ตอนเที่ยงวันควันไฟข้างบนยังไม่ทันจาง เมฆหมอกก็เริ่มก่อตัวขึ้นช้าๆ ประกอบกับชะง่อนผาบดบังแสงสว่าง ข้างล่างจึงมืดสลัวดังเดิม ทั้งยังมีเศษขี้เถ้าอวลไอระอุของต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกเผาลอยตามลมลงมาข้างล่างราวกับฝนตก
ซู่เซิ่นฮุยกำเศษเสื้อชิ้นนั้นไว้แน่น สีหน้าเคร่งเครียดบึ้งตึง
เฉินหลุนสะกดความกังวลในใจ หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยก็เอ่ยปลอบ “ท่านอ๋องอย่าได้ทรงวิตกมากไปเลย จากสภาพที่เห็น ตอนร่วงตกลงมาน่าจะมีกิ่งไม้รับไว้ไม่ให้บาดเจ็บมาก ถือเป็นเรื่องดี พระชายามีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม ทั้งยังปราดเปรียวว่องไว ต่อให้เจ้าชื่อซูนั่นตกลงมาแล้วไม่ตาย นางก็ไม่เป็นอันตรายหรอก…”
ฟังอย่างนี้คล้ายกำลังปลอบโยนอ๋องผู้สำเร็จราชการ แต่ความจริงแล้วก็พูดให้ตนเองสบายใจด้วยเช่นกัน ร่วงตกลงมาจากที่สูงเพียงนี้ การเปลี่ยนท่าใดๆ ตอนอยู่กลางอากาศหรือทิศทางลมระหว่างทางล้วนแต่ส่งผลต่อตำแหน่งที่ตกลงพื้นได้ทั้งนั้น
บอกตามตรง การตกลงบนร่มไม้ใหญ่พอดิบพอดีถือว่าบังเอิญ มิหนำซ้ำเจ้าของร่องรอยเหล่านี้อาจไม่ใช่พระชายา…
ซู่เซิ่นฮุยเอาแต่เงียบ
“ท่านอ๋อง! แม่ทัพหลิวพบร่องรอยใหม่ข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ทหารนายหนึ่งพลันวิ่งมารายงาน ซู่เซิ่นฮุยทิ้งเฉินหลุนวิ่งตามไปทันที
ในหุบเหวปรากฏรอยแยกของแผ่นดิน ต่ำลงไปคือแม่น้ำใต้ดินกว้างถึงสิบกว่าจั้ง เท่าที่คะเนจากสายตาดูลึกเอาการ สายน้ำไหลรินช้าๆ อย่างเงียบเชียบ มิน่าเล่าตอนอยู่ข้างนอกถึงไม่ได้ยินเสียง
สุนัขล่าเนื้อพันธุ์ซี่เฉวี่ยนที่พาลงมาด้วยจำนวนหนึ่งดมเจอคราบเลือดหลายหยดในบริเวณเดียวกัน แล้วส่งเสียงเห่าไปทางแม่น้ำ
หลิวเซี่ยงแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้ออกค้นหาเลียบริมฝั่งตามกระแสธารไปจนถึงปากน้ำ ตัวเขาอยู่ในอีกกลุ่มที่ว่ายน้ำเก่ง รวมทั้งสิ้นสิบกว่าคน จะใช้บริเวณที่พบรอยเลือดเป็นจุดเริ่มต้น ดำน้ำไล่หาข้างใต้ไปพร้อมๆ กับกลุ่มบนบกจนถึงปากน้ำ เพื่อไม่ให้มีจุดใดที่ตกหล่นไป
เขานำคนสิบกว่าชีวิตถอดรองเท้าหุ้มแข้งและเสื้อคลุม โจนลงน้ำ ดำผุดดำว่ายไล่หาตามกระแสธารไปเรื่อยๆ น้ำข้างล่างไหลแรงกว่าข้างบน แสงส่องลงไปไม่ถึง การค้นหาจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก ผ่านไปสักพักหลายคนที่ดำน้ำไม่เก่งเท่าคนอื่นๆ ก็เริ่มไม่ไหว พวกบนฝั่งยังไม่พบอะไร เฉินหลุนว่ายน้ำเป็นแค่พอเอาตัวรอด จึงได้แต่ยืนรออยู่บนฝั่ง