บทที่ 38
เฉินหลุนติดตามซู่เซิ่นฮุยมานานปี เห็นเจ้าตัวตั้งแต่เป็นอันเล่ออ๋อง ฉีอ๋อง จนเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ ปกติไม่ว่าเจอสถานการณ์เลวร้ายหรือเหตุเหนือความคาดหมายอย่างไร อีกฝ่ายก็มักจะเยือกเย็นเหมือนไม่คณามือเสมอ ดูอย่างกรณีหนานอ๋องแห่งเป่ยตี๋เมื่อครู่ก็ได้ หากสามารถจับเป็นมาไว้ในมือจะน่าตื่นเต้นยินดีสักเท่าใด แต่สุดท้ายหลุดมือไป เขาก็แค่สั่งให้หลิวเซี่ยงนำคนลงไปค้นหา สีหน้าท่าทางไม่มีความโกรธเคืองหรือเสียดายแม้แต่นิดเดียว
บอกตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินหลุนได้เห็นซู่เซิ่นฮุยเสียอาการจนถึงขั้นใช้น้ำเสียงเฉียบขาดเช่นนั้นพูดกับตน
ทว่าก็สามารถเข้าใจได้ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับแม่ทัพหญิงเป็นเรื่องใหญ่ เพิ่งแต่งงานกันไม่ทันไร นางก็ประสบเหตุร้ายระหว่างที่อยู่กับซู่เซิ่นฮุย แล้วจะให้เจ้าตัวไปอธิบายกับเจียงจู่วั่งอย่างไรเล่า
อ๋องผู้สำเร็จราชการเดินลิ่วๆ ไปแล้ว เฉินหลุนรู้ว่าฝ่ายนั้นจะลงไปยังเหวลึกด้วยตนเอง ทว่าเขาก็ไม่กล้าห้าม ได้แต่รีบเรียกระดมพลผู้ใต้บังคับบัญชาของตนที่พามาด้วย กันคนส่วนหนึ่งให้คอยเฝ้าอยู่ที่นี่ นัดแนะการส่งสัญญาณไว้ กำชับให้เตรียมพร้อมสำหรับเคลื่อนไหวตามคำสั่งตลอดเวลา ก่อนจะพาพวกที่เหลือไล่ตามไป พร้อมกันนั้นยังแอบเรียกยอดฝีมือจำนวนหนึ่งให้มาด้วยกัน เพื่อคอยตามประกบอ๋องผู้สำเร็จราชการอย่างใกล้ชิดทั้งซ้ายขวา
ที่ต้องทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการจะสามารถรับมือกับเหตุเฉพาะหน้าด้วยตัวคนเดียว ตรงกันข้ามเขารู้ดีว่าสหายผู้นี้เป็นเลิศทั้งบุ๋นบู๊มาตั้งแต่เด็ก เอาแค่สามารถน้าวคันธนูจนโค้งกลมดั่งพระจันทร์เต็มดวงแล้วยิงเสียบทะลุคนสามคนด้วยธนูดอกเดียวเมื่อครู่ ต่อให้เป็นพลในหน่วยธนูที่เชี่ยวชาญด้านคันศรและลูกธนูเป็นพิเศษ คนที่ทำได้เช่นนี้ยังมีน้อยจนยกนิ้วนับได้
หากตอนนั้นซู่เซิ่นฮุยได้ไปประจำการมณฑลชายแดนสมปรารถนา ป่านนี้น่าจะเป็นแม่ทัพที่อาบเลือดในสมรภูมิมาอย่างโชกโชนผู้หนึ่ง ทว่าฟ้าลิขิตมาให้อยู่ในฐานะอื่น ในเมื่อชะตากำหนดมาให้เป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการของต้าเว่ยในปัจจุบัน ความสำคัญของเจ้าตัวจึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ จะบอกว่าดวงชะตาของแผ่นดินต้าเว่ยผูกติดกับคนผู้นี้ก็ไม่เกินจริงแต่อย่างใด เฉินหลุนจึงไม่อาจประมาทเลินเล่อแม้เพียงน้อย เดิมทีจะให้ซู่เซิ่นฮุยทำเรื่องเสี่ยงถึงเพียงนี้เองไม่ได้เด็ดขาด ทว่าเฉินหลุนจะห้ามก็ไม่กล้า ได้แต่เตรียมการให้ดีที่สุด เพราะสถานการณ์ตรงก้นเหวนั่นเป็นอย่างไร หากยังไม่ลงไปใครเล่าจะรู้
