เฉินหลุนมองแผ่นหลังของเขาที่เงียบงันราวกับก้อนหิน ตอนนี้ไม่กล้าปลอบโยนใดๆ อีก ได้แต่ยื่นขวดสุราที่อุ่นแล้วไปให้พลางบอกเบาๆ “ท่านอ๋องจิบสักสองสามอึกเถิด จะได้ตัวอุ่นขึ้น…”
ในจังหวะนั้นเองซู่เซิ่นฮุยก็แว่วเสียงแหลมสูงลอยมาเลือนๆ เสียงสั้นนิดเดียว ซ้ำยังแผ่วเบาอย่างยิ่ง ดังขึ้นมาทีหนึ่งก็เงียบหายไป ตอนแรกเขานึกว่าตนเองหูฝาด แต่พอมองหลิวเซี่ยงที่นั่งตรงข้ามก็เห็นฝ่ายนั้นเงยหน้าพรวดขึ้นมองมาที่ตนเอง แววตาลังเลคล้ายไม่กล้ายืนยัน ระหว่างที่ทั้งคู่สบตากัน เสียงที่เงียบหายไปเมื่อครู่ก็ลอยเข้าหูอีกครั้ง
คราวนี้แม้จะดังมาจากไกลๆ เหมือนเดิม แต่ก็ชัดและยาวขึ้น เหมือนยาวครั้งสั้นครั้งวนไปวนมา เท่าที่ฟังคล้ายจะดังมาจากทางหน้าผาที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง
ไม่เพียงเท่านั้นเฉินหลุนเองก็ฟังออกว่าเป็น…
“แตรเขากวาง!” เขาโพล่งออกมา
นี่เป็นเครื่องมือที่คนล่าสัตว์ต้องพกติดตัวสำหรับส่งสัญญาณหรือระบุตำแหน่งกันและกัน เสียงยาวหนึ่งสั้นหนึ่งเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือที่มักใช้เวลาเชื้อพระวงศ์ออกมาล่าสัตว์
ซู่เซิ่นฮุยที่นั่งบนโขดหินทะลึ่งตัวลุกพรวดทันที หลังยืนเงี่ยหูฟังอยู่หลายอึดใจก็หมุนตัววิ่งไปตามทิศที่ได้ยินเสียง ทุกคนตามไปติดๆ พอมาถึงก้นเหวในตอนแรกเสียงแตรเขากวางที่ขาดๆ หายๆ ก็ดังขึ้นอีกหลายครั้ง จากนั้นก็เงียบหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่ได้ยินอีกเลย
ความร้อนใจสะท้อนอยู่บนใบหน้าชายหนุ่มขณะกระโดดไปตามก้อนหินและร่องน้ำบริเวณใต้เหวที่ไร้ทางเรียบเตียน เขาเร่งฝีเท้าเร็วรี่ปานจะโผบิน จนเฉินหลุนกับคนที่เหลือถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ในที่สุดก็มาถึงใต้ผาบริเวณนั้น
เขาหยุดเท้า หอบหายใจน้อยๆ อยู่สองสามครั้ง ก่อนจะแหงนหน้ามองภูผาที่โอบล้อม สายหมอกยังลอยอ้อยอิ่งบดบังรอบตัวจนมองไม่เห็นท้องฟ้า แล้วส่งเสียงเรียก “เจียงซื่อ!”
เสียงตะโกนของเขาก้องสะท้อนดังอึงๆ กลับไปกลับมาระหว่างหน้าผา ส่งคลื่นสะเทือนจนนกกาที่หนีไฟไหม้บนภูเขาลงมาตรงนี้ตื่นตกใจจนบินฮือ ขยับปีกพึ่บพั่บวนยอดไม้อลหม่านวุ่นวาย
“พระชายา!” เขาเรียกอีก
“เจียงหานหยวน!”
เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วตะโกนก้องเป็นครั้งที่สาม หลังเสียงสะท้อนเงียบลงครู่หนึ่งเสียงแตรเขากวางก็พลันดังขึ้นเหมือนตอบรับ ทว่าแผ่วแสนแผ่วคล้ายเรี่ยวแรงไม่พอ ทั้งยังขาดหายไปกลางคัน
ตอนนี้พวกเฉินหลุนและหลิวเซี่ยงไล่ตามมาทันแล้ว ได้ยินเสียงเมื่อครู่ก็ตาเป็นประกายกันทุกคน
มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าเสียงแตรดังมาจากด้านบน เพียงแต่ไม่รู้ว่ามาจากจุดใดของหน้าผา
“บางทีพระชายาอาจจะอยู่บนนั้น! ให้คนโรยเชือกลงมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะขึ้นไปดูเอง!” หลิวเซี่ยงบอกโดยไม่รอช้า
“ข้าขึ้นไปดีกว่า! แม่ทัพหลิวเฝ้าอยู่ข้างล่างเถิด”
เฉินหลุนหนุ่มแน่นกว่า และรู้ว่าร่างกายอีกฝ่ายมีแผลเก่าจากเมื่อครั้งที่อยู่ในกองทัพ ไหนเลยจะปล่อยให้ทำเรื่องเช่นนี้ได้ เขาเป่าแตรสัญญาณ พอกลุ่มที่ทิ้งไว้ให้เฝ้าอยู่ด้านบนตั้งแต่เมื่อคืนได้ยินก็ค่อยๆ โรยเชือกเส้นใหญ่ที่ถักทอขึ้นจากเถาวัลย์แก่ๆ จำนวนมากลงมา ขณะที่เฉินหลุนกำลังเตรียมความพร้อมก็พลันได้ยินพวกผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างๆ อุทานว่า “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” เมื่อหันไปมองจึงพบว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการรวบชายเสื้อคลุมขึ้นมามัดไว้ แล้วก้าวเข้าไปกระตุกเชือกเถาวัลย์ทดสอบความแข็งแรง จากนั้นมือทั้งสองข้างก็ดึงรั้งเหนี่ยวตัวให้ลอยขึ้นจากพื้น สองเท้ายันผาหินไว้อย่างมั่นคง ค่อยๆ สาวเชือกไต่ขึ้นข้างบนทีละนิด
ตอนห้ามไม่ให้ลงน้ำ เฉินหลุนโดนถีบมาทีหนึ่งแล้ว นับเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ที่อ๋องผู้สำเร็จราชการทำกับเขาเช่นนี้ เมื่อเห็นเจ้าตัวปีนขึ้นไปเองเขาจึงไม่กล้าพูดมาก ทำได้แค่แหงนคอมองพร้อมคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านล่างอย่างใจจดใจจ่อด้วยกันกับพวกหลิวเซี่ยง ซู่เซิ่นฮุยไต่หน้าผาสูงขึ้นทุกทีจนร่างค่อยๆ กลืนหายเข้าไปในเมฆหมอก หลิวเซี่ยงยังคงเฝ้าอยู่เบื้องล่างต่อ ขณะที่เฉินหลุนรีบปีนกลับขึ้นไปทางเดียวกับขาลง เตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือตลอดเวลา