เปลือกตาปิดลง ศีรษะเอนซบผนังซอกหิน ความเหนื่อยล้าเริ่มคืบคลานกลับมา จังหวะที่มึนๆ จวนหลับไปอีกรอบ ใบหูเหมือนจะแว่วเสียงคนตะโกนเรียกท่ามกลางความสะลึมสะลือ
เจียงซื่อ?
นางคิดอย่างเลื่อนลอย…ใครกัน
ถัดจากนั้นเหมือนจะเปลี่ยนไปเรียกพระชายาแทน?
พระชายา…ใครอีกเล่า…
“เจียงหานหยวน…”
เสียงเดิมลอยมากระทบหูอีกครั้ง นางสะท้านวาบ
ใช่แล้ว ที่แท้ก็ตัวข้าเอง!
สติสัมปชัญญะกลับคืนมาโดยสมบูรณ์ เจียงหานหยวนจำเสียงนั้นได้ ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นบุรุษที่นางแต่งงานด้วย อ๋องผู้สำเร็จราชการแห่งต้าเว่ย ซู่เซิ่นฮุย
เขาถึงกับมาด้วยตนเองเลยหรือนี่
แม้จะเข้าใจดีว่าเหตุใดเขาถึงให้ความสำคัญกับนางนักหนา แต่ชั่วพริบตาที่ได้ยินเขาเปล่งชื่อของนางออกจากปากด้วยเสียงทุ้มห้าว กังวานสะท้อนก้องไปในพงไพรก้นเหว หัวใจก็ยังปวดแปลบจนขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
นางรีบตั้งสติเป่าเขากวางอีกครั้งเป็นการตอบรับ จากนั้นก็เงี่ยหูฟังเสียงที่หน้าผาด้านนอก
เสียงเศษหินแตกดังกร๊อบแล้วร่วงกราวเพราะถูกเหยียบใกล้เข้ามาเป็นลำดับ นางเป่าเขากวางอีกครั้งเพื่อบอกตำแหน่งของตนให้ฝ่ายตรงข้ามรู้
แทบจะในพริบตาเดียวกันร่างคนพลันปรากฏขึ้นกลางหน้าผา คนผู้นั้นวาบผ่านไป แล้ววางเท้าทั้งสองข้างลงบนซอกหินเป็นอันดับแรก ก่อนจะเหนี่ยวตัวขึ้นมาหยุดยืนตรงหน้านาง
เขาปีนขึ้นมาเอง
เจียงหานหยวนมองอีกฝ่าย พร้อมทนเจ็บเอามือเกาะผนังซอกหินเล็กแคบ ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีค่อยๆ ยืนตัวตรง พยายามทำตัวกระฉับกระเฉงเป็นปกติให้มากที่สุด
แม้จะร่วงตกลงมาเนื้อตัวสะบักสะบอมจนต้องร้องขอความช่วยเหลือ นางก็ยังอยากให้ผู้อื่นเห็นตนเองในสภาพที่ดีที่สุดตามความเคยชิน
เหมือนเวลาได้รับบาดเจ็บในกองทัพ ต่อให้เจ็บแสนเจ็บเพียงใด นางก็ไม่มีวันแสดงออกว่าเจ็บให้พวกหยางหู่เห็นแม้แต่นิดเดียว
ในที่สุดก็ยืนตัวตรงสำเร็จ นางทอดตามองบุรุษตรงหน้า แล้วบังคับน้ำเสียงให้ฟังดูเป็นปกติที่สุด “ขอบคุณท่านอ๋องที่เสี่ยงอันตรายมารับข้า หลายวันที่ผ่านมาทุกคนคงจะหาข้ากันเหนื่อยน่าดู ข้าผิดเอง ต่อไปข้าจะระวังตัวให้มากกว่านี้ จะไม่สร้างปัญหาให้ท่านอ๋องอีกเป็นอันขาด”
ซู่เซิ่นฮุยใช้มือยึดผนังหินไม่ให้ร่างเอนไปเอนมาตามแรงลม สองเท้าเหยียบยืนบนพื้นของซอกแคบที่กว้างพอแค่ให้เขากับนางยืนหันหน้าเข้าหากัน จ้องมองสตรีที่อยู่ตรงหน้า…ชายาอ๋องที่เขาแต่งด้วย
