาย
ภาพที่หญิงสาวดึงชายแขนเสื้อเขาไว้พลางถามว่าคิดจะแยกบ้านกับนางหรือไม่พลันผุดขึ้นมาในมโนนึก หากนางยังไม่ดีขึ้นเพราะเหตุนั้นก็เท่ากับเป็นความผิดของเขาแล้ว
พอคิดมาถึงตรงนี้ ฝูถิงก็ยกมือลูบคออย่างห้ามไม่อยู่พลางนึกบริภาษตนเอง…เป็นบุรุษเสียเปล่า จะทะเลาะกับสตรีด้วยเรื่องเงินเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วยเหตุใด
หลี่ชีฉือเดินออกไปมองหลัวเสี่ยวอี้ตรงประตู
ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจได้ในทันที จึงพูดแทรกขึ้นมาว่า “พี่สามถามมากไปแล้ว พี่สะใภ้มาที่นี่ก็ต้องมาซื้อยาให้ท่านน่ะสิ”
ฝูถิงหันไปมองหญิงสาว
นางสบตากับหลัวเสี่ยวอี้แวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าได้สูตรยามาตำรับหนึ่ง เห็นว่ารักษาบาดแผลได้ชะงัดนัก แต่ไม่รู้ว่าท่านจะกล้าใช้หรือไม่”
หลัวเสี่ยวอี้ชิงตอบแทนให้เอง “พี่สามน่ะระดับใด แผ่นดินนี้ไม่มียาที่เขาไม่กล้าใช้หรอกขอรับ”
ฝูถิงตวัดตามอง วันนี้เจ้าบ้านี่พูดมากเป็นพิเศษ ตัวเขาเอง…ไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น
ซินลู่กับชิวซวงอุ้มกล่องใบนั้นเดินตามกันออกมา เห็นท่านผู้บัญชาการยังนึกว่าอีกฝ่ายมารับผู้เป็นนายตน จึงหันไปมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
หลัวเสี่ยวอี้ไม่อยากซื้อยาใดๆ แล้ว “กลับกันเถิดขอรับ พี่สะใภ้ออกมาอย่างนี้คงเพลียแล้วกระมัง”
ฝูถิงเหลือบมองหลี่ชีฉือ ก่อนจะเบนสายตาไปยังกล่องใบนั้น แล้วเดินออกไปแก้เชือกผูกม้าโดยไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
หลี่ชีฉือสั่งซินลู่ให้หยิบผ้ายาในกล่องมาชุดหนึ่ง พอหันไปเห็นว่าหลัวเสี่ยวอี้ยังมองตนเองอยู่ก็พยักหน้าให้ยิ้มๆ ความหมายคือให้เขาวางใจได้
หลัวเสี่ยวอี้ประสานมือคำนับนางทันที “พี่สะใภ้เหมือนเป็นพระโพธิสัตว์มาโปรด หากรักษาพี่สามให้หายได้จริง ท่านจะเป็นพี่สะใภ้แท้ๆ ของข้า!”
ประโยคนี้เอ่ยออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง เพราะพี่สามเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้
หากตะขอเหล็กในตอนนั้นเกี่ยวกะซวกใบหน้า เขาต้องตายหรือไม่ก็พิการ ต่อให้มีตำแหน่งเป็นขุนพลก็ยากจะหาสตรีมาแต่งงานด้วย พี่สามทำให้เขารอดมาได้ เขายังรู้สึกผิดไม่หายมาจนบัดนี้
วันนั้นที่พี่สะใภ้เซี่ยนจู่บอกว่าจะรักษาพี่สามให้หาย เขาจึงมองเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่
หลี่ชีฉือเดินออกไปขึ้นรถม้า พอทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อยก็เลิกม่านหน้าต่างมองออกไปข้างนอก
ฝูถิงชักม้าไปสั่งองครักษ์ส่วนตัวให้แยกย้าย จากนั้นก็กระตุกบังเหียนขี่ย้อนมาทางรถม้า แล้วหยุดลงตรงหน้าต่างรถ
ทำเช่นนี้คือรอให้นางกลับไปก่อนนั่นเอง
หลี่ชีฉือชิงเอ่ย “ขึ้นมาใส่ยาก่อนแล้วค่อยเข้ากองทัพเถิด”
ฝูถิงมองหลัวเสี่ยวอี้ที่รออยู่อีกทาง เขาไม่มีอะไรต้องพูดมาก ก็แค่ใส่ยา ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงที่ใด อย่างไรเสียก็คงไม่ถึงขั้นลองยาผิดขนานจนมีอันเป็นไปหรอกกระมัง