ก่อนหน้านี้เกาอ๋องอาจยังไม่มีความคิดที่จะลงมือในทันทีจริงๆ แต่แน่นอน…เพราะมีประสบการณ์ขับเคี่ยวมานักต่อนักจนเจนจัดแหลมคม จึงกระจ่างใจยิ่งกว่าใครทั้งนั้นว่าหากทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันในสถานการณ์บีบคั้น ฝ่ายใดฉวยโอกาสลงมือจู่โจมอีกฝ่ายให้ถึงตายได้ก่อนย่อมได้อยู่หัวเราะเป็นคนสุดท้าย ดังนั้นวันนี้จึงยอมเสี่ยงเรียกใช้งานคนที่เขาสั่งให้แฝงตัวมานานปีเพื่อชิงลงมือก่อน
เขาไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังย่างเท้าแต่ละก้าวไปตามทางที่ฝ่ายตรงข้ามปูรอไว้ ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ จนหลงเข้าไปติดบ่วงแร้วตรงปลายทาง
ไม่เพียงเท่านั้น วันนี้เมื่อเกาอ๋องสิ้นอำนาจ อ๋องผู้สำเร็จราชการยังสามารถข่มขวัญเหล่าขุนศึกที่มีกองทัพขนาดใหญ่อยู่ในมือไปพร้อมกัน…รวมทั้งเจียงจู่วั่ง
อ๋องผู้สำเร็จราชการที่หนุ่มแน่นเปรียบดุจคนยิงธนู ขณะที่คนอย่างซู่ฮุยหรือเจียงจู่วั่งเป็นเพียงฝูงนกชราที่จะถูกน้าวศรยิงเท่านั้น
การสู่ขอชายาครานี้ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัวอย่างแท้จริง
หลิวเซี่ยงมองศพที่เรียงรายอยู่ตรงปลายเท้า บรรยายความรู้สึกยามนี้ไม่ออก ราวกับมีคลื่นยักษ์ถาโถมอยู่ตรงก้นบึ้งหัวใจอย่างนั้น
ไม่กล้าคิดเลยว่าหากแผนการของเกาอ๋องสำเร็จดังหมายจนเกิดเหตุนองเลือดขึ้นจริง เรื่องราวจะดำเนินไปในทางใด และสถานการณ์น่าอเนจอนาถเช่นไรที่กำลังรอตนเองอยู่
ความผิดจะตกอยู่กับเขา ใครสักคนจะถูกปรักปรำว่าเป็นผู้บงการ ขณะที่สมุหกลาโหมเกาอ๋องได้ถือครองอำนาจสำเร็จราชการแทนฉีอ๋องในพริบตา
ยามที่ยังอยู่ในกองทัพทางเหนือเขาเคยผ่านสงครามนองเลือดมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ไม่เคยหวาดกลัวจนหนาวเข้าไปถึงกระดูกเหมือนครั้งนี้มาก่อน
ขาทั้งสองข้างค่อยๆ อ่อนแรงจนสุดท้ายต้องคุกเข่าลงกับพื้น เหงื่อเย็นไหลโกรก
ทันใดนั้นเสียงดนตรีก็ลอยตามลมมาเข้าหู
การแสดงธรรมในหอด้านหน้าสิ้นสุดลงแล้ว ท่ามกลางเสียงดนตรีท่วงทำนองสูงต่ำและเสียงพระสวดสงบขรึม นางกำนัลในอาภรณ์สีสันสดใสสองกลุ่มถือถาดที่พูนด้วยกลีบดอกไม้เข้ามาแล้วโปรยกลีบดอกไม้ขึ้นไปในอากาศ อ๋องผู้สำเร็จราชการอารักขาหลันไทเฮาและฮ่องเต้น้อยเดินฝ่าฝนบุปผาออกจากหอ
บรรยากาศแช่มชื่น ราวกับไม่มีใครสังเกตว่ามีคนผู้หนึ่งหายไปจากกลุ่มเชื้อพระวงศ์ชายที่เดินตามหลัง ต่อให้ใครสักคนสังเกตเห็นก็ไม่มีทางคาดคิดหรอกว่าเมื่อครู่ได้เกิดเหตุสะเทือนขวัญที่รุนแรงพอจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของแคว้นแห่งนี้ขึ้นในมุมลับตาของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
ทุกคนออกจากซุ้มประตู
อ๋องผู้สำเร็จราชการส่งหลันไทเฮากับฮ่องเต้น้อยขึ้นราชรถ เหล่าสตรีสูงศักดิ์และบุรุษผู้เปี่ยมอำนาจทยอยแยกย้ายกันขึ้นพาหนะของตน บ้างโดยสารรถม้า บ้างขี่อาชา
ฉีอ๋องกลับไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วย
เขายืนค้อมกายส่งเสด็จอยู่ตรงริมทาง จวบจนขบวนเสด็จพ้นไปแล้วถึงค่อยๆ ยืดตัวขึ้นยืนข้างๆ ซุ้มประตู สายตายังคงมองตามขบวนอันหรูหรางดงามจนหายลับไปจากคลองจักษุทีละนิด
หลิวเซี่ยงที่อยู่ข้างหลังทิ้งตัวลงคุกเข่าดังตุ้บในจังหวะนั้น แล้วโขกศีรษะให้เขา
“ท่านอ๋อง! กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ! ต่อให้ตายสักหมื่นครั้งก็มิอาจลบล้างความผิด! ท่านอ๋อง…”
อดีตทหารกล้าผู้เคยสำแดงศักดาในสนามรบโขกศีรษะซ้ำๆ จนเริ่มเห็นรอยเลือดบนหน้าผากภายในเวลาไม่นาน