เรือนผมและใบหน้าของนางเต็มไปด้วยเศษใบไม้และเศษฝุ่น ริมฝีปากซีดเผือดไร้สีเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่น คราบเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งตัว มีเพียงดวงตาที่มองตอบมาคู่นั้นที่ยังสุกใส พอให้เขามองเห็นเค้ารอยแต่เดิมของนางได้
เพิ่งจะพรูลมหายใจด้วยความโล่งอกที่เจอตัว ปรากฏว่ากลับต้องได้ยินนางเอ่ยโทษตนเองทันทีที่อ้าปากพูด ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงได้หงุดหงิดขึ้นมานิดๆ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ซู่เซิ่นฮุยระงับความขุ่นมัวในใจ ผงกศีรษะด้วยสีหน้าเฉยชาแล้วเอ่ยถาม
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก…”
พูดยังไม่ทันขาดคำนางก็รู้สึกหน้ามืดตาลายจนต้องเอนหลังพิงผนังหิน พออาการทุเลาแล้วเงยหน้ามองขึ้นไปอีกทีก็พบว่าเขาได้ก้าวเข้ามาใช้เชือกพันเอวนางไว้ ด้วยรู้ว่าเขาจะพาตนเองขึ้นไป นางจึงยืนนิ่งๆ ให้เขาจัดการ ชายหนุ่มมัดเชือกแล้วทดสอบความแน่นหนาแข็งแรง ถอดเสื้อคลุมออกมาห่มร่างนางไว้ ก่อนจะยกแขนขึ้นกอดเอวนางไว้กับตัว
เจียงหานหยวนรู้สึกว่าเขาจะอุ้มนางขึ้นไป จึงขืนตัวหนีตามสัญชาตญาณ “ข้าไม่เป็นไรมาก ขอแค่มีเชือกผูกเอวไว้ก็สามารถ…”
“เงียบเถอะน่า!” เขาเอ็ดด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก
หญิงสาวนิ่งเงียบ
ซู่เซิ่นฮุยใช้เชือกเถาวัลย์พันเอวตนเองไว้ด้วยกันกับนาง มือข้างหนึ่งยึดเชือกไว้แน่น อีกข้างกอดเอวนางไว้อย่างมั่นคง ใช้ฝักดาบเคาะผาหินหลายครั้งเพื่อส่งสัญญาณขึ้นไป รอให้คนข้างบนออกแรงสาวเชือกพร้อมกัน โดยใช้ท่อนไม้ที่ตัดโค่นลงมาเป็นรอกพันเชือก ร่วมแรงแข็งขันหมุนโคนต้นไม้ดึงเขาให้ไต่ขึ้นไปช้าๆ สุดท้ายเมื่อเขาพาเจียงหานหยวนปีนจนถึงยอดผาได้อย่างราบรื่น ก็ช่วยกันดึงพวกเขาขึ้นมา
ชายหนุ่มน่าจะใช้แรงไปมากเอาการ พอขึ้นมาข้างบนได้ก็ทรงตัวยืนไม่ไหว ต้องคุกเข่าเอามือยันพื้นอยู่สักพัก จนพอจะปรับลมหายใจให้เป็นปกติได้เล็กน้อยถึงค่อยลุกขึ้นยืน ร้องขอน้ำจากผู้ติดตาม นำมาป้อนให้นางดื่มสองสามอึก จากนั้นก็ใช้ดาบตัดเชือกเถาวัลย์ที่มัดตนกับนางไว้ด้วยกันแล้วบอกเบาๆ “เจ้าเสียเลือดมาก อีกทั้งตอนนี้ฟ้าก็ใกล้มืดแล้ว หาที่ค้างแรมเพื่อทำแผลและพักผ่อนสักคืนก่อนแล้วกัน วันพรุ่งนี้ค่อยกลับไป”