พอมองไปทางอ๋องผู้สำเร็จราชการก็เห็นฝ่ายนั้นตรึงสายตาอยู่บนผิวน้ำสีเขียวสด จากนั้นอยู่ๆ ก็ยกมือขึ้นถอดเกี้ยวออกแล้วถอดแถบรัดเอว เฉินหลุนรู้ว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการว่ายน้ำเก่ง ตอนเที่ยวเล่นด้วยกันสมัยเป็นเด็กหนุ่มยังว่ายข้ามแม่น้ำเว่ยอยู่บ่อยครั้ง เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าคิดจะทำอะไร
เฉินหลุนถลาไปคุกเข่ากอดขาฝ่ายตรงข้ามไว้แน่น “ท่านอ๋อง ไม่ได้เด็ดขาด! ที่นี่ไม่ใช่แม่น้ำเว่ย! พระวรกายสำคัญยิ่งยวด จะเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร วันนี้ต่อให้ถูกท่านอ๋องตัดหัว เฉินหลุนก็ไม่กล้าปล่อยท่านอ๋องลงไปแน่!”
ซู่เซิ่นฮุยดิ้นไม่หลุด ดวงตาเป็นประกายกร้าว ก่อนจะเงื้อเท้าถีบฝ่ายตรงข้ามกลิ้งไปนั่งกองอยู่บนพื้น
“เจ้าอยากให้ข้าถูกมโนธรรมกัดกินใจหรือไร อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ นี่คือคำอธิบายขั้นพื้นฐานที่สุดแล้ว ไม่เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าเอาหน้าจากที่ใดไปหาเจียงจู่วั่ง” ทันทีที่จบประโยคนั้นเขาก็โยนเสื้อคลุมทิ้งแล้วโจนลงน้ำ ดำดิ่งหายวับไปในชั่วพริบตา
เฉินหลุนร้อนใจดังไฟลน อยากตามลงไปด้วยใจแทบขาด เขาลุกขึ้นจากพื้นมาเฝ้ารออยู่ริมน้ำอย่างเคร่งเครียด เห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการดำตามกระแสธารไปเรื่อยๆ พร้อมพวกที่ลงน้ำไปก่อนหน้านี้ ครู่หนึ่งก็ผุดขึ้นมาพักสูดหายใจแล้วดำลงไปต่อ ทำเช่นนี้สลับไปมาซ้ำกันอยู่สิบกว่าครั้ง เวลาก็ผ่านไปอีกเกือบครึ่งวัน พระอาทิตย์ใกล้ลาลับ ในหุบเหวมืดทึมยิ่งกว่าเดิม ทุกคนรวมทั้งตัวซู่เซิ่นฮุยเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที กอปรกับร่างกายเย็นเฉียบจนทนไม่ไหว ไม่สามารถดำน้ำต่อได้อีกแล้ว จึงต่างทยอยหยุดการค้นหาแล้วขึ้นฝั่ง
อ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นคนสุดท้ายที่กลับขึ้นมา ก่อนนั่งลงบนโขดหินริมน้ำ เนื้อตัวเปียกชุ่มโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าซีดเผือด ฟันกระทบกันเบาๆ เพราะความหนาว เฉินหลุนก่อกองไฟขึ้นใกล้ๆ ไว้ให้ความอบอุ่น แล้วรีบส่งเสื้อผ้าให้เขาและพวกหลิวเซี่ยง ตอนนี้กลุ่มบนฝั่งที่ไปได้ไกลกว่าส่งข่าวกลับมาแล้ว ยังคงไม่พบอะไรเหมือนเดิม
ทุกคนกลั้นหายใจไม่กล้าส่งเสียง รู้สึกหัวใจหนักอึ้ง
ซู่เซิ่นฮุยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เอาแต่ทอดสายตามองกองไฟโชติช่วงตรงหน้า นั่งนิ่งไม่ขยับ