บทที่ 4
พระอาทิตย์เดือนสิบส่องแสงสว่างเจิดจ้าลงมากระทบร่างเกาอ๋อง แต่เขากลับรู้สึกสันหลังเย็นวาบ เหงื่อเย็นผุดซึมขึ้นตามขมับ อากาศเย็นๆ ไหลลอดไรฟัน
พริบตาที่เห็นร่างนั้น ทุกอย่างพลันกระจ่างแจ้ง
เขาจ้องมองหลานชายที่ยืนหน้าบันไดตำหนัก ยกนิ้วชี้อีกฝ่ายพลางกัดฟันแค่นหัวเราะ
“วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อนซานหลางยังจำตอนข้าจับมือเจ้าสอนยิงนกสมัยเจ้ายังเล็กๆ ได้หรือไม่! เวลานี้ปากยังไม่ทันสิ้นกลิ่นน้ำนมก็ริวางแผนเล่นงานอาแท้ๆ ของตนเองแล้วหรือ! ที่ข้ามีวันนี้ก็เพราะเจ้าบีบบังคับนั่นล่ะ!”
แสงแดดทาบเงาแมกไม้ลงบนใบหน้าชายหนุ่มเป็นดวงๆ ครึ่งหนึ่งสว่าง ครึ่งหนึ่งตกอยู่ในเงา
เขามิได้โต้ตอบ เพียงแค่บอกเรียบๆ ว่า “เสด็จอา หากเป็นไปดังคาด คนในสำนักอู่โหวและกองทหารประตูในเมืองที่จะคอยรับสัญญาณจากท่านเวลานี้น่าจะถูกฆ่าไปแล้ว หลานให้เกียรติท่าน เห็นแก่ที่ท่านเคยสร้างความดีความชอบทางการศึกมามากในอดีต ท่านจงปลิดชีพตนเองเสียเถิด เกียรติยศจะได้ไม่มัวหมอง เมื่อท่านจากไปแล้ว ขอเพียงลูกหลานสายเลือดท่านยอมสงบเสงี่ยม หลานรับรองว่าพวกเขาจะได้มีชีวิตทรงเกียรติสุขสบายไม่ด้อยกว่าที่แล้วมาแม้แต่นิดเดียว”
องครักษ์คนหนึ่งก้าวเข้ามาคุกเข่าข้างเดียวลงตรงหน้าเกาอ๋อง ใช้สองมือประเคนมีดสั้นเปื้อนเลือดที่เมื่อครู่จ่อลำคอเจ้าตัวขึ้นไปให้พลางบอกด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “เชิญพ่ะย่ะค่ะ เกาอ๋อง”
เกาอ๋องหน้าซีดเหมือนศพ “…ข้าเป็นโอรสแท้ๆ ขององค์เกาจู่ เป็นญาติของเจ้า ครองป้ายเหล็ก ละเว้นโทษตาย…”
ชายหนุ่มสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่ได้ยิน
ใบหน้าเกาอ๋องกระตุกริกๆ เขาดึงสายตาออกจากดวงหน้าหลานชายมาจ้องมองมีดสั้นที่ถูกชูอยู่ตรงหน้าตนเองเขม็ง ในที่สุดก็ค่อยๆ เอื้อมมือสั่นเทาออกไปทีละนิดอย่างยากลำบาก จับมีดสั้นเล่มนั้นยกขึ้นมาจ่ออกแนวขวางช้าๆ แล้วหลับตาแสร้งทำท่าสิ้นหวัง แต่ทันใดนั้นก็พลันลืมตาสะบัดข้อมือเร็วแรง ขว้างมีดสั้นให้ลอยพุ่งใส่บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าบันได
ด้วยฝีมือระดับเขา หากขว้างมีดเข้าเป้า อ๋องผู้สำเร็จราชการมีแต่จะล้มลงไปนอนจมกองเลือด!
ในชั่วพริบตานั้นเององครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าก็ดีดตัวลุกพรวดอย่างแคล่วคล่องว่องไวดุจวานร ดุดันทรงพลังราวกับพยัคฆ์ ปัดมีดสั้นเล่มนั้นออกไปอย่างฉิวเฉียด
จากนั้นองครักษ์อีกคนก็ล้วงบ่วงเชือกในแขนเสื้อออกมาตวัดพันรอบลำคอเกาอ๋อง สองคนจับเชือกกันคนละข้าง ออกแรงดึงซ้ายขวาจนเงื่อนรูดรัดแน่น
ทว่าเกาอ๋องเป็นคนระดับใด การตอบสนองของเขาว่องไวเป็นเลิศ มีหรือจะยอมตายโดยไม่ดิ้นรน เขาสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในบ่วงแล้วง้างออกเต็มแรง เสียดายที่แม้เขาจะเหี้ยมหาญทรงพลัง องครักษ์สองคนนั้นก็ไม่ใช่พวกกระจอก ต่อให้ซู่ฮุยพยายามสุดชีวิต บ่วงเชือกบนคอก็ไม่คลายออกแต่อย่างใด
เส้นเชือกรัดคอแน่นขึ้นทุกทีจนมือทั้งสองข้างของเขากดจมลงไปในลำคอตนเอง สองตาเหลือกถลน ใบหน้าแดงก่ำ ส่งเสียงค่อกๆ ในคอประหนึ่งสัตว์ป่าที่กำลังพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด
“สวรรค์ส่งมาให้แล้วไม่รับ…สุดท้ายต้องถูกลงทัณฑ์…ข้าผิดเองที่ไม่อำมหิตพอ ตอนนั้นพี่ชายจอมปวกเปียกของเจ้าไม่มีสิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์ด้วยซ้ำ…”
พระอัยกาเกาอ๋องพยายามดิ้นสุดแรงเกิด เท้าทั้งสองข้างเตะถีบปัดป่ายจนเศษดินกับใบไม้แห้งปลิวว่อน ร่างสูงใหญ่กำยำบิดเร่าทุรนทุรายเหมือนปลาดุกบนเขียง
“…ซานหลาง…เจ้าวางแผนฆ่าข้าเช่นนี้…กล้าพูดหรือไม่…ว่าเจ้ามิได้มีใจใฝ่สูงแม้แต่นิดเดียว…” เชือกรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เกาอ๋องเค้นแรงเฮือกสุดท้ายเอ่ยปัจฉิมวาจาออกมาอย่างคลุมเครือ “…อย่าได้คิดว่าวันข้างหน้าเจ้าจะมีจุดจบอันงดงาม…วันนี้ของข้า…ก็คือวันพรุ่งนี้ของเจ้า…”
เสียงพูดอัดแน่นด้วยความอำมหิตเคียดแค้น ราวกับเป็นคำสาปจากห้วงเหวลึก
องครักษ์สองคนหันไปมองอ๋องผู้สำเร็จราชการพร้อมกัน