หลิวเซี่ยงนำคนล่วงหน้าไปสำรวจเส้นทางบางส่วนแล้ว ห่างออกไปจากจุดนั้นหลายหลี่มีหน้าผาที่ค่อยๆ ลาดเอียง สามารถใช้เบิกทางลงไปได้ เขาสั่งให้คนไปรวบรวมเถาวัลย์แก่ๆ จากในภูเขามามากๆ แล้วนำมาถักเข้าด้วยกัน จนได้เป็นเชือกเถาวัลย์ที่แข็งแรงทนทานพอจะรับน้ำหนักคนตัวโตๆ พร้อมกันหลายคน
แม้หน้าผาบริเวณนี้จะลาดเอียง แต่ระหว่างทางมีหลายจุดที่สะสมตะไคร่น้ำชั้นแล้วชั้นเล่ามานานปีจนลื่น ต้นไม้ใบหญ้าเจริญงอกงามจนสูงท่วมหัว กำลังพลร้อยกว่านายแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยที่กระจายตัวหลายเส้นทาง ถือคบไฟไว้ให้แสงสว่าง จับยึดเถาวัลย์ไต่ตามกันไปเพื่อไม่ให้ลื่นล้ม ค่อยๆ หาจุดที่พอวางเท้าได้ทีละก้าวไต่ลงไปข้างล่างอย่างทุลักทุเล พวกเขาใช้เวลาทั้งคืน กว่าจะลงมาถึงก้นเหวก็ตอนใกล้รุ่ง แล้วรีบย้อนไปทางบริเวณหน้าผาตัดตรงนั้น
เฉินหลุนคอยติดตามซู่เซิ่นฮุยอย่างใกล้ชิดมาตลอดทาง พอถึงก้นเหวก็ยกคบไฟส่องไปรอบๆ
เปลวเพลิงบนภูเขาฝั่งตรงข้ามยังไม่ดับมอด ควันโขมงเต็มท้องฟ้า พอลงมาข้างล่างถึงเพิ่งรู้ว่าผาตัดตรงนี้อันตรายเพียงไร ตั้งแต่ช่วงกลางผาลงมาเว้าลึกเข้าข้างในคล้ายคันธนู ตัวผาสูงลิ่ว ภายใต้ท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยควันไฟหนาทึบ มองขึ้นไปจากตรงนี้หน้าผาแลดูผงาดเงื้อมเหมือนจะพุ่งเสียดยอดเมฆ ชะรอยตรงก้นเหวจะไม่มีร่องรอยมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไร หันไปทางใดจึงเห็นแต่ไม้ใหญ่สูงตระหง่านและเถาวัลย์ที่เลื้อยคลุมหน้าผา รอบตัวเงียบสงัดราวป่าช้า
หลิวเซี่ยงนำผู้ใต้บังคับบัญชาเริ่มค้นหาโดยละเอียด ตั้งแต่ด้านล่างของผาที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดไล่ลงมาข้างล่างชนิดแทบจะพลิกแผ่นดินหา ขยายวงสำรวจให้กว้างออกไปเรื่อยๆ จากจุดนั้น ผ่านไปครึ่งวันจนใกล้เที่ยงวัน สุดท้ายพบเพียงรอยกิ่งไม้หักใต้เงาไม้ใหญ่ยักษ์บริเวณก้นเหว ใกล้กันมีรอยเลือดประปราย ถัดจากนั้นออกไปอีกหลายสิบจั้งยังพบชายเสื้อสีครามเปื้อนเลือดที่น่าจะปลิวมาตามแรงลม นอกเหนือจากนี้ก็ไร้ความคืบหน้า
ตามคำบอกเล่าขององครักษ์สองคนนั้น สีชายเสื้อตรงกับชุดที่ชายาอ๋องใส่ตอนออกมาล่าสัตว์ แต่กลับไม่เจอใครสักคน ไม่พบชายาอ๋อง ทั้งยังไม่เห็นร่องรอยของชื่อซูผู้นั้น รอยเลือดนี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นของใครกันแน่ระหว่างชายาอ๋องกับชื่อซู